3:1 ถ้าท่านรับการทรงชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว ก็จงแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนในที่ซึ่งพระคริสต์ทรงประทับข้างขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
** ผู้เชื่อทุกคนได้เข้าส่วนในการตายกับพระเยซูบนกางเขนแล้ว และได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระองค์ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เราดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณ ในพระวิญญาณเพื่ออยู่ในชีวิตและสันติสุข
3:2 จงฝังความคิดของท่านไว้กับสิ่งทั้งหลายที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่กับสิ่งทั้งหลายซึ่งอยู่ที่แผ่นดินโลก
** วิธีที่จะทำให้เราฝังความคิดไว้กับสิ่งที่อยู่เบื้องบนได้ ก็คือสนิทในพระคริสต์ พูดคุยสนทนากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ (ยน 15:1-5/1 ธส 5:17)
3:3 เพราะว่าท่านได้ตายแล้วและชีวิตของท่านซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า
** ชีวิตใหม่ของเราทุกวันนี้ซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ซึ่งเมื่อก่อนซ่อนอยู่ในอาดัม พระบิดาไม่อาจเห็นชีวิตเก่าของเราได้ เราจึงบริสุทธิ์ชอบธรรมไร้ตำหนิต่อพระพักตร์พระเจ้า เมื่อเราได้รู้ว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เราจึงสามารถรับทุกสิ่งที่อยู่ในพระคริสต์ได้ อย่างเช่นสันติสุข และชีวิตที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณ ที่มีชัยชนะต่อความบาปและความตายในแต่ละวัน
3:4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของเราจะทรงปรากฏ ขณะนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในสง่าราศีด้วย
** ทุกวันนี้เราไม่มีชีวิตอยู่ แต่พระคริสต์ต่างหากที่เป็นชีวิตของเรา ชีวิตที่เราดำรงอยู่คือพระคริสต์ กิน ดื่มไป มา นั่ง นอน มอง ฟัง พูด รัก อภัย ไม่จดจำความผิด อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่ใช่เราแต่เป็นพระคริสต์ เราเริ่มฝึกด้วยการเชื่อ (เอา) ว่าพระคริสต์เป็นอยู่ในเราผ่านเรา ทั้งๆ ที่เรายังไม่เห็นแต่เชื่อ(เอา) ก่อน
3:5 เหตุฉะนั้นจงประหารอวัยวะของท่านซึ่งอยู่ฝ่ายโลกนี้ คือการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ
** การประหารอวัยวะของเรา คือการเชื่อและนับว่าตัวเก่าเราตายแล้วทุกวัน (โรม 6:11 / 1 คร 15:31) เมื่อเรานับว่าตายทุกวัน ตัวบาปที่อาศัยอยู่ในตัวเก่าก็ถูกทำลายไป (โรม 6:6) เราจึงหลุดพ้นจากอำนาจของตัวบาป (โรม 6:7) และสามารถดำเนินชีวิตที่เชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย
3:6 เพราะสิ่งเหล่านี้ พระอาชญาของพระเจ้าก็ลงมาแก่บุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง
** "บุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง" คือ "คนที่ไม่เชื่อ"
3:7 ครั้งหนึ่งท่านเคยดำเนินตามสิ่งเหล่านี้ด้วย ครั้งเมื่อท่านยังดำรงชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านี้
3:8 แต่บัดนี้สารพัดสิ่งเหล่านี้ ท่านจงเปลื้องทิ้งเสียด้วย คือความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การหมิ่นประมาท คำพูดหยาบโลนจากปากของท่าน
** "การเปลื้องทิ้ง หรือถอดทิ้ง" (put off) ทุกสิ่ง ในข้อนี้ คือการกำจัดตัวบาปก่อน เพราะตัวบาปคือรากของปัญหา มันนำกฎแห่งความบาปเข้ามา (โรม 8:1-2) มนุษย์จึงทำบาปชั่วทุกชนิด
3:9 อย่าพูดมุสาต่อกันเพราะว่าท่านได้ถอดทิ้งมนุษย์เก่ากับการปฏิบัติของมนุษย์นั้นเสียแล้ว
3:10 และได้สวมมนุษย์ใหม่ที่กำลังทรงสร้างขึ้นใหม่ ในความรู้ตามแบบพระฉายของพระองค์ผู้ได้ทรงสร้างขึ้นนั้น
** "มนุษย์คนเก่า" ในที่นี้ คือตัวเก่าหรือชีวิตอาดาม การถอดทิ้งมนุษย์คนเก่า คือการนับทุกวันว่าเราตายแล้ว
** "มนุษย์คนใหม่" ในที่นี้ คือชีวิตใหม่ที่มีพระคริสต์อยู่ในเรา การสวมมนุษย์คนใหม่ คือการนับทุกวันว่าเราเป็นคนใหม่แล้ว
3:11 อย่างนี้ไม่เป็นพวกกรีกหรือพวกยิว ไม่เป็นผู้ที่เข้าสุหนัตหรือไม่ได้เข้าสุหนัต พวกคนต่างชาติหรือชาวสิเธีย ทาสหรือไทยก็ไม่เป็น แต่ว่าพระคริสต์ทรงเป็นสารพัดและทรงดำรงอยู่ในสารพัด
** ผู้เชื่อเป็นมนุษย์วิญญาณ เราไม่ใช่คนไทยคนลาว จีน ฝรั่ง อีกต่อไปแล้ว เราไม่มีนายหรือทาส คนรวยหรือจน แต่เป็นชนชาติเดียวของพระเจ้า และทุกคนเท่าเทียมกันในพระคริสต์ (ในฝ่ายวิญญาณ)
3:12 เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์ และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน
** ทันทีที่เราเชื่อ เราได้กลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว (ในพระคริสต์) การดำเนินชีวิตของเราเพื่อสำแดงจิตใจเหล่านี้ก็คือ พระคริสต์ ไม่ใช่ผลของเรา (กท 5:22-23)
3:13 จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกันก็จงยกโทษให้กันและกัน พระคริสต์ได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน
** การยกโทษให้กัน และกันเพื่อเข้าอาณาจักร ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการได้รอดในวันสุดท้าย
3:14 แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เพราะความรักย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์
** การดำเนินชีวิตในพระคริสต์ หรือในความเชื่อ ถ้าหากเราทำทุกสิ่งได้มากมายแต่ขาดรักก็ไร้ประโยชน์
3:15 และจงให้สันติสุขแห่งพระเจ้าครอบครองอยู่ในใจของท่านทั้งหลาย ในสันติสุขนั้นทรงเรียกท่านทั้งหลายไว้ให้เป็นกายอันเดียวด้วย และท่านทั้งหลายจงขอบพระคุณ
** "สันติสุข" ในที่นี้ คือ "ความสงบสุข" (Peace) ซึ่งเราได้รับเมื่อเราเลิกกลัวพระเจ้า และมั่นใจในความรอด เราจึงยึดสันติสุขนี้ไว้ภายในจิตใจเสมอ
3:16 จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์ด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญและเพลงฝ่ายวิญญาณด้วย จงร้องเพลงด้วยพระคุณจากใจของท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
** คือการสะสมพระคำที่แปลถูก มานาที่ซ่อนไว้ เอาไว้มากมายในจิตใจเพื่อนำมาใช้เมื่อถึงเวลาที่จะต้องใช้
** เพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และเพลงฝ่ายวิญญาณ จะเน้นที่การยกย่องสรรเสริญพระเจ้า และการสร้างความผูกพัน บอกรัก กับพระเจ้าเท่านั้น เพลงฝ่ายวิญญาณไม่ใช่เพลงรัวลิ้นเหมือนผู้เชื่อบางกลุ่มเข้าใจ
3:17 และเมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยการประพฤติก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า และขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาโดยพระองค์นั้น
** ผู้เชื่อดำเนินชีวิตอธิษฐาน อ่าน รับใช้ ต้อนรับผู้อื่น กระทำทุกสิ่งในพระนามพระเยซูทุกวันและทุกเวลา ไม่ใช่แต่เฉพาะอธิษฐานลงท้ายในพระนามพระเยซูเท่านั้น
3:18 ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตน ซึ่งเป็นการสมควรในองค์พระผู้เป็นเจ้า
3:19 ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตนและอย่ามีใจขมขื่นต่อนาง
3:20 ฝ่ายบุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของตนทุกอย่าง เพราะการนี้เป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า
3:21 ฝ่ายบิดาก็อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ เกรงว่าเขาจะท้อใจ
3:22 ฝ่ายพวกทาสจงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายของตนตามเนื้อหนังทุกอย่าง ไม่ใช่ตามอย่างคนที่ทำแต่ต่อหน้า อย่างคนประจบสอพลอ แต่ทำด้วยน้ำใสใจจริง ด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า
3:23 ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดก็จงทำด้วยความเต็มใจ เหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์
** คริสเตียนฝ่ายวิญญาณกระทำทุกสิ่งเพื่อถวายพระเจ้า ส่วนคริสเตียนศาสนากระทำทุกสิ่งเพื่ออวดมนุษย์ เขาไม่ค่อยสำนึกว่าพระเจ้าทรงมองดูและเห็นทุกเหตุการณ์ที่เรากระทำในแต่ละวัน เพราะฉะนั้น เราจะทำอะไร พูดอะไรกับใคร เราควรทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
3:24 ด้วยรู้แล้วว่าท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นบำเหน็จ เพราะท่านปรนนิบัติพระคริสต์เจ้าอยู่
3:25 ส่วนผู้ที่ทำความผิดก็จะได้รับผลตามความผิดที่เขาได้ทำนั้น และไม่มีการทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดเลย
** ทูตสวรรค์ของพระเจ้าเฝ้าดูผู้เชื่ออยู่ และบันทึกการกระทำทุกอย่าง เพื่อการตีสอนและรับบำเหน็จทั้งในชีวิตนี้ และวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา