ถาม.
ขอบคุณพระเยซูดิฉันก็เป็นพยานที่พระเจ้าให้ดิฉันพ้นจากคริสเตียนศาสนา ดิฉันเป็นหนึ่งที่แสวงหาว่ามนุษย์มาจากไหนอยู่ไปเพื่ออะไรตายแล้วไปไหน คิดว่าโลกนี้ต้องมีพระเจ้า แล้วก็อยู่ในคริสเตียนศาสนา คริสตจักรให้เดือนละ 300 บาทเราก็รับใช้พระเจ้าจงรักภักดีจะเป็นจะตายเดินไปแจกใบปลิวเป็นพยานเป็น 4-5 ปี แล้วก็ด้วยความจงรักภักดีเรารักอะไรเรารักจริง ก็ขอบคุณพระเจ้าเมื่อวานซืนคริสตจักรไลน์มาบอกว่าดิฉันเป็นสมบัติของพระเจ้าเขาต้องรักษาเอาไว้ ดิฉันก็เรียนถามเขาว่าดิฉันเชื่อพระเจ้าดิฉันมีความสุขแล้วดิฉันมีสันติสุขแล้ว เราไม่เอาคริสเตียนศาสนาเราไม่เอาฟาริสี เรามีความสุขแล้วเราไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับคุณแล้ว แล้วก็เราไม่เอาแล้วเรามีความสุขแล้ว เขาแสดงความเป็นเจ้าของเขาว่าดิฉันเป็นสมบัติของพระเจ้า
ดิฉันก็อยากเรียนถามอาจารย์ว่าทำไมเขามาแสดงความเป็นเจ้าของกับเรา เรากลัวจนตายแล้วเราขอบคุณพระเจ้าที่เรามาพบมานา แล้วเหมือนเขามาแสดงมาข่มเหงเราอีกแล้วเราไม่ต้องการ แล้วดิฉันก็บอกว่าดิฉันมีความสุขทุกเวลาแล้ว ดิฉันไม่ต้องการฟารีสี ไม่เอาคริสเตียนศาสนาดิฉันไม่เอาอย่ามายุ่งเกี่ยวกับดิฉัน ดิฉันไม่เอา
ตอบ.
สำหรับเรื่องจิตใจ เรื่องฝ่ายมนุษย์ ก็คือเขาไม่อยากเสียสมาชิกโบสถ์และไม่อยากเสียเราที่เป็นพี่น้องร่วมรับใช้ด้วยกันมานาน
และอันที่สองก็คือเรื่องฝ่ายวิญญาณ ซาตานอยู่เบื้องหลังของการใช้คนที่ไม่เชื่อและพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน เพื่อที่จะขัดขวางเรา ไม่ให้เราเข้าสู่ความจริงและอยู่ในความจริงและอยู่ร่วมกับพี่น้องที่รับความจริงนี้ได้แล้ว
...
ถาม.
อาจารย์แล้วทำไมเขาต้องมาพูดว่าเราเป็นสมบัติของพระเจ้า ถ้าเรารักษาความเชื่อเราก็เป็นสมบัติพระเจ้าอยู่แล้ว ทำไมเขาต้องมาแสดงความเป็นเจ้าของเราอ่ะค่ะ
ตอบ.
อันนี้มันก็อยู่ที่เขาจะใช้คำพูดอะไรก็แล้วแต่เขานะครับ ซึ่งเขาก็พยายามที่จะชักนำเราให้กลับไป เขาจะพูดทุกสิ่งที่อยากให้เราเห็นให้เราเข้าใจให้เราเชื่อเขา จริงๆแล้วก็ใช่ครับเขาพูดถูกนะครับ ก็คือเราเป็นสมบัติของพระเจ้า เราอยู่ที่ไหนก็ตามเราก็เป็นสมบัติของพระเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ร่วมกับเขาหรือออกมาจากเขา เราก็ยังเป็นสมบัติของพระเจ้าอยู่ดี ไม่ได้หมายความว่าถ้าเราออกมาแล้วก็คือเราไร้ค่า เราไม่ใช่ของพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว
ผู้เชื่อทุกคนในโลกนี้จะอยู่คริสตจักรไหน อยู่ที่ไหน เชื่อถูก เชื่อผิด ทุกคนต่างก็ยังเป็นสมบัติของพระเจ้า แต่อย่าลืมนะ ภาชนะหรือสมบัติของพระเจ้ามันมีสองแบบ
1. แบบแรกก็คือภาชนะดิน ที่ยังไม่ได้เข้าสู่การตายและเป็นขึ้นร่วมกับพระเยซูและเดินในวิญญาณ
2. ภาชนะชิ้นที่สอง คือภาชนะที่มีค่า ที่เรากำลังมาถึงภาชนะนี้ คือภาชนะทองคำ เรารับการเปิดตา เราเดินด้วยตัวใหม่ เราทำทุกสิ่งผลที่ได้รับก็คือทองคำเงินและเพชรพลอย เอเมนสรรเสริญพระเยซู
สำหรับพี่น้องบางคนอาจจะคิดว่านะครับ ว่าถ้าหากคนที่เชื่อพระเยซู และไม่รู้จักคำว่าตายและไม่ได้ตายกับพระเยซูและไม่ได้เป็นขึ้นมา ไม่ได้ใช้ตัวใหม่ทำ ในแต่ละวัน ผลที่เขาทำก็มีผลงานมากมายนะ แล้วมันจะไม่ได้อะไรเลยหรือ?
คำว่า ไฟแห่งการทดลอง ก็คือ ทุกสิ่งที่เขาทำเป็นไม้ ฟาง หญ้าแห้ง ก็จริงคือเขาไม่ได้รับผลตอบแทนในอาณาจักร คือไม่ได้เข้าส่วนในยุคพันปี บำเหน็จของเขาได้รับก็คือในชีวิตนี้ คนที่ไม่ได้ถูกเปิดตาเป็นคริสเตียนศาสนา รับใช้ เดินในความเชื่อในแต่ละวันของเขา เขาให้คนยากจน เขาช่วยเหลือ เขาทำทุกสิ่ง เพื่อพระเจ้าก็จริงแต่สิ่งที่เขาทำ บำเหน็จจะไม่ไปถึงอาณาจักร บำเหน็จเขาจะได้รับในชีวิตนี้เท่านั้น
แต่เราทุกวันนี้เราแสวงหาบำเหน็จที่ร่วงโรยไม่ได้ เราแสวงหามงกุฎที่พระองค์จะให้ ก็คือมงกุฎแห่งอาณาจักรสวรรค์ สรรเสริญพระเยซู และบุคคลผู้ใดที่พบชีวิตที่เกิดผลขึ้นมาแล้วนะครับ เป็นทองคำเงินและเพชรพลอย บุคคลผู้นั้นก็เป็นสุข เอเมน
...
ถาม.
อาจารย์คะแล้วเราในเมื่อดิฉันก็บอกว่าดิฉันไม่เอาคริสเตียนศาสนา คริสเตียนฟาริสีดิฉันไม่เอา ดิฉันเจ็บปวดมามากแล้ว ไม่เอาแล้วเราไลน์ไปตอบอันนี้ คืออย่างนี้ถ้าเขาชวนอะไรเรา เราไม่สมควรไปยุ่งเกี่ยวกับเขาหรอคะ หรือว่ามีงานแต่ง งานอะไรเราไปยังไงคะ เราจะสัมพันธ์กับเขายังไงคะ
ตอบ.
เรายังรักพี่น้องเหล่านั้นนะครับ และถ้าหากงานไหนที่เราสะดวก และเราอธิษฐานแล้วเราไม่มีอะไรขัดข้องภายในใจของเรา เราไปได้ครับ ถ้าหากเขาจัดงานไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม งานคริสตจักร หรืองานที่บ้าน หรืองานที่ไหนที่เขาอยากให้เราไปร่วม เขาเชิญเรา เราไปครับ เราไปกับพระเยซู
แต่ถ้าพระวิญญาณในเราคัดค้านเราก็ไม่ไป อย่าลืมนะครับ เรามาถึงชีวิตที่ต้องเดินกับพระวิญญาณแล้ว ไม่ใช่เดินคนเดียว การตัดสินใจก็เป็นของพระเยซูแล้ว
เพราะฉะนั้นเราจะไปไหน เราจะทำอะไร อย่าลืมนะครับพระเยซูให้ไปไหม พระเยซูไปดีไหม หรือไม่ไป ถ้าหากเราเฉยๆ ไม่มีอาการอะไร ไม่ร้อนรนอะไร ไม่กระตือรือร้นอะไร และไม่เกิดความเมตตาความรักที่คิดถึงเขามากๆ เราก็ไม่ไป
สรุปง่ายๆนะครับก็คือ เราจะไม่ใช้คำที่ว่าไปหรือไม่ไปดี แต่เราจะใช้คำถามที่ว่าพระองค์ให้ไปหรือไม่ให้ไปครับ
...
ถาม.
อาจารย์มีอีกอย่างหนึ่งค่ะ แล้วเรารู้สึกเราเห็นคนพวกนี้เรากลัวล่ะอาจารย์ รู้สึกกลัวไม่อยากเข้าใกล้แล้ว กลัวจะไปเจอแบบเดิม กลัวมันเหมือนหลอกหลอนเรา เรารู้สึกกลัวไม่อยากเข้าใกล้ อาจารย์มันรู้สึกว่าความกลัวนั้นเราเคยถูกทำไว้เจ็บแล้วมันถูกฝังลึกเรากลัวว่าชีวิตเราจะเจ็บ เราอยู่ในกลุ่มเราเราก็มีความสุขทุกเวลา 24 ชั่วโมงแล้ว แล้วเราไม่อยากเข้าไปใกล้คนพวกนั้นเรารู้สึกว่าเรามีความกลัวอยู่ในคนพวกนั้นค่ะ
ตอบ.
อันนี้ผมเข้าใจครับ ความกลัวเกิดแน่นอน เนื่องจากว่าเราออกมาแล้ว แล้วก็เขายังพยายามที่จะดึงเราให้กลับไป แต่นะครับเราตอนนี้ก็คือออกมาแล้ว ก็พยายามที่จะไม่ติดต่อกับเขาและสะสมมานาให้มาก ให้มากเท่าที่จะมากได้ เมื่อเราเข้าสู่ความจริงมาก ความจริงจะช่วยเราไม่ให้กลัว ความจริงจะเปิดตาเรามากขึ้นๆ เมื่อเรารับการเปิดตามมากขึ้น เราจะไม่กลัวแล้วในที่สุดอีกไม่นานเราก็กล้า
เมื่อไม่กลัวแล้วนะครับต่อมาก็จะกล้า เราจะกล้าที่จะไปเยี่ยมเขา กลับไปร่วมงานกับเขาบางครั้ง กลับไปเพื่อความผูกพันความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องนะครับ เราก็ไม่ทิ้งเขาร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ เราก็ยังรักทุกคน ผู้เชื่อทุกคนเป็นบุตรพระเจ้าเป็นสมบัติของพระเจ้าเรารักนะครับ เพียงแต่ว่าถ้าเราไปตอนนี้ก็คือเรากลัวเขาจะดึงเรากลับ
วิธีแก้ก็คือ สะสมมานาให้มากๆ สะสมความจริงนี้ให้มากขึ้น เรารับการเปิดตามาก เราก็จะไม่กลัวและเราจะกล้านะครับ เอเมน
...
ถาม.
เราไม่ได้ติดต่อกับเขาค่ะอาจารย์ แต่อยู่ๆเขาก็มาติดต่อหาเราเอง ดิฉันก็บอกว่าดิฉันไม่เอาคริสเตียนศาสนาแล้ว ดิฉันไม่เอาฟาริสีแล้วนะ ดิฉันเบื่อศาสนาเต็มทีแล้ว อันนี้ผิดไหมคะ เขาติดต่อมาหาเราเองค่ะ
ตอบ.
เราจะพูดแบบนั้นก็ได้ครับ เพียงแต่ว่าถ้าจะใช้คำพูดที่ดีกว่านั้นก็น่าจะดีกว่านะครับ ก็คือเราไม่พูดให้เขารู้สึกน้อยใจ ว่าคริสเตียนศาสนาหรืออะไรทำนองนั้นนะครับ เราเพียงแต่ปฏิเสธหรือบอกว่าไม่สะดวกนะ แค่นี้ก็ได้ครับผม เราอธิษฐานเผื่อเขาครับ