1:1 ซึ่งได้ทรงเป็นอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ซึ่งพวกเราได้ยิน ซึ่งพวกเราได้เห็นกับตาของพวกเรา ซึ่งพวกเราได้พินิจดู และมือของพวกเราได้จับต้อง เกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต
** ท่านเปาโลเขียนจดหมายเพื่อเปิดเผยข้อลึกลับและพระคำแห่งความจริงที่ได้รับการถ่ายทอดจากพระเยซู ท่านทำสำเร็จราวๆ ค.ศ. 60-70 และท่านยอห์นเขียนจดหมายทั้งสามฉบับเพื่อสานต่อการเขียนของท่านเปาโล ในหนังสือยอห์นทั้ง 3 ฉบับนี้ จึงมีการตีความหมายที่ต้องพึ่งพระวิญญาณ เพื่อที่จะได้รับการเปิดตาสู่พระคำแห่งความจริง
เป้าหมายหลักของเปาโลและยอห์น ก็คือเพื่อสำแดง แผนการงานของพระเจ้า ที่มีมาก่อนที่จะสร้างจักรวาล ก็คือให้มนุษย์ ที่เป็นพระฉายาของพระเจ้า เป็นวิหารหรือที่อยู่ของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคในพระนามพระคริสต์เยซู เพื่อสำแดงชีวิตและนิสัย ให้โลกจักรวาล ทูตสวรรค์ มนุษย์ และทุกสิ่ง ได้เห็นพระองค์ผ่านมนุษย์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา สรุป ก็คือทุกคนทุกสิ่งจะได้เห็นพระเจ้าอย่างครบเต็มบริบูรณ์ผ่านมนุษย์นี่เอง
** คำว่า "เริ่มแรก" หรือ ปฐมกาล (in the beginning) ในที่นี้ คือเหตุการณ์ที่พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค คือพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเป็นอยู่ก่อนที่จะทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง (1 ยน 1:1)
ซึ่งไม่เหมือนคำว่า "เริ่มแรก" หรือ ปฐมกาล (in the beginning) ในหนังสือปฐมกาลบทที่หนึ่ง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่พระเจ้าสร้างเมืองสวรรค์ และทูตสวรรค์ทั้งหลายสำเร็จแล้ว และพระเจ้าเพิ่งจะเริ่มสร้างระบบโลก มนุษย์ สัตว์ พืช ดวงดาว และทุกสิ่งที่ตามองเห็น (ปฐก 1:1)
** "พระวาทะแห่งชีวิต พระวาทะ" คือ ถ้อยคำ A word ภาษากรีกคือ λόγος, ου, ὁ (ลก-อส/ log-os) คือถ้อยคำหรือคำพูดที่มาจากวิญญาณของพระเจ้าโดยตรง
ส่วนคำว่า "ชีวิต" life คือ โซว์ Zoe ζωή, ῆς, ἡ = ถ้อยคำของพระเจ้าเป็นชีวิต มีชีวิต เป็นวิญญาณ มีพลัง มีฤทธิ์เดช มีสันติสุข และมีทุกสิ่งที่เป็นด้านบวกเพื่อเสริม เติม เพิ่ม รักษา กระตุ้น เผาไหม้ ชุบชีวิต
** ท่านยอห์นยืนยันว่า พระเจ้าผู้เป็นถ้อยคำแห่งชีวิตได้เสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์และอยู่ท่ามกลางพวกสาวก พวกเขาจึงเชื่อเนื่องจากว่าได้เดินไปมา นั่ง นอน กินจับต้อง และได้เห็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่พระวาทะทรงกระทำ
1:2 (ด้วยว่าชีวิตนั้นได้ปรากฏ และพวกเราได้เห็นชีวิตนั้นและเป็นพยาน และสำแดงชีวิตนิรันดร์นั้นแก่พวกท่าน ซึ่งได้ดำรงอยู่กับพระบิดา และได้ปรากฏแก่พวกเรา)
** ท่านยอห์นยืนยันว่า ถ้อยคำที่มีชีวิตหรือเป็นชีวิต มาปรากฏแก่มนุษย์โดยเสด็จมาบังเกิด และพระองค์ทรงเป็นอยู่กับพระบิดาตั้งแต่เริ่มแรกก่อนที่จะสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง
** ในจักรวาลที่ว่างเปล่าและยังไม่มีสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ยังไม่มีสิ่งที่ตามองเห็นและสิ่งที่ตามองไม่เห็น พระเจ้าทั้งสามพระภาคก็ทรงเป็นอยู่ (อสย 44:10; 43:8)
1:3 ซึ่งพวกเราได้เห็นและได้ยินนั้น พวกเราก็ได้ประกาศแก่พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับพวกเราด้วย และแท้จริงการร่วมสามัคคีธรรมของพวกเราอยู่กับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์
** สาวกที่ได้เห็นได้ยิน เนื่องมาจากการได้เดินทางไปมากับพระวาทะที่มีชีวิตพระเจ้า พวกเขาจึงประกาศ หรือแจ้งต่อผู้เชื่อทั้งหลายเพื่อให้ทุกคนมั่นใจ และร่วมสามัคคีธรรมกับพระเจ้าทั้งสามพระภาค และกับผู้เชื่อทุกคนในวิญญาณ
1:4 และสิ่งเหล่านี้พวกเราเขียนถึงพวกท่าน เพื่อความยินดีของพวกท่านจะเต็มเปี่ยม
** ความยินดี ต้นฉบับคือ χαρά, ᾶς, ἡ คืออาการดีใจ ปลาบปลื้มใจ ชื่นชมยินดี ซึ่งเมื่อผู้เชื่อมั่นใจในการเสด็จมาของถ้อยคำที่มีชีวิตเป็นชีวิต เพื่อช่วยไถ่โลก ก็จะเกิดมีอาการชื่นชมยินดีจากภายในสู่ภายนอก
1:5 นี่จึงเป็นข่าวสารซึ่งพวกเราได้ยินจากพระองค์ และประกาศแก่พวกท่าน คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และในพระองค์ไม่มีความมืดเลย
** คำว่า "พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง" เป็นคำที่ผู้เชื่อมากมายไม่เข้าใจ และเข้าไม่ถึงความสว่างที่แท้จริงของพระเจ้า
ถ้าหากเราเข้าใจ ชีวิตของเราจะอยู่ใน 1 ยอห์น 1:1-4 ตามน้ำพระทัยของพระบิดาได้ นั่นก็คือ...
1. อยู่ในชีวิตหรือรูปแนวชีวิต
- เพื่อเติมเต็มชีวิตพระเจ้า ไม่ว่าจะถ้อยคำก็มีแต่ถ้อยคำที่มีชีวิตและให้ชีวิต
2. ร่วมสามัคคีธรรมกับพระเจ้าทั้งสามพระภาคและพี่น้อง ในวิญญาณและในความจริง
- ซึ่งก็คือด้วยตัวใหม่ การมองบวก (ต่ำ ถ่อม และยอมเสียเปรียบ เป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้อง) การอยู่ในพระวิญญาณ และเดินทุกก้าวในพระวิญญาณไม่ว่าจะอยู่ร่วมกันหรืออยู่คนเดียว เพื่อรับการก่อขึ้นสู่ชีวิตผู้ชนะ
3. อยู่ในความชื่นชมยินดี
- ดีใจ ปล่อยวางและยิ้มได้ทั้งๆ ที่ชีวิตฝ่ายร่างกายไม่ราบรื่น
สรุป คำว่า "พระเจ้าเป็นความสว่าง" ก็คือ พระเจ้าเป็นความเป็นจริง เป็นอยู่ในสภาพอมตะ ไม่มีบาป ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชั่วคราวหรือเงา หรือสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่ชอบธรรม และขอบพระคุณพระเจ้าที่นำความสว่างมาสู่โลกแล้ว "ในพระคริสต์" และการที่จะมีชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้า ก็คือต้องอยู่ในพระคริสต์ และเดินทุกก้าวในพระคริสต์ในแต่ละวัน
1:6 ถ้าพวกเรากล่าวว่า พวกเราร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์ และดำเนินอยู่ในความมืด พวกเราก็พูดมุสา และไม่ได้กระทำความจริง
** ศาสนาคริสต์กำลังเผลิญกับปัญหาใหญ่ซึ่งก็คือการอาศัยและการเดินในความมืดแต่ไม่รู้ตัว เขาไม่ได้อยู่ในสามสิ่งที่สำคัญ คือ อยู่ในรูปแนวชีวิตเพื่อรับชีวิต, อยู่ในการสามัคคีธรรมในวิญญาณและในความจริงเพื่อรับการก่อขึ้น, และอยู่ในอาการชื่นชมยินดีได้ตลอดทั้งวัน
การอยู่ในความมืด ก็คือการอยู่ในเนื้อหนังตัวเก่าอาดัม อยู่ในสภาพของคนบาปที่ไม่รู้ว่าพระคริสติ์ทรงสถิตในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในเรา พระบิดาทรงเป็นอยู่ในเรา การใช้ตัวเก่าเพื่อทำดีเชื่อฟัง และรับใช้พระเจ้า และอีกมากมาย
1:7 แต่ถ้าพวกเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง พวกเราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระพวกเราให้สะอาดจากบาปทั้งสิ้น
** ยังมีผู้เชื่ออีกมากมายที่ไม่รู้ถึงคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ของพระโลหิตของพระเยซู จึงกลัวว่าจะไม่รอด และกลัวพระเจ้าจะไม่ยกโทษเมื่อเขาทำบาป ชีวิตจึงไม่ได้อยู่ในการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าทั้งสามพระภาค สุดท้ายก็เหี่ยวแห้งไป คือขึ้นลงสุขทุกข์ดีบาปไปจนตาย
** ขอบพระคุณพระเยซูที่พระองค์เมตตา และเลือกผู้เชื่ออีกมากมายให้ได้เห็นความสว่าง และอาศัยอยู่ในความสว่าง หรือความเป็นจริงของพระเจ้า "ในพระคริสต์" เราจึงได้เห็นคุณค่าของพระโลหิตของพระเยซู และรับการยกโทษบาปทุกครั้ง และเข้ามาหาพระบิดาทางพระโลหิต
เราไม่กลัวว่าจะไม่รอด และไม่กลัวว่าพระเจ้าจะไม่ยกโทษ และไม่กลัวที่จะเข้าใกล้พระเจ้าเมื่อเราหลงทาง หรือทำบาป เนื่องจากว่าเราเดินในความสว่างของพระเจ้า และเราหายจากอาการบอดฝ่ายวิญญาณแล้ว เอเมน
1:8 ถ้าพวกเรากล่าวว่า พวกเราไม่มีบาป พวกเราก็หลอกลวงตัวเอง และความจริงไม่ได้อยู่ในพวกเราเลย
** "พวกเรา" ในที่นี้ ก็คือผู้เชื่อที่ต้อนรับพระเยซู บังเกิดใหม่แล้ว ซึ่งพระเจ้ามองว่ายังเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ พวกเขาย่อมจะทำบาปในแต่ละวันไม่มากก็น้อย
ผู้นำผู้ดูแลคริสตจักรไม่ควรสอนหรือสั่งว่าเมื่อเป็นคริสเตียนหรือลูกพระเจ้าต้องเลิกทำบาปทั้งหมดให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่รอดหรือพระเจ้าจะลงโทษ คริสเตียนส่วนมากจะหลอกตัวเอง และหลอกผู้อื่นว่าตนเป็นคนดีชอบธรรมต่อหน้าพี่น้อง แต่ในความเป็นจริงพวกเขายังทำบาปในที่ลับลี้ และต่อหน้าคนที่ไม่เชื่อ
เปาโลและยอห์นรู้ดี และกล่าวโดยพระวิญญาณว่า ผู้เชื่อทุกคนย่อมทำบาปในแต่ละวันไม่มากก็น้อย เราไม่สวมหน้ากากแต่ยอมรับความบกพร่อง และให้พระกายช่วยอธิษฐานเผื่อ และเสริมสร้างกันและกัน เพื่อรับการชำระด้วยพระวิญญาณ
1:9 ถ้าพวกเราสารภาพบาปของพวกเรา พระองค์ก็ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมที่จะโปรดยกบาปทั้งหลายของพวกเรา และที่จะทรงชำระพวกเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น
** ถ้า / ถ้าหาก if ภาษากรีกคือ ἐάν (เอ-อาน) คือคำที่ยอห์นใช้เพื่อแสดงถึงการตอบสนองของพระเจ้าเมื่อเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และสิ่งนั้น ก็คือ การสารภาพ หรือ การขอโทษพระเจ้า เป็นการกระทำที่ยอมรับผิดของเรา
** ถ้าหาก พวกเรา พวกเรา เล็งถึงผู้เชื่อทุกคนทั้งเด็ก หนุ่ม และระดับพ่อ
** การสารภาพที่ยอห์นกล่าวถึง คือการยอมรับในสิ่งที่ทำด้วยอาการเสียใจเศร้าใจไม่พอใจที่จะทำที่ออกมาจากใจ ซึ่งเรารู้ดีว่าเราทำไปเนื่องจากจิตเก่ายังอ่อนกำลังในเนื้อหนัง หรืออาการเผลอพลั้ง และไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอีก
สรุป ก็คือการสารภาพบาปที่แท้จริงต้องเสียใจและยอมรับความผิดที่ทำ พระเจ้าผู้ทรงชอบธรรมและเที่ยงธรรมจะยกโทษและลบล้างความผิด คือ "ไม่จำมันอีก"
ถ้าหากเราจะถามพระบิดาว่าสิ่งที่ข้าพระองค์ทำลงไป และขอโทษพระบิดาแล้วพระบิดาจำสิ่งนั้นได้หรือไม่ พระองค์จะตอบว่า "เราไม่เห็นการกระทำที่ผิดของเจ้า"
1:10 ถ้าพวกเรากล่าวว่า พวกเราไม่ได้ทำบาป พวกเราก็ทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็มิได้อยู่ในพวกเราเลย
** เราพบว่า ผู้เชื่อมากมายต่างก็พูดว่าตนไม่มีบาปหรือไม่ได้ทำบาป ดูสิ ผมรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ ถวายครบ ขยันทำงานรับใช้พระเจ้าตลอดทั้งวัน ไม่มีข้อบกพร่องเพราะว่าพระเจ้าเสริมกำลังผม เขาไม่เข้าใจพระคำพระเจ้าในข้อนี้
เปาโลและยอห์นต่างก็ยืนยันโดยพระวิญญาณว่าผู้เชื่อไม่ว่าจะระดับไหนต่างก็ยังทำบาปอยู่ไม่มากก็น้อย และถ้าหากเรายอมรับว่าเราบกพร่อง อ่อนแอและอยู่ในกระบวนการการก่อขึ้นของพระคริสต์ในเรา ถ้อยคำที่เป็นชีวิต การสามัคคีธรรมในวิญญาณและในความจริงเพื่อการก่อขึ้น และสันติสุขคืออาการดีใจความชื่นชมยินดีอย่างเต็มล้นในแต่ละวันก็เป็นของเรา เอเมน