ถาม:
ทำไมผู้นำและผู้รับใช้มากมายสอนว่าพระเจ้าจะไม่ยกโทษให้เราถ้าหากเราไม่กลับใจและเลิกทำบาป ?
ตอบ:
เพราะว่าผู้นำและผู้รับใช้เหล่านั้นไม่รู้จักคุณค่าที่ครบถ้วนของพระโลหิตของพระเยซูครับ.
เรื่องการยกโทษบาปของพระเจ้า โดยทางพระโลหิตของพระเยซูคริสต์
การยกโทษบาปของพระเจ้าไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำของเรา ไม่ได้เกี่ยวกับเหตุผล ไม่ได้เกี่ยวกับปริมาณของบาป ไม่ได้เกี่ยวว่าเราตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เราจะทำบ่อย หรือนานๆ ทำทีไม่เกี่ยวอะไรเลย
การยกโทษบาปของพระเจ้าอยู่ “ที่พระโลหิต” คือทุกครั้งที่เราสารภาพ พระเจ้าไม่ได้สนใจการสารภาพของเรา เพียงแต่ว่าเราเสียใจ แล้วเรารู้สึกผิดบาป เรารู้สึกมีจิตใจสำนึกที่แบบว่าคือเสียใจมากๆ เราไม่ต้องการที่จะทำบาป แต่ผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้ก็ยังกลับไปทำบาปอยู่ในแต่ละวัน นอกเสียจากว่า เราเข้าสู่กระบวนการเติบโต กลายเป็นผู้ชนะ เป็นบุตรแล้วและเป็นพ่อแล้ว อันนี้คือเราจะทำบาปน้อยลง
สำหรับเรื่องการยกโทษบาปของพระเจ้าในแต่ละวันที่พระเจ้ายกโทษให้เรา และเราทำบาปและเรากลับมาสารภาพ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องความรอดในวันสุดท้าย แต่เกี่ยวข้องกับความรอดในแต่ละวัน
** หมายความว่ายังไง ความรอดในแต่ละวัน
ก็คือการที่เราตั้งมั่นในจิตใจในชีวิตของเรา ให้อยู่ในความสงบสุขกับพระเจ้า และเราสามารถรับการหล่อเลี้ยงจากน้ำมัน จากพระวิญญาณให้เติมเต็มได้ และเราสามารถรับน้ำแห่งชีวิต คือสันติสุขที่ไม่กระหายอีกเลย จากพระเจ้าอย่างต่อเนื่องเป็นชั่วโมงๆ ไป
เอเฟซัส 2:8-9 “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้”
กล่าวว่าความรอดเราได้มาโดยทางพระคุณ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำ และความรอดเป็นของขวัญ ของขวัญ ก็คือ เราไม่ต้องทำอะไรเพื่อจะแลกเอาความรอดจากพระเจ้าให้ได้มาซึ่งความรอดจากพระเจ้า คือเราเชื่อและขอรับความรอดนั้น พระเจ้าก็ให้เรา
และโรม 11:6 “แต่ถ้าเป็นทางพระคุณก็หาได้เป็นเพราะทางการกระทำไม่ ฉะนั้นแล้ว พระคุณก็ไม่เป็นพระคุณอีกต่อไป แต่ถ้าเป็นทางการกระทำก็หาได้เป็นเพราะทางพระคุณไม่ ฉะนั้นแล้ว การกระทำก็ไม่เป็นการกระทำอีกต่อไป”
กล่าวว่า ความรอดไม่ได้เกี่ยวกับการปฏิบัติอะไร ความรอดคือรอดโดยพระคุณ ถ้าหากพระคุณมีการปฏิบัติเข้ามาเกี่ยวข้อง พระคุณก็ไม่ใช่พระคุณอีกต่อไป
แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเราเชื่อแล้วเนี่ยจะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเรา
ผลในที่นี้ ก็คือ การมีความหิวกระหาย มีจิตใจที่ปรารถนา ต้องการเรียนรู้เรื่องของพระเจ้า เรื่องชีวิตใหม่ เรื่องความเชื่อ เรื่องสวรรค์นรก เรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า หลายๆ เรื่องที่จะตามมา เราปรารถนาที่จะรับบัพติศมา เราปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตที่เชื่อฟังพระเจ้า เรามีความปรารถนาที่จะอยู่ในฝ่ายวิญญาณอะไรประมาณนั้นนะครับ
คือไม่ใช่แบบว่าเชื่อแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย อันนั้นไม่ใช่ความเชื่อที่แท้จริง แต่นั่นเป็นความเชื่อที่ตายแล้วนะครับ
ความเชื่อที่มีชีวิตอยู่ที่ไม่ตาย ก็คือ เราจะดิ้นรน แสวงหา อาหาร การเติบโต การดำเนินชีวิตที่เชื่อฟังและการรับใช้พระเจ้าในขั้นต่อมา เพียงแต่ว่าผลนั้นจะมีมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเองครับผม
แต่ผลเหล่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเรามีความเชื่อที่แท้จริง และความเชื่อนี้นำมาซึ่งถึงความรอดได้
และผลเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนอะไรที่จะทำให้เรารอด แต่เป็นเครื่องพิสูจน์เท่านั้นว่าเรามีความเชื่อที่แท้จริง
ซึ่งหลักการแห่งความรอดในยุคพระคุณนี้ ก็คือเชื่อเท่านั้น เราก็จะได้รับความรอด และความเชื่อที่ถูกต้อง ความเชื่อที่ไม่ใช่ความเชื่อที่ตายแล้ว ก็คือความเชื่อที่มีผลของพระวิญญาณ ผลของชีวิตใหม่ ผลของชีวิตในพระคริสต์เกิดขึ้นตามมาไม่มากก็น้อยนะครับ
เรื่องของการยกโทษบาป คือเกี่ยวข้องกับพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์จัดการกับความบาปทุกแบบทุกชนิดเลย
1. คือ ยกโทษบาปให้เราทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ และพระโลหิตช่วยให้เราเข้ามาหาพระเจ้าได้ทุกวันทุกเวลานาที โดยที่เราไม่ต้องกลัวพระเจ้าอีกต่อไป เราจะทำผิดทำบาปมากมายแค่ไหน ทำบ่อยแค่ไหนไม่สำคัญ เมื่อเรามาหาพระเจ้า "เราบอกว่าข้าพระองค์มาหาพระองค์ทางพระโลหิต" พระเจ้าก็จะต้อนรับเรา ไม่ว่าในเวลานั้นเราจะโกรธใครอยู่ หรือเราหยิ่งผยองพองตัว หรือเรามีความโลภอะไรก็ตามไม่สำคัญ พระเจ้าก็จะต้อนรับเรา
เพราะว่าพระเจ้าสัญญาใน ฮีบรู 10:19 “เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปในที่บริสุทธิ์ที่สุดโดยพระโลหิตของพระเยซู”
ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสผ่านอาจารย์เปาโลว่า เราจึงมีใจกล้า มีใจกล้านะครับ ที่จะเข้ามาทางพระโลหิต คือเข้ามาหาพระเจ้าได้โดยทางพระโลหิต
สำหรับเรื่องบาป ไม่ว่าจะเป็นบาปใหญ่หรือบาปเล็กพระเจ้าก็จะยกโทษให้ ไม่ว่าจะเป็นบาปที่เราทำไปบ่อยๆ หรือนานๆ ทำที พระเจ้าก็จะยกโทษให้ หรือว่า ไม่ว่าจะเป็นบาปที่เราทำในที่ลับนี้ ไม่มีใครเห็น หรือเราทำในที่เปิดเผย พระเจ้าก็จะยกโทษให้
บาปที่เราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม บาปที่ไม่มีใครอภัยให้ มนุษย์ไม่ยกโทษให้เรานะครับ แต่พระเจ้าก็จะยกโทษให้เรา
อย่างที่ผมพูดมาแล้วคือ บาปทั้งในอดีตทั้งในปัจจุบันและในอนาคตนะครับพระเจ้าก็จะยกโทษให้ทั้งหมดเลย
อันนี้ปรากฏอยู่ 1 ยน 1:9 “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการบาปทั้งสิ้น หรือการอธรรมทั้งสิ้น”
และพระเยซูสัญญากับเปโตรใช่ไหม เกี่ยวกับ “ความรักแท้” การยกโทษที่แท้จริงของพระเจ้า ไม่ใช่เหมือนของมนุษย์เรา 7 ครั้งพอไหม? แต่สำหรับการยกโทษของพระเจ้า ก็คือ ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีเหตุผล คือ 70×7 ครับผม
สาเหตุที่พระเจ้ายกโทษให้เรา ก็เพราะว่าพระเยซูจ่ายแล้ว พระเยซูเป็นผู้จ่ายโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ใช้หนี้บาปของเราทั้งหมดแล้ว
ทุกครั้งที่เราสารภาพบาป การยกโทษของพระเจ้าก็ตามมาทันที อันนี้เป็นระบบพระเจ้าตั้งเป็นระบบ เพื่อยกโทษให้เรา
ไม่ใช่ว่าวันนี้มีใครสักคนหนึ่งอธิษฐานสารภาพ พระเจ้าก็มานั่งดูพระเจ้าก็มองดู แล้วก็คิดพิจารณาดูว่า ยกโทษให้ดีไหม 5 นาที 10 นาทีรอก่อนไหม พิจารณาดูก่อน ไม่ครับผม
เมื่อมีการสารภาพอยู่ที่ไหน การยกโทษก็อยู่ที่นั่น
เมื่อคำสารภาพของเราจบลง เรายิ้ม และขอบพระคุณพระเจ้า ขอให้เชื่อนะครับว่าขณะนั้นเดี๋ยวนั้นพระเจ้ายกโทษแล้ว แล้วเราก็ตามด้วยการขอบพระคุณพระเจ้า
คือสมมุติว่า ผมทำผิดมา ผมทำผิดกับพี่น้อง และผมมาสารภาพบาปต่อพระเจ้า ก็บอกว่าพระเยซูพระเจ้าพระบิดา ขอทรงยกโทษบาปแก่ข้าพระองค์ ด้วย ข้าพระองค์เสียใจ ข้าพระองค์จะไม่ยอมแพ้ ขอเมตตาอภัยข้าพระองค์เถิด
และหลังจากนั้นนะครับผมก็จะขอบพระคุณ ยิ้มนะครับว่า โอ้ ขอบคุณพระเยซู ขอบพระคุณพระบิดา ที่ทรงยกโทษให้แก่ข้าพระองค์แล้ว แล้วเรายิ้มนะครับ เพราะว่าพระเจ้าสัญญาแล้วไง พระเจ้าสัญญาว่าถ้าหากว่าเราสารภาพบาป “พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมก็จะยกโทษให้เรา”
ทั้งนี้ทั้งนั้นนะครับการยกโทษ นำมาซึ่งผลประโยชน์ ผลดี คือพระเจ้าต้องการที่จะทำงานอยู่ภายในเรา 24 ชั่วโมง 7 วัน เพราะว่าทุกวันนี้การทำงานของซาตานก็มีมาก พระเจ้าไม่เคยอยู่นิ่ง ที่จะช่วยเราให้เรา เข้ามาสนิท เข้ามาใกล้ชิดกับพระเจ้า เพื่อรับการชำระ เพื่อรับการเปิดตา เพื่อให้ชีวิตของเราจำเริญขึ้นในพระคุณของพระองค์
** และถามว่าถ้าหากเราทำผิด แล้วพระเจ้ายกโทษให้เรา แล้วมีอะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นตามมา
สำหรับเรากับพระเจ้านะครับเราก็ได้คืนดีกัน คือเรากับพระเจ้าไม่มีอะไรต่อกันอีกแล้ว ทุกครั้งที่เราสารภาพเราก็คืนดีกับพระเจ้า และไม่มีอะไรที่จะกีดกั้นเราให้เข้ามาหาพระเจ้าได้
แต่นะครับ ถ้าหากว่าเราทำผิดกับใคร เราก็ต้องใช้หนี้กับคนนั้น
คือสมมุติว่าผมทำร้ายใครสักคนนึง แล้วสารภาพบาปต่อพระเจ้า พระเจ้าก็จะยกโทษให้ แต่ผมต้องใช้หนี้กับคนนั้นนะครับ คือต้องไปขอโทษเขาและต้องใช้ค่าเสียหาย ซึ่งเขาจะเรียกร้องมากน้อยเท่าไหร่ อันนั้นเป็นเรื่องต่างหากไม่เกี่ยวกับพระเจ้า แต่พระเจ้าสามารถช่วยเราให้โทษหรือให้ปัญหาเหล่านั้นเบาลงได้ จากหนักกลายเป็นเบา จากยากกลายเป็นง่าย
เพราะว่าพี่น้องคริสเตียนส่วนมากมักจะเข้าใจผิดคิดว่า ถ้าพระเจ้ายกโทษให้แล้ว เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายหนี้กับมือที่สามหรือบุคคลที่สามที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดทำบาปของเรา อันนั้นไม่ครับผม
ถ้าหากผมทำผิดกฎจราจร ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง พระเจ้ายกโทษให้เราแล้วแน่นอนนะครับ แต่บ้านเมืองกฎหมายต้องเอาเรื่องผมใช่ไหม เพราะฉะนั้นนะครับผมก็ต้องจ่ายหนี้ค่าเสียหายที่ผมทำไป
** แต่ด้วยความรักความเมตตาของพระเจ้า พระเจ้าก็อาจจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเราได้ ถ้าหากเราทูลขอพระเจ้า ขอความเมตตา ขอความรักของพระเจ้า ขอพระกรุณาของพระเจ้าทำงาน คือขอร้องพระเจ้าว่า โอ้ มันหนักเกินไปขอให้เบาลง พระเจ้าก็จะเมตตาเรา อันนี้ขึ้นอยู่กับพระเจ้า
อีกครั้งนะครับ ฮีบรู 9:12 “พระองค์เสด็จเข้าไปในที่บริสุทธิ์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป และทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์แก่เรา”
พระเยซูนำพระโลหิตของพระองค์ขึ้นไปที่พระวิหารในสวรรค์ และถวายแด่พระเจ้า พระเจ้ายอมรับพระโลหิตนี้ และตั้งไว้ ให้เป็นการไถ่นิรันดร์
การไถ่นิรันดร์นี้ คือการไถ่บาป เมื่อเราเชื่อพระเยซู รับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราก็ได้รับความรอดนิรันดร์
และการไถ่บาปที่ 2 ที่พระเจ้าตั้งไว้ ก็คือ เมื่อเราทำผิดในแต่ละวัน เราสามารถสารภาพบาปต่อพระเจ้าทุกๆ วัน ทุกๆ เวลานาทีได้ ไม่มีวันไหนไม่มีเวลาไหนที่พระเจ้าปฏิเสธเรา ไม่ยอมฟังคำสารภาพของเรา
** ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่า พระโลหิตของพระเยซู มีคุณค่ามากมายเหลือเกิน ซึ่งมนุษย์เรามองไม่เห็นคุณค่า เราคิดว่า ถ้าสารภาพบาปแล้วต้องกลับใจพระเจ้าจึงจะยกโทษให้ เมื่อเรากลับมาสารภาพครั้งใหม่ อันนั้นไม่ครับผม
เรากล้าทำผิด เรากล้าสารภาพ พระเจ้าก็กล้ายกโทษให้เรานะครับ ซึ่งคนที่เดือดร้อนก็คือเราและมือที่สามนะครับ แต่พระเจ้าไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะว่าเมื่อเราทำผิด เราก็รู้สึกผิดสำนึกผิดภายในใจ เราก็รู้สึกไม่สบายใจ เราก็เป็นทุกข์ใช่ไหม
แต่พระเจ้าพระองค์ทรงตั้งระบบการไถ่บาป ระบบการยกโทษบาปให้เราแล้ว พระเจ้าก็รออยู่ว่าวันไหนเราจะมาสารภาพ เมื่อมีการสารภาพอยู่ที่ไหนเมื่อไหร่ การยกโทษก็อยู่ที่นั่นเดี๋ยวนั้นเลย
ขอพระเจ้าช่วยเรานะครับที่จะเข้าใจคุณค่าที่ครบถ้วนของ “พระโลหิตของพระเยซูคริสต์” เพื่อการดำเนินชีวิตของเราจะสามารถเข้ามาหาพระเจ้าได้ทุกวันทุกเวลานาที สารภาพบาปต่อพระเจ้าได้
และผลที่ตามมานะครับเราจะได้รับการชำระ และเรามีความผูกพันที่ดีกับพระเจ้า และมองพระเจ้าในแง่ใหม่ คือไม่กลัวพระเจ้าอีกต่อไป ยุคนี้ยุคพระคุณ พระเจ้าสำแดงพระคุณซ้อนพระคุณ ที่มีพระเมตตา พระกรุณา ของพระเจ้ามากมายต่อคริสเตียนพวกเรา
เพราะฉะนั้นแล้วขอให้เราเข้าใจนะครับ ยุคเดิมพระเจ้าทำยังไง ยุคใหม่พระเจ้าบริหารแผนการงานของพระเจ้าในแต่ละยุคไม่เหมือนกัน