• สำหรับข้อที่ 24 คนเหล่านั้นจึงเรียกคนที่แต่ก่อนตาบอดนั้นมาอีกและบอกเขาว่า "จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด เรารู้อยู่ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป"
สำหรับชาวยิว เมื่อชาวยิวพยายามทำให้บิดามารดาของชายที่ตาบอดเป็นพยานเพื่อที่จะเอาเรื่องพระเยซูไม่ได้ พวกเขาจึงบอกให้ชายที่ตาบอดสรรเสริญพระเจ้า คือลืมทุกสิ่งไปเพราะว่าเอาเรื่องพระเยซูไม่ได้แล้ว
คือสำหรับมนุษย์และศาสนาทั่วโลก ทั้งศาสนายิว ต่างก็เชื่อกันว่าใครที่ยังทำบาปอยู่ก็คือคนบาป เราเมื่อก่อนก็เป็นใช่ไหม คือเราจะมองพี่น้องคริสเตียนด้วยกันถ้าใครยังทำบาป ก็เรียกว่าคนนี้บาปคนนั้นบาป และถ้าใครที่เลิกทำบาปได้ไม่เห็นเขาทำบาป ก็คือเรียกเขาว่าเป็นผู้บริสุทธิ์เป็นผู้ชอบธรรม
แต่สำหรับพระเจ้า เราขอบคุณพระเยซูเมื่อมาถึงยุคพันธสัญญาใหม่ ทุกคนที่ต้อนรับพระเยซูเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า ก็ได้รับการชำระโดยพระโลหิต พระโลหิตของพระเยซูจ่ายหนี้บาปให้เราแล้ว และพระเจ้ายอมรับเราว่าเราบริสุทธิ์แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ที่สุดต่อหน้าพระเจ้า (ต่อพระพักตร์พระเจ้า)
แต่สำหรับมนุษย์ยังมองเรา เพราะว่าเรายังทำบาปอยู่ เขาจึงมองเราว่าเป็นคนบาป แต่แท้ที่จริงแล้วฐานะตัวตนที่แท้จริงของเราทุกวันนี้ สรรเสริญพระเจ้าเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว เอเมน
• ข้อที่ 25-26-27-28 และ 29 คือจะพูดถึงเรื่องชาวยิวอ้างว่าเขามีผู้นำ เขามีผู้เผยพระวจนะ คือโมเสส แต่พระเยซูคือใคร เขาไม่รู้ เนื่องจากว่าเขาไม่ยอมรับการกระทำของพระองค์ ซึ่งพระเยซูละเมิดกฎสะบาโตหลายครั้ง และไม่ยอมร่วมมือกับพวกเขา และสอนขัดแย้งกับพวกเขา เพราะฉะนั้นชาวยิว และฟาริสี ธรรมมจารย์ จึงไม่พอใจ
สำหรับโมเสส ก็คือผู้นำ และผู้เผยพระวจนะ คือผู้ยิ่งใหญ่ของชนชาติอิสราเอล ใครก็ตามที่สอนและปฏิบัติที่ขัดแย้ง ซึ่งขัดแย้งกับคำสอนของโมเสส จะถูกกล่าวหาว่าเป็นครูสอนปลอม หรือผู้เผยพระวจนะเท็จ ไม่ว่าจะทำดีหรือทำการอัศจรรย์ได้มากมายแค่ไหนก็ตาม ไม่สำคัญ ถ้าหากเป็นฝ่ายเดียวกับพวกเขาและเป็นศิษย์ของโมเสส เป็นสาวกของโมเสสก็ต้องรักษาพระบัญญัติ และโดยเฉพาะก็คือถือวันสะบาโต ไม่ละเมิดวันสะบาโต
• สำหรับข้อที่ 30 ก็คือชายคนนั้นตอบเขาว่า "เออ ช่างประหลาดจริงๆ ที่พวกท่านไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นมาจากไหน แต่ท่านผู้นั้นยังได้ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอด"
• ข้อที่ 31 พวกเรารู้ว่าพระเจ้ามิได้ฟังคนบาป แต่ถ้าผู้ใดนมัสการพระเจ้า และกระทำตามพระทัยพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังผู้นั้น
• ข้อที่ 32 ตั้งแต่เริ่มมีโลกมาแล้ว ไม่เคยมีใครได้ยินว่า มีผู้ใดทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดมองเห็นได้
• ข้อที่ 33 "ถ้าท่านผู้นั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าแล้ว ก็จะทำอะไรไม่ได้"
คือผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าส่งมา มีบางคนในสมัยเดิม มีบางคนรักษาโรคได้ ทำการอัศจรรย์ได้ แต่บางครั้งเท่านั้นไม่มาก ชาวยิวจะยอมรับพวกเขาในฐานะของผู้เผยพระวจนะเท่านั้น แต่พระเยซูทำการอัศจรรย์มากมาย เพียงแต่พระองค์ละเมิดกฎสะบาโต แต่ที่จริงพระเยซูก็มีสิทธิอำนาจ เนื่องจากว่าพระองค์เป็นเจ้านายของวันสะบาโต เราจำกันได้น่ะในมัทธิวบทที่ 12 ข้อที่ 8 "เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นใหญ่เหนือวันสะบาโต" พระองค์ตรัสว่า เรานี่แหละ คือเป็นเจ้านายแห่งวันสะบาโต เป็นเจ้าของวันสะบาโต
เพราะฉะนั้นเจ้าของหรือเจ้านาย คือจะเรียกว่าละเมิดไม่ได้ คือจะทำก็ทำ ไม่ทำก็ไม่ทำ รักษาก็รักษา ไม่รักษาก็ไม่รักษา เหมือนเจ้าของบริษัทใช่ไหมจะมาทำงานก็มา ไม่มาก็ไม่มา ไม่มีใครมีสิทธิ์มาว่าพระองค์ มาว่าเจ้าของโรงงานบริษัทนั้น
เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ชาวยิวรับไม่ได้ ชาวยิวไม่เข้าใจ เนื่องจากว่าเขาไม่เคยยอมรับว่าพระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า เราจะเห็นในข้อนี้ในบทนี้ (ข้อที่ 35-38) คือพระองค์กล่าวถึงพระบุตรของพระเจ้ากับชายตาบอด พระองค์ตรัสว่า เจ้ายอมรับหรือว่าเราเป็นพระบุตรของพระเจ้า และหลังจากนั้นพระองค์ก็อธิบายให้เขาได้รู้ว่าพระบุตรของพระเจ้าคืออะไร
จริงๆ แล้ว ชาวยิวและฟาริสีธรรมาจารย์หลายคนจะเข้าใจคำนี้ คือพระบุตรของพระเจ้า หรือ the Son of God / the Son of God หรือพระบุตรของพระเจ้า คือใครก็ตามที่พระเจ้าส่งมาและเท่าเทียมกับพระเจ้าและเป็นพระเจ้า เพื่อมาอยู่ท่ามกลางชาวยิวทั้งหลาย ซึ่งพวกเขามองไปที่ชายคนหนึ่งที่ชื่ออิมมานูเอล ที่จะลงมาในโลกนี้ ที่เป็นพระเจ้าที่จะอยู่ท่ามกลางพวกเขา ก็คือพระเมสสิยาห์ แต่ปรากฏว่าเมื่อพระเยซูเสด็จมา และพระองค์อ้างตนว่าเป็นพระเมสสิยาห์ เป็นพระคริสต์ หรือเป็นอิมมานูเอล หรือเป็นพระบุตรของพระเจ้า ปรากฏว่าเขารับไม่ได้เขาไม่ยอมรับ เนื่องจากว่ามีปัญหาตรงที่พระองค์ละเมิดสะบาโต
เราจะเห็นว่าสะบาโตเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชาวยิว สะบาโต ก็คือการอยู่ใต้กฎเกณฑ์พระบัญญัติ ต้องอยู่ใต้กฎเกณฑ์ใต้พระบัญญัติ แต่สำหรับพระเจ้าพระองค์ให้ความรักความเมตตาอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น แกะที่ตกลงไปในบ่อ หรือมนุษย์ที่ตกอยู่ในความบาป หรือเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือด่วน มีแต่สิ่งเดียวเท่านั้นที่ช่วยเขาได้ ก็คือความรักและความเมตตา
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นชาวยิวหรือเป็นคริสเตียน หรือเป็นใครก็ตามที่อยู่ใต้กฎบัญญัติ หรืออยู่ในรูปแนวศาสนาเขาจะไม่ทำอะไร เขาจะไม่ช่วยอะไร เขาต้องนมัสการพระเจ้าก่อน เขาต้องไปโบสถ์ก่อน เขาต้องถือกฎเกณฑ์ก่อน รักษาวันสะบาโตก่อน ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรามองเห็นว่า ความรักอยู่ที่ไหน ความเมตตาอยู่ที่ไหน การช่วยเหลืออยู่ที่ไหน
และวันนี้พระเจ้าเปิดเผยกับพวกเรา คือสาวกของพระเยซูที่แท้จริง เราไม่เคร่งศาสนา เราไม่เคร่งกฎเกณฑ์ อยู่ใต้กฎเกณฑ์ของใครทั้งนั้น เราอยู่ใต้กฎเกณฑ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณนำเราให้ไปไหน ให้ช่วยใคร ให้ทำอะไร เราทำ ซึ่งบางครั้งพี่น้องอาจจะมองว่า ผิดน่ะ ถูกน่ะ ไม่ได้น่ะ ได้น่ะ อันนี้เราไม่เกี่ยวครับ เราเกี่ยวอยู่ที่ว่าเราเอาความรักเป็นหลัก เอาความรักเป็นใหญ่ เอาความเมตตาอยู่เหนือสะบาโต เอเมน
และสิ่งที่สำคัญเราขอบพระคุณพระเจ้า ซึ่งเมื่อก่อนยุคพันธะสัญญาเดิม ก็คือสะบาโตจะเป็นวันเสาร์ จะเป็นวันเสาร์ หกโมงเย็นตั้งแต่วันศุกร์จนถึงหกโมงเย็นของวันเสาร์ เรียกว่าสะบาโต คือชาวยิวจะไม่ทำงาน จะไม่ทำอะไร
แต่สำหรับคริสเตียน สะบาโตของเราไม่ใช่วันเวลาของโลกนี้อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสันติสุขทุกวันทุกเวลานาที ซึ่งเราจะพักผ่อนอยู่ในสันติสุขนั้น สะบาโตแท้ที่จริงภาษาฮีบรูก็ตาม ภาษากรีก ภาษาอะไรก็ตาม สะบาโต שַׁבָּת ภาษาฮีบรู ก็คือพักผ่อน ภาษาอังกฤษก็คือ Rest พักผ่อน
ขอบคุณพระเจ้าวันนี้พระเยซูเป็นการพักผ่อนของเรา เรามาถึงการที่ไม่กลัวพระเจ้า เรามีความสงบภายในหัวใจเรา เรามาหาพระเจ้าวันนี้ได้ เราทำบาปอยู่เรามาหาพระเจ้าได้โดยทางพระโลหิต เราเป็นผู้ชอบธรรมได้ทุกวันนี้โดยพระโลหิตของพระเยซู เราขอบพระคุณพระเจ้าเดี๋ยวนี้เรากลายเป็นคนชอบธรรม เนื่องจากว่าพระโลหิตของพระเยซู
เพราะฉะนั้นเราเข้าใจตรงนี้แล้ว จุดนี้ เมื่อเราเห็นชัด เราจะเข้าสู่สะบาโตของพระเยซู เราจะไม่ละเมิดสะบาโตของพระเยซู เพราะฉะนั้นถ้าใครก็ตามที่ยังเป็นคริสเตียน และยังมีทุกข์ ยังทุกข์ใจอยู่ แสดงว่าคนนั้นไม่ได้รักษาสะบาโตของพระเยซู เพราะฉะนั้นเราอาจจะถูกตีสอน ขอให้เราทำความเข้าใจ การรักษาสะบาโตของคริสเตียนทุกวันนี้ ก็คือการมีสันติสุขทุกวันทุกเวลา
และการที่เราจะมีสันติสุขทุกวันทุกเวลาได้ท่ามกลางปัญหาทั้งหลาย ปัญหามรสุมต่างๆ ที่เข้ามา เราจะมีสันติสุขได้ยังไง?
ก็คือการสนิทในพระเยซู และทำความเข้าใจกับความรู้ใหม่ คือการที่ไม่กลัวพระเจ้า มาทางพระโลหิต นมัสการพระเจ้าทั้งๆ ที่ยังทำบาปอยู่ และสนิทในพระเยซูทั้งๆ ที่เรายังทำบาปอยู่ และเราเชื่อว่าเรารอดแล้วรอดเลย เราไม่กลัวอะไร ความสงบนี้จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติอยู่ในหัวใจของเรา สรรเสริญพระเจ้า
และพี่น้องที่รับมานาฯ พี่น้องที่เข้ามาใหม่ที่ยังไม่เข้าใจ เราเรียนรู้ไปด้วยกัน ถามในกลุ่มได้ว่าจะทำยังไงถึงจะมีสันติสุขทุกวันเวลา จะต้องเรียนรู้อะไรบทไหน บทเรียน 9 บท มี 1-4 บทแรกที่พูดถึงใช่ไหม
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคริสเตียน ก็คือเราเป็นสาวกของพระเยซู เราเป็นบุตรของพระเจ้า สิ่งแรกที่พระเจ้าให้เราพี่น้องที่รัก ทั้งๆ ที่เรายังทำบาปอยู่ ก็คือสันติสุขทุกวันทุกเวลา
โรม 5:1 "เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา" บอกว่าเราทั้งหลายได้รับการชำระโดยพระโลหิตโดยทางพระเยซูคริสต์ เราจึงมีสันติสุข เป็นของขวัญ เป็นของประทาน เป็นสิ่งที่พระเจ้าให้ฟรีๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไร ต้อนรับพระเยซูปุ๊บ พระโลหิตก็จ่ายหนี้บาปและชำระเราให้กลายเป็นคนชอบธรรมเป็นคนบริสุทธิ์และเป็นบุตรพระเจ้า
และสิ่งที่เราได้รับเป็นของขวัญเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า ก็คือการได้มีสันติสุขทุกวันทุกเวลา ก็คือเข้าสู่สะบาโตทันที แต่คริสเตียนมากมายทุกวันนี้มาเชื่อพระเจ้า 1 ปีผ่านไป 2 ปีผ่านไป 10 ปีผ่านไป 20 ปีผ่านไป ของขวัญนี้ไม่เคยแกะออกมาใช้เลย เราไม่รู้จักที่จะใช้สันติสุขทุกวันทุกเวลา เราแค่ได้ชิมบางครั้งบางวันบางเวลาใช่ไหม? พี่น้องมากมายทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้แกะกล่องของขวัญนี้
แต่เรารู้แล้ว เราถูกเปิดตา เราหายจากอาการตาบอด แล้วเราพบความจริงนี้แล้ว สรรเสริญพระเจ้า
สำหรับเรื่องการช่วยเหลือของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ เกี่ยวกับเรื่องการรักษาโรค การไล่ผี การทำให้คนตาบอดหายดีได้ เป็นงานรอง ไม่ใช่งานหลัก งานหลักของพระเจ้า ก็คือการประกาศข่าวประเสริฐ นำคนมาถึงพระบุตรของพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์
แต่ปัญหาก็คือมีคริสตจักรมากมายทุกวันนี้ ยังมองเห็นข่าวประเสริฐเป็นเรื่องรอง ทุกๆ ครั้งที่มานมัสการพระเจ้า มาร่วมกัน มักจะโชว์ใช่ไหม? สำแดงฤทธิ์เดช พูดถึงเรื่องฤทธิ์เดช การสวมทับโดยพระวิญญาณ การเต็มล้น การรักษาโรค การไล่ผี กระโดดโลดเต้น การโห่ร้อง กลิ้งไปกลิ้งมา คือโชว์ฤทธิ์เดชพูดง่ายๆ สิ่งเดียวก็คือโชว์ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สำหรับพระเจ้าเรื่องการใช้ฤทธิ์เดช ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเป็นงานรอง และเป็นสิ่งที่ไม่ควรตื่นเต้นชื่นชมยินดี
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นพระเยซูตรัสว่า อย่าตื่นเต้น อย่าดีใจ เมื่อท่านได้เห็นการทำงานของพระเจ้า แต่จงชื่นชมยินดี จงดีใจ เมื่อท่านมีชื่อบันทึกไว้ในหนังสือชีวิต
เพราะฉะนั้นเราขอบคุณพระเจ้า ผมเห็นการอัศจรรย์มาเยอะ เดินในการอัศจรรย์ทุกวันทุกเวลา เห็นบ่อยมาก แต่ไม่เคยตื่นเต้น เพราะว่าอะไร? เพราะว่าผมขอบคุณพระเจ้าที่รู้แล้วว่ามีชื่อบันทึกไว้ในหนังสือชีวิตแล้ว และขอบคุณพระเจ้าที่ให้กลายเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว และขอบคุณพระเจ้ายิ่งกว่านั้นอีกก็คือ พระเจ้าสามพระภาคสถิตอยู่ในผม และอยู่ในพี่น้องทุกคน เรารู้ความจริงนี้มันดีกว่า มันน่าตื่นเต้นมากกว่าที่จะคิดถึงและใส่ใจไปที่การอัศจรรย์ทั้งหลาย เรื่องฤทธิ์เดชทั้งหลาย
สำหรับเรื่องการใช้ฤทธิ์เดช ใช้อำนาจของพระเจ้าเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ เป็นงานเป็นสิ่งหนึ่งที่เราทำอยู่แล้ว ไม่เป็นไร เมื่อถึงเวลาอันควร เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ให้ทำการอัศจรรย์ ให้รักษาโรคได้ ใครที่มีของประทานในการรักษาโรครักษาได้ เมื่อเรา คือพระวิญญาณเร้าใจเรา และเมื่อใครที่ถึงเวลาพระเจ้าเร้าใจให้ประกาศข่าวประเสริฐ พระเจ้าเร้าใจให้ช่วยเหลือพี่น้อง พระเจ้าเร้าใจให้ทำอะไร เราทำ นี่คือการกระทำโดยที่ได้รับบำเหน็จ ซึ่งเราทำซึ่งเป็นผลของทองคำ เงิน และเพชรพลอย
ถ้าใครที่มีของประทานและใช้ของประทานโดยที่พระเจ้าไม่นำ โดยที่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระบิดา คือไปทำตามใจของเรา เรียกว่าทำโดยที่พึ่ง ไม้ ฟาง และหญ้าแห้ง ไม่มีบำเหน็จให้
จำกันได้น่ะพระเยซูตรัสว่า จะมีคนเป็นอันมากมาหาเราและกล่าวว่า (พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์รักษาโรคได้ ข้าพระองค์ประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพระองค์ไล่ผี ไล่ผีหลายตัวด้วย และข้าพระองค์นำผู้เชื่อมากมายมาเชื่อ พระองค์ ข้าพระองค์ทำนู่นนี่นั่น ข้าพระองค์สร้างโบสถ์ ข้าพระองค์ทำเยอะมาก) พระเยซูตรัสว่ายังไง "เราไม่รู้จักเจ้า"
นี่แหละคือปัญหา คือหลายคนรักษาโรคได้ หลายคนพูดถึงเรื่องฤทธิ์เดชได้ อัศจรรย์ได้ ทำอะไรก็ได้ แต่สุดท้ายเขาไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่รอคอยการทรงนำ ไม่รอคอยการเร้าใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สุดท้ายก็ว่างเปล่า ไม่มีบำเหน็จ ไม่มีอะไรให้
เราจึงมองไปที่การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า สนิทในพระเยซู บอกรัก สรรเสริญพระเยซู ชื่นชมยินดีในความรอดของเรา มากกว่าเรื่องฤทธิ์เดช เรื่องการอัศจรรย์
เพราะฉะนั้นการเป็นพยาน ก็ได้ แต่ไม่ให้เยอะเกินไป
การพูดถึงเรื่องฤทธิ์เดช ก็ได้ แต่ไม่ให้เยอะเกินไป
การพูดถึงเรื่องการรักษาโรค ก็ได้ แต่อย่าเยอะเกินไป
เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องตื่นเต้นกับสิ่งนี้เพราะว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าให้เราอยู่แล้วให้มีอยู่แล้ว เอเมน
เนื่องจากว่าผมเห็นพี่น้องบางคนที่พูดถึงเรื่องพระเจ้าทำงานรักษาโรค หลายคนก็เอเมน เอเมนๆๆ ดีใจกันเยอะ แล้วคนนี้ก็พูด คนนี้ก็พูด สุดท้ายก็ลืมการสามัคคีธรรม ลืมพูดถึงพระคำของพระเจ้า ลืมกินอาหารฝ่ายวิญญาณ
สำหรับเรื่องการรักษาโรค เป็นสิ่งหนึ่งที่จะนำมนุษย์มาเชื่อ เนื่องจากว่าเขาได้เห็นการอัศจรรย์เห็นอำนาจของพระเจ้าเกิดขึ้น เขาจึงเชื่อ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่อย่างที่ผมพูดน่ะครับ ผมขอย้ำไม่ใช่งานหลักของเรา ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องไปเปิดโบสถ์ ไปเปิดฟื้นฟูเพื่อบอกว่า (มาๆ รักษาโรคเลย เพื่อเห็นพระเจ้า เพื่อจะเชื่อ) ไม่.. เราประกาศข่าวประเสริฐที่พระเจ้าให้ประกาศ และเรื่องการรักษาโรคเราช่วยเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เร้าใจเรา
• ในข้อที่ 39 พระเยซูตรัสว่า "เรามาเพื่อตัดสิน เรามาเพื่อพิพากษา" คืออะไร ในชีวิตนี้ สำหรับข้อที่ 39 ก็คือเน้นในชีวิตนี้
สำหรับคนที่เชื่อต้อนรับพระเยซู และเปิดใจ ถ่อมใจ พระเยซูก็จะตัดสินเขา ตัดสินคืออะไร ก็จะตัดสินให้ได้รับความรอด ตัดสินเขาให้เข้าสู่การเปิดเผยความจริง เพื่อที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้า
และคนที่ไม่เชื่อ คนที่เย่อหยิ่ง หยิ่งผยองพองตัว พระเยซูก็จะตัดสินเขาในชีวิตนี้ ก็คือไม่ให้เขามีโอกาสได้พบความรอด และไม่ให้คริสเตียนทั้งหลายที่เย่อหยิ่งได้เข้ามาสู่พระคำล้ำลึก สู่ความจริงและเดินในความสว่างได้ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้คริสเตียนมากมายจึงเดินอยู่ในความมืด นี่คือการตัดสินของพระเยซูต่อเขาในชีวิตนี้
สรุป ก็คือในวันนี้ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์สอนเรา 3 เรื่องด้วยกัน
เรื่องแรก ก็คือเรื่องพระเยซูเป็นเจ้านายของวันสะบาโต พระองค์เน้นที่ความรัก ความเมตตา การทำดี เราที่เป็นสาวกของพระเยซูจึงไม่เน้นเรื่องการอยู่ใต้กฎเกณฑ์ข้อบังคับ ขณะที่คนเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ เราขอบคุณพระเจ้าเราเป็นสาวกแห่งยุคพันธสัญญาใหม่ และสะบาโตใหม่ คือการพักสงบของจิต เราทำงานหรือไม่ทำงานก็ได้ ทำวันไหนไม่ทำวันไหนก็ได้ เราทำอะไรหรือไม่ทำอะไร แต่สิ่งสำคัญ ก็คือเราต้องมีสันติสุขและความสงบสุขภายในจิตใจของเราทุกเวลา เพราะว่าพระเยซูเป็นสะบาโตของเรา เอเมน
...
และสรุปเรื่องที่สอง ก็คือเราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไปแล้ว แต่เราคือคนชอบธรรมที่ยังทำบาปอยู่ เนื่องจากว่าสำหรับยุคพันธสัญญาใหม่ เราผู้เชื่อในพระเยซูยังทำบาปอยู่ สถานะของเราก็ไม่ได้เปลี่ยน เรายังเป็นคนบริสุทธิ์และเป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าจะมองเราและเห็นพระเยซูปกปิดเราปกป้องเรา พระเยซูเป็นเสื้อที่ดีที่สุดให้เราสวมใส่
เราจำกันได้น่ะ ในลูกาบทที่ 15:22 พระเยซูเป็นเสื้อที่ดีที่สุดให้เราสวมใส่ เมื่อพระบิดามองมาที่เราเมื่อไหร่ ก็จะไม่เห็นเราแต่เห็นพระเยซู พระเจ้าจึงเรียกเราว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และเป็นผู้ชอบธรรม และเราเองก็ไม่ควรที่จะมองพี่น้องเป็นคนบาป เนื่องจากว่า 2 คร 5:16-17 พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสผ่านเปาโล อย่ามองใครที่เนื้อหนังอีกต่อไป แต่จงมองทุกคนในฝ่ายวิญญาณ ทุกคนบุคคลผู้ใดที่เชื่ออยู่ในพระคริสต์ ก็คือคนที่ใหม่แล้ว ถูกสร้างขึ้นใหม่แล้วดูสิใหม่ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นเราอย่ามองใครเป็นคนผิดคนบาป อย่ามองใครทำอะไรเราไม่สนใจ เรามองที่ฝ่ายวิญญาณ เรามองที่ด้านดี เรามองชีวิตของเขาที่อยู่ในพระคริสต์เท่านั้น เราจึงรักเขาได้ เราจึงอยู่ร่วมกันได้ เราจึงถ่อมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ เอเมน
...
และสรุปเรื่องที่ 3 ก็คือสำหรับการตัดสินพิพากษาของพระเยซูในชีวิตนี้ ในยอห์นบทที่ 9:39 ก็คือพระองค์เสด็จมาและตัดสินพิพากษาในเวลานี้ ก็คือเพื่อรักษาอาการบอดฝ่ายวิญญาณของผู้ที่ถ่อมใจ เปิดใจ ต้อนรับพระองค์ และเปิดใจรับถ้อยคำที่มาจากพระองค์ผ่านสาวกที่ถูกเลือกเอาไว้ ก็คือเขาจะเดินอยู่ในความสว่างของพระเจ้า
ส่วนผู้ที่ไม่ถ่อมใจ ไม่เปิดใจ พระเยซูก็จะพิพากษาเขา ก็คือให้เขาตาบอดและตาบอดมากกว่าเดิม นี่คือสิ่งที่น่ากลัวมาก ข้อที่ 39 พระเยซูย้ำเขาจะตาบอดมากกว่าเดิม
เราไม่แปลกใจที่บางคนรับมานาฯ ปุ๊บ ดีใจ ตื่นเต้น ชื่นชมยินดี ชอบมาก แต่ปรากฏว่าอาการเย่อหยิ่งยังพอมี เขาจึงกลับไปสู่ความบอดของฝ่ายวิญญาณ และบางคนก็บอดมากกว่าเดิม ก็น่าสงสาร เราอธิษฐานเผื่อพี่น้องเหล่านั้น
และเราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เปิดตาเราให้เราเห็นความสว่างมากกว่าเดิม ขอบคุณพระเจ้ายิ่งเราอยู่ในอาการถ่อมใจ และถ่อมจนถึงดิน ถ่อมมากเท่าไหร่ พระเจ้าก็เปิดให้มากเท่านั้น
อาการบอด มีบอดมาก และบอดสนิท และบอดมากกว่าเดิม
อาการแห่งอยู่ในความสว่างตาสว่าง ก็จะมีเหมือนกัน แบบในลักษณะนั้น
...
เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ที่พระองค์เป็นสะบาโตของเรา และให้เรามีโอกาสได้เห็นสันติสุขทุกวันทุกเวลา ทั้งๆ ที่ชีวิตของเรายังทำบาปอยู่เป็นระยะๆ
และเราขอบพระคุณพระเจ้าที่ทุกวันนี้พระเจ้าเปลี่ยนสถานะเรา เราเป็นบุตรของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เราจึงไม่ใช่คนบาปอีกต่อไปแล้ว แต่เราเป็นคนชอบธรรมและเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระเจ้า เอเมน คือเราเป็นผู้บริสุทธิ์เป็นผู้ชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าเราจะอยู่ในพระสัญญาของพระเจ้าที่พระองค์สัญญาจะประทานให้อับราฮัม และพระเยซูนำมาสู่พวกเราทุกวันนี้ ก็คือความรอด สันติสุข การดูแล การปกปักรักษา การช่วยเหลือ การนำ การทำทุกสิ่ง อยู่ใต้พระคุณของพระองค์ อยู่ในร่มแห่งความรักของพระองค์ ขอบคุณพระเจ้า
และขอบพระคุณพระเยซูพระองค์ได้ตัดสินเราวันนี้ก็คือ ให้ชีวิตของเรา เมื่อเราถ่อมใจ เปิดใจมากเท่าไหร่ พระองค์ก็เปิดตาเราให้มากเท่านั้น และอยู่ในความสว่างที่มากกว่าเก่า มากกว่าเก่าไปเรื่อยๆ
และขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ตัดสินพิพากษาผู้ที่เย่อหยิ่ง ก็คือให้เขาตาบอด และกลับมาตาบอดมากกว่าเก่า เราอธิษฐานเผื่อพี่น้องเหล่านั้น เอเมน
ถาม.
คริสเตียนที่ไปทำบาป แล้วก็เข้ามาหาพระองค์ พึ่งพิงในพระโลหิตของพระองค์ คำว่าไปทำบาปนี้ ช่วยขยายให้หน่อยได้ไหมคะว่ามีอะไรบ้าง คำว่าไปทำบาป บาปมีอะไรบ้างคะ เอเมนค่ะ
ตอบ.
สำหรับพระเจ้านะครับมองมาที่เราทุกวันนี้ คนที่เชื่อใหม่ยังเด็ก และคนที่เชื่อปี 2 ปี 3 ปี 5 ปีก็ตามนะครับ ที่ยังไม่ได้ถูกเปิดตา ยังเดินอยู่ในความมืด ยังไม่เข้าใจมานาที่ซ่อนไว้ พระคำล้ำลึกนี้ คืออยู่ในความไม่จริงอยู่ในความมืด เรียกว่าอยู่ในการบาป
และพระเจ้ามองทุกคนที่อยู่ในการบาป ก็คือยังเป็นเด็ก ไม่ว่าเขาจะเป็นอาจารย์ ศิษยาภิบาล ศาสนาจารย์ ผู้นำอะไรก็แล้วแต่ ผู้ปกครอง ผู้ดูแล พระเจ้ายังมองเขาว่าเป็นเด็กอยู่ เพราะฉะนั้นการอยู่ในความมืดแน่นอนที่สุดครับหลีกเลี่ยงการทำบาปไม่ได้
และการทำบาปคืออะไร? กิเลส ตัณหา โลภ โกรธ หลง ไงครับ การดำเนินชีวิตในเนื้อหนังที่ผิดบาป ผิดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า คือมีกิเลส ตัณหา โลภ โกรธ หลง และการนมัสการการเดินในความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง การอ่านพระคัมภีร์ที่ผิด การนมัสการที่ผิด การประกาศข่าวประเสริฐที่ผิด การรับใช้ที่ผิด การทำอะไรทุกอย่างที่ผิดหมด เรียกว่าอยู่ในการบาปทั้งนั้น และพระเจ้ามองเขาเหล่านั้นว่าเป็นเด็ก
เราจะมีอายุเยอะมากก็ตาม อย่าลืมนะครับพระเจ้ามองที่วิญญาณ และพระเจ้ามองที่การกระทำของเรา และเรียกเราว่าเด็กถ้าหากเรายังอยู่ในการบาปอยู่ และทุกวันนี้เราต่างคนต่างก็ทำกันอยู่ ผมก็ยังทำอยู่นะครับบางจุดบางส่วนบางที่ และพี่น้องหลายคนก็ยังทำกันอยู่ผมก็รู้ เราก็รู้กันดีใช่ไหม แต่สำหรับพระเจ้า พระเจ้ามองมาที่เรานะครับ เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว เราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว เอเมน
ยกตัวอย่างเอาเป็นว่าเพื่อความเข้าใจให้กระจ่างขึ้น
คริสตจักรเมืองโครินธ์เป็นคริสตจักรที่มีคนทำบาปเยอะมาก เป็นคริสเตียนนานหลายปี แต่ยังขัดแย้ง อย่างซุบซิบนินทา ยังมีกิเลสตัณหา ยังแย่งชิงตำแหน่ง คือมีความผิดบาปเต็มไปหมดเลย แล้วผู้หญิงนะครับโดยเฉพาะผู้หญิง ก็คือถกเถียง ด่า ว่า คือทะเลาะกันในคริสตจักรด้วย มีเยอะมาก จนผู้นำนะครับทนไม่ไหวจึงเขียนจดหมายไปถึงเปาโลเพื่อขอความช่วยเหลือ
เปาโลก็เขียนจดหมายมาตำหนิเขา แต่พี่น้องทราบไหมครับว่าข้อแรกที่เปาโลพูด เรียนผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ในเมืองโครินธ์ โอ้โห เราทำบาปกันเยอะขนาดนั้น พระเจ้าก็ยังมองเราว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ มันคืออะไร?
เราจำกันได้ไหมครับที่ผมพูดเมื่อกี้ โรม 5:1 บอกว่าเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยทางพระเยซูคริสต์แล้ว เราจึงเป็นผู้ชอบธรรมและมีสันติสุข ใช่ไหมครับ พระเจ้ามองมาที่เราเห็นพระเยซูไม่ได้เห็นเรานะครับ พระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์ พระเจ้ามองมาที่เราเห็นพระเยซู พระเยซูปกปิดชีวิตเราอยู่ พระองค์จึงเรียกเราเป็นผู้บริสุทธิ์และเป็นผู้ชอบธรรม เอเมน
...
ถาม.
ยกตัวอย่างแบบมีพี่น้องโทรมาคุยมาถามอะไร บางทีเราก็ไม่อยากจะพูดตรงๆ แต่เราก็พูดมุสาไปเพื่อให้มันจบๆ ไป คือไม่ให้เขาเสียใจ แต่ไม่ใช่ความจริงเรามุสาไป อันนี้คิดว่าบาปไหมคะ คือตัดบทไปอะไรอย่างเนี้ยค่ะ
ตอบ.
การมุสานะครับ การมุสา การโกหก ก็คือบาปนะครับ แต่เรื่องการตัดบทเนี่ย เราทำด้วยใช้สติปัญญา คือฉลาดเหมือนงู สุภาพเหมือนนกเขาใช่ไหม อ่อนสุภาพเหมือนนกเขา
การฉลาดเหมือนงู ก็คือเราทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่ได้เรียกว่าโกหก คือการโกหกเนี้ยบาปแน่นอน แต่ถ้าหากว่าเราทำอะไรโดยที่หลีกเลี่ยง คือพูดอ้อมค้อม หรือพูดเป็นสื่อแบบไหนก็ได้ที่จะไม่เรียกว่าเป็นการโกหกนะครับ ก็ไม่ผิดครับ
ถาม.
อย่างกรณีที่เขาชวนไปแล้วเราบอกว่าติดธุระ ทั้งๆ ที่เราไม่มีธุระอะไร แล้วเราก็มุสาไปว่าต้องทำนู่นทำนี่ทำนั่นอะไรอย่างนี้ คือไม่ได้พูดความจริงกับเขา อย่างนี้เราอยู่ในการมุสาผิดต่อพระองค์หรือเปล่าคะ
ตอบ.
แน่นอนครับนี่คือการโกหกครับ ก็ผิดนะครับ คือสำหรับผมถ้ามีคนชวนไปแล้วไม่ได้ติดธุระอะไร สมมุติว่านะครับไม่ได้ติดธุระอะไร ผมก็จะบอกว่าไม่สะดวก แค่นี้เอง ก็คือไม่สะดวก ถ้าจะพูดตรงๆ นะครับว่าไม่ไปมันก็น่าเกลียดใช่ไหม ก็คือบอกว่าไม่สะดวก (ขอโทษนะครับ ไม่สะดวกนะครับ) ขอไว้เป็นโอกาสหน้าดีกว่า ก็คือเรามีวิธีพูดที่ดีกว่าโดยที่ปฏิเสธเขาไปแต่ไม่ให้เขาเสียใจ
คือเราหลีกเลี่ยงการโกหกนะครับ แต่เพื่อไม่ให้ผิดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือไม่ให้ถูกเข้าสู่การบาปทั้งหลาย ก็คือเราหลีกเลี่ยง เราหาวิธีพูดใช้คำพูดหรือวิธีไหนก็ได้ที่ไม่ได้ผิดบาป ก็มีเยอะนะครับ
...
ถาม.
พูดว่าไม่สะดวก ถ้าเราไม่โอเคเราบอกว่า ไม่สะดวกนะคะวันนี้ ไม่ต้องไปเพิ่มเติมอะไรให้มันมุสาไปใช่ไหมคะ
ตอบ.
คือเราพูดด้วยความอ่อนสุภาพนะครับ เขาก็รับได้เขาก็เข้าใจ คือหลายครั้งผมก็พูดเหมือนกัน ผมไม่มีอะไรทำบางครั้งนะครับ คือมีคนมาชวนไปนู่นนี่นั่น ผมก็บอกว่า (ขอโทษนะครับไม่สะดวก เอาไว้เป็นวันหลังได้ไหม โอเคนะครับ ก็อยากไปอยู่แต่เสียดายที่ไม่ได้ไป) คือภายในหัวใจของเรานะครับ เรารู้ดีภายในจิตใจว่าเราไม่สะดวก เราไม่อยากไป พูดง่ายๆ ก็คือไม่สะดวกนั่นแหละ