2:1 พี่น้องของข้าพเจ้า อย่ามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสง่าราศี ด้วยการเลือกหน้าคน
2:2 เพราะว่าถ้ามีคนหนึ่งเข้ามาในที่ประชุมของพวกท่านโดยสวมแหวนทองคำ ในเครื่องแต่งกายอย่างดี และมีคนยากจนคนหนึ่งเข้ามาด้วย ในเสื้อผ้าซอมซ่อ
2:3 และพวกท่านเอาอกเอาใจคนที่สวมใส่เครื่องแต่งกายอย่างดี และกล่าวแก่เขาว่า “เชิญท่านนั่งที่นี่ในสถานที่อันดีเถิด” และพูดกับคนยากจนนั้นว่า “แกจงยืนอยู่ที่นั่น” หรือ “จงนั่งที่นี่ใต้ที่รองเท้าของข้าเถิด”
2:4 พวกท่านมิได้ลำเอียงในตัวท่านเอง และกลายเป็นพวกผู้วินิจฉัยแห่งบรรดาความคิดที่ชั่วร้ายหรือ
** พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสผ่านยากอบเตือนผู้เชื่อฝ่ายวิญญาณที่เป็นประชากรแห่งอาณาจักรให้ละเว้นจากการเลือกหน้าคน ซึ่งเรามักจะเห็นในสังคมชาวโลกและศาสนาคริสต์
2:5 จงตั้งใจฟังเถิด พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า พระเจ้าได้ทรงเลือกคนยากจนแห่งโลกนี้ให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อ และให้เป็นทายาททั้งหลายแห่งอาณาจักร ซึ่งพระองค์ได้ทรงสัญญาไว้แก่คนเหล่านั้นที่รักพระองค์มิใช่หรือ
2:6 แต่พวกท่านได้เหยียดหยามคนยากจน ไม่ใช่คนมั่งมีหรือ ที่กดขี่พวกท่านและลากพวกท่านไปต่อหน้าบรรดาบัลลังก์พิพากษา
** คำว่า "จงตั้งใจฟังเถิด" คือพระเจ้ามองเห็นว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก พระเจ้าแห่งจักรวาลไม่ประสงค์ให้เกิดมีสิ่งนี้ในท่ามกลางเหล่าบุตรของพระเจ้า พระเจ้ารักทุกคนไม่ว่าจะยากจนหรือมั่งมี เราควรที่จะอยู่ร่วมกันรักกันฉันพี่น้องไม่เลือกหน้าใคร
** คนมั่งมีในสมัยก่อนส่วนมากมักจะรังเกียจ ข่มเหงและหาเรื่องใส่ร้ายคนจนจนถึงขั้นถูกทำร้ายและถูกพิพากษาให้ได้รับโทษ
2:7 เขาเหล่านั้นหมิ่นประมาทพระนามอันน่าเคารพ ซึ่งโดยพระนามนั้นพวกท่านถูกเรียกมิใช่หรือ
2:8 ถ้าพวกท่านกระทำพระราชบัญญัติแห่งพระมหากษัตริย์ให้สำเร็จตามพระคัมภีร์ที่ว่า ‘เจ้าจงรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนตนเอง’ แล้ว ท่านทั้งหลายก็กระทำดีอยู่
2:9 แต่ถ้าพวกท่านเลือกหน้าคน พวกท่านก็กระทำบาป และถูกตัดสินโดยพระราชบัญญัติว่าเป็นผู้ละเมิดแล้ว
** การแบ่งแยกชนชั้น การเลือกคบคนมั่งมีและไม่สนใจใส่ใจคนจนหรือคบแต่คนดีน่ารัก ไม่ใส่ใจสนใจคนที่ไม่ดี คือสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก ผู้เชื่อที่ทำได้ครบแต่ยังแบ่งแยกชนชั้นจะเข้าอาณาจักรไม่ได้เป็นอันขาด
รักษาได้ทุกข้อแค่ผิดข้อเดียวก็ถือว่าเป็นโมฆะ
2:10 เพราะว่าผู้ใดก็ตามที่จะรักษาพระราชบัญญัติได้ทั้งหมด และยังผิดอยู่ในข้อเดียว ผู้นั้นก็เป็นผู้มีความผิดในพระราชบัญญัติทั้งหมด
** นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในยุคพระบัญญัติ ถ้าหากยิวที่เคร่งครัด รักษาได้ทุกข้อแค่ผิดข้อเดียวก็ถือว่าเป็นโมฆะ กลายเป็นคนไม่ชอบธรรม หรือคนบาปต่อพระพักตรพระเจ้า ต้องถวายเครื่องบูชาไถ่บาป และเริ่มนับใหม่อีกครั้ง คริสเตียนไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องพระบัญญัติ และการรักษาพระบัญญัติอย่างถูกต้อง และแน่นอนการแช่งสาปก็อยู่กับผู้เชื่อเหล่านั้น (กท 3:10)
ผู้เชื่อมากมายไม่รู้ว่าพระเจ้ายกเลิกพระบัญญัติเดิม และเริ่มต้นพระบัญญัติใหม่ ซึ่งพระบัญญัติใหม่นั้นผู้ที่ปฏิบัติกลับไม่ใช่เราผู้เชื่อ แต่เป็นพระคริสต์ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา เป็นคนกระทำ
ทันทีที่ผู้เชื่อ ได้ต้อนรับพระเยซูเขาซาบซึ้งถึงพระคุณจึงอยากเปลี่ยนแปลงเป็นคนดีด้วยการรักษาพระบัญญัติ ทั้งๆ ที่ไม่ไตร่ตรองศึกษาเรียนรู้นำพระทัยพระเจ้า เรื่องการทำแทนของพระคริสต์เรื่องมนุษย์อ่อนแอเราทำดีไม่ได้ และพระเจ้าไม่รับ สุดท้ายคำสาปแช่งก็ตกมาถึงพวกเขา
สิ่งที่น่าเศร้าที่สุด ก็คือพวกเขาเหล่านั้นที่ไม่เข้าใจ เรื่องพระเจ้ายกเลิกพระบัญญัติเดิม โดยมีอาดัมทำ และเริ่มต้นพระบัญญัติใหม่ โดยมีพระคริสต์เป็นคนทำในเรา พวกเขาสอนผู้อื่น ให้พยายามรักษาพระบัญญัติอย่างเคร่งครัด ผู้นำคริสเตียนเหล่านี้ จึงต้องทนทุกข์ทรมาน และรับผลมากมายในโลกนี้ และไม่ได้เข้าไปในอาณาจักรในยุคหน้า
ขาดความรักหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็บกพร่องสำหรับพระเจ้าแล้ว
2:11 ด้วยว่าพระองค์ผู้ที่ได้ตรัสว่า ‘อย่าเล่นชู้’ ก็ได้ตรัสไว้ด้วยว่า ‘อย่าฆ่าคน’ บัดนี้ถ้าท่านไม่ได้เล่นชู้แต่ถ้าท่านฆ่าคน ท่านก็กลายเป็นผู้ละเมิดคนหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติ
2:12 ดังนั้นพวกท่านจงพูดและจงกระทำเช่นนี้ เหมือนอย่างคนเหล่านั้นที่จะถูกพิพากษาโดยพระราชบัญญัติแห่งเสรีภาพ
2:13 เพราะว่าผู้ใดที่ไม่แสดงความเมตตา ผู้นั้นจะถูกการพิพากษาโดยปราศจากความเมตตา และความเมตตามีความปีติยินดีต่อการพิพากษา
** สำหรับพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพระบัญญัติเดิมหรือใหม่ เราอาจจะทำได้มากมายหลายสิ่งแต่ขาดความรักหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็บกพร่องสำหรับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราเป็นคนดีรอบครอบ (perfect) เหมือนพระองค์ที่ทรงดีครบถ้วน (perfect) เพราะฉนั้น การมีพระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเราในเรา คือสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับผู้เชื่อทุกคน เนื่องจากว่าไม่มีใครทำได้ หรือเป็นคนดีครบถ้วนเหมือนพระเจ้าได้
ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำก็ตายแล้ว (ยากอบ 2:14-20)
"ความเชื่อที่ตายแล้ว dead faith"
2:14 มันเป็นประโยชน์อะไรเล่า พี่น้องของข้าพเจ้า ถึงแม้ว่าคนใดกล่าวว่าตนมีความเชื่อ และไม่มีการกระทำ ความเชื่อจะช่วยคนนั้นให้รอดได้หรือ
** การกระทำ ในที่นี้ ไม่ใช่การรักษาพระบัญญัติ แต่คือการอยากเติบโต อยากรู้จักพระเจ้ามากขึ้น อยากไปร่วมกับพี่น้องนมัสการพระเจ้า อยากรับใช้ อยากเลิกทำบาป อยากช่วยเหลือพี่น้องผู้เชื่อ และคนยากจนขัดสน (ดูข้อที่ 15-16) ซึ่งเหล่านี้คือการกระตุ้นของพระวิญญาณในวิญญาณของเรา
2:15 ถ้าพี่น้องชายหรือหญิงคนใดเปลือยเปล่า และขาดแคลนอาหารประจำวัน
2:16 และคนหนึ่งคนใดในพวกท่านกล่าวแก่เขาเหล่านั้นว่า “จงออกเดินทางไปโดยสันติสุขเถิด พวกท่านจงอบอุ่นและอิ่มเถิด” อย่างไรก็ตามพวกท่านไม่ได้ให้สิ่งเหล่านั้นซึ่งจำเป็นต่อร่างกายแก่พวกเขา สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์อะไรเล่า
2:17 เช่นนั้นแหละ ถ้าความเชื่อไม่มีการกระทำ มันก็ตายเสียแล้ว โดยอยู่เพียงลำพัง
** ความเชื่อที่ไม่มีการกระทำเหมือนดั่งในคำอธิบายในข้อที่ 14 เรียกว่าความเชื่อที่ตายแล้ว dead faith ความหมาย คือได้เชื่อและเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ แต่ไม่สนใจอยากเรียนรู้พระคำพระเจ้า ไม่อยากเลิกทำบาป ไม่ร้องให้เสียใจที่เขาเป็นคนบาป และทราบซึ้งถึงพระคุณพระเจ้าที่ได้ช่วยเขาโดยการตาย และทนทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์ ไปโบสถ์ก็ได้ ไม่ไปก็ได้ ใช้ชีวิตเหมือนชาวโลกทั่วไปเหมือนเดิมหลังเชื่อ ไม่แสวงหา ไม่สนใจใครจะเดือดร้อนหรือจะเป็นจะตาย
สรุปก็คือเขาไม่ได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง
2:18 ใช่แล้ว คนหนึ่งอาจกล่าวว่า “ท่านมีความเชื่อ และข้าพเจ้ามีการกระทำ” จงแสดงความเชื่อของท่านที่ปราศจากบรรดาการกระทำของท่านให้ข้าพเจ้าเห็น และข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเห็นความเชื่อของข้าพเจ้าโดยบรรดาการกระทำของข้าพเจ้า
** เมื่อเปาโลกลับใจเชื่อและต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ท่านยังทำบาปอีกนานหลายปี ท่านไม่ได้รักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูอย่างครบถ้วนได้ แต่ท่านมีการกระทำอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือท่านอยากเติบโต ท่านอยากรู้ข่าวประเสริฐทุกเรื่อง อยากรับใช้ อยากเลิกทำบาป และอยากวิ่งแข่งเพื่อเข้าอาณาจักรให้ได้ นี้คือความเชื่อที่สำแดงการกระทำออกมา
2:19 ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว ท่านก็กระทำดีอยู่แล้ว พวกผีปีศาจก็เชื่อเช่นกัน และตัวสั่น
** สำหรับคริสเตียน เราเชื่อว่ามีพระเจ้าและยังต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา และยอมที่จะดำเนินชีวิต และรับใช้พระเจ้าตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่ว่าเชื่อว่า พระเจ้ามีจริง เท่านั้น
2:20 แต่ท่านอยากทราบไหม โอ คนไร้ค่า ว่าความเชื่อที่ปราศจากบรรดาการกระทำก็ตายเสียแล้ว
** คนที่ไม่เชื่อเรียกว่าคนตาย ทุกสิ่งที่ดีที่เขากระทำเรียกว่าการกระทำดีที่ตายแล้ว และเมื่อเขานับถือศาสนาคริสต์เพราะเขาเชื่อ ก็เป็นเพียงความเชื่อที่ตายแล้ว เขาไม่ได้บังเกิดใหม่ และจะไม่รอดเป็นอันขาด
...
1. เชื่อแต่ไม่มีผลของชีวิตใหม่เลย คือความเชื่อที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่มีอาการหิวกระหาย ไม่เรียนรู้ ไม่อ่าน ไม่อธิษฐาน ไม่ช่วยเหลือคนยากจนขัดสน (ยก 2:14-16) ไม่เกิดผลของพระวิญญาณบ้าง ความเชื่อนี้ เรียกว่าความเชื่อที่ตายแล้ว
- ยากอบไม่ได้กล่าวว่าต้องรักษาพระบัญญัติให้ครบ หรือดีรอบคอบ จึงจะได้รอด หรือต้องทำตามผู้นำสั่งให้ทำจึงรอด แต่ท่านกล่าวว่าต้องมีผลของชีวิตใหม่ ท่านยังต่อต้านพวกที่พยายามรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้รอด ท่านบอกว่าถ้าจะรักษา ต้องรักษาให้ครบสิ ถ้าไม่อย่างนั้น สิ่งที่ทำได้เก้าข้อ แต่ผิดข้อเดียวก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะพระเจ้าทรงนับว่าผิดทั้งหมด (ยก 2:10)
อีกอย่าง ยากอบเน้นถึงเรื่องการดำเนินชีวิตที่ดีพร้อมซึ่งเป็นเรื่องของการได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ ไม่ใช่รอดในวันสุดท้าย
...
2. เมื่อไหร่ที่เราอ่านเจอ เชื่อเท่านั้นก็ได้รอด คือหลักการแห่งความรอดในวันสุดท้าย (แต่เชื่อนี้ต้องมีผลของชีวิตใหม่บ้าง) ทำบาปมากมายก็ยังจะรอด (1 คร 3:12-15 / 5:5) เพราะยุคนี้พระเจ้าทรงประทับบนพระที่นั่งแห่งพระคุณ ทรงเทความรักและพระคุณมากมายลงมายังโลกมนุษย์ (ยน 1:17)
...
3. เมื่อไหร่ที่เราอ่านเจอ เชื่อเท่านั้นไม่พอ ความชอบธรรมต้องเหนือกว่าฟาริสีและธรรมาจารย์ คือหลักการแห่งความรอดเข้าไปในอาณาจักร คือเพื่อตำแหน่งการครอบครอง
- แต่ความชอบธรรมที่เหนือกว่าฟาริสีนี้จะต้องให้พระคริสต์ในเราเป็นคนทำ ไม่ใช่เราทำเอง
อับราฮัมและราหับ
การกระทำร่วมมือกันทำงานในเรา
2:21 อับราฮัมบรรพบุรุษของพวกเราได้ความชอบธรรมโดยบรรดาการกระทำ เมื่อท่านได้ถวายอิสอัคบุตรชายของท่านบนแท่นบูชาไม่ใช่หรือ
2:22 ท่านเห็นไหมว่า ความเชื่อได้กระทำกิจร่วมกับบรรดาการกระทำของท่าน และโดยการกระทำเหล่านั้นความเชื่อก็ถูกทำให้สมบูรณ์แล้ว
** ความเชื่อที่มีการกระทำ เด็กทารกที่เกิดมา และมีชีวิตอยู่ ซึ่งเด็กจะต้องร้องไห้ หิว หายใจ ขยับได้ ขณะเดียวกันความเชื่อที่ไม่มีการกระทำ ก็เปรียบเสมือนเด็กทารกที่เกิดมาไม่หายใจ ไม่ขยับเขยื่อน ไม่ร้องไห้ไม่หิว (ดูข้อที่ 26) สิ่งนี้เรียกว่าความเชื่อ และการกระทำร่วมมือกันทำงานในเรา ทั้งนี้ทั้งนั้น ท่านยากอบไม่ได้หมายถึงการรักษาพระบัญญัติเลย ซึ่งท่านเองกล่าวว่าใครที่รักษาพระบัญญัติก็ต้องรักษาให้ครบ เพื่อให้เป็นคนชอบธรรม และดีรอบคอบ
สรุปก็คือความเชื่อที่ไม่ตาย คือความเชื่อที่มีอาการของการบังเกิดใหม่ อย่างเช่น การร้องให้เสียใจที่เราเป็นคนบาป ทราบซึ้งในพระคุณจนร้องให้ และมีหัวใจที่รักพระเจ้าอยากรู้จักพระเยซู อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตเลิกทำบาป และอยากรับใช้พระเจ้า เพื่อให้พระองค์พอพระทัย ไม่ใช่การที่ผู้เชื่อจะต้องพยายามรักษาพระบัญญัติอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้รอด
2:23 และพระคัมภีร์ก็ถูกทำให้สำเร็จซึ่งกล่าวว่า ‘อับราฮัมได้เชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’ และท่านถูกเรียกว่า ‘สหายของพระเจ้า’
2:24 พวกท่านจึงเห็นแล้วว่า โดยบรรดาการกระทำ มนุษย์จึงเป็นผู้ชอบธรรม และไม่ใช่โดยความเชื่อเท่านั้น
2:25 เช่นกันราหับหญิงโสเภณีก็ชอบธรรมโดยบรรดาการกระทำด้วยมิใช่หรือ เมื่อนางได้รับรองผู้สื่อสารเหล่านั้น และได้ส่งพวกเขาออกไปเสียอีกทางหนึ่ง
2:26 เพราะว่าร่างกายที่ปราศจากจิตวิญญาณก็ตายเสียแล้วฉันใด ความเชื่อที่ปราศจากบรรดาการกระทำก็ตายเสียแล้วฉันนั้นเช่นเดียวกัน
** เราพบว่าท่านอับราฮัมไม่ได้มีชีวิตที่ดีครบถ้วน แต่ตรงข้ามกันท่านยังเป็นคนบาป และทำบาปเหมือนคนทั่วไป เพียงแต่ว่าท่านเชื่อเคารพบูชา และนมัสการพระเจ้า และผ่านการทดลองของพระเจ้าได้ ขณะที่คนทุกชาติทุกภาษาเคารพ และกราบไหว้พระอื่น ท่านจึงถูกเรียกว่าเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อไม่ใช่ด้วยการกระทำของท่าน (โรม 4:3 ด้วยว่าพระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไร ‘อับราฮัมได้เชื่อพระเจ้า และความเชื่อนั้นทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’)
...
ความเชื่อที่ไม่มีการกระทำ คือความเชื่อที่ตายแล้ว คืออะไร ???
- คือเชื่อตามพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เชื่อตามบ้านเมืองสังคมประเทศ...พาเราเชื่อ
- เชื่อแต่ไม่มีอาการหิวกระหายในชีวิตฝ่ายวิญญาณ ไม่แสวงหาการเติบโต ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเยซู นานๆ อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน ไปโบสถ์ ทำดี ถวาย แล้วแต่อารมณ์