7:1 หลังจากสิ่งเหล่านี้พระเยซูก็ได้เสด็จไปในแคว้นกาลิลี ด้วยว่าพระองค์ไม่ประสงค์ที่จะเสด็จไปในแคว้นยูเดีย เพราะพวกยิวหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์เสีย
** ยอห์นบทที่ห้า พระเยซูรักษาชายพิการในกรุงเยรูซาเล็ม และกล่าวกับชาวยิวว่า “เราเป็น” (I AM-YHVH (יהוה) – The LORD =เจ้านาย-จอมเจ้านาย) ทำให้พวกเขาโกรธแค้นมากเนื่องจากว่าไม่มีใครกล้าพูดคำนี้ นอกจากพระเจ้าเท่านั้น และเมื่อน้อง ๆ ของพระองค์ชวนให้ขึ้นไปเทศกาล พระองค์จึงเสด็จไปในแคว้นกาลิลีก่อน และเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มอย่างการลับ ๆ
7:2 บัดนี้เทศกาลเลี้ยงการอยู่เพิงของพวกยิวใกล้จะถึงแล้ว
** เทศกาลอยู่เพิง คือเทศกาลเพื่อชาวอิสราเอลจะระลึก หรือหวนคิด จดจำการเดินทางที่ต้องตั้งเต็นท์ เพื่อนอนพักในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปีของบรรพบุรุษของพวกเขา
7:3 ฉะนั้นพวกน้อง ๆ ของพระองค์จึงกล่าวแก่พระองค์ว่า “จงออกจากที่นี่ (แค้วนกาลิลี) และเข้าไปยังแคว้นยูเดียเถิด เพื่อพวกสาวกของพี่จะได้เห็นการงานทั้งหลายที่พี่กระทำด้วย
7:4 ด้วยว่าไม่มีผู้ใดทำสิ่งใดอย่างลับ ๆ และผู้นั้นเองก็พยายามที่จะเป็นที่รู้จักอย่างเปิดเผย ถ้าพี่กระทำสิ่งเหล่านี้ก็จงสำแดงตัวพี่เองให้ปรากฏแก่โลกเถิด”
7:5 เพราะพวกน้อง ๆ ของพระองค์ก็มิได้เชื่อในพระองค์เหมือนกัน (น้องๆ ของพระเยซูไม่เชื่อในพระเยซู)
** น้อง ๆ ของพระเยซูไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้า
** ความสว่างของโลก เป็นเหตุให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตจากพระเจ้า ที่มีพลัง และสันติสุขเพื่ออยู่ในโลกที่มีแต่ความทุกข์ และสิ้นหวังนี้ได้ พวกเขาจึงท้าพระเยซูให้เดินทางไปด้วยกัน และเริ่มทำให้คนทั้งหลายในกรุงเยรูซาเล็มได้เห็น และจะเชื่อ
7:6 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เวลาของเรายังไม่มาถึง แต่เวลาของพวกเจ้ามีอยู่พร้อมเสมอ
7:7 โลกจะเกลียดชังพวกเจ้าไม่ได้ แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานถึงโลกว่า การงานทั้งหลายของโลกนั้นชั่วร้าย
** "โลก" ในที่นี้ คือ "มนุษย์" (ดู ยอห์น 3:16 และ โรม 5:12))
** น้อง ๆ ของพระเยซูไม่เคย และไม่กล้าตำหนิ /ตัดสินพวกผู้นำศาสนายิวจึงไม่มีปัญหาอะไร และไม่ถูกข่มเหง ไม่เหมือนพระเยซูที่งทรงเปิดเผยความชั่วช้าของพวกเขา
7:8 พวกเจ้าจงขึ้นไปในเทศกาลเลี้ยงนี้เถิด เรายังไม่ขึ้นไปในเทศกาลเลี้ยงนี้ เพราะว่าเวลาของเรายังไม่มาถึงเต็มที่”
7:9 เมื่อพระองค์ได้ตรัสคำเหล่านี้แก่พวกเขาแล้ว พระองค์ก็ยังประทับอยู่ในแคว้นกาลิลี
** ชาวยิวตามหาพระเยซูในงานเทศกาลนี้ เนื่องจากพระเยซูละเมิดวันสะบาโต และกล่าวว่า "เราเป็น" (ยอห์นบทที่ 5 และบทที่ 7:23) ซึ่งเป็นการเทียบเท่าพระองค์กับพระบิดา
** ผู้ชายชาวยิวจะต้องมาร่วมเทศกาลที่กรุงเยรูซาเล็มสามเทศกาล หรืออย่างน้อยปีละสามครั้งเพราะว่านี่คือกฏหมายของโมเสสสั่งเอาไว้
** พระเยซูให้น้อง ๆ ของพระองค์เดินทางไปก่อนเพื่อพวกเขาจะไม่เดือดร้อนจากผู้นำยิว
7:10 แต่เมื่อพวกน้อง ๆ ของพระองค์ขึ้นไปแล้ว พระองค์จึงเสด็จขึ้นไปยังเทศกาลเลี้ยงนั้นด้วย ไม่ใช่แบบเปิดเผย แต่เหมือนกับขึ้นไปอย่างลับ ๆ
7:11 แล้วพวกยิวจึงแสวงหาพระองค์ในเทศกาลเลี้ยงนั้น และกล่าวว่า “คนนั้นอยู่ที่ไหน”
** ผู้นำยิวพากันแสวงหาพระเยซูเพราะว่าพวกเขารู้ดีว่าผู้ชายยิวจำต้องเดินทางมาฉลองเทศกาลที่เยรูซาเล็ม
7:12 และมีการบ่นพึมพำกันเป็นอันมากในท่ามกลางประชาชนเรื่องพระองค์ เพราะบางคนกล่าวว่า “เขาเป็นคนดี” คนอื่น ๆ กล่าวว่า “ไม่ใช่ แต่เขาหลอกลวงประชาชน”
** คนมากมายในเวลานั้น เชื่อว่าพระเยซูเป็นครูสอนเทียมเท็จ เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจ เมื่อมีคนมาหาว่าเราเทียมเท็จ เพราะเขาไม่เข้าใจ
7:13 แต่ไม่มีผู้ใดพูดอย่างเปิดเผยเรื่องพระองค์ เพราะกลัวพวกยิว
สรุป ข้อที่ 1 จนถึง 13
** เทศกาลอยู่เพิง – พระเจ้าเลี้ยงดู/ดูแลชนชาติอิสราเอลด้วยอาหารที่มาจากสวรรค์ทุกวัน คือมานา และน้ำที่ออกมาจากหินซึ่งอยู่เหนือธรรมชาติ พระเจ้าก็เลี้ยงดูดูแลเราในลักษณะเดียวกัน ขอให้เราขอบพระคุณ ไม่ใช่กระวนกระวาย พระเจ้ามีทางของพระองค์ที่จะเลี้ยงดูเรา เรากังวลกระวนกระวายก็ยิ่งจะไม่เห็นการช่วยเหลือของพระเจ้า
** เรื่องเวลาเป็นของพระเจ้า เราต้องเรียนรู้คำว่า..รอ..อย่าใจร้อน เอาแต่ใจ ช้าเร็วไม่สำคัญ พระเจ้าสั่งให้เริ่มทำเราจึงเริ่มทำ พระเจ้าไม่สั่งไม่ทำ จึงไม่ผิด แต่ถ้าไม่ได้สั่งให้ทำแล้วเรารีบไปทำ อันนี้ผิด
** โยชูวา บทที่ห้า ท่านนำทหารเพื่อบุกเข้ายึดบ้านเมืองในดินแดนคนาอัน เมื่อท่านเห็นว่าทุกสิ่งพร้อมแล้วเนื่องจากว่าเหล่าศัตรูพากันเกรงกลัวอย่างมากเมื่อได้รู้ว่าพระเจ้าอยู่เคียงข้างชนชาติอิสราเอล แต่พระเจ้าบอกให้ท่านรอ และทำสิ่งที่ท่านไม่คาดคิด คือเข้าสุหนัตให้ลูกหลานชาวอิสราเอลทุก ๆ คน เนื่องจากว่าเขายังไม่พร้อมสำหรับพระเจ้า ซึ่งกว่าบาดแผลจะหายก็ต้องใช้เวลาประมาณ1-2 สัปดาห์
** ก่อนที่จะดำเนินชีวิต รับใช้ ปรนิบัติพระเจ้า เราพร้อมหรือยัง เรากำลังใช้ชีวิตเก่าหรือชีวิตใหม่ ผู้เชื่อมากมายรีบทำทุกสิ่งเพื่อพระเจ้าโดยไม่อ่าน ไม่เรียนรู้ก่อนว่าพระเจ้าได้กระทำสิ่งใดต่อชีวิตของเราแล้ว สุดท้ายก็ล้มเหลว หล่นจากพระคุณ
(น้องๆ ของพระเยซูสั่งให้พระเยซูรีบไปทำอะไรก็ได้เพื่อให้ผู้นำยิวเชื่อจะได้ไม่มีปัญหาอีก แต่พระเยซูรอให้ถึงเวลาของพระบิดา พระองค์ไม่ตามใจมนุษย์)
** อย่าทำอะไรแล้วทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนกับบเราด้วย
** เราเป็น คือคำเดียวกันกับ ยาเวห์ หรือเยโฮวาห์
หนังสือยอห์นบทที่ 5-6-7
- ยอห์นบทที่ 5 พระเยซูทำกิจในวันสะบาโต
- ยอห์นบทที่ 6 เป็นช่วงเทศกาลปัสกา พระเยซูประกาศว่าพระองค์เป็นอาหารแห่งชีวิตและน้ำแห่งชีวิต
- ยอห์นบทที่ 7 คือเทศกาลอยู่เพลิง คือการมาร่วมกันของชาวยิวเพื่อขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงเลี้ยงดูพวกเขาเป็นเวลาสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดารด้วยวิธีที่เหนือธรรมชาติ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเดินทางไกลและทำเต็นท์เพื่อนอนในเวลากลางคืนก็ตาม แต่พระเจ้าให้เขาไม่เหนื่อยและไม่อดอยาก
การเรียนรู้ สติปัญญาที่มาจากมนุษย์กับการเรียนรู้และสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า ไม่เหมือนกัน
ผู้ที่เปิดใจถ่อมใจจะได้ยินเสียงของพระพระคริสต์ผ่านผู้รับใช้ เขาเหล่านั้นจะได้รับการเปิดตาเพื่อเข้าสู่ความจริงแห่งพระคำพระเจ้า และได้เข้าอยู่ในการพักผ่อนหรือพักสงบที่แท้จริงที่เรียกว่า สะบาโตใหม่ของพระเยซู
เราบุตรพระเจ้าที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณแล้ว จะไม่กระทำสิ่งใดเพื่อหวังผลตอบแทนและเกียรติชื่อเสียงหน้าตา
แท้ที่จริงแล้ว ชาวยิวไม่ได้พยายามรักษาพระบัญญัติอย่างเคร่งครัด เนื่องจากว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากว่าพระบัญญัติเป็นมาโดยพระวิญญาณแต่มนุษย์ตกต่ำเสื่อมทรามและถูกขายให้บาปแล้ว (โรมบทที่เจ็ด)
บุตรพระเจ้าจะไม่ตัดสินใคร และไม่ฟังเสียงข้างเดียว ไม่หูเบาเชื่ออะไรใครง่าย ๆ
บทความเพิ่มเติม: สำหรับเรื่องพระบัญญัติ
7:14 ครั้นถึงวันกลางเทศกาลนั้น พระเยซูได้เสด็จขึ้นไปในพระวิหารและทรงสั่งสอน
** ชาวยิวฉลองเทศกาลอยู่เพิงนานถึงแปดวัน พวกเขาจะใช้เวลาอยู่ที่บริเวณพระวิหารและกรุงเยรูซาเล็มเป็นส่วนมากเพื่อถวายเครื่องบูชาและกินดื่ม
7:15 พวกยิวคิดประหลาดใจและพูดว่า "คนนี้จะรู้ข้อความเหล่านี้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคยเรียนเลย"
** พระเยซูไม่เคยเรียนรู้พระบัญญัติของยิวเลย ซึ่งตอนยังอยู่ในวัยเด็กและเป็นหนุ่มพระองค์อาจจะได้อ่านและเรียนรู้พระคัมภีร์เดิมบ้างเล็กน้อยเหมือนคนยิวทั่วไป และคนที่จะพูดเก่งพูดดีต้องผ่านการเรียนรู้มามากเหมือนพวกฟาริสี และธรรมาจารย์
เนื่องจากว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และทรงเต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญา (ลก 2:40 และพระกุมารนั้นก็ได้เจริญวัยขึ้น และเข้มแข็งขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณ เต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้าสถิตอยู่บนพระองค์)
7:16 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า "คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา
** ไม่ใช่ของเราเองคือไม่ใช่คำพูดของชายที่ชื่อเยซู แต่เป็นคำพูดของพระเจ้าที่อยู่ในท่านต่างหาก
7:17 ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า หรือว่าเราพูดตามใจชอบของเราเอง
** คือคุณลักษณะของคนที่เปิดใจถ่อมใจยอมรับฟัง เขาจะได้รับการเปิดเผยว่าถ้อยคำที่พระเยซูกล่าวนั้นเป็นความจริงที่มาจากพระเจ้า ไม่ใช่คำสอนจากมนุษย์
7:18 ผู้ใดที่พูดตามใจชอบของตนเอง ผู้นั้นย่อมแสวงเกียรติสำหรับตนเอง แต่ผู้ที่แสวงเกียรติให้พระองค์ผู้ทรงใช้ตนมา ผู้นั้นแหละเป็นคนจริง ไม่มีอธรรมอยู่ในเขาเลย
** (พระเยซูไม่เคยยอมรับเกียรติ และยกย่องพระองค์เองเลย แต่ยกย่องพระบิดาเพียงผู้เดียว)
** เราพบว่าเมื่อเราได้รับการเปิดตา และได้พบพระคำล้ำลึก พระวิญญาณจะสอนเราให้พูด ดำเนินชีวิต รับใช้ และปรนิบัติพระเจ้าด้วยการไม่มีตัวตน แต่ถวายเกียรติแด่พระองค์เพียงผู้เดียวในทุกสิ่ง และทุกเรื่อง
7:19 โมเสสได้ให้พระบัญญัติแก่ท่านทั้งหลายมิใช่หรือ และไม่มีผู้ใดในพวกท่านประพฤติตามพระบัญญัตินั้น ท่านทั้งหลายหาโอกาสที่จะฆ่าเราทำไม"
** (แท้ที่จริงชาวยิวไม่ได้รักษาพระบัญญัติ ของโมเสส เพียงแต่พูดแต่ไม่ได้รักษากันจริงๆ)
** เปาโลเปิดเผยว่า ท่านเองที่คนทั่วไปมองว่ารักษาพระบัญญัติอย่างเคร่งครัดก็ยังทำบาปอย่างมากมาย เพียงแต่ท่านและชาวยิวทั้งหลายใส่หน้ากาก และทำตัวให้ดูดีภายนอก เนื่องจากว่าการรักษาพระบัญญัติไม่ใช่เรื่องที่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่เป็นเนื้อหนังที่ตกต่ำและถูกขายให้บาปแล้ว มนุษย์วิญญาณที่มีพระคริสต์ในเราเท่านั้นที่รักษาได้ เพราะว่าพระบัญญัติเป็นมาโดยพระวิญญาณ
** คริสเตียนมากมายทุกวันนี้พยายามรักษาพระบัญญัติเพื่อให้เป็นผู้ชอบธรรมและให้พระบิดาพอพระทัย แต่พอเป็นคริสเตียนนานเข้าจึงยอมรับภายในจิตใจว่าตนทำไม่ได้ มีคำสอนมากมายเพื่อเลิกทำบาปได้ 3 ข้อเด็ด เคล็ดลับ 5 ข้อ 7 ข้อ ฯลฯ แต่ก็เลิกไม่ได้
7:20 คนเหล่านั้นตอบว่า "ท่านมีผีสิงอยู่ ใครเล่าหาโอกาสจะฆ่าท่าน"
7:21 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราได้ทำสิ่งหนึ่งและท่านทั้งหลายประหลาดใจ
7:22 โมเสสได้ให้ท่านทั้งหลายเข้าสุหนัต (มิใช่ได้มาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ) และในวันสะบาโตท่านทั้งหลายก็ยังให้คนเข้าสุหนัต
7:23 ถ้าในวันสะบาโตคนยังเข้าสุหนัต เพื่อมิให้ละเมิดพระราชบัญญัติของโมเสสแล้ว ท่านทั้งหลายจะโกรธเรา เพราะเราทำให้ชายผู้หนึ่งหายโรคเป็นปกติในวันสะบาโตหรือ
** เรื่องพระเยซูรักษาโรคชายพิการที่สระน้ำถือว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มากสำหรับชาวยิว เนื่องจากว่าพระองค์กระทำในวันสะบาโต ชาวยิวห้ามทุกคนไม่ให้ทำงาน ทำอาหาร เดินทางไกลออกไปจากหมู่บ้านของตน แต่ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวอธิษฐาน อ่าน และนมัสการพระเจ้าที่บ้าน และที่พระวิหาร และถ้าหากไม่ทำตามถือว่าละเมิดกฎในวันสะบาโต
** คำว่า สะบาโต ภาษาฮีบรูแปลว่า พักผ่อน Rest שַׁבָּת เราขอบพระคุณพระเยซูซึ่งวันสะบาโตของชาวยิวมีวันเดียวและเป็นฝ่ายร่างกาย แต่ฮีบรูบทที่สี่กล่าวว่าพระเยซูคริสต์เป็นสะบาโตของเราแล้ว ซึ่งความหมายก็คือ เราได้พักสงบ พักผ่อน มีสันติสุขเต็มล้นภายในจิตใจของเรา ไม่ต้องกระวนกระวาย หรือทุกข์ร้อนในเรื่องใด ๆ ทั้งนั้น เนื่องจากว่าพระคริสต์ทรงสถิตในเรา เพื่อบิดา อาบา เป็นชีวิต เป็นอาหารแห่งชีวิต เป็นน้ำแห่งชีวิต เป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนเรา และเป็นทุกสิ่งของเรา และผู้ที่ “มาหา” พระเจ้าจะได้รับการพักผ่อน แอกก็เบา ภาระเบา กางเขนก็เบา เอเมน
7:24 อย่าตัดสินตามที่เห็นภายนอก แต่จงตัดสินตามชอบธรรมเถิด"
** (มนุษย์ และแม้แต่คริสเตียนเองก็ชอบตัดสินจากภายนอก แต่ผู้เชื่อที่โตแล้วจะมองที่ภายใน คือจิตใจและฝ่ายวิญญาณ (2 คร 5:16-17))
7:25 เพราะฉะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็มบางคนจึงพูดว่า "คนนี้มิใช่หรือที่เขาหาโอกาสจะฆ่าเสีย
7:26 แต่ดูเถิด ท่านกำลังพูดอย่างกล้าหาญและเขาทั้งหลายก็ไม่ได้ว่าอะไรท่านเลย พวกขุนนางรู้แน่แล้วหรือว่า คนนี้เป็นพระคริสต์แท้
7:27 แต่เรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน แต่เมื่อพระคริสต์เสด็จมานั้น จะไม่มีผู้ใดรู้เลยว่า พระองค์มาจากไหน"
** พระคริสต์ (Χριστός คริสต์โตส กรีกแปว่าผู้ที่ถูกเจิมหรือถูกเลือกเอาไว้) เป็นคำเดียวกันกับคำว่า เมสสิยาห์ ในสมัยก่อนผู้เผยพระวจนะจะทำการเจิมผู้นำทางการเมือง หรือผู้นำศาสนาด้วยน้ำมันเพื่อแต่งตั้งให้รับหน้าที่ที่สำคัญ สำหรับพระคริสต์พระเจ้าทรงเจิม/เลือกด้วยพระองค์เองและด้วยพระวิญญาณซึ่งเล็งถึงน้ำมัน (มธ. 3:16-17)
** ชาวยิวรอคอยพระคริสต์ หรือ พระเมสสิยาห์ ตามคำทำนายในพระคัมภีร์เดิม คือพระองค์จะเสด็จมาในลักษณะผู้ยิ่งใหญ่มีสง่าราศรีเพื่อมาช่วยชนชาติอิสราเอลให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสและความทุกข์กายทุกข์ใจทั้งหลาย และพวกเขาจะไม่ค่อยรู้ว่าพระองค์มาจากไหน รู้เพียงแต่ว่าพระองค์มาจากเชื้อสายของดาวิด
7:28 ดังนั้นพระเยซูจึงทรงประกาศขณะที่ทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหารว่า "ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามาจากไหน แต่เรามิได้มาตามลำพังเราเอง แต่พระองค์ผู้ทรงใช้เรามานั้นทรงสัตย์จริง แต่ท่านทั้งหลายไม่รู้จักพระองค์
7:29 แต่เรารู้จักพระองค์เพราะเรามาจากพระองค์และพระองค์ได้ทรงใช้เรามา"
** ผู้เผยพระวจนะ ในสมัยพระคัมภีร์เดิมพระเจ้าทรงใช้เขามา พระองค์จะสั่งให้เขาพูด ในสิ่งที่ต้องการให้ชนชาติอิสราเอลได้รู้และบางครั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สถิตอยู่ในคนที่พูด พอพูดจบก็ออกไปจากเขา ชาวยิวส่วนมากจึงเคารพและยำเกรง เมื่อพระเยซูเสด็จมา ชาวยิวไม่รู้ (ไม่เข้าใจ) ว่าพระบิดาทรงสถิตอยู่ในพระองค์ทุกวันและทุกเวลา และถ้อยคำทั้งหมดของพระเยซูก็คือพระบิดาเป็นคนพูดเอง เพราะฉะนั้นบางคนคิดว่าพระเจ้าทรงใช้พระองค์มาในฐานะผู้เผยพระวจนะ บางคนเชื่อว่าพระองค์เป็นครูสอนศาสนา และบางคนคิดว่าพระองค์เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่อยากมีชื่อเสียงโด่งดัง โดยอ้างตนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือพระคริสต์ซึ่งในประเทศอิสราเอลมีมาให้เห็นเป็นครั้งคราว
** คำกล่าวของพระเยซูในข้อที่ 28-29 เป็นคำพูดที่ไม่เหมือนผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมพูดกัน แต่เป็นลักษณะของคนที่เชื่อมั่นว่าพระบิดาทรงเป็นคนเจิมด้วยพระองค์เองและทรงใช้มา และสถิตอยู่ด้วย ทำให้ผู้นำศาสนายิวโกรธมากและหวังที่จะฆ่าพระองค์เสีย
7:30 เขาทั้งหลายจึงหาโอกาสที่จะจับพระองค์ แต่ไม่มีผู้ใดยื่นมือแตะต้องพระองค์ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์
** เวลากำหนดของพระเยซูอยู่ที่พระบิดา และเวลาของเราทุกๆ คนก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระบิดา ทุกสิ่งที่เข้ามาและเกิดขึ้นพระบิดาทรงกำหนดและทรงอนุญาตให้เกิดจึงจะเกิดกับเราได้ และสิ่งดีหรือไม่ดีที่เกิดกับเราก็เพื่อให้เราเข้าส่วนในส่าราศรีกับพระเยซู
7:31 และมีหลายคนในหมู่ประชาชนนั้นได้เชื่อในพระองค์และพูดว่า "เมื่อพระคริสต์เสด็จมานั้น พระองค์จะทรงกระทำอัศจรรย์มากยิ่งกว่าที่ผู้นี้ได้กระทำหรือ"
7:32 เมื่อพวกฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบกันเรื่องพระองค์อย่างนั้น พวกฟาริสีกับพวกปุโรหิตใหญ่จึงได้ใช้เจ้าหน้าที่ไปจับพระองค์
7:33 พระเยซูจึงตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง แล้วจะกลับไปหาพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา
7:34 ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา และที่ซึ่งเราอยู่นั้นท่านจะไปไม่ได้"
** (พระเยซูตรัสกับยิว ไม่ได้ตรัสกับสาวก (ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา “และที่ซึ่งเราอยู่นั้นท่านจะไปไม่ได้”))
** แสวงหา ในที่นี้คือชาวยิวยังแสวงหาพระคริสต์อยู่และจะไม่พบเนื่องจากว่าพวกเขาเห็นพระเยซูแต่ยังไม่รู้ว่าใช่พระคริสต์และไม่เชื่อในพระองค์ ทุกวันนี้ชาวยิวก็ยังแสวงหาพระคริสต์ของพวกเขาทั้งๆ ที่พระองค์เสด็จมาได้สองพันปีแล้ว
** ที่ซึ่งเราอยู่นั้นท่านจะไปไม่ได้ คือผู้ชายชื่อเยซูที่เป็นขึ้นมาจากตายตอนนี้พระองค์ประทับอยู่ที่พระบัลลังก์ในสวรรค์ และชีวิตของพระองค์ที่เป็นพระวิญญาณก็เข้ามาอยู่ในเราทุกคน ซึ่งคนที่ไม่เชื่อวางใจในพระองค์จะไปไม่ถึง ไม่ว่าจะบนสวรรค์หรือในวิญญาณของพวกเขา ส่วนพวกเราตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเยซูและอยู่ในวิญญาณของเราร่วมกับพระเยซูแล้ว (อฟ 2:6 และทรงให้พวกเราเป็นขึ้นมาด้วยกัน และโปรดให้พวกเรานั่งด้วยกันในสวรรคสถานในพระเยซูคริสต์/ คส 1:27 ผู้ซึ่งพระเจ้าจะโปรดให้ทราบว่า อะไรเป็นความมั่งคั่งแห่งสง่าราศีของข้อลึกลับนี้ในท่ามกลางคนต่างชาติ ซึ่งก็คือพระคริสต์ผู้ทรงสถิตอยู่ในพวกท่าน อันเป็นที่หวังแห่งสง่าราศี/ ยอห์นบทที่ 14)
7:35 พวกยิวจึงพูดกันว่า "คนนี้จะไปไหน ที่เราจะหาเขาไม่พบ เขาจะไปหาคนที่กระจัดกระจายไปอยู่ในหมู่พวกต่างชาติและสั่งสอนพวกต่างชาติหรือ
7:36 เขาหมายความว่าอย่างไรที่พูดว่า `ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา' และ `ที่ซึ่งเราอยู่นั้นท่านจะไปไม่ได้'"
บทความเพิ่มเติม : เขาทั้งหลายจึงหาโอกาสที่จะจับพระองค์ (ยอห์น 7:30)
7:37 ในวันที่สุดท้ายของเทศกาลซึ่งเป็นวันใหญ่นั้น พระเยซูทรงยืนและประกาศว่า "ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม
** พระเยซูคือคำตอบของชีวิต
- บทที่ 7 นี้จะเน้นเรื่อง พระเยซูเป็นน้ำแห่งชีวิตและชีวิตพระเจ้าที่เข้ามาอยู่ในเราเพื่อเราจะไม่กระหาย และไม่ต้องไปรับการเจิมจากใครอีก
- พระเยซูจะกลับมาหาเราในสภาพของพระวิญญาณ เพื่อเข้ามาอยู่ในเรา
** วันสุดท้ายของเทศกาล ชาวยิวพากันเสียดายที่เวลาแห่งการสนุกสนานดื่มกินฉลองงานกันและวันสุดท้ายก็มาถึงแล้ว พรุ่งนี้พวกเขาต้องกลับไปใช้ชีวิตที่ทำการงานหนักและแบกภาระหนักเหมือนเดิม แต่....พระเยซูประกาศกับพวกเขาเพื่อให้ความหวังที่ไม่มีใครเคยให้ได้ในอดีตปัจจุบันและอนาคตได้ คือพระองค์มี น้ำแห่งชีวิต ซึ่งหมายถึงสันติสุข ความสุขที่เกิดจากภายในโดยไม่ต้องซื้อเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุกร่าเริงเหมือนการฉลองเทศกาล เพียงแต่วางใจในพระเยซูเท่านั้น
** เมื่อกลับใจเชื่อ เป็นคริสเตียน เราพบว่าตอนแรกเริ่ม ผู้นำคริสตจักรสอนว่าเชื่อและเชื่อฟัง เราจะมีสันติสุข ชีวิตดีดี แต่พอเชื่อนานเข้าเรากลับพบว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ทุกคนก็ต้องแกล้งทำเป็นยิ้ม มีสันติสุข โบสถ์จึงเป็นที่ ๆ คริสเตียนมาร่วมกันเพื่อแสดงละคร คือมายิ้มใส่กันสองสามชั่วโมง พอออกจากโบสถ์ก็กลับมาเป็นตัวจริงของเรา สันติสุขเราเคยมีก็ต่อเมื่อเราอธิษฐาน อ่าน และนมัสการพระเจ้า แต่เวลาที่เหลือในชีวิตเราก็ไม่มีสันติสุขแต่มีทุกข์มากกว่า เราต่างก็พูด สอน และแนะนำทุกคนว่าทำแบบนี้แบบนั้นหรือขอสันติสุขจากพระเจ้า แต่สุดท้ายก็ไม่มีสันติสุขทุกวันเวลาได้ เป็นเรื่องเศร้าท่ามกลางสังคมคริสเตียน แต่เราขอบคุณพระเยซูที่ได้พบพระคำล้ำลึกเข้าสู่อาหารผู้ใหญ่และพบและได้ดื่มน้ำแห่งชีวิตจริง ๆ เราไม่ต้องขอและไม่ต้องรอให้ชีวิตไม่มีบาปไม่ทำบาป แต่แค่เชื่อว่าพระคริสต์ทรงอยู่ในเราและทรงเป็นสันติสุขของเรา เนื่องจากว่าสันติสุขเป็นของแถมที่เราได้รับเมื่อเราเชื่อในพระองค์ (โรม 5:1)
- ยอห์นบทที่ 7 นี้จะเน้นเรื่อง พระเยซูเป็นน้ำแห่งชีวิตและชีวิตพระเจ้าที่เข้ามาอยู่ในเราเพื่อเราจะไม่กระหาย และไม่ต้องไปรับการเจิมจากใครอีก
- พระเยซูจะกลับมาหาเราในสภาพของพระวิญญาณ เพื่อเข้ามาอยู่ในเรา
7:38 ผู้ที่เชื่อในเรา ตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้แล้วว่า `แม่น้ำที่มีน้ำประกอบด้วยชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น'"
** ("เชื่อในเรา" ในที่นี้ ไม่ใช่เชื่อแบบ คริสเตียนเชื่อกันทุกวันนี้ ความหมายคือเชื่อเข้าใน หรือเชื่อและเอาชีวิตเข้ามาอยู่ในพระเยซู)
** การเชื่อในพระเยซู ในที่นี้ พระองค์หมายถึงผู้ที่เชื่อถูก ได้รับการเปิดเผยจากพระวิญญาณให้ได้รู้และเข้าใจการดำเนินชีวิตตามแบบที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ ผู้เชื่อที่ปกติคือผู้เชื่อที่ควรจะมีสันติสุขทุกวันเวลาและปล่อยปลงวางได้แล้วกับชีวิตที่มีทั้งสิ่งดีและไม่ดีเข้ามา เขาจะนิ่งสงบได้และไม่บ่น ไม่พูดมาก เนื่องจากเขารู้ว่าทางออกคือสนิทและอยู่เพื่อการขอบพระคุณเป็นส่วนมากไม่ใช่อยู่เพื่อการขอเป็นส่วนมาก
** `แม่น้ำที่มีน้ำประกอบด้วยชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น' คือพระเยซูเองที่เป็นสันติสุข ความสุข ความชื่นชืมยินดี เรายิ่งสนิทในพระองค์มากพระองค์ก็สนิทในเรามาก สิ่งที่เกิดขึ้นภายในวิญญาณของเราก็คือสันติสุขจะแพร่กระจายออกมาสู่จิตและร่างกายให้ชื่นใจ ยิ้มได้ ทั้ง ๆ ที่เราเจอปัญหาอยู่มากมายก็ตาม
** ความสุขภายใน คือยาเม็ดเดียวที่พระเจ้าประทานให้เราเพื่อเมื่อเราได้กินแล้วก็หายจากทุกโรคได้ คือโรคกระวลกระวาย โรคกังวล โรคเป็นห่วงชีวิต ห่วงคนโน้นคนนี้ ห่วงเรื่องโน้นเรื่องนี้ โรคคิดมาก โรคซึมเศร้า โรคขี้กลัว โรคกลัวปัญหา โรคกลัวความทุกข์ โรคนี้จะรักษาจิตใจเราให้ทำใจละปล่อยวางต่อทุกสิ่งทุกเรื่องได้ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะช่วยให้เราหมดปัญหาแต่พระเจ้าทำให้ชีวิตเก่าจิตใจเก่าที่เสื่อมของเราหมดไปต่างหากเพื่อให้เรามีสันติสุขได้ในวันนี้พรุ่งนี้และสืบ ๆ ไป
7:39 (สิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ เหตุว่ายังไม่ได้ประทานพระวิญญาณให้ เพราะพระเยซูยังมิได้รับสง่าราศี)
** แปลจากกรีกคือ // "เหตุว่าพระวิญญาณยังไม่" (The Spirit not yet) เพราะว่าพระเยซูยังมิได้รับสง่าราศีจากพระบิดาและยังไม่มีสภาพเป็นวิญญาณเพื่อมาอยู่ในเรา
** (ฉบับคิงเจมส์มีคำว่า “บริสุทธิ์” แต่ต้นฉบับภาษากรีกไม่มี ซึ่งในข้อนี้หมายถึงเมื่อพระเยซูได้รับสง่าราศรีจากพระบิดา พระองค์จึงแบ่งวิญญาณของพระองค์ให้เข้ามาอยู่ในผู้เชื่อทุกคนได้)
** พระสัญญาของพระเยซูในยอห์นบทที่ 7 ข้อที่ 39 เรื่องการได้รับพระวิญญาณของพระคริสต์ รวมถึงพระวิญญาณของพระบิดา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สำเร็จในยอห์นบทที่ 20 ข้อที่ 22
พระสัญญาของพระบิดาในหนังสือโยเอล 28 เรื่องการได้รับการนุ่งห่มพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สำเร็จในกิจการบทที่ 2 ข้อที่ 2
ผลเสียของการไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้จะทำให้คริสเตียนแสวงหาการเตรียมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายนอกเท่านั้น และเน้นเรื่องฤทธิ์เดชของประทานภาษาแปลกๆร้องไห้หัวเราะการอัศจรรย์จึงทำให้พวกเขาขึ้นลงขึ้นลง ชีวิตไปไม่ถึงไหนพอถึงวันอาทิตย์ก็ตื่นเต้นมีไฟแต่พอออกจากคริสตจักรไปก็ดับกลับกลายเป็นเหมือนคนที่ไม่เชื่อธรรมดาคนหนึ่ง
ขอบคุณพระเยซู เมื่อเราได้รู้ความจริงแห่งพระคำโดยพระวิญญาณแห่งความจริง เราจึงไม่แสวงหาสิ่งอื่นใดนอกจากการเต็มล้นภายใน โดยการสนิทบอกรักสร้างความผูกพันที่ดีกับพระคริสต์เยซูที่อยู่ในเรา เรารัก และยกย่องสรรเสริญพระองค์
บทความหนุนใจ : คำพยานและหนุนใจ
7:40 เมื่อประชาชนได้ฟังดังนั้น หลายคนจึงพูดว่า "แท้จริง ท่านผู้นี้เป็นศาสดาพยากรณ์นั้น"
7:41 คนอื่นๆ ก็พูดว่า "ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์" แต่บางคนพูดว่า "พระคริสต์จะมาจากกาลิลีหรือ
7:42 พระคัมภีร์กล่าวไว้มิใช่หรือว่า พระคริสต์จะมาจากเชื้อสายของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮมซึ่งดาวิดเคยอยู่นั้น"
7:43 เหตุฉะนั้นประชาชนจึงมีความเห็นแตกแยกกันในเรื่องพระองค์
7:44 บางคนใคร่จะจับพระองค์ แต่ไม่มีผู้ใดยื่นมือแตะต้องพระองค์เลย
7:45 เจ้าหน้าที่จึงกลับไปหาพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสี และพวกนั้นกล่าวกับเจ้าหน้าที่ว่า "ทำไมเจ้าจึงไม่จับเขามา"
7:46 เจ้าหน้าที่ตอบว่า "ไม่เคยมีผู้ใดพูดเหมือนคนนั้นเลย"
7:47 พวกฟาริสีตอบเขาว่า "พวกเจ้าถูกหลอกไปด้วยแล้วหรือ
** (เมื่อของปลอมเป็นของแท้ และของแท้กลายเป็นของปลอมในเวลานั้น และเวลานี้ก็ไม่แตกต่างกันมากเท่าไหร่ที่เราจะถูกเรียกว่าของปลอมหรือเชื่อผิดเพี้ยนไปจากเขาที่มีคนเยอะกว่า)
7:48 มีผู้ใดในพวกขุนนางหรือพวกฟาริสีเชื่อในผู้นั้นหรือ
7:49 แต่ประชาชนหมู่นี้ที่ไม่รู้พระราชบัญญัติก็ต้องถูกสาปแช่งอยู่แล้ว"
** (ยุคพระบัญญัติถ้าหากใครไม่รู้ พระบัญญัติก็จะถูกสาปแช่ง)
7:50 นิโคเดมัส (ผู้ที่ได้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนนั้น และเป็นคนหนึ่งในพวกเขา) ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า
** (นิโคเดมัส ปรากฏเป็นครั้งที่สอง และจะนำมดยอบมาห่อพระศพของพระเยซู (ดูข้อที่ 19:39))
7:51 "พระราชบัญญัติของเราตัดสินคนใดโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาก่อน และรู้ว่าเขาได้ทำอะไรบ้างหรือ"
7:52 เขาทั้งหลายตอบนิโคเดมัสว่า "ท่านมาจากกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดูเถิด เพราะว่าไม่มีศาสดาพยากรณ์เกิดขึ้นมาจากกาลิลี"
7:53 ต่างคนต่างกลับไปบ้านของตน
** "เทศกาลอยู่เพิง" คือยิวเมื่อก่อนเดินทาง ค่ำที่ไหนนอนที่นั่น ต้องมีเต็นท์ และจุดไฟกันหนาว
- ยอห์นบทที่ 7 คือเราทุกวันนี้ เราอยู่เต็นท์สำหรับพระเจ้า ไม่ว่าบ้านจะหลังใหญ่เล็กราคาถูกหรือแพงเท่าไหร่ คือเต็นท์นี่เอง เราอยู่ในถิ่นทุรกันดารชั่วคราวเพื่อรอราชอาณาจักรสวรรค์ที่จะมา
- ยิวรำลึกว่าเขาเคยยากจนเดินทางเร่ร่อนในวันนั้น
- เรารำลึกว่าเรากำลังอยู่ในโลกเร่ร่อนยากจนเดินทางไปมาเพื่อทำนารับใช้ประกาศ