ถาม:
เราควรเชื่อฟังพระเจ้าก่อน หรือสร้างความสัมพันธ์ก่อน หรือทำไปพร้อมๆ กัน การเชื่อฟังเป็นสิ่งที่สำคัญมากไม่ใช่หรือ
ตอบ:
เมื่อเรากลับมามีความรักแบบรักแรกพบกับพระเจ้า (วว 2:1–7)
"หนังสือ วิวรณ์ " บทที่ 2"
ตอน " คุณขาดรักดั้งเดิมให้พระเจ้า " (ข้อ 1-7 เคล็ดลับในการเป็นผู้ชนะ)
เมื่อวันเวลาผ่านไปหัวใจที่เคยมีรักมากมายแด่พระเจ้า กลับดูเฉยชา ไม่ว่าง ไม่มีเวลา คำบอกรักก็ไม่มี ทำดีรับใช้แทนได้ไหม เราจึงคิดติดเป็นนิสัย มีแต่รับใช้ รับใช้ ไม่มีคำรักบอกออกไป
เราเคยคิดบ้างไหมว่าพระเจ้าก็มีหัวใจ เราเชื่อเพื่อหวังรอดแต่พระเจ้าช่วยเพราะว่ารัก
เมื่อไหร่เจอพายุหนักก็รีบทักช่วยข้าด้วย
พระเยซูต่อว่า คริสตจักรในเมืองเอเฟซัส เพราะว่าเขาทั้งหลายขาดความรักหรือตก จากความรักดั้งเดิมที่เคยมีต่อพระองค์
- คริสตจักร ดังกล่าว อธิษฐาน อ่าน ไปโบสถ์ รับใช้ มีผลงาน ประกาศ นำคนมาเชื่อ เทศนาสั่งสอน รักษาโรค ขับไล่ผีทำการอัศจรรย์ได้ เหมือนที่ คริสตจักรเรา แต่เขาไม่มีความรักแบบดั้งเดิมที่ลึกซึ้งดูดดื่มติดสนิทในพระเจ้า คิดว่า อธิษฐานวันละห้าหกครั้งก็มากพอแล้ว
และในที่สุดก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปในอุทยานของพระเจ้า ถ้าหากไม่กลับใจ (ข้อที่ 7 และ มธ 7:21-27)
"เราจะย้ายคันประทีปออกจากที่" (ข้อที่ 5)
- "คันประทีปคือชีวิตของเรา แสงสว่างที่ส่องมาจากคันประทีป" คือผลของพระวิญญาณหรือจิตใจใหม่ ธรรมชาติใหม่ที่ทำให้เราไม่ทำบาปในแต่ละวัน
ความหมายในที่นี้ก็คือ ถ้าเราไม่กลับมามีความรักดั้งเดิมกับพระเจ้า เราจะเป็นพยานด้วยการเกิดผลแห่งความรักอากะเป รักศัตรู ไม่ตอบโต้ต่อสู้ แต่ยกโทษ อดทนนานไม่มีขีดจำกัด ยอมเสียเปรียบ นั่งที่ต่ำ นี้ไม่ได้
แต่เรายังต้องสวมหน้ากากแกล้งทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าพี่น้อง ชีวิตขึ้นลงขึ้นลงดีบาปดีบาปไปจนวันตาย และสุดท้ายก็ไม่มีโอกาสเข้าไปในอุทยานเพื่อรับสง่าราศีอันครบบริบูรณ์จากพระเยซูคริสต์
เคล็ดลับในการเป็นผู้ชนะ :
1. เลิกใส่ใจในเรื่องการเชื่อฟังทำดีและรับใช้
2. บอกรัก ติดสนิทกับพระเยซูที่อยู่ในเราให้มากที่สุดขณะที่ ทำงาน ขับรถ ทำกับข้าว เล่นเฟส ๆลๆ
3. เปลี่ยนคำว่า "อธิษฐาน" เป็น "คุย" หรือ "สนทนา" เพราะว่าภาษากรีกไม่มีคำว่าอธิษฐาน แต่เรียกว่า"คุย / สนทนา" ด้วยเหตุว่า ทุกครั้งที่เราพูด พระเจ้าจะรับฟังเดี๋ยวนั้นทันที เลิก อธิษฐานอวดในเฟส แต่บอกพระเจ้าอย่างลับๆ จะได้ผลมากกว่า (มธ 6:5-8)
4. เลิกคิดว่าพระเจ้าจะไม่ฟังหรือไม่ได้อยู่กับเรา แต่จงเชื่อมั่นว่าทรงอยู่ด้วยและสดับฟังเรื่องทุกข์สุขของเรา
** วว 2:5 กล่าวว่าถ้าเราบอกรัก สนิทในพระองค์ด้วยการพูดคุยสนทนา แสงสว่างที่เป็นชีวิตพระเจ้าจะมีมากขึ้นในเรา เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ มากขึ้นทุกๆ วัน
** เราบอกรักพระเยซู พระเยซูส่งชีวิต (พระวิญญาณ) มาให้เรา เราบอกรักมากขึ้น ชีวิตและสันติสุขของพระเจ้าก็จะเพิ่มมากขึ้นในเรา การเชื่อฟัง ความรัก ผลแห่งพระวิญญาณจะเกิดมีจนเต็มล้นในเรา
** ยน 15:4 กิ่งจะเกิดผล (ของพระวิญญาณ) เองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับต้น กิ่งเกิดผลโดยไม่ต้องทำอะไรนอกจาก ติดสนิทและกินน้ำหล่อเลี้ยงที่มาจากต้น
** ผู้ชนะไม่ต้องฝืนใจพยายามเชื่อฟัง แต่ติดสนิทในพระคริสต์ด้วยการบอกรักและพูดคุยกับพระเยซูในแต่ละวัน เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำงานในท่านทั้งการเชื่อฟังและความปรารถนา (ฟป 2:13)
มธ 7:21 มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้
** บรรดาผู้ที่มาร้องขอพระเยซูเพื่อให้ได้เข้าในราชอาณาจักรในยุคหน้า (เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา) คือผู้เชื่อและผู้รับใช้ที่ไม่มีชีวิตแห่งชัยชนะในยุคนี้
** เรารู้ได้จากการร้องเรียกพระเยซูของพวกเขาว่า "พระองค์เจ้าข้า ๆ ข้าพระองค์ทำโน่นทำนี่เพื่อพระองค์ ฯลฯ" แสดงว่าคนเหล่านี้เชื่อและรู้จักพระเยซูอย่างแน่นอน
** คำว่า *เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์* ในที่นี้ไม่เหมือนคำว่า "รอดในวันสุดท้าย" เพราะว่าเข้าในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์คือรอดในยุคหน้าหรือยุคพันปี
ส่วน *รอดในวันสุดท้าย* คือรอดในวันพิพากษาครั้งสุดท้ายเพื่อส่งคนที่ไม่เชื่อลงไปในบึงไฟชั่วนิจนิรันดร์
** เนื่องจากว่าพระเยซูกล่าวบอกถึงสาเหตุว่าทำไมพวกเขาจึงถูกปฎิเสธ ในข้อที่ 21 ว่า การที่จะได้เข้าในราชอาณาจักรสวรรค์ในยุคหน้าคือการดำเนินชีวิต และรับใช้ตามน้ำพระทัยของพระบิดา
ถึงแม้ว่าผู้เชื่อ / ผู้รับใช้เหล่านั้นจะมีผลงานมากมาย สร้าง คริสตจักร นำคนมาเชื่อ รับใช้ตั้งแต่เช้าจนเย็น รักษาโรคและขับไล่ผีออกได้ ประกาศเทศนาได้ แต่เขาไม่รู้น้ำพระทัยและทำตามน้ำพระทัยก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ผลงานจะถูกเผาไหม้ทิ้งหมด เพราะว่าการกระทำที่ไม่ได้เป็นตามน้ำพระทัยพระบิดาก็คือการก่อขึ้นไม่เป็นนี่เอง (1 คร 3:12-15)
** น้ำพระทัยของพระบิดาก็คือ การดำเนินชีวิตและการรับใช้ ในพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์ และเพื่อพระคริสต์เท่านั้น
7:22 เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ'
** เมื่อถึงวันนั้น คือวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาพร้อมกับราชอาณาจักรสวรรค์เพื่อลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้ในยุคหน้า
** จะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า คือพวกเขาเป็นผู้เชื่อและผู้รับใช้ เพราะว่าคนที่ไม่ได้เชื่อหรือหลงหายไป เขาจะไม่กล้าต่อรองพระเจ้าโดยเด็ดขาด
** การทำการอัศจรรย์ คือการใช้ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าเรายังทำบาป และดำเนินชีวิตที่ไม่ได้เป็นไปตามน้ำพระทัยก็ตาม พระวิญญาณยังสามารถใช้เราให้เกิดผลได้
แต่ถ้าหากชีวิตยังมาไม่ถึงการเติบโตสู่ชีวิตธรรมชาติของพระคริสต์ ก็ไม่อาจได้เข้าในราชอาณาจักรสวรรค์เป็นแน่
7:23 เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า `เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา'
** เมื่อนั้นเราจะแจ้งแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย คือไม่รู้จักคุ้นเคยใกล้ชิด เพราะว่าแท้ที่จริงพระเยซูทรงรู้จักเราทุกคนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อในพระองค์
** เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า ผู้กระทำการชั่วในที่นี้คือ ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูตั้งแต่ มธ บทที่ 5 ถึงบทที่ 7 และไม่มีพระคริสต์ในเขาเป็นคนทำแทน
** จงไปเสียให้พ้นจากเรา’ คือถูกไล่ออกไปจากการตัดสินเพื่อให้รางวัล และให้ถูกตีสอนเป็นเวลาพันปีเพราะพวกเขาไม่ได้ใช้ร่างกายของพวกเขาเพื่อการดำเนินชีวิตและรับใช้ตามน้ำพระทัยของพระบิดา
** ข้อที่ 21-23 ไม่ใช่เรื่องของผู้เชื่อที่หลงหายไป แต่ผู้เชื่อมากมายเข้าใจผิดคิดว่า พระเยซูตรัสเกี่ยวกับผู้เชื่อหรือผู้รับใช้ที่เคร่งครัดและไม่นานต่อมาหลงหายไป แต่แท้ที่จริงพวกเขายังรับใช้อยู่จนถึงเวลาที่พระเยซูเสด็จมา
เมื่อเราหลงรักพระเจ้า และไม่ใส่ใจในการรับใช้เหมือนนางมารีย์ (ลก 10:38–42)
“และต่อมาเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกกำลังเดินทางไป พระองค์จึงทรงเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อมารธาต้อนรับพระองค์ไว้ในเรือนของเธอ มารธามีน้องสาวชื่อมารีย์ มารีย์ก็นั่งใกล้พระบาทพระเยซูฟังถ้อยคำของพระองค์ด้วย แต่มารธายุ่งในการปรนนิบัติมากจึงมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือ ซึ่งน้องสาวของข้าพระองค์ปล่อยให้ข้าพระองค์ทำการปรนนิบัติแต่คนเดียว ขอพระองค์สั่งเขาให้มาช่วยข้าพระองค์เถิด”” (ลูกา 10:38-40)
ยอห์น บทที่ 15 คำอุปมาเรื่องเถาองุ่นและกิ่ง เป็นเรื่องของการสนิทของเราที่ต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เพื่อรับการสนิทของพระเจ้ามากขึ้นในแต่ละวัน
15:1 “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา
** เถาองุ่นแท้ คือพระเยซูเป็นคนกลาง หรือผู้ที่ทำให้มนุษย์ได้เข้ามาหาพระเจ้า และพระเจ้าเข้ามาหามนุษย์ พระเจ้าและมนุษย์จึงกลายเป็นหนึ่งเดียวได้
** พระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา คือพระบิดาทรงเป็นชาวไร่ชาวสวน ทรงเป็นผู้วางแผน เป็นชีวิต เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นอากาศ เป็นแสงแดดเป็นทุกสิ่งเพื่อให้เรารับชีวิตที่ครบบริบูรณ์เพื่อสำแดงพระเจ้า (เกิดผลแห่งพระวิญญาณใน กท 5:22-23) ได้
15:2 กิ่งทุกกิ่งในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และกิ่งทุกกิ่งที่ออกผล พระองค์ก็ทรงริดเพื่อให้ออกผลมากขึ้น
** ตัดทิ้ง คือปล่อยให้เป็น คริสเตียนศาสนา ดังที่เราเห็นทุกวันนี้ ที่เกิดผลแห่ง พระวิญญาณ หรือสำแดงชีวิตพระเจ้าไม่ได้ คริสตจักร คริสตียน ครอบครัว จึงได้แค่เชื่อ แบกภาระหนักมาก การกระทำไม่มี (ไม่ได้มาตรฐานที่พระเจ้าต้องการ)
** กิ่งที่ออกผล คือผู้เชื่อที่ถ่อม แสวงหา ดิ้นรนเพื่อการเติบโต พระเจ้าเห็นว่ายังพอมีทางที่จะนำเขามาถึงผู้ชนะได้
** ทรงริด คือจะทรงชำระ เปลี่ยน เพื่อให้ได้รับจิตใจใหม่
1. ชำระด้วยพระคำ
2. ชำระด้วยพระวิญญาณ
15:3 ท่านทั้งหลายได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อยคำที่เราได้กล่าวแก่ท่าน
** ข้อนี้คือคำตอบใน ข้อ 2. พระเยซูใช้คำว่า ชำระ แทนคำว่า ริด แต่เป็นความหมายเดียวกัน
15:4 จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน กิ่งจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายจะเกิดผลไม่ได้นอกจากท่านจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น
** เราต้องเข้าสนิท (คุย / สามัคคีธรรมกับพระคริสต์เยซูก่อน เราเข้ามามากเท่าไหร่ใกล้มากเท่าไหร่ พระเจ้าก็ให้เราเกิดผลมากเท่านั้น
** การออกผลเกิดผลในที่นี้ไม่ใช่ผลงานหรือผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เป็นผลแห่งชีวิตใหม่ใน (กท 5:22-23) คือผลแห่งพระวิญญาณพระคริสต์เยซู
** การเกิดผลได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่การพยายามหรือฝึกบังคับตนเอง แต่ได้มาด้วยการ *สนิท*
** คริสเตียนมากมายไม่ได้สนิท ถึงแม้เขา อธิษฐาน อ่าน แต่ทำแบบศาสนาทำกัน รีบทำรีบไป รีบ อธิษฐาน และอ่านๆ ให้จบ
15:5 เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่ง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย
** จะเกิดผลมาก คือการดำเนินชีวิตใน มธ 5-7 และน้ำพระทัยพระเจ้าสำเร็จในตัวเขา กลายเป็นผู้ชนะ
** ขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเกิดผลชีวิตใหม่ ไม่เกี่ยวกับผลงานหรือผลแห่งของประทาน นำคนมาเชื่อ งานรับใช้ต่างๆ แต่คือผลแห่งพระคุณ (ผลของชีวิตใหม่) เพื่อมนุษย์จะเห็นพระเจ้าผ่านตัวเรา
โรม 8:5 เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังก็ปักใจในสิ่งของต่างๆซึ่งเป็นของเนื้อหนังแต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็ปักใจในสิ่งของต่างๆซึ่งเป็นของพระวิญญาณ
** การอยู่ฝ่ายเนื้อหนังคือไม่รู้ว่าตัวเก่าตายไปตัวใหม่เป็นอยู่ ยังใช้ชีวิต กำลังความสามารถและสติปัญญาของอาดามในแต่ละวัน
** การปักใจในสิ่งที่เป็นของเนื้อหนัง คือเน้นที่การเชื่อฟังการรับใช้ การกระทำทุกสิ่งในรูปแนวศาสนา ประเพณี และยังเป็นฝ่ายของโลกนี้
8:6 ด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนังก็คือความตายและซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณก็คือชีวิตและสันติสุข
** การปักใจไปที่เนื้อหนังก็คือความตาย คือการไม่ได้อยู่ในการทำงานของชีวิตพระคริสต์ที่เคลื่อนไหวในเรา เราจึงอ่อนแอและตายลงไปทีละน้อยๆ
** การปักใจไปที่พระวิญญาณฝ่ายวิญญาณก็คือชีวิต และสันติสุข คือชีวิตพระคริสต์จะเติมเต็มในเราอยู่เสมอ ทั้งเราเองก็ไม่เคยขาดความชื่นชมยินดีในพระคริสต์ในแต่ละวัน
8:7 เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้าเพราะหาได้อยู่ใต้บังคับพระบัญญัติของพระเจ้าไม่และที่จริงจะอยู่ใต้บังคับพระบัญญัตินั้นไม่ได้
** การใส่ใจที่ฝ่ายเนื้อหนัง พระเจ้านับว่าเราเป็นศัตรูกับพระองค์ การตีสอน ปัญหามากมายอาจมาถึงเราได้
** อยู่ใต้การบังคับของพระบัญญัติ คือเราเชื่อฟังพระเจ้าโดยมีพระคริสต์ทำแทน
ฟป 2:13 เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ทั้งให้ท่านมีใจปรารถนา และให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์
** ความปรารถนา คือ อาการอยาก อยากอ่าน อยากเรียนรู้ อยากอธิษฐาน อยากนมัสการพระบิดาร่วมกับพี่น้อง อยากเป็นพยาน อยากออกไปประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ ส่วนการกระทำคือการเชื่อฟังพระเจ้าทั้งภายในจิตใจ และการแสดงออกภายนอก เมื่อเราเชื่อ (เอา) ว่าพระคริสต์ทรงครอบครองจิตใจเราแล้ว พระเจ้าจะเป็นผู้กระทำกิจในเรา ทั้งความปรารถนาและการกระทำ เราจะเกิดอาการอยาก ขยัน ร้อนรนกระตือรือร้นเพื่อดำเนินชีวิต และรับใช้พระเจ้าได้อย่างมากมายทั้งวัน
โรม 8:1 เหตุฉะนั้นบัดนี้การปรับโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนังแต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ
** การปรับโทษ ในข้อนี้ คือการลงโทษในแต่ละวันและการลงโทษในยุคพันปี
** ดำเนินตามฝ่ายวิญญาณ คือเชื่อว่าคนเก่าตายแล้วและเป็นคนใหม่ ชอบธรรม บุตรพระเจ้า สนิท บอกรัก ปักใจที่ฝ่ายวิญญาณที่พระวิญญาณ เลิกทำบาปได้แล้ว หรือนานๆ ทำบาปครั้ง
8:2 เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย
** ในอาดัมเรามีกฎแห่งบาปและกฎแห่งความตายมีอำนาจเหนือเรา
** ในพระคริสต์เรามีกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิตมีอำนาจเหนือกฎแห่งบาปและความตาย
** กฎแห่งพระวิญญาณคืออะไร
คือกฎธรรมชาติที่อยู่ในชีวิตของพระคริสต์ พระองค์นำเข้ามาเพื่อเอาชนะกฎแห่งความบาป กฎแห่งพระวิญญาณ คือชีวิตและนิสัยของพระเจ้าเพื่อรักษาผู้เชื่อให้ดำเนินชีวิตที่มีความรัก ความบริสุทธิ์ ความสว่างและความชอบธรรม เมื่อผู้เชื่อมีกฎแห่งพระวิญญาณครอบครองจิตใจเราแล้ว เราจะทำดีเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างง่ายดายแบบไม่ต้องพยายามเหมือนแต่ก่อน
** กฎแห่งชีวิตคืออะไร
คือกฏธรรมชาติที่อยู่ในชีวิตของพระคริสต์ พระองค์นำเข้ามาเพื่อเอาชนะกฏแห่งความตาย ความตายในที่นี้ คือความอ่อนแอ ขี้เกียจ ง่วงเหงาหาวนอน เหนื่อยเมื่อยล้า จะเกิดขึ้นเมื่อเราจะอ่าน อธิษฐานหรือทำอะไรซักอย่างเพื่อพระเจ้า (ขณะที่อยู่คนเดียว)
** กฎแห่งบาปคืออะไร
คือชีวิตและนิสัยที่ชอบทำบาปของซาตาน ตัวบาปนำกฏนี้เข้ามาเพื่อรอให้ผู้เชื่ออยากเชื่อฟังพระเจ้า เมื่อเราพยายามเชื่อฟังเมื่อไหร่กฏแห่งบาปนี้จะลุกขึ้นและขัดขวางเราและในที่สุดเราก็ทำบาปแทนที่จะทำดีได้
** กฎแห่งความตายคืออะไร
คืออาการง่วงเหงาหาวนอน เหนื่อยเมื่อยล้า ซึมเซา ขณะที่เราอยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐานคนเดียว
ซึ่งเป็นธรรมชาติใหม่ของเรา และภาระ (การเชื่อฟังทำดี) จะเบามาก