* พระเจ้าต้องการความรักความสัมพันธ์กับมนุษย์ แต่มนุษย์มักจะเน้นที่การรับใช้รักษากฏเกณฑ์ในรูปแบบศาสนาดั่งที่เห็นในคริสตจักรทุกวันนี้
* พระเยซู คือคำตอบของคนที่ช่วยตนเองไม่ได้และไม่มีใครช่วยเขาได้ ขณะที่คนอื่นใส่ใจที่การเชื่อฟัง แต่พระเยซูทรงใส่พระทัยที่คนป่วยมากกว่า
5:1 หลังจากนั้นก็ถึงเทศกาลเลี้ยงของพวกยิว และพระเยซูก็เสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
** "เทศกาลเลี้ยง" ในที่นี้ คือเทศกาลปัสคา
** ชาวยิวโดยเฉพาะผู้ชายจะเดินทางมาที่กรุงเยรูซาเล็มปีละไม่ต่ำกว่าสามถึงเจ็ดครั้งเพื่อมาร่วมฉลองเทศกาล และถ้าไม่มาถือว่าละเมิดพระบัญญัติ
** บทที่ 4 พระเยซูทรงเสด็จไปยังแคว้นกาลิลีที่อยู่ทางเหนือของประเทศอิสราเอล
** เมื่อพระเยซูเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม ควรจะเรียกว่าลงไป แต่เนื่องจากนครเยรูซาเล็มคือที่ตั้งของพระวิหาร ชาวยิวจึงเห็นนครเยรูซาเล็มเป็นที่สูงสุดสำหรับชนชาติอิสราเอล
5:2 ในกรุงเยรูซาเล็มที่ริมประตูแกะมีสระอยู่สระหนึ่ง ภาษาฮีบรูเรียกสระนั้นว่า เบธซาธา เป็นที่ซึ่งมีศาลาห้าหลัง
** "ประตูคอกแกะ" หมายถึงประตูทางเข้าสู่พระบัญญัติเพื่อที่จะรักษาพระบัญญัติในยุคพันธสัญญาเดิมของชาวยิว
5:3 ในศาลาเหล่านั้นมีคนป่วยเป็นอันมากนอนอยู่ คนตาบอด คนง่อย คนผอมแห้ง กำลังคอยน้ำกระเพื่อม
** พระเมตตาของพระเจ้าต่อชาวยิวมีน้อยมากเนื่องจากชาวยิวไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติในรูปแบบศาสนาเท่านั้น
5:4 ด้วยมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมากวนน้ำในสระนั้นเป็นครั้งคราว เมื่อน้ำกระเพื่อมนั้น ผู้ใดก้าวลงไปในน้ำก่อน ก็จะหายจากโรคที่เขาเป็นอยู่นั้น
** พระเจ้าทรงให้ฑูตสวรรค์มากวนน้ำ เป็นบางครั้งคราว คนที่ก้าวลงไปในสระน้ำก่อน คนนั้นก็จะหายโรค
5:5 ที่นั่นมีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว
** อาการป่วยของเขาเกิดจากการทำบาปตั้งแต่ 38 ปีก่อน เป็นบาปชนิดหนึ่งที่เขาทำและต้องรับโทษจากพระเจ้า
5:6 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรคนนั้นนอนอยู่และทรงทราบว่า เขาป่วยอยู่อย่างนั้นนานแล้ว พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าปรารถนาจะหายโรคหรือ”
** พระเยซูทรงทราบเรื่องของผู้ชายคนนี้ดี
5:7 คนป่วยนั้นทูลตอบพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า เมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมนั้น ไม่มีผู้ใดที่จะเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในสระ และเมื่อข้าพเจ้ากำลังไป คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว”
5:8 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าและเดินไปเถิด”
5:9 ในทันใดนั้นคนนั้นก็หายโรค และเขาก็ยกแคร่ของเขาเดินไป วันนั้นเป็นวันสะบาโต
5:10 ดังนั้นพวกยิวจึงพูดกับชายที่หายโรคนั้นว่า “วันนี้เป็นวันสะบาโต ที่เจ้าแบกแคร่ไปนั้นก็ผิดพระราชบัญญัติ”
** แทนที่ชาวยิวจะชื่นชมยินดีกับการหายโรคของผู้ชายคนนี้ แต่เขากลับไม่สนใจ สิ่งที่เขาตระหนักคือการรักษากฏเกณฑ์พระบัญญัติมากกว่า
5:11 คนนั้นจึงตอบเขาเหล่านั้นว่า “ท่านที่รักษาข้าพเจ้าให้หายโรคได้สั่งข้าพเจ้าว่า ‘จงยกแคร่ของเจ้าแบกเดินไปเถิด’”
5:12 เขาเหล่านั้นถามคนนั้นว่า “คนที่สั่งเจ้าว่า ‘จงยกแคร่ของเจ้าแบกเดินไปเถิด’ นั้น เป็นผู้ใด”
5:13 คนที่ได้รับการรักษาให้หายโรคนั้นไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด เพราะพระเยซูเสด็จหลบไปแล้ว เนื่องจากขณะนั้นมีคนอยู่ที่นั่นเป็นอันมาก
5:14 ภายหลังพระเยซูได้ทรงพบคนนั้นในพระวิหารและตรัสกับเขาว่า “ดูเถิด เจ้าหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดกับเจ้า”
** "อย่าทำบาปอีก" ในที่นี้ คือบาปที่เขาทำ 38 ปีที่แล้วที่เป็นเหตุให้เขาป่วยด้วยโรคดังกล่าวนั่นเอง ไม่ใช่เลิกทำบาปทั้งหมดจนตลอดชีวิต เพราะแน่นอนที่สุดเขาจะต้องทำบาปอีกเหมือนเราผู้เชื่อทุกคนไม่มากก็น้อย
สรุปยอห์นบทที่ 5:1-14
เมื่อ 2000 ปีก่อนกรุงเยรูซาเล็มมีกำแพงล้อมรอบ มีประตูใหญ่อยู่ 8 ประตูด้วยกัน 7 ประตูปิดเปิดได้ทุกวัน ส่วนประตูที่ 8 เขาปิดเอาไว้นานหลายปีแล้ว และหนึ่งในแปดประตูนั้นก็คือประตูแกะ สำหรับความหมายฝ่ายวิญญาณประตูแกะเล็งถึงประตูทางเข้าไปสู่พระบัญญัติ (ยอห์นบทที่สิบ)
- พระเจ้าทรงเมตตาชนชาติอิสราเอล แล้วต้องการรักษาเขาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆจึงให้ทูตสวรรค์ กวนน้ำที่สระซึ่งอยู่ใกล้ประตูแกะนั้นเป็นครั้งคราว และใครก็ตามที่ลงน้ำก่อนก็จะหายโรค
- เทศกาลต่างๆแทนที่ชาวยิวจะมีความสุขมาฉลองเทศกาลร่วมกัน แต่คนป่วยเหล่านี้กลับมีความทุกข์ รอคอยการช่วยเหลือจากพระเจ้า ปัญหาก็คือพระบัญญัติทำให้เขาต้องแบกภาระหนักพยายามรักษาให้ได้รอด และรับพระพร และมีความสุขชื่นชมยินดี
- ชายที่ป่วยมานานถึง 38 ปีเนื่องจากว่าเขาทำบาปบางอย่าง เขาจึงเดินไม่ได้ ญาติของเขาจึงนำเขามาที่นี่เพื่อรับการรักษา แต่ไม่มีใครช่วยเขาให้ลงไปในน้ำเพราะว่าใครก็ต้องการหายโรค และไม่มีใครอยากจะช่วยใคร
- ชายที่ป่วยคนนี้คิดว่าพระเยซูจะเป็นคนช่วยพยุงเขาให้ลงไปในน้ำเมื่อทูตสวรรค์มากวนน้ำแต่พระเยซูทำมากกว่านั้นคือทรงรักษาเขาให้หาย
- การเสด็จมาของพระเยซูเพื่อปลดปล่อยมนุษย์จากความผิดบาป จากจิตใจที่เป็นทุกข์โศกเศร้า และจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ พระองค์จึงเป็นประตูแกะ เพื่อนำแกะเข้าออกได้ ซึ่งออกจากคอก ก็คือออกจากพระบัญญัติเดิม และเข้าไปในคอก ก็คือการรักษาพระบัญญัติใหม่โดยที่พระองค์เองเป็นคนทำแทน
- เราขอบพระคุณพระเจ้าที่ทุกวันนี้เรามีความสุข มีความหวังได้รับการไถ่ให้รอด ได้รับพระพรซึ่งเป็นมรดกที่พระเจ้าสัญญาจะประทานให้เราที่เป็นลูกหลานของอับราฮัมฝ่ายวิญญาณผ่านทางพระเยซูคริสต์ เราไม่ต้องรักษาพระบัญญัติเดิมเพื่อให้ได้รอดและรับพรแต่เรารักษาพระบัญญัติใหม่โดยมีพระคริสต์เป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนเราในเรา เราเป็นผู้เชื่อที่อยู่ในความชื่นชมยินดี อยู่ในสะบาโตใหม่แล้ว ปัสคาใหม่ เราไม่ต้องเป็นทุกข์โศกเศร้าเหมือนชาวยิวที่ป่วยเหล่านี้ซึ่งเล็งถึงคริสเตียนศาสนาที่ป่วยอยู่ พวกเขากำลังเป็นทุกข์โศกเศร้าแบกภาระหนักรักษาพระบัญญัติเดิม ไม่ได้รับการเปิดตาให้เข้าสู่พระคำล้ำลึก ขอบพระคุณและสรรเสริญพระเยซู
- เมื่อพระเยซูพบชายที่หายดีคนนั้นที่บริเวรพระวิหาร พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า เจ้าหายแล้ว อย่าทำบาปอีกเลย “อย่าทำบาปอีกเลย” เป็นคำที่ผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้ไม่เข้าใจ และตีความหมายผิด เราได้ยินประจำคือ เมื่อเชื่อห้ามทำบาปอีกไม่ว่าบาปชนิดใดก็ตาม ซึ่งทุกคนก็น้อมรับ และพยายามเลิกทำบาปให้ได้ แต่ปัญหาก็คือเราเข้าสู่ประสบการณ์ที่เปาโลเคยได้รับมาก่อน คือยิ่งพยายามเชื่อฟัง เลิกทำบาป ท่านก็ยิ่งทำบาปมากขึ้น เราผู้เชื่อทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่า ไม่มีใครเลิกทำบาปได้ ซึ่งผู้ชนะเองก็ยังต้องใช้เวลานานถึงสิบๆ ปี
- ยน 5:9 และในทันใดนั้น คนนั้นก็หายเป็นปกติ ภาษากรีกคือ เขาก็กลับกลายมาเป็นคนที่หายดี เราพบว่าหนังสือยอห์น พระเยซูเป็นเหตุให้คนตายกลับกลายมาเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ได้
- ความตายกลับกลายมาเป็นชีวิตที่มีรสชาติอร่อยมาก
- ชีวิตที่มีแต่ความทุกข์กลับกลายมาเป็นชีวิตที่มีแต่ความสุขล้นได้
- ชีวิตที่ขาดผู้เลี้ยงผู้ดูแล กลับกลายมาเป็นบุตรพระเจ้าซึ่งพระองค์เป็นผู้เลี้ยงที่ดีของเรา
- ผู้ชนะเองก็ยังเผลอพลั้งพลาดเป็นระยะๆ แต่เขากลับไปสู่จุดที่สูงมากแล้วได้อย่างง่ายดาย
สรุปก็คือ คำว่า อย่าทำบาปอีกเลย ก็คืออย่าทำบาปที่เขาเคยทำจนเป็นเหตุให้ชายคนนี้ถูกลงโทษนานถึงสามสิบแปดปีนั่นเอง
บทความเพิ่มเติม : ทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมากวนน้ำในสระ
5:15 ชายคนนั้นก็ได้ออกไป และบอกพวกยิวว่าเป็นพระเยซู ซึ่งได้รักษาเขาให้หายเป็นปกติ
** เมื่อเขาได้รับการรักษาให้หาย เขาดีใจตื่นเต้นที่หายดีจากอาการป่วยมา 38 ปี เขาจึงอดไม่ได้ที่จะไปบอกผู้คนเรื่องพระเยซู
5:16 และเพราะฉะนั้น พวกยิวจึงข่มเหงพระเยซู และหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์เสีย เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ในวันสะบาโต
** พวกยิวไม่พอใจที่พระเยซูรักษาโรคในวันสะบาโต เป็นความผิดที่ใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา จึงหวังจะฆ่าพระองค์เสีย
5:17 แต่พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “พระบิดาของเราก็ยังทรงกระทำการอยู่จนถึงบัดนี้ และเราก็กระทำ”
5:18 เหตุฉะนั้นพวกยิวยิ่งหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์เสีย เพราะพระองค์ไม่เพียงแต่ล่วงกฎแห่งวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังได้ตรัสว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของพระองค์ด้วย อันเป็นการกระทำพระองค์เองให้เสมอกับพระเจ้า
** คำกล่าวของพระเยซูยืนยันชัดเจนมาก เป็นการยืนยันว่าพระองค์ทรงเท่าเทียมกับพระเจ้าพระบิดา
** เราพบว่าในบทที่ 5 นี้ ชาวยิวกล่าวหาว่าพระเยซูกระทำผิดละเมิดวันสะบาโต และกระทำตนเท่าเทียมกับพระเจ้า
** พระบิดาของเรา MY FATHER และคำว่า เราเป็น I AM สองคำนี้ยิวรู้ดีว่าคือคำพูดที่ทำตนเสมอกับพระบิดา และไม่มีใครกล้าใช้เพราะว่าจะถูกลงโทษถึงตายได้
** กระทำการอยู่จนถึงบัดนี้ ไม่ใช่การดูแลโลกและจักรวาลดั่งที่เราคิดกัน แต่คืองานการไถ่มนุษย์ของพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำร่วมกันนั่นเอง
** และเราก็กระทำ คือการประกาศของพระเยซูในช่วงเวลาสามปีกว่า
5:19 แล้วพระเยซูทรงตอบและตรัสกับพวกเขาว่า “แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า พระบุตรจะกระทำสิ่งใดตามใจเองไม่ได้ นอกจากสิ่งที่พระบุตรทรงเห็นพระบิดากระทำ เพราะสิ่งใดก็ตามที่พระบิดาทรงกระทำ สิ่งเหล่านี้พระบุตรก็ทรงกระทำด้วยเหมือนกัน
** คือการดำเนินชีวิตของพระบิดาในผู้ชายชื่อเยซู พระเยซูตอนนั้นไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยพระองค์เองแต่เป็นพระบิดาต่างหากที่ทำแทนพระเยซู (ยอห์น 6:57) และพอมาถึงยุคพระคุณ เราก็จะไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยตัวเราเองแต่พระคริสต์เยซูต่างหากที่ทำทุกสิ่งแทนเรา (ยอห์น 6:57 / กท 2:20)
5:20 เพราะว่าพระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงสำแดงให้พระบุตรเห็นสิ่งสารพัดที่พระองค์เองทรงกระทำ และพระองค์จะทรงสำแดงให้พระบุตรเห็นบรรดางานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก เพื่อท่านทั้งหลายจะประหลาดใจ
** พระบิดาทรงรักพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทั้งสามเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ทรงอยู่เพื่อรัก และทรงกระทำทุกสิ่งเนื่องมาจากความรักนั่นเอง
** พระบิดาจะทรงสำแดงแก่พระบุตรเรื่องการงานที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก ซึ่งเป็นการงานที่พระเจ้าทรงกระทำในฐานะพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านผู้เชื่อทั้งหลาย (ยอห์น 14:12) เพื่อนำคนบาปมาถึงพระคุณของพระองค์ และก่อให้เกิดมีพระกายของพระเยซูบนโลกนี้ ยอห์น 14:12 แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา การงานเหล่านั้นซึ่งเรากระทำนั้น เขาก็จะกระทำเช่นกัน และเขาจะกระทำการงานทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก เพราะว่าเราจะไปยังพระบิดาของเรา
5:21 เพราะพระบิดาทรงทำให้คนที่ตายแล้วเป็นขึ้นมาและทรงทำให้พวกเขามีชีวิตฉันใด พระบุตรก็ทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนามีชีวิตฉันนั้น
** การช่วยให้มนุษย์ที่ตายแล้วและกลายเป็นคนบาปกลับมามีชีวิต และกลายเป็นคนชอบธรรมคือการงานของพระเจ้าทั้งสามพระภาค
** พระบุตรก็ทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนา คือพระเยซูเป็นคนเลือกว่าใครจะรอดแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพระองค์ทรงเลือกคนเหล่านั้นเนื่องจากว่าทรงทราบดีว่าเขาจะตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระองค์
5:22 เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาผู้ใด แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตรแล้ว
** งานการพิพากษา ทั้งต่อผู้เชื่อที่พระที่นั่งของพระคริสต์และคนที่ไม่เชื่อที่พระบัลลังก์ใหญ่สีขาวเป็นหน้าที่ของพระบุตรหรือพระเยซูนั่นเอง
5:23 เพื่อคนทั้งปวงจะถวายเกียรติแด่พระบุตร เหมือนกับที่พวกเขาถวายเกียรติแด่พระบิดา ผู้ใดที่ไม่ถวายเกียรติแด่พระบุตร ก็ไม่ถวายเกียรติแด่พระบิดาผู้ซึ่งทรงส่งพระบุตรมาแล้ว
** พระบิดาทรงมอบสิทธิอำนาจทุกอย่างแก่พระบุตรแล้วเพราะฉะนั้นเมื่อเราถวายเกียรติแด่พระบุตรเราก็ได้ถวายเกียรติแด่พระบิดาด้วย เมื่อเรานมัสการสรรเสริญยกย่องขอบพระคุณและบอกรักพระบุตรเราก็ได้กระทำสิ่งเหล่านี้แก่พระบิดาเหมือนกัน
5:24 แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่ฟังคำของเรา และเชื่อในพระองค์ผู้ได้ทรงส่งเรามานั้น ก็มีชีวิตนิรันดร์ และจะไม่เข้าสู่การปรับโทษ แต่ได้ผ่านพ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว
** คำว่า "เชื่อในพระองค์" ในที่นี้ คือเชื่อเข้าใน คือเอาชีวิตความคิดทุกสิ่งเข้าไปใช้เวลาอยู่ในความเชื่อปักใจอยู่ในพระคริสต์ในฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่เพียงแต่พูดว่าเชื่อหรือแสดงออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
** "ก็มีชีวิตนิรันดร์" คือมีชีวิตพระเจ้า หรือได้รับชีวิตพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเขา (ไม่ใช่จะได้รับความรอด)
** การมีชีวิตพระเจ้า ทำให้ผู้เชื่อมีโอกาสได้รับ:
1. การบังเกิดใหม่เพื่อความรอดอันตลอดไปเป็นนิตย์
2. จิตใจใหม่ที่เป็นผลของชีวิตพระเจ้า
3. พระพรฝ่ายวิญญาณทุกประการ
4. พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา
** ผู้เชื่อมากมายคิดว่า พระเยซูตรัสว่าจะได้รอด แต่แท้ที่จริงพระองค์ทรงกล่าวว่าจะได้รับชีวิตพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเขากับเขา
5:25 แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า เวลานั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว เมื่อผู้ที่ตายแล้วจะได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตรของพระเจ้า และคนเหล่านั้นที่ได้ยินจะมีชีวิต
** เวลานั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูซึ่งกระทำโดยพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ที่ได้ยินและต้อนรับ พระเยซูก็ได้พ้นจากความตายเข้าสู่ชีวิตเมื่อพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ คำว่าเข้าสู่ชีวิตก็คือการได้รับชีวิตพระเจ้าและการอยู่ในประสบการณ์ชีวิตของพระองค์นั่นเอง
** "บัดนี้ก็ถึงแล้ว" คือช่วงเวลา 33 ปีกว่าที่พระเยซูทรงประกาศข่าวประเสริฐ
** "ผู้ที่ตายแล้ว" คือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าและตายฝ่ายวิญญาณ
** "จะได้ยิน" และ "จะมีชีวิต" คือการเชื่อและต้อนรับพระเยซู เขาก็ได้รับชีวิตพระเจ้า เข้ามาอยู่ในเขา
5:26 เพราะว่าพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองฉันใด พระองค์ก็ได้ประทานให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองฉันนั้น
** "มีชีวิต" ในที่นี้ คือชีวิตที่เป็นอมตะ หรือชีวิตพระเจ้า คือชีวิตที่ตายไม่ได้
** ในพระบิดาเป็นชีวิตพระองค์มีชีวิตเมื่อผู้ชายชื่อเยซูกำเนิดมาพระบิดาก็ได้ส่งพระบุตรลงมาบังเกิดในร่างกายของผู้ชายชื่อเยซู เพราะฉะนั้นพระเยซูจึงเป็นชีวิตและมีชีวิตเหมือนกับพระบิดา คำว่า "ชีวิต" ในที่นี้ภาษากรีกคือ โซเอ้ Zoe
5:27 และได้ประทานสิทธิอำนาจแก่พระบุตรที่จะกระทำการพิพากษาด้วย เพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์
** พระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ คือพระเยซูที่บังเกิดเป็นมนุษย์และมาจากมนุษย์คือนางมารีย์ ขณะที่พระองค์ทรงเป็นบุตรพระเจ้า เนื่องจากว่าทรงถือกำเนิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
** "บุตรพระเจ้า" คือพระเจ้าพระภาคพระบุตรที่เป็นหนึ่งในสามพระภาค
** "บุตรมนุษย์" คือพระเยซูที่เกิดเป็นมนุษย์ชื่อเยซู การเสด็จกลับมาเพื่อก่อตั้งราชอาณาจักรสวรรค์ในยุคพันปี และการเริ่มต้นแผ่นดินโลกใหม่และฟ้าสวรรค์ใหม่ พระเยซูในฐานะบุตรมนุษย์จะเป็นผู้พิพากษาทั้งผู้เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อ
5:28 อย่าประหลาดใจในข้อนี้เลย เพราะใกล้จะถึงเวลาที่บรรดาผู้ที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
5:29 และจะได้ออกมา คนทั้งหลายที่ได้ประพฤติดีก็ฟื้นขึ้นสู่ชีวิต และคนทั้งหลายที่ได้ประพฤติชั่วก็จะฟื้นขึ้นสู่การพิพากษา
** ทุกคนที่ไม่เชื่อที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นในวันสุดท้ายเพื่อเข้าสู่การพิพากษา
5:30 เราจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเรามิได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา
5:31 ถ้าเราเป็นพยานถึงตัวเราเอง คำพยานของเราก็ไม่จริง
5:32 มีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานถึงเรา และเรารู้ว่าคำพยานที่พระองค์ทรงเป็นพยานถึงเรานั้น เป็นความจริง
5:33 ท่านทั้งหลายได้ใช้คนไปหายอห์น และยอห์นก็ได้เป็นพยานถึงความจริง
5:34 เรามิได้รับคำพยานจากมนุษย์ แต่ที่เรากล่าวสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายรอด
5:35 ยอห์นเป็นโคมที่จุดสว่างไสว และท่านทั้งหลายก็พอใจที่จะชื่นชมยินดีชั่วขณะหนึ่งในความสว่างของยอห์นนั้น
5:36 แต่คำพยานที่เรามีนั้นยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของยอห์น เพราะว่างานที่พระบิดาทรงมอบให้เราทำให้สำเร็จ งานนี้แหละเรากำลังทำอยู่เป็นพยานถึงเราว่าพระบิดาทรงใช้เรามา
5:37 และพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา พระองค์เองก็ได้ทรงเป็นพยานถึงเรา ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่เคยเห็นรูปร่างของพระองค์
5:38 และท่านทั้งหลายไม่มีพระดำรัสของพระองค์อยู่ในตัวท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้เชื่อในพระองค์ผู้ที่พระบิดาทรงใช้มานั้น
5:39 จงค้นดูในพระคัมภีร์ เพราะท่านคิดว่าในพระคัมภีร์นั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเป็นพยานถึงเรา
5:40 แต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต
** "จะได้ชีวิต" คือจะได้รับชีวิตพระเจ้า
5:41 เราไม่รับเกียรติจากมนุษย์คนใด
** นี่คือชีวิตคริสเตียนฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง เราไม่ต้องการชื่อเสียงหรือถูกมนุษย์ยกขึ้น เหมือนคริสเตียนศาสนาที่แสวงหาสิ่งเหล่านี้
** จริงๆ แล้วถ้อยคำนี้เป็นสิ่งที่ง่ายที่จะเข้าใจ แต่เนื่องจากว่ามันเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณมนุษย์จึงมองไม่เห็นหรือไม่พินิจพิจารณา เราพบว่าทุกวันนี้คริสตจักรมากมายมีผู้เชื่อและผู้นำที่แสวงหาเกียติยศชื่อเสียงหน้าตาจากมนุษย์ ทำทุกสิ่งก็เพื่ออยากเด่นดีดังเกินใคร ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของอาดัม พระกายเที่ยงแท้จึงต้องทำทุกวิธีเพื่อป้องกันสิ่งนี้ คือเราทำด้วยกัน พร้อมเพียงกัน ไม่ยกใครขึ้น ไม่มีโชว์เดี่ยว หรือทำออกหน้าออกตาคนเดียว การกระทำใดๆ ที่ยกตนขึ้นการกระทำนั้นๆ ก็นำมาซึ่งการถูกพระบิดาข่มลง และการกระทำใดๆ ที่ก้มต่ำลงก็นำมาซึ่งการถูกพระบิดายกขึ้น
“ทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น” (ลก 18:14)
“เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อพระองค์จะได้ทรงยกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร” (1 ปต 5:6)
** การไม่แสวงหาเกียรติ คือเราทำสิ่งตรงข้ามคือการถ่อมใจลง ต่ำ ไม่รับการยกย่องจากใคร เมื่อเขายกย่องเรา ขอบคุณเรา เรายกย่องและขอบพระคุณพระบิดา
** คนดีและทูตสวรรค์ที่ดีที่มาจากพระเจ้า จะไม่รับคำยกย่องจากมนุษย์
เมื่อเราทำอะไรกับใคร พระเยซูตรัสว่าเราก็ได้กระทำต่อพระเยซูเหมือนกัน
เรามนุษย์ฝ่ายวิญญาณแสวงหาการทำดีต่อคนที่เล็กน้อย ยากจน ไม่มีอะไร มากกว่าใส่ใจคนที่ร่ำรวย มีชื่อเสียง ยิ่งใหญ่ นี่คือน้ำพระทัยของพระบิดา
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าเราไม่สนใจพวกเขา เราก็รักและใส่ใจพวกเขาเท่ากับคนต่ำต้อยเล็กน้อยเช่นกัน
5:42 แต่เรารู้จักท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายไม่มีความรักของพระเจ้าอยู่ในตัวท่านทั้งหลาย
** เขาอาจมีความรักแบบมนุษย์ที่รักกัน แต่ไม่มีผลแห่งพระวิญญาณที่เป็นความรักอากะเป เพราะว่าเขาไม่มีชีวิตพระเจ้า และชีวิตนั้นไม่มีโอกาสเกิดผลในตัวเขา
** ความรัก ในที่นี้ ภาษากรีก คือ อากะเป มนุษย์อาดัมที่เป็นเนื้อหนัง ตกต่ำ มีพ่อเป็นมาร มีกฎแห่งความบาปและความตายครอบอยู่ จึงรักได้แค่แบบเพื่อนมิตรสหาย Phileo ทั้งยังชอบแสวงหาเกียรติ ชื่อเสียง หน้าตาจากมนุษย์ด้วยกัน แม้แต่ชาวยิวที่มีพระเจ้า และพระเจ้าสั่งให้เขารักพระองค์จนหมดหัวใจและรักเพื่อนบ้านแต่เขาก็ทำไม่ได้ เนื่องจากว่ายิวเชื่อพระเจ้าในรูปแบบศาสนาและตาไม่เคยสว่าง เรื่องพระเจ้าและความรัก ถ้าหากเราปราถนาที่จะมีความรักของพระเจ้า agape เราต้องมีพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเราและดำเนินชีวิตแทนเราจึงทำได้ ขอบพระคุณพระเยซูที่ทุกวันนี้เรามีพระองค์ทรงประทับอยู่ในกลางใจเราและพร้อมที่จะรักแทนเรา เพื่อให้โลกเห็นความรัก อากะเป ของพระบิดาผ่านเรา
5:43 เราได้มาในพระนามพระบิดาของเรา และท่านทั้งหลายไม่รับเรา ถ้าผู้อื่นจะมาในนามของเขาเอง ท่านทั้งหลายก็จะรับผู้นั้น
** พระบุตรทรงเสด็จมาในนามของพระบิดา คือเป็นพระบิดาที่ลงมาในร่างกายที่มีพระบุตรสถิตอยู่ พระเยซูคริสต์จึงถูกเรียกว่า พระบิดานิรันดร์ (อสย 9:6)
5:44 ท่านทั้งหลายจะเชื่อได้อย่างไร ซึ่งได้รับยศศักดิ์จากกันเอง และไม่แสวงหายศศักดิ์ที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น
** การแสวงหายศศักดิ์จากมนุษย์ คือทำดีต่อหน้ามนุษย์ ส่วนการแสวงหายศศักดิ์จากที่มาจากพระเจ้าคือการทำดีในที่ลี้ลับนั่นเอง
** ผู้เชื่อ ผู้นำ มากมายทุกวันนี้ ยกยอปอปั้นกันเอง เลือกกันเอง ส่งเสียกันเอง ยกกันขึ้น ให้เกียรติกันเองและอ้างว่าพระเจ้าทรงเลือกพระเจ้าทรงเห็นด้วย ทั้งๆ ที่พระเจ้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย
5:45 อย่าคิดว่าเราจะฟ้องท่านทั้งหลายต่อพระบิดา มีผู้หนึ่งฟ้องท่านทั้งหลายแล้ว คือโมเสส ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายวางใจอยู่
** พระเยซูกล่าวถึงยิวที่ไม่ต้อนรับและหวังที่จะฆ่าพระองค์ในเวลานั้น โมเสสกล่าวถึงพระเยซูในหนังสือพระราชบัญญัติ
5:46 เพราะถ้าท่านทั้งหลายได้เชื่อโมเสส ท่านทั้งหลายก็คงจะเชื่อเราไปแล้ว เพราะโมเสสได้เขียนกล่าวถึงเรา
5:47 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่เชื่อคำเขียนทั้งหลายของโมเสส ท่านทั้งหลายจะเชื่อบรรดาถ้อยคำของเราอย่างไรได้”
** (พระราชบัญญัติ 18:15, 18-19) โมเสสกล่าวว่า 18:15 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงให้ผู้พยากรณ์ผู้หนึ่งเกิดขึ้นในท่ามกลางท่าน จากพี่น้องของท่าน เหมือนอย่างข้าพเจ้า พวกท่านต้องตั้งใจฟังท่านผู้นั้น
พบญ 18:18 เราจะให้บังเกิดผู้พยากรณ์ผู้หนึ่งสำหรับพวกเขาในท่ามกลางพี่น้องของพวกเขา เหมือนอย่างเจ้า และจะใส่ถ้อยคำของเราในปากของท่าน และท่านจะกล่าวแก่พวกเขาบรรดาสิ่งที่เราจะบัญชาท่าน
พบญ 18:19 และจะเป็นเช่นนี้คือ ผู้ใดก็ตามที่ไม่ตั้งใจฟังบรรดาถ้อยคำของเรา ซึ่งท่านจะกล่าวในนามของเรา เราจะเรียกร้องจากผู้นั้น
สรุปยอห์น บทที่ 5 ข้อที่ 41 – 47 พระเยซูต่อว่าพวกยิวที่ไม่พอใจเมื่อทรงรักษาชายป่วยที่สระน้ำในวันสะบาโต และกล่าวว่า พระบิดาของเรา ซึ่งเป็นการกระทำพระองค์เองให้เสมอกับพระเจ้า
ศาสนา : ผิด ผิด ผิด ถูก ถูก ถูก
พระเยซู : ช่วย ช่วย ช่วย ช่วย ช่วย ช่วย