มัทธิวบทที่ 13:1-4 คือเรื่องราวเกี่ยวกับราชอาณาจักร แต่ผู้เชื่อส่วนมากตีความหมายแปลว่า คนที่ได้ยินข่าวประเสริฐแต่รับไม่ได้ ไม่ได้รอด
คำอุปมาเกี่ยวกับผู้หว่านพืช (มก 4:1-20; ลก 8:4-15)
13:1 ในวันนั้นพระเยซูก็เสด็จจากเรือนไปประทับที่ชายทะเลสาบ
13:2 มีคนพากันมาหาพระองค์มากนัก พระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือ และบรรดาคนเหล่านั้นก็ยืนอยู่บนฝั่ง
** "ออกจากเรือน" คือทิ้งชนชาติอิสราเอล เพราะว่าพระวิหารที่เป็นเรือนของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางชนชาตินี้
** "ไปประทับที่ชายทะเล" คือยกราชอาณาจักรให้คนต่างชาติ (ที่เป็นทะเล สำหรับพระเจ้า แผ่นดินคือชาติอิสราเอล)
- เมื่อก่อน ชาติอิสราเอล คือเรือนของพระเจ้า
- พระเจ้ามองต่างชาติเหมือนทะเล
- เพราะว่าแผ่นดิน คือที่ที่พระเจ้าเลือกทำงานเท่านั้น
- พระเจ้าไม่เคยสร้างมนุษย์ทะเล
- แต่เมื่อ มีชนชาติเดียวที่ติดตามพระเจ้า พระเจ้าจึงเรียกพวกเขาว่า เรือนของพระเจ้า
- ส่วนมากพระเจ้าเรียกวิหารว่าเรือน ทั้งเรียกชาติอิสราเอล ว่าเรือนเพราะวิหารอยู่ท่ามกลางเขา
13:3 แล้วพระองค์ก็ตรัสกับเขาหลายประการเป็นคำอุปมาว่า "ดูเถิด มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช
** ตรัสกับเขาหลายประการเป็นคำอุปมา
- เพื่อกีดกันป้องกัน ฟาริสีและยิวที่หยิ่งและมาจับผิด เมื่อพระเยซูพูดเล่าอะไร ถ้าไม่มาขอการเปิดเผยทีหลังด้วยถ่อมใจเปิดใจก็จะไม่รู้เรื่อง
** ผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช
- ผู้หว่านพืช คือกษัตริย์ที่ออกไปหว่านชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเมล็ดแห่งราชอาณาจักรกษัตริย์มีชีวิตนิรันดร์ ลูกแห่งราชอาณาจักรทุกคนต้องมีชีวิตนี้ จึงจะได้เข้าในราชอาณาจักร
- เริ่มหว่านพืชตั้งแต่เมื่อไหร่ วันที่พระองค์ออกจากบ้านและชนะการทดลอง ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูเดินทางไปหว่านในฐานะของกษัตริย์ และกษัตริย์ต้องไปหาคนมาเข้าราชอาณาจักรเอง
ตกตามหนทาง
13:4 และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย
** "และเมื่อเขาหว่าน" วันที่พระองค์ออกจากบ้าน และชนะการทดลอง
** "เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง" คือประกาศเรื่องราชอาณาจักรกับ ยิว ฟาริสี และใครก็ตามที่ฟังแล้วรับไม่ได้ เพราะเขาแสวงหาเรื่องสวรรค์นรกอยู่ เขาไม่รู้เรื่อง ไม่สนใจราชอาณาจักร
** "ดินตามทาง" คือจิตใจที่ถูกสอนถูกเหยียบย่ำให้แน่นแก่นจนรับเรื่องอาณาจักรไม่ได้แล้ว
** "คนเดินไปมาแต่ละครั้งบนดินนั้น" คือคนที่สอนแต่ละคนเรื่องสวรรค์นรก
** ทุกวันนี้คริสเตียนที่เป็นดินตามทางมีเยอะมาก 90-95 % เพราะเขาปักใจ ถูกเสี้ยมสอนมาอย่างดี เรื่องสวรรค์นรก ถ้าเราพูดเรื่องราชอาณาจักร ก็หาว่าเป็นพวกเทียมเท็จ (เราพูดในแง่การศึกษา)
** มธ 13:1-4 คือเรื่องราวเกี่ยวกับราชอาณาจักร แต่ผู้เชื่อส่วนมากตีความหมายแปลว่า คนที่ได้ยินข่าวประเสริฐ แต่รับไม่ได้ และไม่ได้รอด อันนี้ไม่ถูก
** "แล้วนกก็มากินเสีย" "นก" ในที่นี้ คือมารซาตาน
** เมื่อยิว ฟาริสี และ คริสเตียนศาสนารับไม่ได้ฟังไม่รู้เรื่อง มารก็จะหาวิธี หรือใช้คนมาพูดบอกสอนเขาว่าระวังนะเขาสอนผิด สุดท้ายเขาก็ทิ้งไป
ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน
13:5 บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก
** ที่ที่มีหิน มีเนื้อดินน้อย
- "หิน" คือจิตใจที่รักบาปมาก
- "ดินน้อย" คือจิตใจที่แสวงหา ร้อนรน หิวกระหายมีไม่มากเท่าไหร่
- เมื่อเขารับเรื่องราชอาณาจักรและเรียนรู้ แต่ด้วยใจที่รักบาปนั้นชักนำเขาให้เลิกเรียน และเลิกแสวงหาอาณาจักรต่อไป เขาจึงหมดโอกาส
13:6 แต่เมื่อแดดจัดแดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มีจึงเหี่ยวไป
** "แดดจัดแดดก็แผดเผา" หมายถึง พระเจ้าสร้างเรา เพื่อให้เข้าสู่ปัญหามากมายตลอดชีวิต
** ต้นไม้พืชผักต้องการแสงแดดเพื่อการเติบโต และเกิดผลฉันใด ลูกแห่งราชอาณาจักรย่อมต้องการแสงแดด (ปัญหา) ฉันนั้นเพื่อการเติบโต และเกิดผลมากมาย
** "ราก" คือความเชื่อที่ถูกแล้ว คือได้พบราชอาณาจักรสวรรค์นี้แล้ว
- อีกอย่าง พระเจ้าไม่ได้สร้างเราเป็นเรือที่จอดทิ้งไว้ที่ริมฝั่งเพื่ออวดความสวยงาม แต่สร้างเราเพื่อให้ออกทะเลไปเผชิญกับคลื่นและพายุ
- พี่น้องผู้เชื่อส่วนมากเข้าใจผิด คิดว่าเชื่อพระเจ้าแล้วชีวิตจะสบาย มีพระพรมากมายรออยู่ เพียงแต่เราเชื่อฟัง สุดท้ายผิดหวังกันหมด
ตกกลางต้นหนาม
13:7 บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย
** นี่คือเรื่องราวของการเข้าสู่ชีวิตชัยชนะ ไม่เกี่ยวกับความรอดในวันสุดท้าย
** "ต้นหนาม" ในที่นี้ คือเงินทองทรัพย์สมบัติความสบายสิ่งล่อตาล่อใจของโลกนี้
** เมื่อคนนี้ได้ฟัง และรับเอาข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร แต่ด้วยความรักที่มีให้โลกอย่างมากมายยังทิ้งความรักโลกไม่ได้ รักโลกไปจนตาย เขาต้องพลาดโอกาส
ตกที่ดินดี
13:8 บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผล ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
** ดินดีในที่นี้คือ..
1. คนที่ได้ยินเรื่องราชอาณาจักรพันปี
2. รับเอาด้วยความยินดี
3. เรียนรู้แสวงหาอย่างหิวกระหาย
4. สุดท้ายเข้าใจ รักฝึกฝนชีวิตให้พร้อมสำหรับราชอาณาจักรนี้
** เกิดผล ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้างคือ..
1. นำคนมาเชื่อเรื่องราชอาณาจักรเหมือนกัน บางคนช่วยพี่น้องได้ 30 60 และ 100 เท่า
2. การเกิดผลยังกล่าวโดยนัยได้อีกว่า เป็นเรื่องการเติบโตเกิดผลในชีวิตเขา ซึ่งเป็นเรื่องของการได้รับรางวัลมากน้อยเท่าไหร่ที่เป็นผลที่ได้รับจากการใช้ชีวิต และรับใช้ในข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรดังกล่าว
13:9 ใครมีหูจงฟังเถิด"
** ไม่ใช่ทุกคนที่มีหู (ฝ่ายวิญญาณ)
- ทุกวันนี้ 90-95 % ใช้หู ตา อาดัมเพื่อวิเคราะห์พระคำของพระเจ้า สุดท้ายไม่ได้เข้า (มธ 7:21-27 / 1 คร 3:21-15)
13:10 ฝ่ายพวกสาวกจึงมาทูลพระองค์ว่า "เหตุไฉนพระองค์ตรัสกับเขาเป็นคำอุปมา"
** พระองค์ตรัสกับเขาเป็นคำอุปมาเพราะว่ามีนักสืบคือพวกของฟาริสีที่มายืนปะปนกับประชาชน และฟังเพื่อจับผิดอยู่
13:11 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "เพราะว่าข้อความลึกลับของอาณาจักรแห่งสวรรค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้
** เรื่อง รอดในวันสุดท้ายไม่ใช่เรื่องที่ลึกลับเท่าไหร่ แต่เรื่องเติบโตเข้าในอาณาจักร เป็นเรื่องที่ต้องเสาะแสวงหาอย่างร้อนรน
1. การแสวงหาราชอาณาจักรของพระเจ้า คือหาข้อมูลทุกเรื่องราวอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับราชอาณาจักรพันปีนี้ เลิกห่วงเรื่องรอดในวันสุดท้าย เพราะว่าเรารอดแน่นอนแล้ว แต่ห่วงเรื่องนี้มากกว่าเพราะว่าพระเยซูสั่งให้เราแสวงหา
2. แสวงหาความชอบธรรมคือ ได้พบว่า โอ..พระเยซูนี่เองที่เป็นคนทำดีในเราแทนเราและเพื่อเรา เพราะว่าเราทำไม่ได้พระเจ้าไม่รับผลของอาดัมที่เราทำ
** ผลของอาดัมไม่ว่าจะดีมากมายแค่ไหนในสายตามนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้าคือความดีที่ตายแล้ว
** ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้ หมายถึง
- พระเจ้าเลือกคนที่ถ่อมใจเท่านั้นให้มาโต และเกิดผลถวายเกียรติ พระเจ้าไม่เอาคนที่หยิ่งผยองพองตัวที่มีเต็มใน คริสตจักรทั่วไป
- เพราะว่าคนเหล่านั้นแย่งชิงพระเกียรติ และสง่าราศีของพระเจ้า แต่หน้าที่ของเราคือหว่าน คนที่รับได้ไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่ที่เขากับพระเจ้า
13:12 ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่ผู้ใดที่ไม่มีนั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา
** "มีอยู่แล้ว" คือเชื่อยอมรับเรื่องอาณาจักร แต่ยังไม่ครบ
** "จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ" คือพระเจ้าจะส่งคนมาบอกแบ่งแนะนำสอนให้เรารู้อย่างครบถ้วน
** "แต่ผู้ใดที่ไม่มีนั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา" หมายถึง
- "ที่ไม่มี" คือ คริสเตียนทุกวันนี้ที่ไม่รู้เรื่องราวแห่งราชอาณาจักร และรับไม่ได้
- "ซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา" คือรางวัล พระพร ที่เขาทำ รับใช้มานานแรมปี ต้องยกให้ผู้อื่น
** เรื่องนี้ บ่งชี้ถึงยิวและฟาริสีก่อน เพราะเขามีพระเจ้าแล้ว มีราชอาณาจักรแล้ว มีมรดกของพระเจ้าแล้ว แต่สุดท้ายเขาถูกแย่งชิงเอาไปจากเขาจนหมด
13:13 เหตุฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน และไม่เข้าใจ
** "เพราะว่าถึงเขาเห็น / ก็เหมือนไม่เห็น / ได้ยิน / ก็เหมือนไม่ได้ยิน" ไม่ว่ามนุษย์จะฉลาดมีปัญญามากมายแค่ไหนก็ตาม เราไม่อาจใช้ปัญญานี้เพื่อให้เข้าใจพระวจนะคำ และน้ำพระทัยของพระเจ้าได้
** เมื่อเราหลับตา (เลิกใช้ปัญญาอาดัม) พระเจ้าจะเริ่มทำงาน และเปิดตาฝ่ายวิญญาณของเรา ด้วยการทาตาด้วยยาทาตา เพื่อให้เราได้เห็นความหมายที่แท้จริงของพระคำ และน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างชัดเจน (วว 3:18..และเอายาทาตาของเจ้าเพื่อเจ้าจะแลเห็นได้)
13:14 ความเป็นอยู่ของเขาก็สำเร็จตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า `พวกเจ้าจะได้ยินก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่สังเกต
13:15 เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาเขาเขาก็ปิด เกรงว่าในเวลาใดเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และจะหันกลับมา และเราจะได้รักษาเขาให้หาย'
13:16 แต่ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้เห็น และหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้ยิน
13:17 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ศาสดาพยากรณ์และผู้ชอบธรรมเป็นอันมากได้ปรารถนาจะเห็นซึ่งท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้ แต่เขามิเคยได้เห็น และอยากจะได้ยินซึ่งท่านทั้งหลายได้ยิน แต่เขาก็มิเคยได้ยิน
** "ศาสดาพยากรณ์" คือผู้นำ หัวหน้า ศิษยาภิบาล ศาสนาจารย์ ครูที่มีตำแหน่งหน้าที่เทศนาและสอนใน คริสตจักร ที่คิดว่าเขารู้หมดแล้ว จึงไม่อาจเห็นได้
** "ผู้ชอบธรรม" คือบรรดาผู้ที่เชื่อว่าเขาเข้มแข็งรักพระเจ้า พยายามทำดีเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเคร่งครัดในแต่ละวัน เขาคิดผิดไปว่าเขาจะได้รับรางวัลมากมายเพราะการทำดีด้วยอาดัมของเขาซึ่งทำได้แค่ต่อหน้าพี่น้องหรือผู้เชื่อ แต่แท้ที่จริงเขายังมีความโกรธ หยิ่งพองตัว รักโลกนี้ตามธรรมชาติของอาดัมที่อยู่ในตัวเขา เขาจึงไม่มีโอกาสพบราชอาณาจักรนี้ได้
13:18 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพืชนั้น
13:19 เมื่อผู้ใดได้ยินพระวจนะแห่งอาณาจักรแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่ผู้ซึ่งรับเมล็ดริมหนทาง
** "ดิน" หมายถึง จิตใจ
** "นก" หมายถึง มารร้าย
** "เมล็ดพืช" หมายถึง ข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรที่เป็นทั้งชีวิตพระเจ้าที่หว่านเข้ามาในใจเรา
** "แย่งเอาไป" หมายถึง ฉกชิงด้วยการใช้ผู้นำผู้สอนพี่น้องผู้เชื่อที่ไม่เข้าใจมาบอกเราเตือนเราด้วยความหวังดีว่า สิ่งที่เขาได้รับฟังเรื่องราชอาณาจักรนี้ไม่ถูก หรือเป็นคำสอนที่ผิดนี่เอง
13:20 และผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความปรีดี
13:21 แต่ไม่มีรากในตัวเองจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงต่างๆเพราะพระวจนะนั้น ต่อมาเขาก็เลิกเสีย
13:22 ผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และการล่อลวงแห่งทรัพย์สมบัติก็รัดพระวจนะนั้นเสีย และเขาจึงไม่เกิดผล
13:23 ส่วนผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง"
บทความเพิ่มเติม: ทำไมเราประกาศเรื่องราชอาณาจักรแล้วทำไมคนถดถอย ปัญหาคือ???