15:1 ครั้งนั้น พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ซึ่งมาจากกรุงเยรูซาเล็ม มาทูลถามพระเยซูว่า
15:2 "ทำไมพวกสาวกของท่านจึงละเมิดประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ด้วยว่าเขามิได้ล้างมือเมื่อเขารับประทานอาหาร"
15:3 แต่พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า "เหตุไฉนพวกท่านจึงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยประเพณีของพวกท่านด้วยเล่า
15:4 เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ว่า `จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน' และ `ผู้ใดด่าแช่งบิดามารดาของตน ผู้นั้นต้องถูกปรับโทษถึงตาย'
15:5 แต่พวกท่านกลับสอนว่า `ผู้ใดจะกล่าวแก่บิดามารดาว่า "สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่าน สิ่งนั้นเป็นของถวายแด่พระเจ้าแล้ว"
15:6 ผู้นั้นจึงไม่ต้องให้เกียรติบิดามารดาของตน' อย่างนั้นแหละท่านทั้งหลายทำให้พระบัญญัติของพระเจ้าเป็นหมันไปเพราะเห็นแก่ประเพณีของพวกท่าน
15:7 โอ คนหน้าซื่อใจคด อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกท่านถูกแล้วว่า
15:8 "ประชาชนนี้เข้ามาใกล้เราด้วยปากของเขา และให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขา แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา
15:9 เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาอวดอ้างว่า เป็นพระดำรัสสอน'"
** สาวกของพระเยซูไม่แสวงหา ไม่สนใจใส่ใจอะไรอีกแล้ว เขาใส่ใจหันความสนใจมาที่ พระเยซู
** เราผู้ชนะหันความสนใจมาที่พระเยซูผู้เดียว เราจะไม่ถามว่า ทำแบบนี้ อันนี้ ผิดไหมถูกไหม หรือดีไหม แต่คำตอบอยู่ที่ พระเยซู
- พระเยซู คือ คำตอบ เมื่อเรามีคำถาม
- พระเยซู คือ สุข เมื่อเรามีทุกข์
- พระเยซู คือ ประตู เมื่อเราหาทางออกของปัญหาไม่เจอ
- พระเยซู คือ ความหวัง เมื่อเราหมดหวัง พระเยซู คือพลังเมื่อเราอ่อนแอ
- พระเยซู คือ สิ่งเดียวที่เติมให้เต็มทุกส่วนของเราที่ขาดหาย
- พระเยซู คือ ความชอบธรรม เมื่อมองว่าเราเป็นคนบาป
- พระเยซู คือ สติปัญญา เมื่อเรารู้สึกว่าโง่เขลา
- พระเยซู เป็น ผู้ชนะในเรา เมื่อเราคิดว่าเราเป็นผู้แพ้
- พระเยซู เป็น เพื่อนขณะที่เพื่อนที่เรารักช่วยอะไรเราไม่ได้
** เราไม่แสวงหาความรู้ อำนาจ พระพร ของประทาน แต่เราต้องการเข้ามาใกล้ๆ อยู่ที่พระบาทพระเยซูเพื่อรับรักจากพระองค์ นี่คือชีวิตของผู้ชนะ
- เมื่อเรามีพระเยซู เราก็มีทุกสิ่ง
- คริสเตียน มากมาย ไม่คิดคำนึงถึงสิ่งนี้
- ทุกๆ คริสตจักร มีคนประเภทนี้
- ผู้ชนะ จะมองที่คน ไม่ใช่มองที่กฏ
- คนพิการที่เดินไม่ได้ 38 ปี พอหายโรคแทนที่ชาวยิวจะดีใจแต่กลับหาเรื่องๆ การละเมิดวันสะบาโต (ยอห์น บทที่ 5)
สรุป มธ 15:1-9 คือ
1. ใส่ใจที่พระเยซูทุกวัน
2. มองที่คน ด้วยรักให้โอกาส ไม่ตัดสิน ไม่เอากฏเกณฑ์เป็นใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องยาก และต้องใช้เวลา
15:10 แล้วพระองค์ทรงเรียกประชาชน และตรัสกับเขาว่า "จงฟังและเข้าใจเถิด"
** พระเยซูใช้คำนี้บ่อยๆ เพื่อย้ำให้สาวกที่ฟังอยู่ เพราะว่าคนส่วนมากไม่เข้าใจจนถึงทุกวันนี้
15:11 มิใช่สิ่งซึ่งเข้าไปในปากจะทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่สิ่งซึ่งออกมาจากปากนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน"
** เป็นคำสอนที่ขัดแย้งกับ พระบัญญัติ เดิมซึ่งเน้นที่การกินดื่มนั่งเดินไปมาภายใต้กฏเกณฑ์ของยุคเดิม
** สิ่งที่สำคัญ และเป็นกฏเกณฑ์ในยุคพระคุณคือคำพูดหรือการกระทำที่ออกมาจากภายใน
** คริสเตียนไม่ฟัง และไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ มีการถกเถียงกันมากเรื่องผิดถูก เรื่องทำ เรื่องกิน ส่วนมากจะเน้นภายนอก... แต่พระเยซูเน้นที่ข้างใน คือจิตใจของเรา
** คริสเตียนมากมายจะเคร่งมาก เรื่องอะไรผิด อะไรถูก แต่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเยซู และไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้อง และเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เอากฏเกณฑ์ อย่างเดียว
** จิตใจ คือสิ่งที่เราต้องรับการเปลี่ยนใหม่อย่างรีบด่วน เพื่อทุกสิ่งที่ออกมาจากใจจะช่วยให้ผู้คนได้รับพระพรผ่านเรา
15:12 ขณะนั้นพวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า "พระองค์ทรงทราบแล้วหรือว่า เมื่อพวกฟาริสีได้ยินคำตรัสนั้น เขาแค้นเคืองใจนัก"
** คริสเตียนส่วนมากเมื่อได้ยินคำพูดที่แรง หรือไม่ถูกใจ ก็จะโกรธ หรือไม่ชอบคนพูด แต่ถ้าหากผู้เชื่อที่แท้จริง จะเกิดผลแห่งพระวิญญาณ คือการไม่โกรธ และไม่มีท่าที่ในแง่ลบต่อผู้ที่พูด เพราะเราให้ความรัก อดทนนาน และกระทำดีในทุกทางเป็นเครื่องชี้ บ่งบอกว่าเราคือต้นไม้ที่เกิดผลดีที่มาจากพระเจ้า
15:13 พระองค์จึงตรัสตอบว่า "ต้นไม้ใดๆ ทุกต้นซึ่งพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์มิได้ทรงปลูกไว้จะต้องถอนเสีย
** คือคนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ แต่ไม่รู้ตัว เขาคิดว่าเขาเป็นคนของพระเจ้า และจะได้รอดแน่นอน เหมือนทุกวันนี้ที่มีผู้เชื่อมากมายที่ไม่ได้รอดเพราะเหตุไม่ได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง
15:14 ช่างเขาเถิด เขาเป็นผู้นำตาบอดนำทางคนตาบอด ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองจะตกลงไปในบ่อ"
** นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดใน คริสตจักรทั่วๆ ไป ผู้นำอ่านและตีความหมายด้วยสติปัญญาของอาดัม จากนั้นก็นำมาสอนคนอื่นจึงกลายเป็นตาบอดนำทางคนตาบอด ตาบอดยังไม่พอ ยังตัดสินคนที่ตาดีแล้ว และรับการทายาหยอดตาแล้วว่าตาบอด น่าสงสารพี่น้องเหล่านี้
15:15 ฝ่ายเปโตรทูลพระองค์ว่า "ขอทรงโปรดอธิบายคำอุปมานี้ให้พวกข้าพระองค์ทราบเถิด"
15:16 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบว่า "ท่านทั้งหลายยังไม่เข้าใจด้วยหรือ
15:17 ท่านยังไม่เข้าใจหรือว่า สิ่งใดๆ ซึ่งเข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป
15:18 แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
15:19 ความคิดชั่วร้าย การฆาตกรรม การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การพูดหมิ่นประมาท ก็ออกมาจากใจ
15:20 สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่ซึ่งจะรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมือก่อน ไม่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน"
** เปโตรถามซ้ำเพราะไม่เข้าใจ พระเยซูทรงอธิบายให้ท่านฟังอย่างชัดเจน แต่คริสเตียนทุกวันนี้ก็ยังถกเถียงในเรื่องจะกิน หรือไม่กินเพื่อพระเจ้า เพราะเขามองไม่เห็นสิ่งที่พระเยซูอธิบายอย่างชัดเจนในข้อนี้
15:21 แล้วพระเยซูเสด็จไปจากที่นั่นเข้าไปในเขตแดนเมืองไทระ และเมืองไซดอน
15:22 ดูเถิด มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งมาจากเขตแดนนั้นร้องทูลพระองค์ว่า "โอ พระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงโปรดเมตตาข้าพระองค์เถิด ลูกสาวของข้าพระองค์มีผีสิงอยู่เป็นทุกข์ลำบากยิ่งนัก"
15:23 ฝ่ายพระองค์ไม่ทรงตอบเขาสักคำเดียว และพวกสาวกของพระองค์มาอ้อนวอนพระองค์ ทูลว่า "ไล่เธอไปเสียเถิด เพราะเธอร้องตามเรามา"
15:24 พระองค์ตรัสตอบว่า "เรามิได้รับใช้มาหาผู้ใด เว้นแต่แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล"
15:25 ฝ่ายหญิงนั้นก็มานมัสการพระองค์ทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์เถิด"
15:26 พระองค์จึงตรัสตอบว่า "ซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้แก่สุนัขก็ไม่ควร"
15:27 ผู้หญิงนั้นทูลว่า "จริงพระองค์เจ้าข้า แต่สุนัขนั้นย่อมกินเดนที่ตกจากโต๊ะนายของมัน"
15:28 แล้วพระเยซูตรัสตอบเขาว่า "โอ หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มาก ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถิด" และลูกสาวของเขาก็หายเป็นปกติตั้งแต่ขณะนั้น
15:29 พระเยซูจึงเสด็จจากที่นั่นมายังทะเลสาบกาลิลี แล้วเสด็จขึ้นไปบนภูเขาทรงประทับที่นั่น
15:30 และประชาชนเป็นอันมากมาเฝ้าพระองค์ พาคนง่อย คนตาบอด คนใบ้ คนพิการ และคนเจ็บอื่นๆหลายคนมาวางแทบพระบาทของพระเยซู แล้วพระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย
15:31 คนเหล่านั้นจึงอัศจรรย์ใจนักเมื่อเห็นคนใบ้พูดได้ คนพิการหายเป็นปกติ คนง่อยเดินได้ คนตาบอดกลับเห็น แล้วเขาก็สรรเสริญพระเจ้าของชนชาติอิสราเอล
15:32 ฝ่ายพระเยซูทรงเรียกพวกสาวกของพระองค์มาตรัสว่า "เราสงสารคนเหล่านี้ เพราะเขาค้างอยู่กับเราได้สามวันแล้ว และไม่มีอาหารจะกิน เราไม่อยากให้เขาไปเมื่อยังอดอาหารอยู่ กลัวว่าเขาจะหิวโหยสิ้นแรงลงตามทาง"
15:33 พวกสาวกทูลพระองค์ว่า "ในถิ่นทุรกันดารนี้ เราจะหาอาหารที่ไหนพอเลี้ยงคนเป็นอันมากนี้ให้อิ่มได้"
15:34 พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า "ท่านมีขนมปังกี่ก้อน" เขาทูลว่า "มีเจ็ดก้อนกับปลาเล็กๆสองสามตัว"
15:35 พระองค์จึงสั่งประชาชนให้นั่งลงที่พื้นดิน
15:36 แล้วพระองค์ทรงรับขนมปังเจ็ดก้อนและปลาเหล่านั้นมาขอบพระคุณ แล้วจึงทรงหักส่งให้เหล่าสาวกของพระองค์ เหล่าสาวกก็แจกให้ประชาชน
** "เมื่อทรงรับจากเรา ก็ทรงขอบพระคุณและหัก" "หัก" คือประหารเรา ทำให้เรายอมแพ้อย่างสิ้นเชิง เพื่อเราจะเกิดผล (ยอห์น 12:24 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก)
** "การถูกหัก" ในที่นี้ คือตาย ถูกประหาร ถูกทำลาย ถูกข่มเหง พบเจอปัญหามากมายจากพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน และชาวโลก เพื่อการเกิดผล
15:37 และคนทั้งปวงได้รับประทานอิ่มทุกคน อาหารที่เหลือนั้น เขาเก็บได้เจ็ดกระบุงเต็ม
15:38 ผู้ที่ได้รับประทานอาหารนั้นมีผู้ชายสี่พันคน มิได้นับผู้หญิงและเด็ก
15:39 พระองค์ตรัสสั่งให้ประชาชนไปแล้ว ก็เสด็จลงเรือมาถึงเขตเมืองมักดาลา