สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือการหลงทางอยู่ในคริสตจักร หลงทางในบ้านของพระเจ้า หลงทางในความเชื่อ เมื่อเราเป็นคริสเตียน ทุกคนนะครับที่ได้บังเกิดใหม่ มีความรู้สึกว่ารักพระเจ้า เพราะพระคุณของพระเจ้าพระองค์ทรงไถ่พวกเรา พระองค์ทรงเมตตานำเรามาถึงความรอด ให้เราได้พบพระเจ้าองค์ยิ่งใหญ่ ที่เราไม่เคยคิดว่าจะได้พบ
แต่เมื่อเราพบพระเจ้าเราขอบคุณพระองค์ ที่พระองค์ทรงไถ่เรา เราก็อ่านเจอพระบัญญัติ อ่านเจอคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ เราไปโบสถ์ที่คริสตจักรก็สั่งสอนเรา ให้รักษาพระบัญญัติรักษาพระบัญญัติ ด้วยความรักที่เรามีต่อพระเจ้า และด้วยความไม่เข้าใจเราคิดว่าทุกศาสนาเนี่ยเมื่อเราเชื่อในศาสนานั้นแล้ว เราต้องเปลี่ยนแปลงชีวิต เราต้องทำดี แล้วเราก็คิดว่า พระเจ้าทรงไถ่เรา จากนั้นเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา
เราก็ใช้มนุษย์อาดัมคนนี้แหละที่พยายามทำดีพยายามเชื่อฟังพระเจ้า นี่คือ สาเหตุที่ทำให้คริสตจักรกลายเป็นคริสตจักรศาสนา ทำให้เรากลายเป็นคริสเตียนศาสนา เพราะว่าเราไม่รู้ เราใช่มนุษย์อาดัมเราใช้มนุษย์ตัวเก่า เราได้ยินนะครับว่า เราบังเกิดใหม่ คริสตจักรก็สอน พระคัมภีร์ก็บอกว่าเราบังเกิดใหม่ แต่เราไม่เข้าใจว่าชีวิตที่บังเกิดใหม่เป็นยังไงต้องทำอะไรบ้าง
เมื่อเราใช้ตัวเก่ามนุษย์อาดัม พยายามรักษาพระบัญญัติ เชื่อฟังพระเจ้า ถวาย เราเน้นที่การเชื่อฟัง ปฏิบัติ อะไรก็ปฏิบัติทั้งนั้น ในแต่ละวันก็คิดแต่เรื่องถูกผิดถูกผิด เราไม่เคยคิดนะครับว่าชีวิตคริสเตียนแท้ที่จริงแล้วเนี้ยเป็นเรื่องของการบังเกิดใหม่การได้ใช้ชีวิตอยู่ในพระคริสต์และพระคริสต์อยู่ในเราพระคริสต์เป็นคนทำดีเชื่อฟัง
แท้ที่จริงแล้วพระองค์ไม่ใช่คนที่รักษาพระบัญญัติให้เรา พระบัญญัติเป็นธรรมชาติของพระเจ้า คือจิตใจของพระเจ้าพระนิสัยของพระเจ้า คือพระเจ้าไม่รักษานะ แต่พระเจ้าดำเนินชีวิตของพระองค์และสอดคล้องกับพระบัญญัติ เราเองที่อยู่ในพระคริสต์และพระคริสต์อยู่ในเรา เราก็จะทำทุกสิ่งได้ การเชื่อฟังก็จะมาเองไม่ต้องฝืนใจ บังคับใจ
ทำให้เราทำให้คริสจักรกลายเป็นศาสนาเรากลายเป็นคริสเตียนศาสนา เพราะว่าเราไม่รู้ เราทำไปด้วยใจรัก เราทำไปเพราะกลัวไม่รอด เราทำไปเพราะว่าเพื่อความอยู่รอดของ
คริสตจักร เพื่อคริสตจักรจะเป็นคริสตจักรที่สมบูรณ์ แต่ถ้าที่จริงพี่น้องรู้ไหมว่า คริสตจักรทุกวันนี้ไม่สมบูรณ์แล้ว พิการถามว่ารู้ได้ยังไง ไม่มีรักอะกาเป้ พอ ถึงเวลาระเบิดก็ระเบิด ถึงเวลาแตกแยกก็แตกแยกแบ่งแยก แย่งดีชิงดีชิงเด่น
ไม่มีรักแท้ไม่มีการดำเนินชีวิตที่พระเยซูสั่งสอนในพระคัมภีร์ ชีวิตของเราไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ เพราะฉะนั้นคริสตจักรคือพระกายของพระเยซู พระกายที่สมบูรณ์ คือพระกายที่ติดสนิทอยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องของชีวิตส่วนบุคคลก่อน ถ้าหากพระกายของพระเยซู ไม่พิการเหมือนทุกวันนี้ เราจะเห็น ว่าในคริสตจักร มีแต่ความรัก มีแต่ความรักแท้
พี่น้องที่เข้ามาในคริสตจักรและอยู่ในคริสตจักรนานแล้ว เขาได้สัมผัสรักของผู้เลี้ยง ผู้เลี้ยงผู้ปกครองก็ได้สัมผัสรัก ของพี่น้อง ไม่มีการข่มขู่ ไม่มีการบังคับ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่เราทุกวันนี้ เราจะเห็นว่าเมื่อไหร่ที่เราเห็นการพบกัน เจอกัน เราก็ เน้น ที่ถูกผิด จ้องมองเหมือนฟาริสีต้องมอง ตัดสิน ทำให้คริสเตียนอยู่ไม่เป็นสุข เพราะว่าเราไม่รู้
เรื่องการดำเนินชีวิตใหม่ในพระคริสต์ คริสตจักรที่แท้จริง เริ่มต้นด้วยการได้รู้ได้เข้าใจว่า เราบังเกิดใหม่และเรา มีชีวิตใหม่มีชีวิตของพระเจ้าอยู่กับเรา กับคนใหม่นี้ และเราเริ่มจากเด็กก่อน เริ่มจากการเป็นเด็กและโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่ Do แต่ Be ) ไม่ใช่ทำ เเต่เป็น เป็นอะไร เป็นคนใหม่
ตายต่อตัวเก่าก่อนเชื่อนับทุกวัน นับทุกวันว่าเราตายต่อตัวเก่า ตอนนี้ ในกระเป๋าของพี่น้องมีเงินเท่าไหร่พี่น้องจำพี่น้องรู้ดีว่ามีเท่าไหร่ เรา นับ ทุกวัน ว่าเรามีเงินเท่าไหร่เหมือนกันครับ เช่นเดียวกัน การนับชีวิตใหม่ การเชื่อว่าเราตายแล้วเราเชื่อทุกวัน นับทุกวัน ถ้าหากเราไม่ นับ ตัวเก่าก็จะฟื้นขึ้นมา ตัวเก่าก็จะกลับมาเพราะว่าเราเผลอ ชีวิตเก่าอาดัมเนี่ยไม่ต้องนับ ไม่ต้องเชื่อมันก็เป็นอยู่แล้ว แต่ชีวิตในตัวใหม่ต้องอาศัยความเชื่อ ต้องนับครับผม เปาโลกล่าวว่าข้าพเจ้าตายทุกวัน 1 โครินธ์บทที่ 15 ข้อที่ 31 "ข้าพเจ้าขอยืนยันโดยอ้างความภูมิใจซึ่งข้าพเจ้ามีอยู่ในท่านทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า ข้าพเจ้าตายทุกวัน"
แล้วพระเยซูคริสต์ตรัสว่า ถ้าหากใครที่จะตามเรามาต้องแบกกางเขนของเขาและตามเรามา (ลูกา 9:23) ทุกวัน ก็คือ การตายต่อตัวเก่า ให้ตัวเก่าถูกตรึงที่กางเขน คือจดจำคือนับว่าตายและนับว่าเป็นคนใหม่
เพราะฉะนั้นการเริ่มต้นที่ถูกต้อง คือการเชื่อว่าเราอยู่ในพระกายของพระเยซู ไม่ใช่โบสถ์ไม่ใช่ตึกอาคาร คริสตจักร ก็คือสองคนหรือมากกว่า 2 ร่วมกันอยู่ที่ไหนก็เรียกว่าคริสตจักรแล้ว แล้วคริสจักรเริ่มด้วยความรัก เริ่มด้วยการมองทุกคนว่าเป็นเด็กเราเข้ามาใหม่ๆ เรายังเป็นเด็ก เรายังต้องฝึกฝนชีวิต ในการเดินกับพระเจ้าสะสมมานาที่ซ่อนไว้ให้มากขึ้นมากขึ้น
แล้วเราเน้นที่การสนิท ไม่ดูไม่ทำ แต่สนิท แล้วเมื่อเราสนิทกับพระเจ้ามากเท่าไหร่ การกระทำก็ตามมามากเท่านั้น สนิทนะครับ 1 บอกรักสรรเสริญ ยกย่อง พูดคุยสนทนา เปาโล พูดถึง การพูดคุยกับพระเจ้าคือจงพูดคุยสนทนากับพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง (1 เธสะโลนิกา 5:17)
ทุกเวลาเรามีโอกาสพูดคุยสร้างความสัมพันธ์ความผูกพันที่ดีกับพระเจ้าบอกรักพระเจ้าให้มากที่สุดให้มากเท่าที่จะมากได้จนเกิดความซาบซึ้งภายในจิตใจพระเจ้าทำงาน เมื่อพระเจ้าเห็นความเชื่อของเรา แล้วเราฝึกชีวิตของเราถูก พระเจ้าก็จะทำงานถ้าเราเชื่อผิด ทำผิดฝึกผิด พระเจ้าก็ทำงานไม่ได้อย่าลืมนะครับ พระเจ้าทำงานผ่านความเชื่อของเรา เราเชื่อผิด การทำงานของพระเจ้าไม่เกิด
เพราะฉะนั้นการเริ่มต้นที่ดี ก็คือ การเริ่มต้นด้วยการเป็นเด็ก ไม่ใช่ว่ามีใครเข้ามาเชื่อพระเจ้าอยู่ร่วมกับพวกเรา เราก็เน้นที่การปฏิบัติ โอ้ ต้องเชื่อฟังนะ รักษาพระบัญญัตินะ ต้องนี่ต้องนั่นนะต้องถวายนะต้องถวายสิบลดด้วย คือ หลายคนอยู่ไม่ได้ก็หนีเพราะว่าเขากลัว การดำเนินชีวิตคริสเตียนไม่เหมือนศาสนาอื่นๆทั่วไป ไม่เหมือนลัทธิ ไม่เหมือนการปกครองครอบครอง รัฐบาลแต่ละประเทศไม่เหมือนครับ
คริสตจักรของพระเจ้า การดำเนินชีวิตคริสเตียน 1. อยู่ที่ความเชื่อ 2. อยู่ที่การได้รู้ว่าเราเป็นคนใหม่หรือคนเก่า 3. อยู่ที่การสนิทกับพระคริสต์ เราสนิทเราพูดคุย เราสนทนาเราบอกรักเราสร้างความสัมพันธ์ เมื่อมีความสัมพันธ์กับพระเจ้ามากเท่าไหร่ ชีวิตจิตใจใหม่ก็ตามมาการปฏิบัติก็ตามมาการเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเต็มล้นก็ตามมา
ขอให้เราแยกจุด ความบาปของเรา ออกเป็น 4 จุด เมื่อเรามีจุดอ่อนจุดไหน เรามีความหวังเรารอคอยการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าหากพระเจ้าชำระเราจุดไหนแล้ว ความโกรธไม่มีแล้วเราขอบ คุณพระเจ้า ชื่นชมยินดีกับสิ่งที่พระเจ้าทรงแก้ไขช่วยเหลือเราแล้ว แต่ถ้าหากว่าจุดไหนที่ยังบกพร่องอยู่เราก็รอรับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้า เราไม่ท้อ เราสู้ พระเจ้าไม่เคยท้อแท้ เราจะไม่ท้อแท้เมื่อพระเจ้าไม่เคยท้อแท้ไม่เคยท้อถอยไม่เคยหยุดนิ่งในการทำงานในชีวิตของเราพระเจ้าทำงานนะครับ
ถ้าหากเราเน้นตรงที่การเชื่อฟังการเชื่อฟังเน้นที่การถวายการถวาย มองกันในลักษณะของฟาริสีมองแล้วก็ตัดสินพี่น้องคริสตจักร อันนี้เราล้มเหลวเราล้มเหลวในการดำเนินชีวิตและเราล้มเหลวในการอยู่ร่วมกันในฐานะของคริสตจักร ในสภาพของคริสตจักร แต่ถ้าหากเราเน้นที่ความรัก เราไม่เป็นเหมือนฟาริสีและธรรมาจารย์เราไม่เป็นเหมือนผู้นำศาสนาที่ใช้พระบัญญัติเป็นเครื่องมือเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจใช้ครับเค้าอาจหวังดีต่อเรา
แต่ความหวังดีของเขามันทำร้ายเรามันทำลายเรา เนื่องจากว่าเขาหวังดีแต่เขาทำไม่เป็นเขาเชื่อผิดแล้วเขาก็บังคับให้เราทำคือ ต้องให้เราถวาย แล้วเราไม่สบายใจเราเป็นทุกข์ เรา ฝืนใจ ทำ เราทำได้เพราะว่าถูกบังคับไงและถ้าหากเมื่อเราทำไป เราฝืนใจเราไม่สบายใจเราเป็นทุกข์เราบาปแล้ว
การให้ที่แท้จริงคือการให้ด้วยธรรมชาติใหม่การให้ด้วยความเต็มใจไม่ฝืนใจและด้วยความรักที่เรามีต่อพระเจ้า ต่อคริสตจักรและต่อพี่น้อง เพราะฉะนั้นแล้วการกระทำทุกสิ่ง เราถูกบังคับให้ทำเพื่อจะได้รับพระพร เรากลับได้รับพระพิโรธจากพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นการดำเนินชีวิตที่อยู่ในพระบัญญัติ อยู่ใต้พระบัญญัติ เป็นสิ่งที่ คริสเตียนเราไม่ต้องอยู่ใต้พระบัญญัติอีกแล้ว พระบัญญัติยังอยู่ใช่ครับแต่เราถูกดึงออกมาเราถูกปลดปล่อยแล้ว โรมบทที่ 7 ข้อที่ 4 "เช่นนั้นแหละ พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายได้ตายจากพระราชบัญญัติทางพระกายของพระคริสต์ด้วย เพื่อท่านจะตกเป็นของผู้อื่น คือของพระองค์ผู้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว เพื่อเราทั้งหลายจะได้เกิดผลถวายแด่พระเจ้า"
เราตายแล้วจากพระบัญญัติผ่านทางพระกายของพระเยซู พระเยซูถูกตรึง พระเยซูตายพระองค์ทรงนับเราทุกคนให้ร่วมเข้าส่วนในการตายของพระองค์ด้วยและเมื่อเราตาย เราก็หลุดพ้นหลุดพ้นจากพระบัญญัติและเป็นของพระเยซูพระบัญญัติความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระบัญญัติ ก็คือพระบัญญัติเป็นสามีคนเก่า คนเดิม และเราเป็นภรรยาฝ่ายวิญญาณนะครับเมื่อสามีไม่ยอมตายพระบัญญัติไม่ยอมตายไม่ถูกลบล้างเราเองคือผู้ที่จะต้องตาย คือตาย ผ่านทางพระกายของพระเยซู และพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากตายเป็นสามีคนใหม่เราที่เป็นภรรยาคนใหม่ของพระเยซูคริสต์ ก็จะถูกปลดปล่อยและเราทุกวันนี้เป็นภรรยาของพระเยซู แล้วพระองค์เป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตแทนเราสามีคนเก่าบังคับให้เรารักษาพระบัญญัติ ตบตีเราลงโทษเราถ้าเราทำไม่ได้ แต่สามีคนใหม่เป็นผู้กระทำแทนเรา เป็นผู้กระทำแทนเรา