1. ผู้เชื่อทุกคนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นปุโรหิตหลวงของพระเจ้า
ตั้งแต่วันที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ตำแหน่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในเรา คือพระเจ้าแต่งตั้งผู้เชื่อทุกคนให้เป็นปุโรหิตหลวงของพระองค์ เราต้องเรียนรู้ว่า ปุโรหิตหลวงต้องทำอะไร
งานของปุโรหิตหลวง คือปรนนิบัติพระเจ้า เราต้องพูดคุย สนทนา บอกรัก และปรนนิบัติพระองค์ นี่คือหน้าที่หลักของปุโรหิต
ที่ผ่านมาเราเป็นคริสเตียนมาหลายปี บางคนเป็นคริสเตียนศาสนามาสิบกว่าปี แต่ไม่เคยได้ตระหนัก หรือคิดว่าตัวเองเป็นปุโรหิตหลวง และไม่เคยปรนนิบัติพระเยซูในฐานะของปุโรหิตหลวง นี่คือจุดอ่อนของคริสเตียนครับ
เราทุกคนเมื่อมาเชื่อพระเจ้า เราได้กลายเป็นปุโรหิตหลวงทันที และเรามีหน้าที่ปรนนิบัติพระเจ้าทุกวัน ทุกเวลา ทุกสถานที่ และทุกหนทุกแห่ง
อยู่ที่ทำงานเราก็ปรนนิบัติพระเจ้า อยู่ที่บ้านเราก็ปรนนิบัติพระเจ้า อยู่ที่คริสตจักรเราก็ปรนนิบัติพระเจ้า อยู่ที่ไหนก็ตามเราก็ปรนนิบัติพระเจ้า เราควรนำมาฝึกเดิน และนับทุกวันว่าเราเป็นปุโรหิตหลวงของพระเจ้า
2. เราควรตระหนักและนับอยู่เสมอว่า เราคือปุโรหิตหลวงของพระเจ้าและเพื่อพระเจ้า
3. คำว่า “ผู้รับใช้” ไม่ใช่เฉพาะแต่ผู้นำเท่านั้น แต่หมายถึงผู้เชื่อทุกคน
เป็นความเข้าใจผิดของคริสตจักรหลายคริสตจักร และเมื่อก่อนเราก็เคยเข้าใจผิดเหมือนกันว่า “ผู้รับใช้” คือผู้นำ ศิษยาภิบาล ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล แต่แท้ที่จริงผู้รับใช้ก็คือทุกคน เราทุกคนเป็นผู้รับใช้ อาเมน
เราทุกคนเป็นสาวกของพระเยซู แต่คริสเตียนทั่วไปทุกวันนี้คิดว่า สาวกของพระเยซูก็คือผู้นำ ไม่เกี่ยวกับเรา
เราทุกคนเป็นผู้รับใช้ เป็นปุโรหิตหลวง และเป็นสาวกของพระเยซู เอเมน
เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าตั้งเราแล้ว พระเจ้ายกเราขึ้นเป็นสาวก และเป็นปุโรหิตหลวง เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา และหน้าที่ของเรา ก็คือปรนนิบัติพระเจ้า และรับใช้มนุษย์
หน้าที่ของเรามีสองอย่าง คือ
ปรนนิบัติและรับใช้พระเจ้า
รับใช้มนุษย์
มีอาจารย์บางคนบอกว่า “หน้าที่ของชั้นคือรับใช้พระเจ้า ไม่ได้เพื่อรับใช้มนุษย์ อย่ามาใช้ชั้นนะ” แต่หน้าที่ของเรา คือรับใช้ทั้งสองคน
พระเยซูบอกว่า “เราไม่ได้มาเพื่อให้ท่านรับใช้ แต่เรามาเพื่อรับใช้พวกท่าน” แม้แต่พระเยซูซึ่งเป็นกษัตริย์ของเราก็ยังรับใช้มนุษย์ แล้วเราล่ะครับเป็นใคร
รับใช้ทั้งคนที่เชื่อและคนที่ไม่เชื่อ และรับใช้ทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ
1. เรานำพี่น้องเข้าสู่การนมัสการและสามัคคีธรรมที่เป็นตามน้ำพระทัย
เราทำให้ดีที่สุด เพื่อจะนำพี่น้องเข้าถึงการนมัสการพระเจ้าจริงๆ ทุกวันนี้การนมัสการพระเจ้าไม่ใช่การนมัสการพระเจ้า เราไปโบสถ์ แต่เราไปไม่ถึงพระเจ้า
เมื่อเราไปนั่งที่คริสตจักร บางคนก็กดไลค์ มานมัสการพระเจ้า แต่กดไลค์ เราที่เป็นผู้นำคริสตจักร หรือเป็นทีมงานของการนำการนมัสการ เราจะต้องนำพี่น้องทุกคนให้เข้าถึงการนมัสการพระเจ้าให้ได้
ทำอย่างไรถึงจะนำพี่น้องให้เข้าถึงการนมัสการพระเจ้าให้ได้
เรื่องโทรศัพท์มือถือ เราบอกพี่น้องให้เปิดระบบสั่น และถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรรับ แต่ถ้าจำเป็นหรือฉุกเฉินก็รับได้ เราเตือนพี่น้องก่อน สามัคคีธรรมกันก่อน หรือประชุมกันก่อน
เราสอนให้ทุกคนรู้ว่า การนมัสการสำคัญมากที่สุดในชีวิตของเรา เรามาสองชั่วโมง ทำไมเราไม่มาให้ถึงพระเจ้าเลย อย่าให้เสียเวลา มาโบสถ์ก็มา แต่ต้องมาให้ถึงพระเจ้า
เราเตือน แนะนำ และหนุนใจให้ทุกคนเข้าถึงพระเจ้าให้ได้
เรื่องเพลงก็ให้พร้อม ดนตรีพร้อม ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม การพูดก็พร้อม และคนที่จะลุกขึ้นพูด เราก็คุยกัน แนะนำกัน สอนกัน
บางคนที่พูดยาวหรือพูดออกนอกเรื่อง เราก็สามัคคีธรรมกัน และพี่น้องคนนั้นก็ควรรับฟัง เพื่อจะเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้อง และเป็นที่พอใจของทุกคน
การพูดของเราต้องรู้จักกาลเทศะ คำพูดน้อยๆ แต่มีน้ำหนัก พี่น้องก็ได้รับการเสริมสร้างจากเราแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดมาก
...
ถาม:
นำพี่น้องเข้าสู่การนมัสการตามน้ำพระทัย ยังไม่ค่อยเข้าใจค่ะ
ตอบ:
สิ่งทุกวันนี้ที่คริสตจักรมากมายทุกวันนี้ทำกันอยู่ การนั่ง การยืน การร้องเพลง หรือการอธิษฐาน ไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า
...
ยกตัวอย่างเรื่องการอธิษฐาน
เมื่อเราอธิษฐาน ทุกคนก็อธิษฐานพร้อมกัน พระเจ้าสามารถแยกหูฟังทุกคนๆ ได้ พระคริสต์ในแต่ละคนฟังคำอธิษฐานของเราได้ แต่ไม่ได้เป็นตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นการอธิษฐานแบบตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างอธิษฐาน ผมพูดกับพระเจ้า ทุกคนไม่ได้ยิน และไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ยอห์นบทที่ 17 พระเยซูอธิษฐานต่อพระบิดาว่า “พระบิดา ขอให้พวกเขาทั้งหลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”
เปาโลเตือนพวกเราว่า “ให้ท่านทั้งหลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” แต่ทุกวันนี้เราเป็นตัวใครตัวมัน
คริสเตียนฝ่ายวิญญาณ ต้องมีจิตใจที่ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ และยอมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับพี่น้องทุกคน
ปุโรหิตหลวงของพระเจ้า ต้องอธิษฐานร่วมกับพี่น้อง ถ้าพี่น้องไม่พูดเราต้องพูด ถ้าเราไม่พูดเราก็เอเมน เราต้องทำหน้าที่ของปุโรหิตครับ
แต่ปัญหาอยู่ตรงนี้ คือคริสตจักรศาสนาทั่วไปไม่ให้โอกาสเรา ตอนเทศนาอาจารย์จะเป็นคนพูดๆๆ และเราก็ห้ามถาม ฟังอย่างเดียวแล้วเอาไปปฏิบัติ
ถ้าพี่น้องคริสเตียนหิวกระหาย เราก็ตอบเค้าป้อนเค้า ผู้เลี้ยงที่ดี ใครหิวกระหายและถามเราก็ตอบ เอเมน
การนมัสการ เรากลับไปดูสมัยที่พระเยซูและสาวกทั้งหลายนมัสการพระเจ้า และสาวกทั้งหลายนมัสการพระเจ้าตอนที่พระเยซูเสด็จไปแล้ว คือเค้าจะนั่งอยู่ในบ้าน นั่งเป็นวงกลม ทุกคนจะเห็นหน้ากันหมด ไม่มีใครอยู่ข้างหลังใคร ไม่มีใครแอบหลับ ทุกคนจะสรรเสริญพระเจ้า ยกย่องพระเจ้า หักขนมปัง ร้องเพลงสดุดี และกล่าวปราศรัยด้วยเพลงสดุดี
2. คำว่า “ปรนนิบัติพระเจ้า” และคำว่า “รับใช้พระเจ้า” อาจดูคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน
a. “ปรนนิบัติ” ได้แก่หญิงที่ชโลมพระเศียรและพระบาทของพระเยซู และนางมารีย์
b. “รับใช้” ได้แก่สาวกทั้งหลาย และนางมาร์ธา
3. การแก้ไขและการแก้สิ่งที่ผิดจะมีอยู่เรื่อยไป เพื่อเห็นแก่พี่น้องที่เข้ามาใหม่
4. ทุกคนควรยอมรับฟังคำพูดของผู้ที่มีพระปัญญาฝ่ายวิญญาณ แต่บางกรณีเราต้องพิสูจน์ เพื่อป้องกันการผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้
พระเยซูตรัสว่า “เราไม่ได้มาเพื่อให้มนุษย์รับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้มนุษย์”
1. ปุโรหิตจะประกาศข่าวประเสริฐต่อคนที่ไม่เชื่อ
ส่วนมากเรามีจุดอ่อนเรื่องการไปประกาศข่าวประเสริฐ เราไม่ค่อยไปประกาศเท่าไหร่ ไม่ค่อยบอกคนอื่นเท่าไหร่ แต่หน้าที่ของปุโรหิต คือประกาศข่าวประเสริฐ
การประกาศข่าวประเสริฐ อย่าหวังว่าจะเกิดผลทุกครั้ง เราทำใจไว้เผื่อ ใครจะรับพระเยซูเราขอบคุณพระเจ้า และใครไม่รับพระเยซูเราก็ขอบคุณพระเจ้า หน้าที่ของเราก็คือบุรุษไปรษณีย์ คือส่งจดหมายของพระเจ้าให้คนอ่าน ถ้าเค้าอ่านก็เอเมน เค้าไม่อ่านก็เอเมน แต่เราต้องประกาศครับ
การประกาศข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ของเราก็จริง แต่ไม่ได้หมายความทุกครั้งที่เราประกาศแล้วจะสำเร็จ
ในท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลายมีผู้เชื่อสองสายด้วยกัน คือสายเปโตร และสายยอห์น สายเปโตรออกไปประกาศ และสายยอห์นก็ออกไปประกาศเหมือนกัน ถึงแม้คนจะรับหรือไม่รับ แต่เค้าก็ไปประกาศทั้งสองสาย
สายเปโตรเวลาไปประกาศหรือพูดกับใคร คนนั้นจะกลับใจรับเชื่อ คือตกปลาได้เยอะมาก ส่วนสายยอห์นชวนใครก็มีน้อยมากที่จะเชื่อ แต่เค้าก็ต้องประกาศ
ถ้าเราไปประกาศ และไม่มีใครเชื่อ อย่าน้อยใจ เราเป็นสายยอห์น แต่หน้าที่ของเราก็คือต้องประกาศ อาจจะมีซักคนหนึ่ง สองคน หรือสามสี่คนที่รับเชื่อ จากท่ามกลางคนเป็นร้อยๆ คนที่เราประกาศ แต่เราประกาศ เพราะเป็นหน้าที่ของปุโรหิต เอเมน
สายเปโตรไปประกาศกับใครๆ ก็เชื่อ และถ้าเราเป็นสายยอห์นเราก็ประกาศ เค้าไม่เชื่อเราก็ประกาศ แต่หน้าที่ของเราที่สำคัญก็คือเลี้ยงดูคริสตจักร
สายเปโตรไปประกาศคนเชื่อ ส่วยสายยอห์นไปประกาศคนไม่ค่อยเชื่อ แต่สายยอห์นเลี้ยงดูคริสตจักรให้เติบโต
ปุโรหิตจะมีสองหน้าที่ ถ้าไม่ประกาศก็เลี้ยงดูคริสตจักร เราขอพระเจ้าให้นำเราในการประกาศ และเลี้ยงดูคริสตจักร เสริมสร้างคริสตจักรด้วยกัน เอเมน
2. ปุโรหิตจะประกาศเรื่องอาณาจักรต่อผู้เชื่อทั้งหลาย
- เรื่องอาณาจักรจะเกิดผลกับผู้เชื่อที่หล่นจากพระคุณ และกลายเป็นศาสนาแล้ว แต่มีน้อยคนที่ได้รับทั้งๆ ที่ไม่ได้หล่นจากพระคุณ (มีน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย)
- ยิ่งผู้เชื่อหล่นจากพระคุณ และผ่านการทนทุกข์มากมายเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพบพระคุณซ้อนพระคุณมากเท่านั้น
ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์เราประกาศกับใครก็ได้ กับคนที่ไม่เชื่อก็ได้ แต่สำหรับข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักร หรือมานาที่ซ่อนไว้ เป็นข่าวประเสริฐสำหรับคนที่เป็นคริสเตียนเท่านั้น ถ้าเราเอาเรื่องอาณาจักรไปประกาศกับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน เค้าจะรับไม่ได้และไม่รู้เรื่อง พระเยซูอยู่ในเราคืออะไร อาณาจักรอะไร เค้าไม่เข้าใจ เพราะตาเค้าบอดมากๆ
ข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักร หรือมานาที่ซ่อนไว้ เป็นของคริสเตียนที่หล่นจากพระคุณแล้ว เราเป็นคริสเตียนที่ผ่านชีวิตโชกโชน ผ่านมรสุม พายุ และอะไรต่อมิอะไรมาแล้ว เป็นคริสเตียนศาสนา หล่นจากพระคุณ และเจอปัญหาอะไรเยอะแยะมาก ในที่สุดเราแพ้และท้อ พระเจ้าก็นำมานาที่ซ่อนไว้เด้งขึ้นมาในเฟสบุ๊คของเรา ในยูทูปของเรา ไม่ใช่บังเอิญครับที่เราได้เห็นมานาที่ซ่อนไว้
มีพี่น้องหลายคนเป็นพยานว่า เราดูอะไรก็ตามก็เด้งขึ้นมา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานหนักมาก เพื่อช่วยคริสเตียนศาสนาทั้งหลายให้มาพบมานา
“ขอบพระคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอบพระคุณพระเยซู และขอบพระคุณพระบิดา ที่ทรงให้พวกเราได้พบมานานี้ ของพระองค์ได้รับเกียรติแต่เพียงผู้เดียว เอเมน”
3. ทุกคนควรทำหน้าที่ในที่ประชุม คือเผยพระวจนะเพื่อเสริมสร้างผู้เชื่อด้วยกัน
ในคริสตจักรทั่วไป ปกติอาจารย์จะเป็นคนพูดคนเดียว แต่คริสตจักรเที่ยงแท้ ในพระคัมภีร์กิจการฯ บอกว่า ทุกคนก็ลุกขึ้นเป็นพยาน ลุกขึ้นเผยพระวจนะ และมีส่วนด้วยกัน ไม่ใช่เฉพาะผู้นำ หรืออาจารย์คนเดียวเท่านั้น
อาจารย์จะพูดพระคำเป็นหลัก อาจจะสิบห้านาที ยี่สิบนาที หรือสามสิบนาทีพอ หลังจากนั้นก็จะเป็นพี่น้องที่ลุกขึ้นช่วยกันพูด ใครที่เห็นอาจารย์พูดไม่ครบตรงไหน หรืออยากเพิ่มเติมตรงไหนก็ลุกขึ้นมาพูด เราทุกคนมีสิทธิ์เผยพระวจนะ เอเมน
“เผยพระวจนะ” ความหมายก็คือพูดเพื่อพระเจ้า การพูดเพื่อพระเจ้ามีสี่แบบ ไม่ได้มีแบบเดียวเหมือนที่พวกเราเข้าใจทุกวันนี้
พี่น้องคริสเตียนหลายคนบอกว่า เผยพระวจนะก็คือทำนาย อันนั้นเป็นแค่หนึ่งในสี่แบบของการเผยพระวจนะ
(1) รับจากพระเจ้าแล้วมาบอกมนุษย์
เผยพระวจนะแบบแรก คือรับจากพระเจ้าแล้วมาบอกมนุษย์ เหมือนโมเสส คือเอาจากพระเจ้า แล้วมาบอกประชาชนอิสราเอล
(2) รับจากผู้ที่รับจากพระเจ้าแล้วมาบอกต่อ
แบบที่สอง รับจากผู้ที่รับจากพระเจ้าแล้วมาบอกต่อ คือผู้ใหญ่ของอิสราเอลที่รับจากโมเสส แล้วเอาไปช่วยพูดต่อ
(3) รับจากพระเจ้าผ่านพระวจนะ แล้วนำมาแบ่งปันตอนสามัคคีธรรม
แบบที่สาม รับจากพระเจ้าผ่านพระวจนะ แล้วนำมาแบ่งปันตอนสามัคคีธรรม คือเดี๋ยวนี้หรือในปัจจุบันนี้ เรารับจากพระวจนะ จากพระคำพระเจ้า เปิดพระคำบางบทหรือบางข้อ แล้วก็ลุกขึ้นเผยพระวจนะ ไม่ใช่การพูดว่าให้คนนั้นคนนี้กลับใจ
การเผยพระวจนะในคริสตจักร คือหนุนใจหรือเสริมสร้างให้เค้าเติบโต ไม่ใช่ไปขู่เข็ญ บังคับ หรือทำให้เค้ากลัว นี่คือความหมายที่แท้จริงของคำว่าเผยพระวจนะ คือการพูดเพื่อพระเจ้า เพื่อเสริมสร้างทุกคนให้เติบโต
(4) ทำนายเหตุการณ์อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แบบที่สี่ คือทำนายเหตุการณ์ในอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในหนังสือกิจการฯ มีผู้รับใช้สองคนเดินทางผ่านเมืองหนึ่ง และเผยพระวจนะทำนายว่า “ในอนาคตพระเจ้าจะทำให้เกิดมีการกันดารอาหารในแถบนี้ ให้พี่น้องคริสเตียนระมัดระวังตัว และซื้อเสบียงอาหารเตรียมให้พร้อม” และพี่น้องก็ทำ แล้วอีกไม่นานเหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้น
แต่การเผยพระวจนะแบบนี้ทุกวันนี้มีน้อยมาก และก็อย่าใส่ใจเรื่องการแสวงการแสวงหาการทำนาย เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องที่ใหญ่มากที่สุด คือการแสวงหาการเผยพระวจนะเพื่อเสริมสร้างคริสตจักร เอเมน
เป้าหมายของพระเจ้าในการสร้างคริสตจักร คือเพื่อสำแดงชีวิตพระคริสต์ ถ้าหากว่าเราอยากสำแดงชีวิตพระคริสต์ เราก็ต้องเสริมสร้างกันและกัน เมื่อเราถูกเสริมสร้างเราก็เติบโต พระคริสต์ก็ก่อร่างของพระองค์ขึ้นในเรา และเราก็สำแดงพระคริสต์ได้ เอเมน
เพราะฉะนั้น เปาโลหนุนใจให้คริสเตียนและคริสตจักรแสวงหาของประทาน แสวงหาการเผยพระวจนะ คือการพูดเพื่อพระเจ้า แบ่งปัน นำพระคำของพระเจ้าขึ้นมาหนุนจิตชูใจ เสริมสร้าง ก่อสร้าง และเปิดตาเรา
4. ปุโรหิตทุกคนควรมีส่วนในการอธิษฐาน, พูดเอเมน, ร้องเพลงสรรเสริญ, ปราศรัยด้วยบทเพลง, อ่าน, เป็นพยาน และเผยพระวจนะ
ปราศรัยด้วยบทเพลง คือการนำบทเพลงที่เราร้องมาพูด แล้วทุกคนก็เอเมน นี่คือการปราศรัยด้วยบทเพลง คริสเตียนทุกวันนี้ไม่ได้ทำ แต่ในหนังสือกิจการฯ เค้าทำกัน และคริสตจักรพวกเราก็จะทำ
เราทำทุกอย่างให้เหมือนกับที่สาวกทำในหนังสือกิจการฯ ก็คือการนำพี่น้องเขาสู่การนมัสการตามน้ำพระทัยของพระบิดาครับ