ขอบคุณพระองค์ที่พระองค์ให้ความเข้าใจเกี่ยวกับยอห์นบทที่ 9 ซึ่งเป้าหมายของหนังสือยอห์นบทที่ 9 คือ
1. พระเยซูเป็นความสว่างที่นำทางคนตาบอด ให้มาถึงความสว่างได้
2. เราไม่ต้องอยู่ในรูปแนวศาสนาอีกต่อไป ซึ่งเน้นกฎเกณฑ์ แต่เราอยู่ในรูปแนวชีวิตซึ่งเน้นที่ความรักความเมตตาเป็นใหญ่และเป็นหลัก
เราเมื่อก่อนเป็นคริสเตียนศาสนาเราอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ เราเน้นกฎเกณฑ์กันเยอะมาก ''ผิดถูกๆ คุณทำผิด ผมทำถูก /คุณทำถูก ผมทำผิด" เนื่องจากว่าเราอยู่ในความมืด เราตาบอด เราอยู่ในรูปแนวของศาสนา สองปัญหานี้ต้องถูกแก้ไข
และพระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่อง กลางวัน กลางคืน และจากนั้นพระองค์ก็เชื่อมโยงมาถึงฝ่ายวิญญาณ
สำหรับความสว่างของพระเจ้าคืออะไร? คือเรื่องยุคเก่ายุคใหม่ เมื่อก่อนเราไม่รู้จักว่าตอนนี้มีสองยุค คริสเตียนยังไม่เข้าใจ แล้วก็เรื่องพระบัญญัติเดิม และพระบัญญัติใหม่ คริสเตียนทุกวันนี้ยังสับสนเรื่องพระบัญญัติ แต่ตอนนี้เราขอบคุณพระเจ้าเราถูกเปิดตาให้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องมีพระบัญญัติเดิมและมีพระบัญญัติใหม่ มีพระบัญญัติของโมเสสและพระบัญญัติของพระเยซู
และอีกเรื่องหนึ่งก็คือยิวเก่าและยิวใหม่ เมื่อก่อนพระเจ้าเลือกชนชาติอิสราเอล แต่เดี๋ยวนี้ยิวเหล่านั้นตกตำแหน่ง คือหมดสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์อำนาจที่จะเป็นยิวต่อไป พระเจ้ายกเชื้อชาติสัญชาติยิวให้เรา เราตอนนี้เป็นลูกหลานของอับราฮัมฝ่ายวิญญาณ
เพราะฉะนั้นเราก็เป็นยิวฝ่ายวิญญาณแล้ว และยิวฝ่ายวิญญาณคือยิวที่จะได้รับพระพร รับพระสัญญาของพระเจ้าผ่านอับราฮัมโดยพระเยซูเป็นคนนำมา
และต่อมาก็คือ ความสว่าง ก็คือเรื่องของชีวิตเก่าและชีวิตใหม่ คือเมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าเราตาย เราไม่รู้ว่าตัวเก่าเราตายแล้ว ตัวใหม่เราเป็นอยู่ เราไม่รู้การบังเกิดใหม่เป็นยังไง เรารู้ว่าเราได้บังเกิดใหม่ แต่เราไม่เข้าใจการใช้ชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่นี้ชีวิตใหม่นี้ เพราะฉะนั้นขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เปิดตาให้เราได้เห็นว่าชีวิตเก่าของเราตายแล้ว และตอนนี้เราใช้ชีวิตใหม่อยู่และชีวิตใหม่นี้ก็ไม่ใช่เราเป็นคนใช้ พระเยซูเป็นคนครอบครอง พระเยซูเป็นคนคิด เป็นคนตัดสินใจ เป็นคนพูด เป็นคนกระทำ เป็นคนทำดีทุกอย่างเพื่อเราเพื่อช่วยเรา
และเรื่องการชำระให้บริสุทธิ์ เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ ซึ่งชาวยิวเขาพยายามรักษาพระบัญญัติให้เคร่งครัดอย่างเคร่งครัดเพื่อให้กลายเป็นคนชอบธรรม แต่เราทันทีที่เราเชื่อ ต้อนรับพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ตายแทนบาปของเรา เราก็ได้กลายเป็นคนชอบธรรมเท่ากันเท่ากับชาวยิวเหล่านั้น ที่เคร่งครัดศาสนา เราขอบคุณพระเจ้าเราไม่ต้องทำอะไรแต่ชัยชนะเป็นของเราโดยพระเยซูเป็นคนทำแทน
แล้วต่อมาก็คือเรื่องวิหารหลังใหม่ ที่พระเจ้าไม่อยู่วิหารหลังเก่าแล้วคือพระวิหารพระเจ้าย้ายออกมาแล้วออกจากที่นั่นแล้ว และทุกวันนี้พระเจ้านับว่าเราทุกคนที่เชื่อ วิญญาณของเราเป็นวิหารหลังใหม่ของพระเจ้า พระองค์ทรงสถิตอยู่และเป็นที่อยู่ถาวรของพระองค์สืบไปเป็นนิจ
ยังมีอีกมากมายหลายเรื่องเกี่ยวกับความสว่างของพระเจ้า คือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เป็นความรู้ใหม่ๆทั้งนั้น ซึ่งเมื่อก่อนเราคิดผิดเข้าใจผิดหลงทางเกี่ยวกับเรื่องการดำเนินชีวิตคริสเตียน การดำเนินชีวิตคริสตจักร การอธิษฐาน การนมัสการ การอ่าน การปรนนิบัติ การรับใช้พระเจ้า การประกาศข่าวประเสริฐ การใช้ชีวิตที่ไม่ใช่เราเองเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราไม่เคยเข้าใจ
คือเมื่อก่อนเราอยู่ในความมืด ทุกสิ่งเหล่านี้เราทำตามความคิดความเข้าใจของเรา ที่ผู้นำถ่ายทอดสอนเรามาแบบไหนเราก็รับมาแบบนั้นแล้วก็ปฏิบัติ ตามสิ่งที่เราได้เรียนมา
แต่เมื่อเราถูกเปิดตา เมื่อความสว่างที่แท้จริงของพระเจ้าส่องเข้ามาภายในจิตใจของเราโดยมานาที่ซ่อนไว้โดยพระคำล้ำลึกนี้ เราจึงเห็นว่ามันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่เมื่อก่อนเราเป็นคริสเตียนศาสนาเราไม่เข้าใจ และเราไม่เคยมีประสบการณ์ไม่เคยได้อยู่ในชีวิตใหม่ และอยู่ในรูปแนวของชีวิต
รูปแนวศาสนาเน้นกฎเกณฑ์ เน้นพระบัญญัติ เน้นถูกผิด แต่ขอบคุณพระเยซูรูปแนวของชีวิต เน้นที่ความรักเป็นใหญ่
....
สำหรับข้อที่ 1- 2 -3 อย่างที่เราได้ทราบกันน่ะครับ ทุกวันนี้คริสเตียนหลายคนส่วนมาก โดยส่วนมากทั่วไป เมื่อใครคนใดคนหนึ่งเจอปัญหาเจอมรสุมชีวิต เราก็จะชอบตัดสินกันทันทีเลยว่าพระเจ้าลงโทษคนนี้ พระเจ้าลงโทษคนนั้น พระเจ้าลงโทษคุณ เป็นความคิดในรูปแนวศาสนา
แต่ถ้าหากเราอยู่ในรูปแนวชีวิต เราจะเข้าใจว่าบางครั้งเขาไม่ได้ทำผิดอะไรก็มี พระเจ้าอาจจะลงโทษเขาก็เป็นได้หรือไม่เขาเกิดมาเขาเป็นแบบนี้ เขาเจอมรสุม เขาเจอปัญหานี้เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติ เมื่อพระเจ้ารักษาเขาต่อหน้าผู้คนทั้งหลายผู้คนจะยกย่องและรับเชื่อพระเยซู
สำหรับข้อที่ 4 สำหรับพระเจ้า 6 โมงเช้าจนถึง 6 โมงเย็น เรียกว่ากลางวันอันนี้สำหรับพระเจ้าในพระคัมภีร์ ส่วน 6 โมงเย็นจนถึง 6 โมงเช้าสำหรับพระเจ้าเรียกว่ากลางคืน ตะวันตกดินจนถึงรุ่งเช้าก็คือกลางคืนของพระเจ้า และสำหรับกลางคืนชาวยิวเขาไม่ชอบทำงาน เขาไม่ทำอะไรก็พักผ่อน และพระเยซูใช้เวลาของโลกเพื่อกล่าวถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณ คือเรื่องความสว่างและความมืด
กลางวันในฝ่ายวิญญาณคือการได้อยู่ในความสว่างหรือความจริงของพระเจ้าที่พระเยซูนำเข้ามา เราเข้าใจกันแล้วว่าความเป็นจริงของพระเจ้าหรือความสว่างคืออะไรกันแน่ คือเราอยู่ในยุคใหม่ เราไม่มียุคเก่าแล้ว เราอยู่ในพระบัญญัติใหม่ ไม่ได้อยู่ในพระบัญญัติเดิมแล้วเพราะว่ามันไม่มี เราอยู่ในชีวิตใหม่ ตัวใหม่ คนใหม่ เพราะว่าชีวิตเก่า ตัวเก่าคนเก่าตายไปแล้ว
และเราอยู่ในความรักเป็นหลัก อาศัยความรักใช้ความรัก อยู่ในความรักเป็นหลักเป็นใหญ่ เราไม่ต้องไปมองใครว่าผิดถูกอีกต่อไป และใครที่ทำผิดเราก็รักเขาสงสารเขาเอาความรักเป็นหลัก อย่าลืม คือไม่ต้องมองว่าคนนี้ไม่ดี คนนี้มีปัญหา คนนี้เป็นแบบนี้แบบนั้น ไม่คิดถูกไปคิดผิดกับเขา ไม่ต้องอีกแล้วไม่ต้องตัดสินเขาอีก มนุษย์วิญญาณมีหน้าที่ทำสิ่งเดียวก็คือ เอาความรักเป็นหลัก เอาความเมตตาเป็นใหญ่
....
และในอีกพระคำภีร์บางข้อบอกว่าความมืดจะตามมา ขอให้ระมัดระวังความมืดจะตามมา คือเมื่อเราถูกเปิดตาอยู่ในความสว่างของพระเจ้า ได้เห็นความจริงได้เข้าใจว่าโลกนี้มีสองยุค ยุคใหม่ ยุคเก่า แล้วก็พระบัญญัติใหม่ พระบัญญัติเก่า ชีวิตใหม่ ชีวิตเก่า พระวิญญาณสถิตอยู่ในเรา พระเจ้าสร้างบ้านหลังใหม่คือวิหารของพระองค์อยู่ในเรา เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว ความรู้ใหม่ต่างๆ เหล่านี้เป็นความจริงของพระเจ้า
แต่ความไม่จริงก็จะตามมา คือซาตานมันจะพยายามหลอกเราให้กลับไปอยู่ในความไม่จริงของพระเจ้าเหมือนเดิม บางคนที่รับมานารับพระคำล้ำลึกอาจจะตัดสินว่าก็ดีอยู่ แต่รู้สึกว่ามีคำสอนที่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์เยอะมาก หรือไม่ฉลองคริสต์มาส หรือไม่ถวายสิบลด เยอะแยะมากเหลือเกิน ที่จะเป็นข้ออ้างที่นำเรากลับไปสู่ความมืด ก็น่าเสียดายแล้วก็สงสารพี่น้องหลายคนที่รับพระคำล้ำลึกเข้าสู่พระคำล้ำลึกถูกเปิดตาแต่ก็กลับไป บางคนก็กลับไปเนื่องจากสาเหตุหรือเหตุผลที่อาจจะคิดเห็นแก่ตัวนิดนึง ก็คือเพื่อผลประโยชน์ เพื่อความอยู่รอด เพื่อเงินเดือน เพราะว่าเป็นทางเดียวที่ต้องอาศัยรายได้ เพราะฉะนั้นศิษยาภิบาล ผู้นำผู้รับใช้หลายคน เห็นว่าถ้าจะออกมาหรือหลุดพ้นจากคริสเตียนศาสนา คือก็ไม่มีผลประโยชน์อะไร
เราเป็นกลุ่มเล็กๆ และคริสตจักรฝ่ายวิญญาณ มนุษย์วิญญาณพวกเรา คริสตจักรเที่ยงแท้ส่วนมากเราจะไม่เน้นที่การช่วยเหลือเป็นเรื่องใหญ่น่ะครับ เรามีเล็กๆน้อยๆ เราช่วยเล็กๆน้อยๆ คือทุกคนช่วยกันเท่าที่ช่วยได้ตามขนาดของความเชื่อ เราไม่ได้หวังอะไรที่แบบว่าต้องช่วย ต้องทำ คือเราเน้นที่การสำแดงชีวิตของพระเยซูและเราเน้นที่การประกาศเรื่องอาณาจักร เราเน้นที่นำผู้เชื่อทั้งหลายเข้ามาสู่ชีวิตที่มีสันติสุขทุกวันทุกเวลาได้
เพราะฉะนั้นขอให้เราเข้าใจน่ะครับว่ามานาที่ซ่อนไว้หรือกลุ่มพระคำล้ำลึกของพวกเราที่เรารับมานา คือไม่ใช่องค์กร ไม่ใช่คณะนิกาย ที่เน้นเรื่องการช่วยเหลือใครเกี่ยวกับเรื่องฝ่ายเนื้อหนังฝ่ายชีวิตโลกนี้ เราทำตามพระเยซูที่พระองค์ทำมาและสอนพวกเรา พระเยซูมางานหลักของพระองค์ก็คือ เพื่อประกาศข่าวประเสริฐ เพื่อนำวิญญาณของมนุษย์ให้เข้าสู่ความรอด และนำมนุษย์เข้าถึงพระเจ้ากลับมาหาพระเจ้า และการช่วยเหลือเป็นงานรอง มีน่ะครับเรามีการช่วยเหลือแต่เป็นงานรอง
อย่าลืมน่ะครับ คริสเตียนหลายคนเอาการช่วยเหลือเป็นงานหลัก เข้าใจน่ะครับอันนี้ผิดน่ะครับ
เพราะฉะนั้นเราขอบคุณพระเยซูที่เรามาถึงความสว่างที่แท้จริง และขอบคุณพระเยซูที่เราเข้าสู่รูปแนวชีวิตแล้ว และสิ่งสำคัญเราที่ได้ถูกเปิดตาขอให้จดจำสิ่งหนึ่งก็คือ ใช้ความรักเป็นหลัก และรัก รักตามขนาดของความเชื่อ ถ้าหากเรารักน้อย วันนี้รักพระเจ้าน้อย รักเพื่อนบ้านน้อย เราก็ขอพระเจ้าให้รักมากขึ้น เราขอ.. พระบิดาของเราทำได้ทุกสิ่ง และคำพูดของเราตอนนี้ศักดิ์สิทธิ์มากเพราะว่ามนุษย์วิญญาณพูดอะไร คำอธิษฐานของคนชอบธรรมก็เกิดผล ฉะนั้นเมื่อเราขออะไร เราพูดอะไรกับพระเจ้า พระเจ้าจะตอบ พระเจ้าจะฟัง พระเจ้าจะช่วยเหลือ
....
สิ่งหนึ่งตอนท้ายของพระคำยอห์น 9:16 ก็คือ ฟาริสีและพวกยิวต้องการที่จะฆ่าพระเยซู และไม่พอใจ ไม่พอใจที่พระเยซูทำงานในวันสะบาโต การรักษาโรคในวันสะบาโตยิวถือว่าผิด เนื่องจากว่าเขามองไปที่กฎเกณฑ์ อยู่ในรูปแนวของกฎเกณฑ์ อยู่ในรูปแนวศาสนา เขาจะเห็นว่าอันนี้ทำผิดอันนี้ทำถูก แล้วเขาก็ตัดสินพระเยซูว่าทำผิด
แต่สำหรับพระเจ้าเห็นผิดถูกไม่สำคัญ ขอให้ได้ช่วยคน ขอให้ได้มีความรัก ขอให้ได้เมตตา ขอให้การสำแดงจิตใจเหล่านี้ออกมาเนื่องจากว่าเป็นชีวิตของพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราอย่าเน้นที่กฎเกณฑ์ อย่าเน้นที่พระบัญญัติ อย่าเน้นที่เรื่องของรูปแนวศาสนา แต่ให้เราใช้ชีวิตที่เอาความรักเป็นหลัก เอาความเมตตาเป็นใหญ่