หนังสือมัทธิวบทที่ 5-7 คือกฏเกณฑ์ข้อบังคับในพันธสัญญาใหม่ของพระเยซูสำหรับผู้เชื่อในยุคนี้
ผู้ที่จะเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ในยุคหน้าและครอบครองร่วมกับพระเยซูชั่วนิรันดร์ต้องรักษาพระบัญญัติใหม่นี้อย่างเคร่งครัด (มธ 5:19-20)
- มัทธิวบทที่ 5 พระเยซูทรงเปลี่ยนแปลง และยกระดับมาตรฐานของพระบัญญัติเดิมจากง่ายเป็นยาก และจากมาตรฐานของมนุษย์สู่มาตรฐานของพระเจ้าเพื่อไม่ให้เราทำได้
- มัทธิวบทที่ 6 พระเยซูทรงเปิดเผยถึงข้อลึกลับของการดำเนินชีวิตสู่ชัยชนะ และข้อลึกลับนั้นก็คือ "ตา" ที่สามารถมองเห็นความจริงแห่งพระคำของพระเจ้า เพราะถ้าเรามีตา
เราก็จะพบราชอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ ซึ่งผู้เชื่อมากมายในยุคนี้ยังไม่ได้พบแต่เขาคิดว่าเขาพบแล้ว
- มัทธิวบทที่ 7 พระเยซูทรงเปิดเผยอีกครั้งเกี่ยวกับผลดีหรือผลร้ายที่เราจะได้รับเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา และตั้งแต่ 6-7 การดำเนินชีวิตที่ครบบริบูรณ์ได้จะต้องมีตา เพราะมันเป็นเรื่องของ "ตา"
7:1 อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกกล่าวโทษ
7:2 เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร ท่านจะต้องถูกกล่าวโทษอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด ท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานอันนั้น
7:3 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่อยู่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่านเอง ท่านก็ไม่รู้สึก
7:4 หรือเหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องของท่านว่า `ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน' แต่ดูเถิด ไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง
7:5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
** (มัทธิวบทที่ 7 ข้อที่ 1-5)
** การตัดสินและกล่าวโทษพี่น้องว่าไม่รู้ ไม่เข้าใจ เชื่อผิด ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่รู้ไม่เข้าใจและเชื่อผิดมากกว่าพี่น้อง
** ผู้เชื่อมากมาย คิดว่า ในข้อที่ 1-5 นี้พระเยซูกล่าวถึงเรื่องการตัดสินลงโทษพี่น้องเรื่องความบาปทั่วๆ ไป แต่ถ้าเราดูข้อที่ 3 เราจะพบว่าพระองค์ทรงกล่าวถึงเรื่อง ตาที่มองไม่เห็น เพราะมีผง และมีไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตา คือไม่สามารถมองเห็นความหมายที่แท้จริงของพระคำพระเจ้า.
** ตั้งแต่ข้อที่หนึ่ง ถึงข้อที่ยี่สิบเจ็ด พระเยซูทรงเน้นถึงเรื่องการมองเห็น และไม่เห็นคือสาเหตุให้คนจะ… 1.ไม่รอด 2. ไม่ได้เข้าในราชอาณาจักรในยุคหน้า และ3. คนที่จะรอดในสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่
** การกล่าวโทษหรือตัดสินผู้อื่น ว่ารู้ผิด แปลความหมายพระคำพระเจ้าผิด ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เชื่อควรกระทำ เพราะเรามีวิญญาณที่ถ่อมของพระคริสต์อยู่ในเรา และทรงอยู่แทนเรา
** เราควรที่จะขอการเปิดตาฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้าให้ได้เห็นมากขึ้นเพื่อการเติบโตของชีวิตในพระคริสต์
** เมื่อเรารับความจริง หรือแสงสว่างจากพระวิญญาณแล้ว และเห็นพี่น้องเชื่อผิดแปลความหมายผิด เราจึงช่วยพี่น้องให้เห็นด้วยความรักและห่วงใย และไม่ใช่การกล่าวโทษหรือเอาความ
นอกเสียจากเป็นหน้าที่ของเราที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้กล่าวโทษคนที่ควรถูกกล่าวโทษนั้นๆ
สรุป ก็คือ เราสามารถตัดสินหรือกล่าวโทษพี่น้องได้ ถ้าหาก เราไม่มีความรู้หรือความเข้าใจที่ผิดดั่งที่เขามีอยู่ เราได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้กล่าวโทษเขา เราทำด้วยความรัก อย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรมและชอบธรรม
7:6 อย่าให้สิ่งซึ่งบริสุทธิ์แก่สุนัข และอย่าโยนไข่มุกของท่านให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย
** (มัทธิวบทที่ 7 ข้อ 6)
1. "ของดี" หรือ "สิ่งที่บริสุทธิ์" คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดที่นำความบริสุทธิ์มาถึงเราเพื่อให้ได้รับความรอด
2. "สุนัข" คือบุคคลที่คิดว่าตนชอบธรรมบริสุทธิ์ไม่ต้องการให้ใครมาช่วยเขาให้รอด หรือเขามีทางของเขาเองอยู่แล้ว พระเยซูเล็งถึงยิว
3. "ไข่มุก" คือชีวิตแห่งผู้ชนะ ที่ดำเนินในทางแห่งสันติสุขได้ทุกวันเวลา และอยู่ในกระบวนการเพื่อเติบโตสู่พระลักษณะของพระคริสต์ ซึ่งมีไม่กี่คนในท่ามกลางผู้เชื่อมากมาย
4. "สุกร" คือผู้เชื่อที่ได้ฟังถ้อยคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ในส่วนที่เป็นข้อลึกลับแต่ไม่ยอมรับ เพราะไม่อาจเข้าใจข้อลึกลับดังกล่าวที่พระองค์ตรัสได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ ศิษยาภิบาล ศาสนาจารย์หรือใครก็ตามที่เชื่อ รับใช้พระเจ้า แต่ชีวิตยังขึ้นลง ๆ ดีบ้างบาปบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง ยังไม่ไปถึงไหนเลย พระเยซูจะเปรียบเขาเหมือนสุกร
(หมายเหตุ: แปลความหมายตามพระคำ ไม่ได้ตัดสินใคร)
7:7 จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน
7:8 เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา
7:9 ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปัง
7:10 หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา
7:11 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์
** (มัทธิวบทที่ 7 ข้อที่ 7-11 ขอ หา เคาะ)
1. "ขอ" คือ การขอพระวิญญาณ เพื่อรับพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในเรา เป็นการต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วย หรือการแจ้งเกิดชีวิตในพระวิญญาณ
2. "แสวงหา" คือ แสวงหาพระวิญญาณเพื่อการเติมให้เต็มอยู่เสมอในแต่ละวัน
3. "เคาะ" คือ เคาะเพื่อให้ได้รับพระวิญญาณ และรับอย่างเต็มล้นในแต่ละวัน
(ดู คำตอบที่ ลก 11:13 เพราะฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์”)
** ผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้คิดว่าขอนี่ขอโน่น แต่แท้ที่จริง คือพระเยซูสั่งให้เราขอพระวิญญาณ เพื่อการเติมให้เต็มด้วยพระวิญญาณในแต่ละวัน การดำเนินชีวิตที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณทำงานในชีวิตเราเพื่อเราสามารถทนต่อทุกสิ่งได้
บทความเพิ่มเติ่ม : “ขอ หา เคาะ”
กฎทองคำ
7:12 เหตุฉะนั้น สิ่งสารพัดซึ่งท่านปรารถนาให้มนุษย์ทำแก่ท่าน จงกระทำอย่างนั้นแก่เขาเหมือนกัน เพราะว่านี่คือพระราชบัญญัติ และคำของศาสดาพยากรณ์
** การดำเนินชีวิตที่ ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ ถูกข่มเหง ไม่ยุติธรรม ไม่เป็นธรรม คือชีวิตของผู้ชนะที่มีคนไม่มากที่ดำเนินชีวิตนี้ในแต่ละวัน ซึ่งพี่น้องผู้ชนะเหล่านี้จะได้รับบำเหน็จในการครอบครองร่วมกับพระเยซูในยุคหน้าและนิรันดร์
เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา และผู้เชื่ออีกมากมายที่ไม่ได้ดำเนินชีวิตใน มธ บทที่ 5 ถึง 7 จะไม่มีโอกาสได้ร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์ และผลงานจะถูกเผาไฟทิ้งหมด (1 คร 3:12-15)
** ในกฎหมายใหม่ของพระเยซูคริสต์ ข้อนี้พระเยซูนำมาจากคำศาสดาพยากรณ์ และพระราชบัญญัติจากพระคัมภีร์เดิม จากพระบัญญัติเดิม
เราทำในสิ่งที่เราต้องการ ให้พี่น้องให้ผู้อื่นทำกับเรา เราจะต้องเป็นคนที่ทำก่อน เสียเปรียบก่อน ยอมก่อน และบุตรที่ดีของพระเจ้า ถ้าเรามีพระคริสต์อยู่ในเรา เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคนนำเรา ดำเนินชีวิตแทนเรา เราจะสามารถกระทำทุกสิ่งได้และเราจะเป็นคนที่ยอมเสียเปรียบได้
อันนี้เป็นเรื่องของการเสียเปรียบ คือเราเป็นคนเริ่มก่อน เราทำก่อน พี่น้องคริสเตียนส่วนมากมีปัญหาก็คือ ให้เขามาง้อเราก่อน ให้เขาทำดีกับเราก่อน ให้เขาทำให้เราพอใจก่อน อันนี้ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า น้ำพระทัยของพระเจ้ากฎหมายใหม่ของพระเยซู ก็คือการที่เรา คุณ ผม เป็นคนที่เริ่มก่อน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม เราถูกเราผิดไม่สำคัญ เราเริ่มก่อนเราขอโทษก่อน เราคุยก่อนเราทักเขาก่อน และเมื่อเขาเห็นความรักของเราเห็นพระคริสต์ที่อยู่ในเรากระทำดีส่องสว่างผ่านชีวิตของเรา เขาก็จะทำในสิ่งที่เราปรารถนาให้เขาทำกับเรา
7:13 จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก
7:14 เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย
** "ทางประตูแคบ" คือทางเข้าประตูแห่งราชอาณาจักรสวรรค์ที่จะลงมาตั้งอยู่ในโลกนี้ในยุคหน้า ทางแคบ คือการดำเนินชีวิตตามกฏเกณฑ์พระบัญญัติใหม่ของพระเยซูใน มธ บทที่ 5 ถึงบทที่ 7
** "ประตูใหญ่และทางกว้าง" คือการดำเนินชีวิตที่ไม่ได้รักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูใน มธ บทที่ 5 ถึงบทที่ 7 เมื่อพระเยซูเสด็จมาพร้อมกับราชอาณาจักรสวรรค์ ผู้เชื่อเหล่านี้จะไม่มีโอกาสได้เข้าไปข้างใน และซ้ำยังถูกตีสอนลงโทษเพราะเหตุไม่เอาใจใส่แสวงหาราชอาณาจักรของพระเจ้า และชีวิตจิตใจใหม่
7:15 จงระวังผู้พยากรณ์เท็จที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจสุนัขป่า
7:16 ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา มนุษย์เก็บผลองุ่นจากต้นไม้มีหนามหรือ หรือว่าเก็บผลมะเดื่อนั้นจากต้นผักหนาม
7:17 ดังนั้นแหละต้นไม้ดีทุกต้นย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว
7:18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้
7:19 ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ
7:20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา
** (มัทธิวบทที่ 7 ข้อที่ 15-20)
- "ผู้พยากรณ์เท็จ" คือผู้สอนปลอมที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ...ผู้ที่ตั้งใจคือรู้ว่าผิดและทำเพื่อผลประโยชน์และอำนาจชื่อเสียง และถูกมารซาตานใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหลอกลวงผู้คนให้หลงหายไป
ในยุคนี้ผู้พยากรณ์เท็จมีมากมายทั่วโลกจนดูกันไม่ออกว่าใครเป็นใคร (มธ 24:21)
- แต่ว่าเราสามารถดูที่ผลของมันเพื่อพิสูจน์ว่าของจริงหรือของปลอม (มธ 7:16-20)
- ผู้พยากรณ์เท็จเหล่านี้ตาบอดไม่รับพระเยซู และเที่ยวหลอกลวงให้ผู้คนมากมายหลงทาง และต่อต้านข่มเหงผู้เชื่อเพราะคิดว่าคริสเตียน คือกลุ่มเทียมเท็จ พระเยซูและเหล่าสาวกก็ถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มเทียมเท็จมาก่อน
7:21 มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้
** บรรดาผู้ที่มาร้องขอพระเยซูเพื่อให้ได้เข้าในราชอาณาจักรในยุคหน้า (เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา) คือผู้เชื่อและผู้รับใช้ที่ไม่มีชีวิตแห่งชัยชนะในยุคนี้
** เรารู้ได้จากการร้องเรียกพระเยซูของพวกเขาว่า "พระองค์เจ้าข้า ๆ ข้าพระองค์ทำโน่นทำนี่เพื่อพระองค์ ฯลฯ" แสดงว่าคนเหล่านี้เชื่อและรู้จักพระเยซูอย่างแน่นอน
** คำว่า "เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์" ในที่นี้ไม่เหมือนคำว่า "รอดในวันสุดท้าย" เพราะว่าเข้าในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์คือรอดในยุคหน้าหรือยุคพันปี
ส่วน "รอดในวันสุดท้าย" คือ "รอดในวันพิพากษาครั้งสุดท้ายเพื่อส่งคนที่ไม่เชื่อลงไปในบึงไฟชั่วนิจนิรันดร์"
** เนื่องจากว่าพระเยซูกล่าวบอกถึงสาเหตุว่าทำไมพวกเขาจึงถูกปฎิเสธ ในข้อที่ 21 ว่า การที่จะได้เข้าในราชอาณาจักรสวรรค์ในยุคหน้าคือการดำเนินชีวิต และรับใช้ตามน้ำพระทัยของพระบิดา
ถึงแม้ว่าผู้เชื่อ / ผู้รับใช้เหล่านั้นจะมีผลงานมากมาย สร้าง คริสตจักร นำคนมาเชื่อ รับใช้ตั้งแต่เช้าจนเย็น รักษาโรคและขับไล่ผีออกได้ ประกาศเทศนาได้ แต่เขาไม่รู้น้ำพระทัยและทำตามน้ำพระทัยก็ไม่มีประโยชน์อะไร ผลงานจะถูกเผาไหม้ทิ้งหมด เพราะว่าการกระทำที่ไม่ได้เป็นตามน้ำพระทัยพระบิดาก็คือการก่อขึ้นไม่เป็นนี่เอง (1 คร 3:12-15)
** "น้ำพระทัยของพระบิดา" ก็คือ การดำเนินชีวิตและการรับใช้ในพระคริสต์, ร่วมกับพระคริสต์ และเพื่อพระคริสต์เท่านั้น
7:22 เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ'
** "เมื่อถึงวันนั้น" คือวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาพร้อมกับราชอาณาจักรสวรรค์เพื่อลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้ในยุคหน้า
** "จะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า" คือพวกเขาเป็นผู้เชื่อและผู้รับใช้ เพราะว่าคนที่ไม่ได้เชื่อหรือหลงหายไป เขาจะไม่กล้าต่อรองพระเจ้าโดยเด็ดขาด
** การทำการอัศจรรย์ คือการใช้ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าเรายังทำบาป และดำเนินชีวิตที่ไม่ได้เป็นไปตามน้ำพระทัยก็ตาม พระวิญญาณยังสามารถใช้เราให้เกิดผลได้
แต่ถ้าหากชีวิตยังมาไม่ถึงการเติบโตสู่ชีวิตธรรมชาติของพระคริสต์ ก็ไม่อาจได้เข้าในราชอาณาจักรสวรรค์เป็นแน่
** การรับใช้ก็ไม่ต่างไปจากเลข 0 ที่อยู่ข้างหลังของหมายเลข 1
- หมายเลข 1 คือจิตใจใหม่ การได้รับการเปลี่ยนใหม่จากพระวิญญาณ
- หมายเลข 0 คือการได้รับฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณ เพื่อประกาศ รักษาโรค ไล่ผี สอน เทศน์ ฯลฯ
เลข 0000000000 มีมากแค่ไหน ก็ไม่มีค่าอะไร จะไม่ได้เข้าในอาณาจักร และไม่ได้รับรางวัล ถ้าไม่มีเลข 1 อยู่ด้านหน้า (10,000,000) …ขอย้ำอีกครั้งว่า เลข 1 คือชีวิตจิตใจที่เปลี่ยนใหม่
7:23 เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า `เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา'
** เมื่อนั้นเราจะแจ้งแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย คือไม่รู้จักคุ้นเคยใกล้ชิด เพราะว่าแท้ที่จริงพระเยซูทรงรู้จักเราทุกคนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อในพระองค์
** เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า ผู้กระทำการชั่วในที่นี้คือ ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูตั้งแต่ มธ บทที่ 5 ถึงบทที่ 7 และไม่มีพระคริสต์ในเขาเป็นคนทำแทน
** จงไปเสียให้พ้นจากเรา’ คือถูกไล่ออกไปจากการตัดสินเพื่อให้รางวัล และให้ถูกตีสอนเป็นเวลาพันปีเพราะพวกเขาไม่ได้ใช้ร่างกายของพวกเขาเพื่อการดำเนินชีวิตและรับใช้ตามน้ำพระทัยของพระบิดา
** ข้อที่ 21-23 ไม่ใช่เรื่องของผู้เชื่อที่หลงหายไป แต่ผู้เชื่อมากมายเข้าใจผิดคิดว่า พระเยซูตรัสเกี่ยวกับผู้เชื่อหรือผู้รับใช้ที่เคร่งครัดและไม่นานต่อมาหลงหายไป แต่แท้ที่จริงพวกเขายังรับใช้อยู่จนถึงเวลาที่พระเยซูเสด็จมา
7:24 เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา
** "การสร้างเรือนบนศิลา" คือการรักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูที่ทรงก่อตั้งเป็นรัฐธรรมนูญใหม่ใน มธ บทที่ 5 ถึงบทที่ 7 ด้วยการทำแทนของพระคริสต์ในเรา
7:25 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา
** "ฝน" ก็คือการทดลองที่มาจากพระเจ้าโดยตรง
** "ลม" ก็คือการทดลองที่มาจากมารซาตานที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้มันนำเข้ามาสู่ชีวิตของเรา
** "น้ำก็ไหลเชี่ยว" ก็คือการทดลองที่มาจากมนุษย์ที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้นำเข้ามาสู่ชีวิตของเรา
** "รางวัลของเขา" คือการได้เข้าในราชอาณาจักรเพราะเขาดำเนินชีวิตตามรัฐธรรมนูญใหม่ หรือ กฎหมายใหม่ของพระเยซู
7:26 แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และไม่ประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลาสร้างเรือนของตนไว้บนทราย
** "ผู้ที่ได้ยินและไม่ทำตาม" คือคริสเตียนมากมายที่เชื่อ ได้เรียนรู้ได้ยินได้ฟังคำสั่งสอนของพระเยซูใน มธ บทที่ 5 ถึงบทที่ 7 แต่ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามนั้น ก็จะเป็นเหมือนเรือนที่ก่อบนทราย ซึ่งเมื่อถึงเวลาแห่งการทดลองที่มาจากพระเจ้า ซาตาน และมนุษย์ เขาจะทนต่อการทดลองเหล่านั้นไม่ได้ และดำเนินชีวิตเป็น คริสเตียนศาสนาดั่งที่เห็นทุกวันนี้ เพราะชีวิตพยายามหลีกหนีต่อการทดลองและปัญหาไม่เคยยอมรับความยากลำบากที่เข้ามา
7:27 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก"
** "เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก” หมายถึงการสูญเสียรางวัลทุกสิ่งทั้งในชีวิตนี้ และยุคหน้าและนิรันดร์ ซึ่งตัวเขาเองเท่านั้นที่ได้รอดในวันสุดท้ายเพราะเหตุเขารับเชื่อและได้บังเกิดใหม่
** คำว่า "การซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก" ในที่นี้ เป็นความหมายเดียวกับ "พินาศ" ของคนที่เดินในทางกว้างใน มธ 7:14 ซึ่งไม่ใช่จะไม่รอดในวันสุดท้าย แต่เป็นการสูญเสียผลงานรางวัลทั้งหมดที่เขาควรจะได้รับ
7:28 ต่อมาครั้นพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ประชาชนก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์
7:29 เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ ไม่เหมือนพวกธรรมาจารย์