8:1 แล้วเรื่องของที่เขาบูชาแก่รูปเคารพนั้น เราทั้งหลายทราบแล้วว่าเราทุกคนต่างก็มีความรู้ ความรู้นั้นทำให้ลำพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น
** เราทุกคนต่างมีความรู้ หมายถึง การรู้จากจิตใต้สำนึกและในวิญญาณที่พระวิญญาณให้รู้ว่าสิ่งที่เป็นของถวายให้พระอื่นนั้นเราไม่ควรกิน
ผู้เชื่อมากมายแสดงอาการไม่จับไม่แตะไม่กินต่อหน้าญาติพี่น้องเพื่อนมิตรสหาย ทำตนเหมือนผู้สูงส่งเพราะเขาพองตัว
นี่ไม่ใช่ชีวิตและนิสัยของผู้เชื่อที่สำแดงพระคริสต์ เพราะเขาจะมีแต่ความรัก ถ่อมใจต่อหน้าทุกคน เขาจะบอกทุกคนตามความเหมาะสมที่ควรจะพูด
8:2 ถ้าผู้ใดถือว่าตัวรู้สิ่งใดแล้ว ผู้นั้นยังไม่รู้ตามที่ตนควรจะรู้
** มีมากมายหลายสิ่งที่พระวิญญาณบอกเรื่องการกินดื่มการดำเนินชีวิตในความเชื่อ แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่เขาควรจะรู้แต่ไม่ได้รู้คือข้อลึกลับแห่งพระคำพระเจ้า
8:3 แต่ถ้าผู้ใดรักพระเจ้า พระองค์ก็ทรงรู้จักผู้นั้น
** เมื่อเราถ่อมใจไม่พองตัวในความรู้ระดับต้นๆ และเรามีหัวใจที่รักและปรารถนาที่จะอยู่ใกล้พระเจ้า
พระองค์ก็จะเปิดเผยความจริงแห่งพระคำและเราได้รู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้นและพระเจ้าก็รู้จักเรามากยิ่งขึ้น
คำว่า รู้จัก ในที่นี้คือ การได้สนิท รู้จักกันดี มีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง
8:4 ฉะนั้นเรื่องการกินอาหารที่เขาได้บูชาแก่รูปเคารพนั้น เรารู้อยู่แล้วว่ารูปนั้นไม่มีตัวมีตนเลยในโลกและพระเจ้าองค์อื่นไม่มี มีแต่พระเจ้าองค์เดียว
** พระเจ้าที่เทียบเท่าหรือเท่าเทียมกับพระองค์นั้นไม่มีเลย มีแต่พระเจ้าองค์สูงสุดเพียงผู้เดียว
8:5 ถึงแม้จะมีสิ่งต่างๆในสวรรค์และในแผ่นดินโลกที่เขาเรียกว่า "พระ" (ก็เป็นเหมือนมีพระมากและเจ้ามาก)
** เมื่อมนุษย์ไม่รู้ว่ามีพระเจ้าเดียว พวกเขาจึงกราบไหว้บูชาพระมากมายตามความคิดความเชื่อของพวกเขา
8:6 แต่ว่าสำหรับพวกเรานั้นมีพระเจ้าองค์เดียวคือพระบิดา และสิ่งสารพัดทั้งปวงบังเกิดขึ้นจากพระองค์ และเราอยู่ในพระองค์ และเรามีพระเยซูคริสต์เจ้าองค์เดียว และสิ่งสารพัดก็เกิดขึ้นโดยพระองค์ และเราก็เป็นมาโดยพระองค์
** คำว่า พระบิดา ในที่นี้ รวมถึงพระเจ้าสามพระภาค คือ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
ที่หนังสือปฐมกาลใช้คำว่า พระเจ้าทั้งหลาย คือพระเจ้าเดียวแต่เป็น พหูพจน์ (Plural) พระองค์คือผู้สร้างทุกสิ่งและมนุษย์
8:7 มิใช่ว่าทุกคนมีความรู้อย่างนี้ เพราะมีบางคนมีจิตสำนึกผิดชอบเรื่องรูปเคารพว่า เมื่อได้กินอาหารนั้นก็ถือว่าเป็นของบูชาแก่รูปเคารพจริงๆ และจิตสำนึกผิดชอบของเขายังอ่อนอยู่จึงเป็นมลทิน
** มีผู้เชื่อบางคนที่มีจิตสำนึกที่อ่อน เขาจึงไม่รู้สึกผิดหรือไม่รู้สึกอะไรเลย และเมื่อกินชีวิตของเขาจึงเป็นมลทิน
8:8 อาหารไม่เป็นเครื่องที่ทำให้พระเจ้าทรงโปรดปรานเรา ถ้าเรากิน เราก็ไม่ได้อะไรเป็นพิเศษ ถ้าเราไม่กิน เราก็ไม่ขาดอะไร
** อาหารทั้งหลาย และอาหารที่ผ่านการกราบไหว้รูปเคารพ ไม่ได้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งก็คือการกินไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากสำหรับพระองค์เท่ากับการดำเนินชีวิตที่สำแดงความรักต่อทุกคน (ดูข้อที่ 1)
8:9 แต่จงระวัง อย่าให้เสรีภาพของท่านนั้นทำให้คนที่อ่อนในความเชื่อหลงผิดไป
** เราควรหลีกเลี่ยง และสอนคนที่อ่อนในความเชื่อ เรื่องการไม่กินของที่กราบไหว้รูปเคารพ
8:10 เพราะว่า ถ้าผู้ใดเห็นท่านที่มีความรู้เอนกายลงรับประทานในวิหารของรูปเคารพ จิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนของคนนั้น จะไม่เหิมขึ้นทำให้เขาบังอาจกินของที่ได้บูชาแก่รูปเคารพนั้นหรือ
** เมื่อผู้เชื่อที่โตแล้วยังกินของเหล่านั้น ผู้เชื่อที่ยังอ่อนในความเชื่อก็จะคิดว่าเขาก็กินได้และไม่ผิด
8:11 โดยความรู้ของท่าน พี่น้องที่มีความเชื่ออ่อน ซึ่งพระคริสต์ได้ทรงยอมวายพระชนม์เพื่อเขา จะต้องพินาศไป
** คำว่า พินาศไป ในที่นี้ คือการสูญเสียพระพร ชีวิตที่อยู่ภายใต้การปกปักรักษาคุ้มครองดูแลเลี้ยงดูจากพระเจ้าในชีวิตนี้
8:12 เมื่อท่านทำผิดเช่นนั้นต่อพวกพี่น้อง และทำร้ายจิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนของเขา ท่านก็ได้ทำผิดต่อพระคริสต์
8:13 เหตุฉะนั้นถ้าอาหารเป็นเหตุที่ทำให้พี่น้องของข้าพเจ้าหลงผิดไป ข้าพเจ้าจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไป เพราะเกรงว่าข้าพเจ้าจะทำให้พี่น้องต้องหลงผิดไป
** การทำให้พี่น้องสะดุดเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับผู้เชื่อที่มีความรู้เข้าใจและมีจิตสำนึกที่พระวิญญาณใส่ไว้ภายในจิตใจแล้ว
(อะไรที่ทำให้พี่น้องผู้เชื่อสะดุด เราควรหลีกเลี่ยงและระมัดระวังเป็นอย่างมาก)
<<< บทที่ 7