ไม่มีการปรับโทษแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์
8:1 เหตุฉะนั้นบัดนี้การปรับโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนังแต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ
** "การปรับโทษ" ในข้อนี้ คือการลงโทษในแต่ละวัน และการลงโทษในยุคพันปี
** "ดำเนินตามฝ่ายวิญญาณ" คือเชื่อว่าคนเก่าตายแล้ว และเป็นคนใหม่ ชอบธรรม บุตรพระเจ้า สนิท บอกรัก ปักใจที่ฝ่ายวิญญาณที่พระวิญญาณ เลิกทำบาปได้แล้ว หรือนานๆ ทำบาปครั้ง
8:2 เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย
** ในอาดัมเรามีกฎแห่งบาป และกฎแห่งความตายมีอำนาจเหนือเรา
** ในพระคริสต์เรามีกฎแห่งพระวิญญาณ และกฎแห่งชีวิตมีอำนาจเหนือกฎแห่งบาปและความตาย
** "กฎแห่งพระวิญญาณ" คือกฎธรรมชาติที่อยู่ในชีวิตของพระคริสต์ พระองค์นำเข้ามาเพื่อเอาชนะกฎแห่งความบาป กฎแห่งพระวิญญาณ คือชีวิตและนิสัยของพระเจ้าเพื่อรักษาผู้เชื่อให้ดำเนินชีวิตที่มีความรัก ความบริสุทธิ์ ความสว่าง และความชอบธรรม เมื่อผู้เชื่อมีกฎแห่งพระวิญญาณครอบครองจิตใจเราแล้ว เราจะทำดีเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างง่ายดายแบบไม่ต้องพยายามเหมือนแต่ก่อน
** "กฎแห่งชีวิต" คือกฎธรรมชาติที่อยู่ในชีวิตของพระคริสต์ พระองค์นำเข้ามาเพื่อเอาชนะกฎแห่งความตาย ความตาย ในที่นี้ คือความอ่อนแอ ขี้เกียจ ง่วงเหงาหาวนอน เหนื่อยเมื่อยล้า จะเกิดขึ้นเมื่อเราจะอ่าน อธิษฐานหรือทำอะไรซักอย่างเพื่อพระเจ้า (ขณะที่อยู่คนเดียว)
** "กฎแห่งบาป" คือชีวิตและนิสัยที่ชอบทำบาปของซาตาน ตัวบาปนำกฎนี้เข้ามาเพื่อรอให้ผู้เชื่ออยากเชื่อฟังพระเจ้า เมื่อเราพยายามเชื่อฟังเมื่อไหร่กฎแห่งบาปนี้จะลุกขึ้นและขัดขวางเราและในที่สุดเราก็ทำบาปแทนที่จะทำดีได้
** "กฎแห่งความตาย" คืออาการง่วงเหงาหาวนอน เหนื่อยเมื่อยล้า ซึมเซา ขณะที่เราอยากอ่านพระคัมภีร์ หรืออธิษฐานคนเดียว
8:3 เพราะสิ่งซึ่งพระบัญญัติทำไม่ได้เพราะเนื้อหนังทำให้อ่อนกำลังไปนั้นพระเจ้าทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาปและเพื่อไถ่บาปพระองค์จึงได้ทรงปรับโทษบาปที่อยู่ในเนื้อหนัง
** พระบัญญัติทำให้เราอ่อนแอ และรักษาไม่ได้
** พระเยซูเสด็จมาในสภาพของเนื้อหนังที่บาปเพื่อไถ่บาป
** พระเยซูเอาชนะบาปได้ จึงมีสิทธิในการปรับโทษบาปที่สิงอยู่ในเนื้อหนังของเรา
8:4 เพื่อความชอบธรรมของพระบัญญัติจะได้สำเร็จในพวกเรา ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนังแต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ
** "พระบัญญัติสำเร็จในเรา" คือเราไม่ได้รักษา แต่พระเยซูทำดีในเรา เชื่อฟังพระบิดาแทนเรา เราเพียงแค่ให้พระคริสต์ใช้ชีวิตนี้เพื่อสำแดงพระองค์ต่อทุกคนและต่อตัวเราด้วย เพราะว่าเราสนิทและบอกรักพระเยซูทุกวัน
อยู่ฝ่ายพระวิญญาณหรืออยู่ฝ่ายเนื้อหนัง
8:5 เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังก็ปักใจในสิ่งของต่างๆซึ่งเป็นของเนื้อหนังแต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็ปักใจในสิ่งของต่างๆซึ่งเป็นของพระวิญญาณ
** "การอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง" คือไม่รู้ว่าตัวเก่าตายไปตัวใหม่เป็นอยู่ ยังใช้ชีวิต กำลังความสามารถและสติปัญญาของอาดัมในแต่ละวัน
** "การปักใจในสิ่งที่เป็นของเนื้อหนัง" คือเน้นที่การเชื่อฟังการรับใช้ การกระทำทุกสิ่งในรูปแนวศาสนา ประเพณี และยังเป็นฝ่ายของโลกนี้
8:6 ด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนังก็คือความตายและซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณก็คือชีวิตและสันติสุข
** "การปักใจไปที่เนื้อหนังก็คือความตาย" คือการไม่ได้อยู่ในการทำงานของชีวิตพระคริสต์ที่เคลื่อนไหวในเรา เราจึงอ่อนแอและตายลงไปทีละน้อยๆ
** "การปักใจไปที่พระวิญญาณฝ่ายวิญญาณก็คือชีวิต และสันติสุข" คือชีวิตพระคริสต์จะเติมเต็มในเราอยู่เสมอ ทั้งเราเองก็ไม่เคยขาดความชื่นชมยินดีในพระคริสต์ในแต่ละวัน
8:7 เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้าเพราะหาได้อยู่ใต้บังคับพระบัญญัติของพระเจ้าไม่และที่จริงจะอยู่ใต้บังคับพระบัญญัตินั้นไม่ได้
** การใส่ใจที่ฝ่ายเนื้อหนัง พระเจ้านับว่าเราเป็นศัตรูกับพระองค์ การตีสอน ปัญหามากมายอาจมาถึงเราได้
** อยู่ใต้การบังคับของพระบัญญัติ คือเราเชื่อฟังพระเจ้าโดยมีพระคริสต์ทำแทน
8:8 เพราะฉะนั้นคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังจะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็หามิได้
** คริสเตียนศาสนา หรือคริสเตียนเนื้อหนัง จะรักษาพระบัญญัติไม่ได้อย่างแน่นอนทีเดียว
** ไม่มีคริสเตียนศาศนาแม้แต่คนเดียวที่เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า
8:9 ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายจริงๆแล้วท่านก็มิได้อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง แต่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณแต่ถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์
** "ผู้เชื่อทุกคนมีพระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย" แต่ความหมายในข้อนี้ คือได้รู้และเข้าใจอย่างชัดเจน และเชื่อว่าทรงสถิตอยู่
** "เป็นของพระองค์" ในที่นี้ คือเป็นของพระองค์ในแต่ละวันและเวลา เนื่องจากว่าเราอยู่ในพระคริสต์อยู่เสมอ
8:10 และถ้าพระคริสต์อยู่ในท่านทั้งหลายแล้ว ร่างกายก็ตายไปเพราะบาปแต่วิญญาณก็มีชีวิตเพราะความชอบธรรม
** เมื่อก่อนวิญญาณเราตายเพราะว่าเราไม่เชื่อ แต่เมื่อเราเชื่อวิญญาณเราจึงได้บังเกิดใหม่ และมีชีวิตขณะที่ร่างกายนี้ต้องตายไปเพื่อรับร่างกายใหม่
8:11 แต่ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายพระองค์ผู้ทรงชุบให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตายแล้วนั้นจะทรงกระทำให้กายซึ่งต้องตายของท่าน เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยโดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย
** ทุกคนที่เชื่อและไม่เชื่อต่างก็จะได้รับร่างกายใหม่ แต่ผู้เชื่อได้รับร่างกายใหม่และมีวิญญาณใหม่เราจึงได้เป็นบุตรพระเจ้าและได้รับความรอดเนื่องจากเรามีพระวิญญาณเป็นมัดจำแล้ว
8:12 ท่านพี่น้องทั้งหลายเหตุฉะนั้นเราทั้งหลายเป็นหนี้แต่มิใช่เป็นหนี้ฝ่ายเนื้อหนังที่จะดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง
8:13 เพราะว่าถ้าท่านทั้งหลายดำเนินชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนังแล้ว ท่านจะต้องตายแต่ถ้าโดยฝ่ายพระวิญญาณท่านได้ทำลายการของฝ่ายกายเสียท่านก็จะดำรงชีวิตได้
** พระเจ้าทรงเลือกเราและให้เราบังเกิดใหม่ เพื่อให้เราดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณเพื่อเราจะเห็นการทำงานของชีวิตพระเจ้าในเรา
** ถ้าหากเราเดินในฝ่ายเนื้อหนังเราก็อยู่ในความตายในแต่ละวัน
** 2 ทิโมธี 2:20-22 บ้านหลังใหญ่ มีภาชนะไม่เหมือนกัน
** ผู้เชื่อจะมีสง่าราศีไม่เท่ากัน ซึงอยู่ที่ผลของการทำแทนของพระเยซูในแต่ละคนจะมีมากน้อยเท่าไหร่
** ผู้เชื่อที่ไม่สุกงอมในชีวิตนี้จะถูกบังคับให้สุกงอมเพื่อที่จะมีสง่าราศีในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่
1 โครินธ์ 15:40-44
15:40 ร่างกายสำหรับสวรรค์ก็มี และร่างกายสำหรับโลกก็มี แต่ว่าสง่าราศีของร่างกายสำหรับสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของร่างกายสำหรับโลกก็อย่างหนึ่ง
15:41 สง่าราศีของดวงอาทิตย์ก็อย่างหนึ่ง สง่าราศีของดวงจันทร์ก็อย่างหนึ่ง สง่าราศีของดวงดาวก็อย่างหนึ่ง แท้ที่จริงสง่าราศีของดาวดวงหนึ่งก็ต่างกันกับสง่าราศีของดาวดวงอื่นๆ
15:42 การซึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นก็เหมือนกัน สิ่งที่หว่านลงนั้นเป็นของที่จะเปื่อยเน่า สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่นั้นก็จะไม่รู้จักเปื่อยเน่า
15:43 สิ่งที่หว่านลงนั้นไร้เกียรติ สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะมีสง่าราศี สิ่งที่หว่านลงนั้นอ่อนกำลัง สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะมีอำนาจ
15:44 สิ่งที่หว่านลงนั้นก็เป็นกายธรรมดา สิ่งที่เป็นขึ้นมาก็จะเป็นกายวิญญาณ กายธรรมดามี และกายวิญญาณก็มี
อธิบายหนังสือโรมบทที่ 8:14-39
- บทที่ 8:1-13: การอยู่ในพระคริสต์ และการเดินในพระวิญญาณ
- บทที่ 8:14-39: สง่าราศีของร่างกายที่เราจะได้รับในอนาคต
ผู้เชื่อเป็นทายาทร่วมกันกับพระคริสต์
8:14 ด้วยว่าพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงนำพาคนหนึ่งคนใด คนเหล่านั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า
** ผู้เชื่อทุกคนเป็นบุตรพระเจ้า แต่ "บุตร" ในที่นี้คือ "บุตรที่รัก"
8:15 เหตุว่าท่านไม่ได้รับนิสัยอย่างทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรซึ่งให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา” คือพระบิดา
** ผู้เชื่อมากมายยังมีนิสัยเหมือนทาสเพราะเขากลัวพระเจ้า กลัวไม่รอด กลัวพระเจ้าจะไม่เลี้ยงดูดูแล กลัวพระเจ้าจะไม่ยกโทษ กลัวพระเจ้าจะทอดทิ้งเมื่อเผชิญปัญหาในแต่ละวัน เราบุตรพระเจ้าควรได้รับการเปิดตาเพื่อที่จะไม่กลัวสิ่งเหล่านี้อีกต่อไปเพื่อความจริงจะช่วยให้เราเป็นไท
8:16 พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับจิตวิญญาณของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า
** เมื่อพระวิญญาณของพระเยซูเข้ามาอยู่ในเรา พระองค์กลายเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเราและไม่อาจพรากจากเราไปไหนได้อีกแล้ว พระองค์ทรงเป็นพยานต่อพระบิดาว่าเราเป็นบุตรพระเจ้า
8:17 และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นผู้รับมรดกคือเป็นผู้รับมรดกของพระเจ้า และเป็นผู้รับมรดกร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้สง่าราศีด้วยกันกับพระองค์ด้วย
** เมื่อพระเยซูสถิตในเรา พระองค์เป็นพยานต่อหน้าพระบิดา ทูตสวรรค์ทั้งหลาย เราจึงเป็นบุตรที่มีส่วนได้รับมรดกของพระเยซูที่พระบิดาทรงประทานให้แล้ว
** การยอมทนทุกข์ถูกข่มเหงเพราะเห็นแก่พระนามพระเยซูและการประกาศการรับใช้ย่อมจะได้รับสง่าราศีคือตำแหน่งได้ร่วมครอบครองกับพระเยซูเป็นค่าตอบแทนอย่างแน่นอน
ร่างกายที่ตายได้รอคอยสง่าราศีแห่งการเป็นขึ้นมาจากความตาย
8:18 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า ความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบันนี้ ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับสง่าราศีซึ่งจะเผยในเราทั้งหลาย
** คริสเตียนมากมายบ่น น้อยใจ ท้อแท้ เมื่อเจอปัญหา เนื่องจากมองไม่เห็นพระคำพระเจ้าในข้อนี้อย่างชัดเจนนี่เอง พระเจ้าให้เราปักใจไปที่สง่าราศีที่เราจะได้รับเมื่อพระเยซูเสด็จมา ไม่ใช่ปักใจไปที่ปัญหา
8:19 ด้วยว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแล้ว มีความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ
8:20 เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้เข้าอยู่นั้นด้วยมีความหวังใจ
8:21 ว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเปื่อยเน่า และจะเข้าในเสรีภาพซึ่งมีสง่าราศีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้าด้วย
8:22 เรารู้อยู่ว่า บรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้น กำลังคร่ำครวญและผจญความทุกข์ลำบากเจ็บปวดด้วยกันมาจนทุกวันนี้
** สิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย ต่างก็คร่ำครวญรอคอยการกลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนอาดัมทำบาป เพื่อให้ได้หลุดพ้นจากความตายและการเปื่อยเน่า
8:23 และไม่ใช่สรรพสิ่งทั้งปวงเท่านั้น แต่เราทั้งหลายเองด้วย ผู้ได้รับผลแรกของพระวิญญาณ ตัวเราเองก็ยังคร่ำครวญคอยจะเป็นอย่างบุตร คือที่จะทรงไถ่กายของเราทั้งหลายไว้
** "ผลแรกของพระวิญญาณ" คือการบังเกิดใหม่ หรือชีวิตใหม่นั่นเอง และสิ่งที่พวกเรารอคอยอยู่ก็คือร่างกายที่ตายไม่ได้
8:24 เหตุว่าเราทั้งหลายรอดได้เพราะความหวังใจ แต่ความหวังใจในสิ่งที่เราเห็นได้หาได้เป็นความหวังใจไม่ ด้วยว่าใครเล่าจะยังหวังในสิ่งที่เขาเห็น
8:25 แต่ถ้าเราทั้งหลายคอยหวังใจในสิ่งที่เรายังไม่ได้เห็น เราจึงมีความเพียรคอยสิ่งนั้น
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอธิษฐานเพื่อเราและด้วยกันกับเรา
8:26 พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลังด้วยเช่นกัน เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร แต่พระวิญญาณเองทรงช่วยขอเพื่อเราด้วยความคร่ำครวญซึ่งเหลือที่จะพูดได้
** ขณะที่เราไม่รู้จะขออะไรอย่างไร พระวิญญาณที่อยู่ในเราจะขอพระบิดาแทนเรา ทั้งนี้ทั้งนั้นในพระคำข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าพระวิญญาณใช้ลิ้นใช้เสียงของเราเพื่อขอ แต่ขอแทนเราในเราขณะที่เรากำลังคร่ำครวญอยู่และพูดอะไรไม่ออกหรือไม่รู้จะพูดอะไร
** พระคำข้อนี้พระวิญญาณไม่ได้ใช้ปากใช้ลิ้นของเราพูด แต่พระวิญญาณอธิษฐานขอพระบิดาเพื่อเราเผื่อเราด้วยอาการคร่ำครวญ
- คำตอบอยู่ที่ข้อที่ 27 “เพราะว่าพระองค์ทรงอธิษฐานขอเพื่อวิสุทธิชนตามที่ชอบพระทัยพระเจ้า”
โรม 8:26 แปลกรีก.... แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทน ด้วยการคร่ำครวญซึ่งไม่อาจที่จะกล่าวเป็นคำพูดได้
** คือไม่ได้พูดอะไร แต่พระวิญญาณขอพระบิดาเพื่อเรา but the Spirit Himself aintercedes for us with groanings which cannot be uttered.
** ความทุกข์ใจของเราบางครั้งทำให้เราไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาได้ แต่พระวิญญาณขอเพื่อเรา คือความหมายในข้อนี้
8:27 และพระองค์ ผู้ทรงตรวจค้นใจมนุษย์ ก็ทรงทราบความหมายของพระวิญญาณ เพราะว่าพระองค์ทรงอธิษฐานขอเพื่อวิสุทธิชนตามที่ชอบพระทัยพระเจ้า
** พระวิญญาณทรงค้นดูจิตใจเราในส่วนที่ถูกชำระแล้ว และเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณแล้ว (มนุษย์ภายใน - Inner man) และทรงทราบความหมายของพระวิญญาณว่ามีสิ่งใดที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า พระองค์ก็จะขอแทนเราในสิ่งนั้น
ทรงเรียก ทรงประทานความรอด ทรงให้เป็นคนชอบธรรม ทรงประทานสง่าราศี
8:28 และเรารู้ว่า ทุกสิ่งต่างร่วมมือกันเพื่อให้เกิดผลดีแก่คนทั้งหลายที่รักพระเจ้า คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์
** ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดี หรือไม่ดีก็ตาม ต่างก็ร่วมมือกันทำให้เกิดผลดีแก่เรา เพราะฉะนั้นขอให้เราขอบพระคุณพระเจ้าและวางใจในพระองค์
8:29 เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก
** พระบิดาทรงทราบดี และตั้งผู้เชื่อบางคนเท่านั้นที่จะมาถึงชีวิตผู้ชนะ เขาเหล่านั้นจะดำเนินชีวิตตามพระลักษณะพระฉายาแห่งพระคริสต์ และผู้ชนะนี่เองที่จะเป็นบุตรหัวปีท่ามกลางคริสเตียนศาสนาทั้งหลาย
8:30 ยิ่งกว่านั้นบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้นั้น พระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น พระองค์ได้ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงโปรดให้มีสง่าราศีด้วย
** พระบิดาทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า (predestinated) ได้ทรงเรียกมา (called) ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม (justified) และทรงโปรดให้มีสง่าราศี (glorified) สง่าราศีในที่นี้ ผู้เชื่อจะไม่ได้รับเท่ากัน
(ดูบทเรียนเรื่องสง่าราศี)
** "ทรงตั้งไว้"
** "ทรงเรียก"
** "ทรงให้กลายเป็นคนชอบธรรม"
** "ทรงให้มีสง่าราศี"
8:31 ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา
8:32 พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรของพระองค์เอง แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อเราทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ
8:33 ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ทำให้เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว
8:34 ใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีก ก็คือพระคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงคืนพระชนม์ ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย
The glorification
ผู้เชื่อได้รับความรอดนิรันดร์
8:35 แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความยากลำบาก หรือความทุกข์ หรือการข่มเหง หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ
** "การเปลือยกาย" ในที่นี้ คือการไม่มีเสื้อผ้าใส่เพราะขัดสน ไม่เหมือนการเปลือยกายใน วว 3:18 ซึ่งหมายถึงการไม่ได้สวมใส่ชีวิตพระคริสต์ที่คิดแทน เชื่อแทน และทำแทนเรา แต่ใช้ชีวิตอาดัมทำดีและเชื่อฟังพระเจ้า เรียกว่าเปลือยกาย
** เพื่อยืนยันว่าคำว่า “เปลือยกาย” คือไม่มีเสื้อผ้าใส่เพราะขัดสน ไม่ใช่ถูกจับเพื่อนำมาประจาน (อ่าน มธ 25:36 พระเยซูตรัสว่า “เราเปลือยกายพวกท่านก็ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็มาดูแลเรา เมื่อเราอยู่ในคุกพวกท่านก็มาเยี่ยมเรา”)
8:36 ตามที่เขียนไว้แล้วว่า ‘เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายจึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นเหมือนแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า’
8:37 แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยยิ่งกว่าผู้พิชิตโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย
8:38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือผู้มีบรรดาศักดิ์ หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า
8:39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งอื่นใดๆที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้
** ความรักของพระเจ้าจะมีให้เรามากมายในพระคริสต์ ไม่ใช่ในเนื้อหนังหรือในอาดัม
- การเดินในวิญญาณของผู้ชนะ
- กฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิต ชนะกฎแห่งความบาปและกฎแห่งความตาย
- การเดินในพระวิญญาณ คือการปักใจจดจ่อที่ฝ่ายวิญญาณ เพื่อรับชีวิตและสันติสุข
- ถ้าเราปักใจที่เนื้อหนัง คือความบาป ความตาย และอยู่ในฐานะเป็นศัตรูกับพระเจ้า
- พระเจ้าจะทำงานให้ผู้เชื่อได้รอด และให้ผู้ที่เลือกได้เป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน (โรม 8:30)
- สง่าราศีของร่างกายในอนาคต
- เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา คริสเตียนทุกคนจะได้รับร่างกายใหม่
- ผู้ชนะจะได้อยู่ในอาณาจักร ผู้ไม่ชนะจะถูกบังคับตีสอนเป็นเวลาพันปีในเกเฮนา ผู้ไม่เชื่อจะรับร่างกายใหม่ และอยู่ในบึงไฟ