ผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้ใส่ใจแต่เฉพาะเรื่องการทำดีทำบาป เชื่อฟังไม่เชื่อฟัง ถูกหรือผิด
แต่สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราใส่ใจ ก็คือ "ขณะนี้เราอยู่ที่ไหน" ภาษาอังกฤษ คือ "Where are you now" เราอยู่ที่ไหน เป็นสิ่งที่เราควรตระหนัก ก่อนเรื่องทำดีทำบาป เชื่อฟังไม่เชื่อฟัง หลังจากนั้นเราค่อยคิดถึงเรื่องทำดี ทำบาป เชื่อฟังไม่เชื่อฟัง เรื่องผิดเรื่องถูกเป็นเรื่องรอง แต่สิ่งแรกคือ "เราอยู่ที่ไหน"
ฉันอยู่ที่ไหน ผมอยู่ที่ไหน คุณอยู่ที่ไหน เป็นโลเคชั่น เป็นตำแหน่ง ที่พระเจ้าต้องการให้เราอยู่ทุกเวลา เราอยู่ที่ไหนคือคำถามที่เราจะต้องตอบและเราจะต้องตอบ (เราเองให้ได้) เราอยู่ที่ไหน
สำหรับชีวิตของมนุษย์ถ้าไม่อยู่ในอาดัมก็คืออยู่ในพระคริสต์ ถ้าไม่อยู่ในพระคริสต์ก็คืออยู่ในอาดัม ถ้าอยู่ในอาดัมก็คืออยู่ในเนื้อหนังอยู่ในฝ่ายเนื้อหนัง อยู่ในการปักใจ ใส่ความคิด ให้ความสนใจใส่ใจไปที่ฝ่ายโลกนี้
แต่การปักใจในฝ่ายวิญญาณ การปักใจในพระคริสต์ ในพระวิญญาณ ก็คือคิดถึงพระเยซู บอกรัก สร้างความผูกพัน พูดคุย อธิษฐาน คิดถึงพระคำพระเจ้า นี่คือการปักใจในฝ่ายวิญญาณ การปักใจ หัวใจ ความคิดของเรามันอยู่ที่ไหน และชีวิตของเราก็จะอยู่ที่นั่น ในพระคัมภีร์มีโลเคชั่น มีตำแหน่ง สองที่อยู่ให้เราเลือกในแต่ละวัน คริสเตียนจะอยู่ในอาดัมหรืออยู่ในพระคริสต์
การอยู่ในอาดัมทำทุกสิ่งที่ดีหมด สำหรับพระเจ้าถือว่าไม่ดี การอยู่ในอาดัมในเนื้อหนัง ประกาศ รับใช้ สร้างผลงาน สร้างคริสตจักร นำคนมาเชื่อได้มากมายเทศนา สั่งสอนได้ ไล่ผีได้ รักษาโรคได้ ทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆในพระนามพระเยซูได้ แต่ถ้าหากโลเคชั่น ตำแหน่ง พิกัดของเราไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ทุกสิ่งที่เราทำเป็น ไม้ ฟาง หญ้าแห้ง มันไม่มีความหมายอะไรสำหรับพระเจ้าเลย พระเจ้ารับแต่เฉพาะบุคคลผู้ใดที่อยู่ในพระคริสต์เท่านั้น
และการอยู่ในพระคริสต์ สิ่งแรกคือจะต้องรู้ก่อนว่าเราตายต่อชีวิตเก่า ตายต่อฝ่ายอาดัม ตายต่อชีวิตในอาดัมแล้ว แล้วเมื่อพระเยซูตายเมื่อสองปีก่อนเราก็ตาย พระเยซูจบชีวิตของเรา จบเนื้อหนัง จบฝ่ายร่างกาย จบฝ่ายเนื้อหนังของเรา ชีวิตเก่าของเรา อาดัมของเราตายไปแล้ว แล้วเราเป็นขึ้นมามีชีวิตใหม่พร้อมกับพระเยซู เมื่อพระองค์เดินออกมาจากอุโมงค์ เราก็เป็นคนใหม่ มีชีวิตใหม่ หลังจากนั้นเราก็อยู่ในพระองค์ตลอดเวลา โคโลสีบทที่ 3:3 บอกว่า "เพราะว่าท่านได้ตายแล้วและชีวิตของท่านซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า"
เราตายแล้วและชีวิตของเราซ่อนอยู่ในพระคริสต์ เพราะฉะนั้นพระคริสต์อยู่ไหน พระคริสต์ทำอะไร พระคริสต์อยู่ที่ไหน เราก็อยู่ที่นั่น เราก็ทำสิ่งที่พระองค์ทำและพระคริสต์พระองค์ประทับที่ข้างขวาของพระบิดา เราก็ได้นั่งที่ข้างขวาของพระบิดาในพระคริสต์เหมือนกัน โคโลสี 3:1 "ถ้าท่านรับการทรงชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว ก็จงแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนในที่ซึ่งพระคริสต์ทรงประทับข้างขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า"
เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตคริสเตียนในแต่ละวัน เราต้องตระหนักอันแรกสิ่งหลัก ก็คือตื่นนอนตอนเช้า ตอนสาย ตอนเที่ยง ตอนบ่าย ตอนเย็น ตอนค่ำ "คุณอยู่ที่ไหน" เราอยู่ที่ไหน ผมอยู่ที่ไหน "Where are you" คำตอบก็คือเราอยู่ในพระคริสต์ เมื่ออยู่ในพระคริสต์เราปักใจในฝ่ายวิญญาณ เราปักใจในการสนทนา พูดคุย บอกรัก สร้างความสัมพันธ์ อ่านพระคัมภีร์ คิดถึงพระคำพระเจ้า นี่คือการอยู่ในพระคริสต์
เพราะฉะนั้นโลเคชั่น พิกัด ตำแหน่ง เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับพระเจ้า เมื่ออาดัมเอวาทำผิดพระเจ้าถามอาดัมเอวาว่า "เจ้าอยู่ที่ไหน" พระเจ้าไม่ได้ถามคำถามแรกว่า เจ้าได้ทำอะไรไปแล้ว หรือเจ้าได้ทำผิดอะไร แต่พระเจ้าถามสิ่งแรกก็คือ "เจ้าอยู่ที่ไหน" พระเจ้ารู้น่ะว่าอาดัมเอวาอยู่ที่ไหน พระเจ้ารู้ แต่พระเจ้าต้องการถามให้อาดัมเอวารู้สึก รู้สึกผิด รู้สึกว่าฉันอยู่ในที่ ที่ไม่ถูกต้อง พิกัดของฉัน โลเคชั่นของฉัน มันคือการซ่อนอยู่ หลบพระเจ้า ถ้าหากเราอยู่ในเนื้อหนัง เราอยู่ในฝ่ายอาดัม ชีวิตอาดัม ชีวิตเก่า เรากำลังหลบซ่อนตัวของเราจากพระเจ้า
ถามเราทุกวันน่ะ ว่าเราอยู่ที่ไหน "Where are you" แล้วเราตอบได้น่ะว่าผมอยู่ในพระคริสต์ ถ้าเรารู้คำตอบนี้และเราทำทุกวัน คิดทุกวัน ปักใจทุกวันนับทุกวันว่าเราอยู่ในพระคริสต์
- ชีวิตของเราจะอยู่ในการก่อสร้าง
- ชีวิตของเราจะอยู่ในพระพร
- ชีวิตของเราจะอยู่ในร่มพระคุณ
- ชีวิตของเราจะอยู่ในความรัก
- ชีวิตของเราจะอยู่ในการปกป้อง ปกปักรักษา ดูแลคุ้มครอง อวยพร นำพาทรงนำทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะว่าเราอยู่ถูกที่คืออยู่ในพระคริสต์
- เราจะอยู่ที่บ้านพิกัดของเราก็คืออยู่ในพระคริสต์
- เราจะอยู่ที่ตลาดพิกัดของเราก็ต้องอยู่ในพระคริสต์ เราจะอยู่ที่ไหนร้านอาหารไปทำงานที่บริษัทที่โรงงานเราจะต้องมีพิกัดเดียว ก็คือ อยู่ในพระคริสต์
การอยู่ในพระคริสต์ ก็คือการปักใจใส่ฝ่ายวิญญาณ ปักใจในการพูดคุยสนทนา บอกรัก คิดถึงพระคำพระเจ้า ท่องจำ จะทำให้ชีวิตของเราอยู่ในการดูแล อยู่ในการช่วยเหลือและทุกสิ่งที่เราก่อขึ้น การอธิษฐาน การอ่าน การรับใช้ การประกาศ การรักษาโรค การไล่ผี ทำอิทธิฤทธิ์ต่างๆโดยพระนามพระเยซู ทุกสิ่งที่เราทำจะเป็นผลงานที่ก่อขึ้นด้วย ทองคำ เงิน และเพชรพลอย มันจะไม่เป็นไม้ ฟาง และหญ้าแห้ง ถ้าเราเอาตัวใหม่ทำ เอาตัวที่มันเป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซู เดินออกมาจากอุโมงค์พร้อมกับพระเยซู เป็นตัวใหม่ เป็นคนใหม่นับว่าเราเป็นคนใหม่ทุกๆวัน "เราอยู่ที่ไหน เราก็ตอบได้ก็คือเราอยู่ในพระคริสต์"
และสิ่งที่เราควรตระหนัก ก็คือเราทำดีเชื่อฟังทุกวันนี้เราทำโดยใคร เราใช้กำลังของใครทำอยู่ ถ้าหากเราทำด้วยตัวของเราเองเรียกว่าเนื้อหนัง เรียกว่าการทำดีที่ตายแล้ว เรียกว่าการกระทำที่ตายแล้ว คือสิ่งที่เราทำทุกสิ่งมันตายหมด สำหรับพระเจ้า ถ้าหากเราไม่รู้ว่าเราตายร่วมกับพระเยซูเมื่อสองพันปีก่อน เราเป็นขึ้นมากับพระเยซูสองพันปีก่อน ทุกสิ่งที่เราทำเป็นการกระทำที่ตายแล้ว เราเองเรียกว่าคนตาย จำได้ไหม ว่าพระเยซูเรียกมนุษย์เราว่าคนตายให้ไปฟังคนตาย
เพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซู และทุกวันนี้เรานับทุกวันว่าเราเป็นคนใหม่ เป็นมนุษย์วิญญาณ ได้บังเกิดใหม่ เมื่อบังเกิดใหม่ก็มีชีวิตใหม่ก็เป็นคนใหม่และเมื่อเป็นคนใหม่เราก็ต้องเดินด้วยตัวใหม่ การเดินด้วยตัวใหม่ ก็คือ นับ เชื่อ ถือน่ะครับ นับ เชื่อว่าเราเป็นคนใหม่อยู่ คนๆนี้เป็นคนใหม่ และทำทุกสิ่งลองดูสิครับการอธิษฐานมันจะมีคุณค่า การอ่านก็จะมีคุณค่า การรับใช้ การประกาศ คุณจะทำอะไรก็แล้วแต่ ทุกสิ่งพระเจ้าจะนับ พระเจ้าจะมีบำเหน็จให้ เพราะว่ามันเป็นการก่อชีวิตขึ้นด้วย ทองคำ เงิน และเพชรพลอย
เพราะฉะนั้น 2 สิ่งที่คริสเตียนควรจะตระหนักในชีวิตในแต่ละวัน
1. โลเคชั่น ก็คือเราอยู่ที่ไหน คุณอยู่ที่ไหน คำตอบก็คือคุณควรจะอยู่ในพระคริสต์ เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่ทำให้เราอยู่ในพระคริสต์ เมื่อเราเชื่อ พระเจ้านำเราเข้าไปอยู่ในความตายของพระคริสต์ พระเยซูถูกฝัง พระเจ้าก็นำเราให้เข้าไปอยู่ในการถูกฝังร่วมกับพระคริสต์ และพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย พระเยซูก็ให้เรามีส่วนฟื้นขึ้นมากับพระองค์ในพระคริสต์
1 คร 1:30 บอกว่าเพราะว่าพระเจ้าเป็นคนกระทำ ท่านทั้งหลายจึงอยู่ในพระคริสต์ เพราะฉะนั้นการอยู่ในพระคริสต์เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราอยู่ เป็นพิกัด เป็นโลเคชั่นที่พระเจ้าต้องการให้เราอยู่ประจำตำแหน่งนั้น หนังสือยอห์นคือคำตอบเรื่องเราทำดีเชื่อฟังโดยใคร ใครจะเข้ามาอยู่ในเราและรักษาพระบัญญัติใหม่แทนเรา ขอบคุณพระเยซูหนังสือมัทธิวพระเยซูประทานพระบัญญัติใหม่ให้คริสเตียน แต่หนังสือยอห์นพระเยซูประทานพระองค์เองเข้ามาอยู่ในเรา เพื่อรักษาพระบัญญัติใหม่ที่พระองค์ประทานให้เราในหนังสือมัทธิว
เราเป็นแค่อวัยวะให้พระคริสต์ในเราใช้เพื่อสำแดงชีวิตของพระองค์ การสำแดงชีวิตของพระเยซูก็คือการเชื่อฟังพระเจ้า ก็คือการรักษาพระบัญญัตินั่นเอง ที่จริงแล้วพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูในมัทธิวบทที่ 5 - 6 - 7 ก็คือนิสัยชีวิตและธรรมชาติของพระเยซู เมื่อเรามีพระคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในเรา พระคริสต์ก็จะสำแดงชีวิตของพระองค์ผ่านเรา ชีวิตของพระองค์ก็คือการรักษาพระบัญญัติทั้งหมดได้และโดยเฉพาะเมื่อเรามีพระคริสต์เติบโตมากขึ้นๆ ชีวิตของพระเยซูขยายตัวมากขึ้นในเรา สิ่งที่เราจะเห็นในแต่ละวันก็คือความรัก ความเมตตา ความสงสาร และสิ่งอื่นๆก็ตามมาทั้งหมด ผลของพระวิญญาณในการ กท 5:22-23 ก็จะตามมา
ขอบคุณพระเจ้าหนังสือมัทธิวพระเยซูประทานพระบัญญัติใหม่ให้เรา แต่หนังสือยอห์นคือคำตอบ พระเยซูประทานพระวิญญาณของพระองค์ วิญญาณของพระองค์นี่แหละจะเข้ามาอยู่ในเรา และรักษาพระบัญญัตินั้นแทนเรา เป็นสิ่งที่ง่ายมาก เราเป็นแค่อวัยวะเป็นเหมือนรถที่ให้พระเจ้าขับ เพื่อดำเนินชีวิตและนิสัยของพระองค์ออกมาผ่านตัวเรา หรือจะให้มารซาตานตัวบาปขับ ให้สำแดงกิเลส ตัณหา โลภ โกรธ หลง ออกมาในแต่ละวัน
หนังสือยอห์นเป็นคำตอบของเรื่องการทำดีเชื่อฟังโดยใคร หนังสือยอห์นเป็นเรื่องของชีวิต ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ชีวิตของพระเจ้า ภาษาอังกฤษก็คือ (Zoe) หรือบางคนเรียก (โซเอ้) ก็แล้วแต่ คำว่า (Zoe) ในพระคัมภีร์ยอห์น บันทึกไว้เยอะมาก แล้วเป็นเป้าหมายของพระเจ้าที่จะประทานชีวิตของพระเจ้านี้มาใส่ไว้ในเรา เพราะว่ามนุษย์เกิดมายังไม่มี (Zoe) ยังไม่มีชีวิตพระเจ้า ตอนที่อาดัมเอวาเกิดมาในสวนเอเดน ต้นไม้แห่งชีวิตอาดัมเอวายังไม่ได้มีโอกาสกินเลย พระเจ้าตั้งไว้ ปลูกไว้ ต้นไม้แห่งชีวิตและต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว ก่อนที่อาดัมเอวาจะกินต้นไม้แห่งชีวิตจะรับชีวิตของพระเจ้าจะรับ (Zoe) เข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา
ชีวิตของเรา เป็นชีวิตของมนุษย์ เป็นมนุษย์ดิน เป็นชีวิตดิน แต่พระเจ้าต้องการจะให้ชีวิตของพระเจ้าเข้ามา พระเจ้าประทานวิญญาณให้เราแล้ว เรามีวิญญาณเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังขาดอยู่สิ่งหนึ่งจากพระเจ้า ก็คือ ชีวิต เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงมีชีวิตที่ยังไม่ครบบริบูรณ์ มนุษย์ได้แค่วิญญาณจากพระเจ้า มนุษย์ได้รับแต่วิญญาณจากพระเจ้า แต่มนุษย์ยังไม่ได้รับชีวิตจากพระเจ้า มนุษย์ต้องไปกินผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิตถึงจะได้ชีวิตของพระเจ้าเข้ามา
คริสเตียนหลายคนไม่เข้าใจการสร้างมนุษย์ พระเจ้าสร้างให้เรามีสิทธิเสรีภาพ ในการที่จะรับความครบบริบูรณ์ของชีวิตตนเอง ชีวิตของเราอยากให้มันครบต้องไปรับชีวิตของพระเจ้ามาเพิ่มเติมเสริมให้เต็ม และชีวิตของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ใส่ไว้ในวิญญาณของเรา ไม่ใช่น่ะครับ ชีวิตของพระเจ้าอยู่ที่ผลไม้ที่อยู่ในต้นไม้แห่งชีวิต และเมื่อไหร่อาดัมเอวากินผลไม้แห่งชีวิตนั้นเข้าไป เขาจะมีชีวิตและนิสัยเหมือนพระเจ้าและจะทำบาปไม่ได้
แต่พระเจ้าให้สิทธิ์เสรีภาพแก่มนุษย์ พระเจ้าจึงให้เราเลือกที่จะกินผลไม้หรือไม่กิน และมนุษย์ตอนนั้นก็คือยังไร้เดียงสาอินโนเซ้นท์ไม่รู้อะไรถูกผิดดีชั่ว เขาไม่รู้เขาแยกไม่ออก เขาไม่รู้จักแยก และขณะนั้นเองมนุษย์ก็พลาดไม่มีโอกาสได้กินมาซาตานก็หลอกล่อให้ไปกินผลไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วก่อน เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทำให้สวนเอเดนหายไป พระเจ้าจึงซ่อนมันไว้ และทุกวันนี้อาดัมเอวาและลูกหลานไม่มีโอกาสได้กินชีวิต (Zoe) ของพระเจ้า มนุษย์ทุกวันนี้จึงว่างเปล่าคือมีชีวิตที่ไม่ครบบริบูรณ์
พระเยซูเสด็จมา ยอห์น 10:10 พระเยซูตรัสว่าเรามาเพื่อให้ท่านทั้งหลายได้รับชีวิตและได้รับชีวิตที่ครบบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นหนังสือยอห์นคือคำตอบ พระเยซูมาเพื่อที่จะประทานชีวิตที่ครบบริบูรณ์ให้แก่พวกเราที่เชื่อในพระองค์ หนังสือยอห์นเป็นเรื่องของการได้รับชีวิตพระเจ้าหรือได้รับชีวิตที่มีสภาพนิรันดร์ ไม่ใช่ได้รับความรอด หนังสือยอห์นไม่ได้เน้นเรื่องความรอด แน่นอนที่สุดความรอดเป็นหนึ่งในหลายๆสิ่งที่พระเจ้าให้เราเมื่อเราได้รับชีวิตของพระเจ้าแล้ว
ความรอดคือหนึ่ง สองก็คือพระพร และสามก็คือชีวิตพระเจ้าที่เข้ามาอยู่ในเรา สามสิ่งนี้เราได้รับจากพระเจ้าเมื่อชีวิตพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา
1. เมื่อเรารับเชื่อเข้าในพระเยซู เราได้รับชีวิตของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา เป็นวิญญาณที่เข้ามาสถิตอยู่ในเรา และมาเติมเต็มวิญญาณของเราให้ครบบริบูรณ์
2. สิ่งที่สองที่เราจะได้รับ ก็คือพระพรทุกประการ พระพรฝ่ายวิญญาณเราได้รับหมดแล้ว
3. ก็คือความรอด
แท้ที่จริงแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องมากมายหลายอย่าง แต่ 3 สิ่งใหญ่ๆ นี้ คือสิ่งที่เราจะได้รับเมื่อเราเชื่อ และสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือเราได้รับชีวิตพระเจ้าที่เข้ามาเติมเต็ม ได้รับชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ยน.1:1
...
ยอห์นบทที่ 1:1-2 ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้าและพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในเริ่มแรกนั้นพระองค์นั้นทรงอยู่กับพระเจ้า
** ในเริ่มแรกของยอห์นบทที่ 1 ข้อที่ 1 คือช่วงเวลาก่อนที่พระเจ้าจะทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกในปฐมกาลบทที่ 1:1 ท่านยอห์นพูดถึงเหตุการณ์เมื่อยังไม่มีอะไรในจักรวาลนี้ นอกจากพระเจ้าทั้งสามพระภาคเท่านั้น
พระวาทะแปลว่า พระคำหรือถ้อยคำ หรือคำพูดนี่เอง ถ้อยคำหรือคำพูด เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าที่แยกออกจากกันไม่ได้
ขอให้เราเข้าใจตรงนี้คือพระเจ้าพูดได้ พระเจ้ามีเสียง มีพระสุรเสียง มีคำพูด มีถ้อยคำที่ออกมาจากความคิดของพระองค์ พระเจ้ามีความคิด ภาษาอังกฤษก็คือ (mind)
พระเจ้ามีความคิดมีสติปัญญา แล้วพระเจ้าพูดออกมามีเสียงออกมาจากสติปัญญา จากความคิดนั้น และพระวาทะถ้อยคำทรงเป็นอยู่พร้อมกับพระเจ้า และถ้อยคำนี้นี่เองน่ะครับ ก็คือเป็นพระเจ้าด้วย
...
ยอห์นบทที่ 1:3 พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมาและในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้นไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์
** นี่คือคำตอบ จักรวาลนี้สรรพสิ่งทั้งปวง ทั้งหลาย ทั้งที่ตามองเห็น และตามองไม่เห็น เกิดขึ้นมาโดยถ้อยคำของพระเจ้าที่ออกมาจากความคิดของพระองค์ การเนรมิตสร้างของพระเจ้าในเริ่มแรก พระองค์ทรงสร้างด้วยวาทะหรือถ้อยคำ ทรงสั่งให้มีอะไรเกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้นมีทันที สิ่งนี้เรียกว่าเนรมิต ภาษาฮีบรูใช้คำว่า (บารา - บารา) ก็คือสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาโดยไม่มีอะไรอยู่ก่อนหน้านั้น ถ้าจะพูดง่ายๆ ก็คือเนรมิต ก็คือให้มันเกิดขึ้น การเนรมิตสร้างในเริ่มแรก พระเจ้าสร้างสิ่งที่ไม่มีหรือความว่างเปล่าให้เกิดมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา ฮีบรูเรียกว่า "บารา" แปลว่าเนรมิต จากความว่างเปล่าหรือจากความไม่มีอะไร
...
ยอห์นบทที่ 1:4 ในพระองค์มีชีวิตและชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ทั้งปวง
** ในพระวาทะ หรือถ้อยคำ หรือพระคำของพระเจ้ามีชีวิต และเป็นชีวิตด้วย ชีวิตนี้ก็คือชีวิตของพระเจ้าที่ผมพูดมาแล้วก็คือ Zoe - Zoe ก็คือชีวิต หรือ โซเอ้ เรียกว่าชีวิต ขณะนั้นมนุษย์มีชีวิตดิน และยังไม่มีชีวิตพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา ความสว่างในที่นี้ไม่ใช่แสงสว่าง
ความสว่างเป็นความสว่าง สำหรับพระเจ้าความหมายก็คือ ความเป็นจริงหรือความจริง หรือจะเรียกอีกอันหนึ่งก็คือเป็นอมตะเป็นนิรันดร์ คือความจริงของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ตายไม่ได้ เป็นสิ่งที่ดับสูญไม่ได้ เป็นสิ่งที่อยู่ยงคงกระพัน ยืนยง ยืนยาวอยู่ตลอดไป
สำหรับความสว่างย้ำอีกครั้ง คือไม่ใช่ความมืด ไม่ใช่แสงสว่าง หรือสิ่งที่ส่องสว่างได้ ไม่ใช่ สำหรับพระเจ้าความสว่างความหมาย ในที่นี้ ก็คือความเป็นจริง หรือความจริง ที่ตรงข้ามกับความไม่จริง ความไม่จริงก็คือสิ่งที่ไม่แน่นอน คือสิ่งชั่วคราวหรือเงาหรือความตายนั่นเอง
เมื่อมนุษย์เสื่อมตกต่ำเรียกว่าความมืด หรือตกสภาพตกต่ำกลายเป็นสิ่งชั่วคราว กลายเป็นสิ่งชั่วร้าย กลายเป็นความบาปสำหรับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเรียกว่าความมืดซึ่งตรงข้ามกับความสว่าง
ความสว่างหรือความจริง คือสิ่งที่หนึ่งในคุณสมบัติ 4 อย่าง 4 ประการของพระเจ้า พระเจ้ามีคุณสมบัติ 4 ประการ แล้วความสว่างคืออมตะ คือสิ่งที่อยู่ยงคงกระพัน ยืนยาวนิรันดร์ ความจริงที่หนึ่งใน 4 คุณสมบัติของพระเจ้า พระเจ้ามี 4 คุณสมบัติใหญ่น่ะครับ 1. "คือความรัก" 2. "คือความบริสุทธิ์" 3. "คือความชอบธรรม" 4. "คือความจริงนี่เอง"
...
ยอห์นบทที่ 1:5 ความสว่างนั้นส่องเข้ามาในความมืดและความมืดหาได้เข้าใจความสว่างไม่
** ความจริงเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า พระเจ้าคือผู้ให้กำเนิดของทุกสิ่งที่มีความจริงเป็นรากฐานอยู่แล้ว แต่ความเสื่อมทรามเสื่อมโทรมจะชนะความจริงก็ไม่ได้ เพียงแต่พระเจ้ารอให้เวลา และโอกาสโดยใช้ความไม่จริงเพื่อช่วยในงานของพระเจ้าให้สำเร็จ ขอให้เราเข้าใจตรงนี้ ทุกวันนี้เกิดมีความไม่จริงขึ้นมาเนื่องจากมนุษย์ทำบาป เกิดมีความไม่จริงขึ้นมาเนื่องจากซาตานกบฏ และความไม่จริง ความมืด ความบาป ความตาย สิ่งชั่วคราว เกิดขึ้นมาอยู่ในโลกนี้แล้วและพระเจ้าก็อนุญาตให้มันทำงานอยู่
ให้มันเป็นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง อีกไม่นานพระเจ้าก็จะนำความจริงของพระองค์กลับมา และทำลายความไม่จริง ความมืด ความบาป ความตาย เงา หรือสิ่งชั่วคราวให้หมดไป และสิ่งนี้พระเจ้าเริ่มทำตอนไหนก็คือสองพันปีก่อน พระเยซูเสด็จมาและในพระคัมภีร์ยอห์นบทที่ 1 ข้อที่ 5 ยืนยันว่าความสว่างนั้นได้ส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่
...
ยอห์นบทที่ 1:6 มีชายคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้มา ชื่อยอห์น
** ถึงแม้ว่าพระเยซูคริสต์ และยอห์นจะเป็นญาติกันก็จริง แต่ทั้งสองไม่เคยรู้จักกัน เพราะท่านยอห์นถูกนำไปเลี้ยงและเรียนรู้ทางแห่งผู้เผยพระวจนะตั้งแต่เป็นเด็กอยู่ ในลูกาบทที่ 1:80 เมื่อยอห์นอยู่ในคุกท่านสั่งให้ศิษย์ไปถามพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระคริสต์จริงหรือในลูกาบทที่ 7:18-23
...
ยอห์นบทที่ 1:10-11 พระองค์ทรงอยู่ในโลกและพระองค์ได้ทรงสร้างโลกและโลกหาได้รู้จักพระองค์ไม่ พระองค์ได้เสด็จมายังพวกของพระองค์และพวกของพระองค์นั้นได้ต้อนรับพระองค์ไม่
** มีศาสนามากมาย พระมากมายในโลกนี้ที่อ้างตนว่าเป็นพระเจ้า เป็นพระ หรือเป็นเทพเจ้าลงมาเกิดหรือกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเมื่อพระเจ้าตัวจริงเสด็จมา มนุษย์จึงปฏิเสธพระเจ้า เนื่องจากว่าเขาสับสนเขาไม่รู้ เขาไม่แน่ใจว่าพระเจ้าองค์ไหน เทพองค์ไหน เป็นพระเจ้าที่แท้จริงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงเป็นคำตอบสำหรับข้อที่ 11 คือพระเยซูเสด็จมาแล้ว พวกของพระองค์ก็คือมนุษย์ และอิสราเอล ต้อนรับพระเยซูไม่ได้ เพราะว่ามีหลายคนอ้างตนว่าเป็นพระเจ้าเป็นเทพลงมาเกิด
...
ยอห์น 1:12 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงประทานอำนาจให้เป็นบุตรของพระเจ้าคือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์
** คำว่า ต้อนรับ หรือรับ ในที่นี้ ก็คือเชื่อเข้าใน สำหรับภาษากรีกตรงกับภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า Believe into - Believe into ความหมายไม่ได้หมายความว่า เชื่อเฉยๆ แต่ก็คือเชื่อเข้าใน เชื่อแล้วใช้ความเชื่อ ใช้ชีวิตของเราใช้ความคิดของเราเข้าไปอยู่ในสิ่งที่เราเชื่อนั้น
ขอย้ำอีกครั้งว่า คำว่า ต้อนรับ หรือรับพระเยซู ก็คือ Believe into คือเชื่อเข้าใน คือการรับเอาพระเยซูมาเป็นพระเจ้า มาเป็นพระผู้ไถ่บาปของเรา ซึ่งในที่สุดเราก็จะทิ้งความเชื่อเดิม และชีวิตเดิม และการกราบไหว้สิ่งเดิม และการอยู่ในทุกสิ่งที่เป็นของเดิมๆ สิ่งเดิมๆ ทั้งหมด แล้วเข้ามาอยู่ในชีวิตแห่งพระคริสต์
คำว่า ประทานอำนาจให้เป็นบุตร ก็คือประทานชีวิตของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราที่เป็นมนุษย์ดิน และกลายเป็นบุตรแห่งฝ่ายวิญญาณก็คือกลายเป็นมนุษย์วิญญาณ เพราะว่าถ้าหากมนุษย์อาดัมไม่มีชีวิตของพระเจ้า ก็ไม่สามารถเป็นบุตรของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เชื่อในพระนามก็คือการต้อนรับหรือเชื่อเข้าในพระคริสต์นี่เอง
...
ยอห์นบทที่ 1:13 ซึ่งมิได้เกิดจากเลือดหรือความประสงค์ของเนื้อหนังหรือความประสงค์ของมนุษย์แต่เกิดจากพระเจ้า
** เกิดจากพระเจ้า ก็คือทันทีที่เราเชื่อเข้าใน หรือรับพระเยซูเป็นพระเจ้า หรือพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
1. พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเสด็จมาหาเรา
2. พระวิญญาณจะดลบันดาลให้วิญญาณของเรา กลายเป็นวิญญาณใหม่ จากวิญญาณที่มีแล้ว มีอยู่แล้ว แต่มันตาย ตายในที่นี้ ก็คือ เป็นอัมพาต ก็คือทำอะไรไม่ได้ ไม่มีกำลัง ไม่มีพลัง ไม่มีชีวิต ไม่มีการเป็นอยู่ เป็นสิ่งที่เป็นอยู่แต่มันทำอะไรไม่ได้ มันติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงดลบันดาลวิญญาณนี้ให้บังเกิดใหม่ ให้เป็นคนใหม่ เรียกว่าวิญญาณใหม่
3. ก็คือพระวิญญาณจะเข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา วิญญาณเราจะกลายเป็นบ้าน บ้านของพระเจ้า ก็คือบ้านของพระวิญญาณบริสุทธิ์นี่เอง และพระวิญญาณจะเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเราและแยกกันไม่ได้อีกเลย นี่คือสิ่งที่ดีขอบคุณพระเจ้า
ย้ำอีกครั้ง
1. พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาหาเรา เมื่อเรารับพระเยซูเป็นพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
2. พระวิญญาณองค์นี้ จะดลบันดาล บันดาลให้วิญญาณของเราได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นอยู่ใหม่ ได้เป็นคนใหม่ และหลังจากนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเสด็จมาอยู่ในวิญญาณนั้น และสร้างบ้านเป็นที่อยู่ เป็นที่อาศัยของพระองค์ ยังไม่พอ
3. พระวิญญาณก็ยังจะเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา เป็นหนึ่งเดียวไม่มีสองแล้ว และเมื่อเราทำบาปพระวิญญาณจะไม่ออกไปจากเรา เหมือนผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้เชื่อกัน แต่เราต่างหากที่คิดว่าพระวิญญาณออก เราจึงออกจากพระวิญญาณ เราคิดไปเอง แท้ที่จริงแล้วพระวิญญาณออกไม่ได้แล้ว ยอห์น 14:16 บอกว่า " เราจะทูลขอพระบิดาและพระองค์จะประทานผู้ปลอบประโลมใจอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป"
พระเยซูจะขอพระวิญญาณจากพระบิดา และจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเราตลอดไป ก็คืออยู่ตลอดไป ไม่ไปไหน ไปไหนไม่ได้ เมื่อเราทำบาปจิตของเราส่วนที่ยังไม่ได้ถูกชำระทำ ร่างกายของเราก็ทำ แต่วิญญาณของเราทำบาปไม่ได้เพราะว่าวิญญาณของเราเป็นที่อยู่อาศัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว และพระวิญญาณบริสุทธิ์จับจองครอบครองวิญญาณแล้ว วิญญาณจึงทำบาปไม่ได้ พระวิญญาณก็อยู่ในนั้น ส่วนคนที่ทำบาปก็คือจิตที่ทำบาปอยู่ และร่างกายที่ไปทำอยู่
4. สิ่งที่พระเจ้าจะทำกับเราก็คือ พระวิญญาณยืนอยู่ที่วิญญาณ เคาะประตูใจของเราเพื่อเข้าไปครอบครองทีละส่วน และเมื่อครอบครองได้ส่วนไหน ส่วนนั้นก็จะเลิกทำบาปได้
ย้ำอีกครั้ง
1. พระวิญญาณบริสุทธิ์มาหาเรา เมื่อเราเชื่อรับพระเยซูเป็นพระเจ้าและพระผู้ไถ่
2. พระวิญญาณดลบันดาลให้เราบังเกิดใหม่
3. พระวิญญาณจะเป็นหนึ่งเดียว สถิตอยู่ในเราเป็นหนึ่งเดียวไม่แยกจากกันไปไหน
4. พระวิญญาณพระคริสต์จะเคาะประตูใจเรา และเมื่อเราต้อนรับพระองค์ เปิดใจให้พระองค์เข้ามาครอบครองจิตใจส่วนไหนที่พระองค์ครอบครองได้ส่วนนั้นก็คือเลิกทำบาปได้
...
ยอห์นบทที่ 1:16 และเราทั้งหลายได้รับความบริบูรณ์ของพระองค์เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ
** และเราทั้งหลายได้รับความบริบูรณ์ของพระองค์ เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ เราทั้งหลายได้รับความบริบูรณ์ ก็คือได้รับชีวิตที่ครบแล้ว เมื่อก่อนเรามีชีวิตแต่ยังไม่ครบ เป็นชีวิตของมนุษย์ เป็นชีวิตมนุษย์ดิน เราต้องการชีวิตของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา ขอบคุณพระเจ้าเรามีโอกาสได้กินผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิตแล้ว เราไม่ต้องไปสวนเอเดน สวนเอเดนมาหาเรา แล้วเราไม่ต้องไปหาต้นไม้ ต้นไม้มาหาเรา และผลไม้พระเจ้าก็ให้เรากิน ผลไม้นั้นก็คือชีวิตของพระเจ้าที่มาทางพระเยซูเป็นพระคุณซ้อนพระคุณ
ในข้อที่ 16 หมายความว่าอย่างไร
พระคุณ ก็คือ พระเยซูเป็นมนุษย์มาตายแทนความบาปของเรา
พระคุณซ้อนพระคุณ ก็คือ พระเยซูเป็นพระวิญญาณเข้ามาสถิตอยู่ในเรา เพื่อช่วยให้เราเลิกทำบาปได้ และมาถึงชีวิตที่ครบบริบูรณ์ได้ คือเรารับทุกสิ่งทุกอย่างจากพระเจ้ารับชีวิตที่ครบ รับพระพร รับความรอด รับความหวัง อยู่ภายใต้การก่อขึ้นของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การก่อขึ้นของพระเยซู การก่อขึ้นของพระบิดา และอยู่ภายใต้ร่มพระคุณอยู่ในความรักของพระเจ้าตลอดเวลา คือรับทุกสิ่งทุกอย่าง พระพรทุกประการเราได้รับหมด เนื่องจากว่าเราได้รับพระคุณซ้อนพระคุณนี่เอง
และสำหรับพระบัญญัติ คือเราต้องทำดีเชื่อฟังเพื่อพระเจ้าและจะได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญา
ขณะที่พระคุณ คือพระเจ้าทำแทนเรา เชื่อฟังแทนเรา ตายแทนเรา เพื่อเราจะได้รับทุกสิ่งจากพระเจ้า
พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมาและในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้นไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์
สิ่งที่สำคัญถ้าหากเราจะเรียนรู้หนังสือยอห์น เราต้องเข้าใจโครงร่างของหนังสือยอห์นก่อน หนังสือยอห์นเน้นความหมายเป็นฝ่ายวิญญาณ เราจะเข้าใจด้วยสติปัญญาของอาดัมไม่ได้!!!
เพราะฉะนั้นเมื่อเราอ่านหนังสือยอห์น 1. เราต้องการผู้แปลที่แปลถูก 2. ก็คือเราต้องอธิษฐานขอการเปิดตา เปิดเผยจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะว่าทุกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา และอยู่ท่ามกลางพวกเรา และมีหน้าที่เปิดเผยความจริง สอนเราให้เข้าใจในเรื่องการฝ่ายวิญญาณในความหมายฝ่ายวิญญาณ เพราะฉะนั้นขอให้เรานึกถึง 1. ผู้แปลที่ถูก 2. ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะสอนเรา เปิดตาให้เราเข้าใจความหมายที่แท้จริง
...
ยอห์นบทที่ 1 จนถึงบทที่ 12 เป็นเรื่องของการอาบน้ำ การอาบน้ำคืออะไร
การอาบน้ำ ก็คือการได้รับความรอดแล้ว พระเจ้าชำระเราให้บริสุทธิ์โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์แล้ว เรารอดแล้วแน่นอน ก็คือได้อาบน้ำแล้ว
...
ยอห์นบทที่ 13 คืออะไร
บทที่ 13 ก็คือการล้างใจ ใช่...เราอาบน้ำเรียบร้อย เราสะอาดถูกชำระ แต่หลายครั้ง..เรายังอยู่ในโลกนี้ที่สกปรก อยู่ในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความบาป เราจะคิดบาป เราจะอยู่ในเนื้อหนัง เราจะปักใจในฝ่ายเนื้อหนัง สิ่งของในโลกนี้เป็นระยะๆ เรียกว่าเท้าสกปรก ไม่สะอาด หรือเรียกว่าฝ่ายวิญญาณ เรียกว่า ใจสกปรก ใจไม่สะอาด ใจผิดบาป
ฉะนั้นในยอห์นบทที่ 13 พระเจ้าต้องการให้เราเรียนรู้ที่จะล้างเท้าซึ่งกันและกัน พระเยซูสั่งเรา..ว่าให้เราล้างเท้ากันและกัน ความหมายคืออะไร เราไม่ต้องไปล้างเท้าจริงๆ ไปหาน้ำใส่ชามมาล้างเท้าพี่น้องคริสเตียน ผู้เชื่อด้วยกันหรือคนที่ไม่เชื่อที่มาคริสตจักร ไม่ใช่
ความหมายมันมีมากกว่านั้น ก็คือการล้างใจ ถ้าหากมีพี่น้องที่ปักใจในฝ่ายโลก ปักใจในสิ่งของที่ของโลกนี้ และปักใจในความบาป หนัง ละคร สิ่งบันเทิงทั้งหลาย ความสนุกสนานที่ลืมพระเจ้า ลืมปักใจในพระคริสต์ ลืมอธิษฐาน ลืมสามัคคีธรรม ลืมสนิทบอกรัก ลืมไปคริสตจักร ลืมอ่านพระคัมภีร์ เราไปควัก ไปเขี่ย ไปทัก ไปชวนเขาพูดถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณ เรียกว่าเราได้ล้างเท้าของเขาแล้ว
คริสเตียนจะต้องมีการล้างใจซึ่งกันและกัน ล้างใจกันเป็นระยะๆ อยู่เสมอ เราอาจจะล้างกันและกันในไลน์ได้ผ่านไลน์ ผ่านMessenger ผ่านเฟสบุ๊ค อะไรก็แล้วแต่ โทรศัพท์แล้วแต่ พระเจ้าต้องการให้เราทำ คือการล้างใจเพราะว่าใจเราบางครั้งก็สกปรก นี่คือเหตุผลที่เราต้องการกันและกัน เราต้องการพระกาย เราต้องการคริสตจักร เพื่อช่วยล้างใจล้างเท้า
เพราะว่าขอบคุณพระเจ้าที่เมื่อเราเชื่อพระเยซูแล้วเราอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์หมดจด แต่ใจเราบางครั้งมันจะสกปรกเพราะเราปักใจในฝ่ายเนื้อหนังฝ่ายโลก
...
ยอห์นบทที่ 14 จนถึงบทที่ 16 คือการสัญญาของพระเยซูที่จะประทานพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในเราและทำงาน ให้เราเพื่อให้เราพร้อมที่จะรับพระเจ้าทั้งสามพระภาคเข้ามาอยู่ในเราตลอดไป
...
ยอห์นบทที่ 17 คือการอธิษฐานของพระเยซู เพื่อมอบสาวก มอบผู้เชื่อทุกคนให้อยู่ภายใต้การดูแลของพระบิดา
...
หนังสือยอห์นเขียนเพื่อยืนยันว่าพระเยซูคือคำตอบ 9 ประการสำหรับมนุษย์ คือในบทที่ 3 จนถึงบทที่ 7
...
ยอห์นบทที่ 1 พูดถึงเรื่องพระเจ้าแนะนำพระองค์ต่อโลก
ยอห์นบทที่ 2 พูดถึงพระเยซู คือคำตอบ เรื่องทรงเปลี่ยนความตายให้เป็นชีวิตได้
ยอห์นบทที่ 3 พระเยซู คือคำตอบ เรื่องทรงให้บังเกิดใหม่ในวิญญาณในพระวิญญาณได้
ยอห์นบทที่ 4 พระเยซู คือคำตอบ เรื่องให้เรามีความสุข มีสันติสุขแท้ที่ไม่ต้องกระหายอีกเลยได้
ยอห์นบทที่ 5 พูดถึงพระเยซู คือคำตอบ เรื่องพระองค์ทรงรักษาอาการป่วยไข้ เจ็บป่วยของร่างกายได้และพระองค์ไม่ใส่ใจเรื่องผิดเรื่องถูก กฎเกณฑ์ พระบัญญัติต่างๆ แต่พระองค์ใส่ใจที่คนป่วย มนุษย์ที่เป็นคนบาปมากกว่า
ยอห์นบทที่ 6 พูดถึงพระเยซู คือคำตอบ เรื่องอาหารฝ่ายวิญญาณที่มนุษย์จะต้องกินประจำวัน เพื่อให้วิญญาณของเรา ชีวิตของเราเติบโตขึ้นสู่ชีวิตและนิสัยของพระเจ้า และยังไม่พอเราเติบโตเข้าสู่สติปัญญาของพระเจ้าให้ครบบริบูรณ์
ยอห์นบทที่ 7 เป็นเรื่องของพระเยซู คือคำตอบ เครื่องดินแดนแห่งพระสัญญาในยุคหน้าและยุคนิรันดร์ ไม่ต้องเร่ร่อนอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป โลกนี้เป็นสิ่งชั่วคราว เป็นที่อยู่ชั่วคราวเท่านั้น
ยอห์นบทที่ 8 พระเยซู คือคำตอบ เรื่องทรงยกโทษบาปให้มนุษย์ที่มีบาปได้
ยอห์นบทที่ 9 พระเยซู คือคำตอบ เรื่องรักษาอาการบอดฝ่ายวิญญาณ และออกจากการเดินในความมืดมาสู่ความสว่างได้
ยอห์นบทที่ 10 พระเยซูเป็นผู้เลี้ยง เป็นประตู เป็นทุ่งหญ้า
ยอห์นบทที่ 11 พระเยซูเป็นเหตุให้คนตายฟื้นได้
และนี่คือโครงร่างของหนังสือยอห์น ที่เราจะต้องทำความเข้าใจก่อนที่เราจะศึกษาในยอห์นแต่ละบทได้
อาบน้ำแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว
ล้างแค่เท้าก็พอ (ล้างใจหรือตาฝ่ายวิญญาณ)
บทความเพิ่มเติม: