25:1 เมื่อถึงวันนั้น อาณาจักรแห่งสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าว
** 1. "อาณาจักรแห่งสวรรค์" คือส่วนที่พิเศษของอาณาจักรของพระเจ้า
- อาณาจักรสวรรค์ คือการปกครองของพระเยซูต่อผู้เชื่อในยุคพระคุณหรือยุคคริสตจักร
- อาณาจักรสวรรค์ คือการเสด็จกลับมาครอบครองโลกนี้ในยุคหน้า ซึ่งคนทั้งโลกจะได้เห็นพระเยซูและอาณาจักรลงมาตั้งอยู่
- ขณะที่อาณาจักรของพระเจ้า คือการครอบครองของพระเจ้าตั้งแต่อดีตกาลจนถึงนิรันดร์กาล
** 2. "หญิงพรหมจารีสิบคน" คือผู้เชื่อที่เป็นคริสตจักร ซึ่งได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระโลหิตของพระเยซู เขาได้รับความรอดแล้ว เพราะเป็นผู้ชอบธรรมแล้วต่อพระเจ้า
** 3. "ตะเกียง" หมายถึงวิญญาณของมนุษย์ทุกคน (สภษ 20:27)
** 4. "ออกไปรอรับเจ้าบ่าว" หมายถึงการรอพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา
25:2 เป็นคนโง่ห้าคน เป็นหญิงมีปัญญาห้าคน
** "ในพวกเธอ" หมายถึงในท่ามกลางผู้เชื่อทุกคนในทุกสมัยทุกแห่งหน
** "เป็นคนมีปัญญาห้าคน" หมายถึงผู้ชนะ
** "เป็นคนโง่ห้าคน" หมายถึงผู้เชื่อ ผู้นำ หรือผู้รับใช้ที่ไม่ได้พบอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ กลับกลายเป็นคริสเตียนศาสนาเท่านั้น ซึ่งเขาจะได้รอดในวันสุดท้ายแต่จะไม่ได้เข้าในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ในยุคหน้า
25:3 ฝ่ายคนโง่นั้นเอาตะเกียงของตนไป แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่
** ผู้เชื่อทุกคนมีพระวิญญาณอยู่ในวิญญาณ แต่ไม่มีพระวิญญาณขยายอาณาเขตมาถึงใจ (soul) หรือครอบครองใจยังไม่ได้
25:4 คนที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำมันใส่กาไปกับตะเกียงของตนด้วย
** "เอาน้ำมันใส่ภาชนะมาเผื่อ" หมายถึงจิตใจที่มีพระวิญญาณครอบครองได้แล้ว มีจิตใจใหม่ หรือได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว เป็นผู้ชนะที่สุกงอมแล้ว
** "ภาชนะ" (vessel) หมายถึงจิตใจ
25:5 เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ พวกหญิงก็พากันง่วงเหงาและหลับไป
** ถ้าหากเจ้าบ่าวมาตามเวลากำหนด ผู้เชื่อทุกคนในเวลานั้นจะได้เข้าในอาณาจักรสวรรค์กันหมด แต่ปัญหามีอยู่ว่า คนต่างชาติทั่วโลกจะไม่มีโอกาสได้รอด
** สาเหตุที่เจ้าบ่าวมาช้า เพราะว่าเจ้าสาวเดิมที่เป็นยิวไม่ยอมรับเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวจึงหาเจ้าสาวคนใหม่ และให้โอกาสเจ้าสาวเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการกลับมาของเจ้าบ่าว
** พวกเธอทุกคนก็พากันง่วงเหงาและหลับไป หมายถึงผู้เชื่อทุกคนในสมัยคริสตจักรเริ่มแรกตายไปหมด
25:6 ครั้นเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า `ดูเถิด เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด'
** "เวลาเที่ยงคืน" หมายถึงเวลาที่มืดมิดที่สุด หรือช่วงเวลาแห่งความชั่วร้าย จิตใจเลวทราม มืดมัวความรักเยือกเย็น
** "มีเสียงร้อง" หมายถึงทูตสวรรค์เป่าแตร ในวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาพร้อมกับราชอาณาจักรของพระองค์
** "จงออกมารับเถิด" หมายถึงจงฟื้นขึ้นจากตายเถิด
25:7 พวกหญิงพรหมจารีเหล่านั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน
** ผู้เชื่อทุกคนที่ตายไปแล้วก็เป็นขึ้นจากตายและดูที่ผลงานของตนว่าได้ทำอะไรบ้างขณะที่มีชีวิตอยู่
25:8 พวกที่โง่นั้นก็พูดกับพวกที่มีปัญญาว่า `ขอแบ่งน้ำมันของท่านให้เราบ้าง เพราะตะเกียงของเราจวนจะดับแล้ว'
** ผู้เชื่อที่ไม่ได้เอาน้ำมันมาเผื่อในภาชนะ หรือไม่มีพระวิญญาณครอบครองจิตใจ จึงขอพระวิญญาณจากผู้ชนะ แต่ชีวิตผู้ชนะนี้ไม่สามารถที่จะแบ่งให้ผู้อื่นได้
** "จวนจะดับอยู่แล้ว" หมายถึงผู้เชื่อที่มีพระวิญญาณแต่ไม่เคยเติมเต็มด้วยการร้องออกพระนามพระเยซูและรับพระวิญญาณด้วยการ อธิษฐาน อ่าน และคุยกับพระเจ้า เพื่อรับน้ำมันในแต่ละวัน ชีวิตเขาจึงเป็นเหมือนตะเกียงที่จวนจะดับอยู่แล้ว
** เราพบว่าผู้เชื่อมากมายแปลผิด พวกเขาเข้าใจว่า ห้าคนมีน้ำมันแต่อีกห้าคนไม่มี ข้อสังเกตอยู่ที่นี่
- คนที่ฉลาดเอาภาชนะใส่น้ำมันมาเผื่อ แต่คนโง่ไม่ได้เอามาเผื่อ
- คนโง่ทั้งห้าพูดว่า "จวนจะดับอยู่แล้ว" แสดงว่าพวกเขาต่างก็มีน้ำมันกันทุกคน
25:9 พวกที่มีปัญญาจึงตอบว่า `ทำอย่างนั้นไม่ได้ น่ากลัวน้ำมันจะไม่พอสำหรับเราและเจ้า จงไปหาคนขาย ซื้อสำหรับตัวเองจะดีกว่า'
** 'จงไปหาคนขาย ซื้อสำหรับตัวเองจะดีกว่า' หมายถึงการรับพระวิญญาณให้มาครอบครองจิตใจเพื่อจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่
25:10 เมื่อเขากำลังไปซื้อนั้นเจ้าบ่าวก็มาถึง ผู้ที่พร้อมอยู่แล้วก็ได้ไปกับท่านในการเลี้ยงเนื่องในงานสมรส แล้วประตูก็ปิด
** เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา ถึงแม้ว่าคนโง่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะสายไปเสียแล้ว
** "พิธีสมรส" หมายถึงงานเลี้ยงแต่งงานที่ยาวนานที่สุด เป็นเวลาพันปี ที่ผู้ชนะจะชื่นชมยินดีร่วมครอบครองโลกนี้กับพระเยซู ได้นั่งเอนกายกินดื่มกับพระองค์ ในราชอาณาจักรสวรรค์
** "ประตูก็ปิด" หมายถึงคนโง่ห้าคนต้องทนทุกข์อยู่ข้างนอกอาณาจักรจนครบกำหนดพันปี เพราะเหตุไม่เตรียมตัวให้พร้อมขณะเมื่อยังมีชีวิตอยู่
25:11 ภายหลังหญิงพรหมจารีอีกห้าคนก็มาร้องว่า `ท่านเจ้าข้าๆ ขอเปิดให้ข้าพเจ้าเข้าไปด้วย'
25:12 ฝ่ายท่านตอบว่า `เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน'
** ดู มธ 7:21-23 “เราไม่รู้จักเจ้า”
** แท้ที่จริงแล้ว พระเยซูรู้จักทุกคน แต่ในวันนั้นพระเยซูจะไม่รับคริสเตียนมากมายที่ไม่มีชีวิตจิตใจใหม่ เพราะเหตุเขาไม่รู้จักพระเยซูในแต่ละวัน
** "รู้จัก" ในที่นี้ หมายถึงการคุ้นเคยสนิทสนม รู้จักกันดีเป็นพิเศษ
25:13 เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงนั้นที่บุตรมนุษย์จะเสด็จมา
** "จงเฝ้าระวังอยู่" หมายถึงการดำเนินชีวิตที่รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ทุกวันจนเราพร้อมที่จะเข้าในราชอาณาจักรสวรรค์ของพระคริสต์ในยุคหน้า
บทความเพิ่มเติม :
25:14 อาณาจักรแห่งสวรรค์ยังเปรียบเหมือนชายผู้หนึ่งจะออกเดินทางไปยังเมืองไกล จึงเรียกพวกผู้รับใช้ของตนมา และฝากทรัพย์สมบัติของท่านไว้
** "ชายคนหนึ่ง" คือพระเยซู
** "ออกเดินทางไปยังเมืองไกล" หมายถึงไปหาพระบิดาหลังจากฟื้นคืนพระชนม์
** "ผู้รับใช้" หมายถึงสาวก รับใช้ หรือผู้เชื่อทุกคน
** "ฝากทรัพย์สมบัติของท่าน" หมายถึงของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
25:15 คนหนึ่งท่านให้ห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์ และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วท่านก็ออกเดินทางทันที
** พระวิญญาณเลือกที่จะให้ของประทานตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบ ว่าใครมากใครน้อย
** ทุกคนมีของประทาน คนที่มีน้อยที่สุดจะมีหนึ่งของประทาน
25:16 คนที่ได้รับห้าตะลันต์นั้นก็เอาเงินนั้นไปค้าขาย ได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์
** ผู้เชื่อที่รู้สึกว่าตนมีมากก็นำไปใช้ในการรับใช้ ที่เห็นๆ กันใน คริสตจักรทุกวันนี้
** เรื่องของประทานนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ไม่เท่าเรื่องมีพระคริสต์ หรือพระวิญญาณครอบครองจิตใจแล้วใน มธ 25:1-13
** เพราะถ้าไม่มีพระคริสต์ครอบครองในภาชนะ (จิตใจ) ถึงจะมีของประทานและผลงานมากมายก็ไร้ประโยชน์เพราะจะไม่ได้เข้าไปในราชอาณาจักรสวรรค์เป็นแน่
25:17 คนที่ได้รับสองตะลันต์นั้นก็ได้กำไรอีกสองตะลันต์เหมือนกัน
25:18 แต่คนที่ได้รับตะลันต์เดียวได้ขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้
** เรื่องที่สำคัญหรือเด่นในคำอุปมานี้ คือคนที่ได้ของประทานชิ้นเดียว
** ผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้ไม่ค้นหา ไม่อธิษฐาน ดูว่าตนมีอะไรและนำไปใช้ เขามักจะคิดว่า ฉันคงไม่มีอะไร พระเจ้าคงไม่ใช้ เป็นสมาชิกมันนี่แหละดีแล้ว ถวายก็คงพอนะ ช่วยงานคริสตจักร นิดๆ หน่อยๆ ก็คงได้หรอก นี่คือการขุดหลุมฝังไว้
25:19 ครั้นอยู่มาช้านาน นายจึงมาคิดบัญชีกับผู้รับใช้เหล่านั้น
** "ช้านาน" คือเจ้าบ่าวมาช้า
** "นายจึงมาคิดบัญชี" หมายถึงการกลับมาของพระเยซูเพื่อตัดสินผู้เชื่อ
(2 คร 5:10 เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว)
(ลก 10:35 วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกเขาว่า `จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้')
(รม 14:10 แต่ตัวท่านเล่าเหตุไฉนจึงกล่าวโทษพี่น้องของท่าน หรือเหตุไฉนท่านจึงดูหมิ่นพี่น้องของท่าน เพราะว่าเราทุกคนต้องอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์)
25:20 คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็เอาเงินกำไรอีกห้าตะลันต์มาชี้แจงว่า `นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินห้าตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์'
25:21 นายจึงตอบเขาว่า `ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด'
** "ดีแล้ว" ในที่นี้ หมายถึงคนที่ใช้ของประทานมีทั้ง จิตใจใหม่ที่สุกงอม และใช้ของประทานเพื่อให้เกิดผลในชีวิตและการรับใช้ของเขา
25:22 คนที่ได้รับสองตะลันต์มาชี้แจงด้วยว่า `นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินสองตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์'
25:23 นายจึงตอบเขาว่า `ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด'
25:24 ฝ่ายคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาชี้แจงว่า `นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้จักท่านว่าท่านเป็นคนใจแข็ง เกี่ยวผลที่ท่านมิได้หว่าน เก็บส่ำสมที่ท่านมิได้โปรย
25:25 ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดิน ดูเถิด นี่แหละเงินของท่าน'
25:26 นายจึงตอบเขาว่า `เจ้าผู้รับใช้ชั่วช้าและเกียจคร้าน เจ้าก็รู้อยู่ว่าเราเกี่ยวที่เรามิได้หว่าน เก็บส่ำสมที่เรามิได้โปรย
25:27 เหตุฉะนั้น เจ้าควรเอาเงินของเราไปฝากไว้ที่ธนาคาร เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเราทั้งดอกเบี้ยด้วย
** "เจ้าผู้รับใช้ชั่วช้าและเกียจคร้าน" หมายถึงไม่แสวงหา ไม่ใส่ใจ มัวแต่ใช้ชีวิตอยู่เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องและแสวงหาความอิ่มเอิบให้เนื้อหนัง
** "ฝากที่ธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ย" หมายถึงการนำเอาของประทานไปใช้ในการรับใช้
25:28 เพราะฉะนั้น จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไปให้คนที่มีสิบตะลันต์
25:29 ด้วยว่าทุกคนที่มีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้แก่ผู้นั้นจนมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา
** นี่คือช่วงเวลาที่ของประทานจะถูกยึดไปจากเขาและทั้งจะไม่ได้เข้าในอาณาจักรด้วย
** วันนั้นคนที่ไม่ใช้ของประทานที่เป็นสมาชิก คริสตจักรศาสนาจะแก้ตัวและอ้างนี่อ้างโน่น และแม้แต่คนที่ใช้ของประทานมากมายที่ไม่มีจิตใจใหม่ก็จะอ้าง และขอเข้าไปเหมือนกัน แต่พระเยซูทรงกล่าวว่า เราไม่รู้จักเจ้า (มธ 7:21-27)
25:30 จงเอาเจ้าผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน'
** "โยนออกไปภายนอก" หมายถึงนอกอาณาจักรในยุคหน้า ไม่ใช่ไม่รอด
** "ร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน" หมายถึงการเสียใจอย่างมากมาย กินแหนงแคลงใจที่ไม่ได้เข้าไป ซ้ำยังจะถูกดูถูกเหยียดหยามจากคนที่ไม่เชื่อที่อยู่นอกอาณาจักร (มธ 5:13)
ซ้ำยังจะถูกบังคับให้สุกงอม เพื่อเขาจะพร้อมสำหรับโลกใหม่และสวรรค์ใหม่ หรือรอดในวันสุดท้ายจากการพิพากษาที่พระบัลลังก์ใหญ่สีขาว (วว 20:21-15)
บทความเพิ่มเติม : เงินตะลันต์ คืออะไรกันแน่
บทความเพิ่มเติม : ใครที่มีอยู่แล้วจะให้แก่คนนั้นจนมีอย่างเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่มีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา
ใครที่มีอยู่แล้วจะให้แก่คนนั้นจนมีอย่างเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่มีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา
มธ 25:29 คือ ค่าตอบแทนเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาก่อตั้งอาณาจักรในยุคหน้า (มธ 7:21-23 / ลก 10:35 / 1 คร 3:12-15 / 2 คร 5:10)
1. ใครที่มี (ผลงานและผลของพระวิญญาณ) อยู่แล้ว (ในยุคนี้) จะให้แก่คนนั้นจนมีอย่างเหลือเฟือ (ในยุคหน้าและนิรันดร์)
- คือ ผู้รับใช้ที่เกิดผลมากมายเพื่อพระเจ้าในด้านผลงานนำคนมาเชื่อ เลี้ยงผู้เชื่อให้เติบโต ใช้ของประทานที่พระวิญญาณทรงประทานให้ เขาจะได้รับบำเหน็จอย่างเหลือเฟือในยุคอาณาจักรพันปี และในฟ้าสวรรค์ใหม่แผ่นดินโลกใหม่
- เพราะเขาทำทุกสิ่งในฐานะของคนใหม่ (มนุษย์วิญญาณ) ในพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์ และเพื่อถวายเกียรติแด่พระคริสต์เท่านั้น เขาคือผู้ชนะ
2. แต่คนที่ไม่มี (ผลของพระวิญญาณหรือจิตใจใหม่ในยุคนี้ มีแต่ผลงาน) แม้แต่สิ่งที่มีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา (ในยุคหน้าและนิรันดร์)
- คือ ผู้รับใช้ที่ก่อด้วยไม้ ฟาง และหญ้าแห้ง (มนุษย์อาดัมเนื้อหนัง) ไม่มีจิตใจใหม่ แต่ใช้ของประทานได้ นำคนมาเชื่อเทศนา สั่งสอน ดูแลคริสตจักร แต่ทำให้คริสตจักรตกต่ำ หลงทาง กีดกั้นประตูอาณาจักรไว้จากผู้เชื่อให้เขาพบแต่รอดเข้าสวรรค์เท่านั้น เขาไม่ได้รับใช้และทำทุกสิ่งในพระคริสต์ เพราะเขาไม่รู้ว่าคืออะไร และไม่ได้ร่วมทำกับพระคริสต์ (พระคริสต์ทำแทนในเขา) และไม่ได้ทำเพื่อพระคริสต์เท่านั้นแต่เพื่อหน้าตาชื่อเสียงของเขาด้วย
- ในยุคอาณาจักรพันปี เขาจึงถูกยึดไปหมด และถูกตีสอนจนครบกำหนด จากนั้นก็ได้รอดในวันสุดท้าย
25:31 เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาในสง่าราศีของพระองค์พร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์อันบริสุทธิ์ทั้งปวง เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์
** นี่คือการกลับมาเพื่อครอบครองโลกของพระคริสต์เป็นเวลาพันปี
25:32 บรรดาประชาชาติต่างๆจะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายโดยแยกพวกหนึ่งออกจากอีกพวกหนึ่ง เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ
** พระเยซูจะแยกผู้เชื่อที่เป็นคริสเตียน ชาวยิว และต่างชาติ
25:33 และพระองค์จะทรงจัดฝูงแกะให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย
** "ฝูงแกะ" ในที่นี้ หมายถึงผู้เชื่อที่กระทำตามกฏเกณฑ์แห่งความรอดในช่วง 7 ปี คือไม่ทิ้งกันไม่ละทิ้งพระเจ้าและความเชื่อ
25:34 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า `ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลกเป็นมรดก
** ผู้ชนะ จะได้รับรางวัลหรือรับตำแหน่งเพื่อครอบครองร่วมกับพระเยซู
** ผู้เชื่อที่ไม่ชนะ จะถูกตีสอนให้อยู่นอกอาณาจักรเพื่อการบังคับให้สุกงอม เพื่อที่จะพร้อมสำหรับความรอดในวันสุดท้าย
25:35 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้
25:36 เราเปลือยกาย ท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วย ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในคุก ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา'
25:37 เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลพระองค์ว่า `พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิว และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร หรือทรงกระหายน้ำ และได้ถวายให้พระองค์ดื่มแต่เมื่อไร
25:38 ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับพระองค์ไว้แต่เมื่อไร หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร
25:39 ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในคุก และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร'
25:40 แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสตอบเขาว่า `เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย'
** คำตอบของพระเยซู บ่งบอกถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ในผู้เชื่อทุกคน เมื่อผู้เชื่ออยู่ไหนทำอะไร และถูกต้อนรับดูแลเป็นอย่างดี เขาก็ได้ทำกับพระเยซูอย่างนั้นด้วย
** การกระทำต่อพี่น้องผู้เชื่ออย่างไร กับลูกหลานพ่อแม่สามีภรรยาของตนอย่างไร เราก็ได้ทำสิ่งนั้นต่อพระเยซูด้วย
25:41 แล้วพระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ด้วยว่า `ท่านทั้งหลาย ผู้ต้องสาปแช่ง จงถอยไปจากเราเข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับพญามารและสมุนของมันนั้น
25:42 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านก็มิได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็มิได้ให้เราดื่ม
25:43 เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในคุก ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา'
25:44 เขาทั้งหลายจะทูลพระองค์ด้วยว่า `พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือเปลือยพระกาย หรือประชวร หรือต้องจำอยู่ในคุก และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร'
25:45 เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสตอบเขาว่า `เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เรา'
25:46 และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์"
** ผู้ที่อยู่ด้านซ้ายคือผู้เชื่อปลอมที่ไม่ผ่านกฏเกณฑ์แห่งความรอดในช่วง 7 ปีและจะถูกส่งไปในบึงไฟ
มัทธิว 25:31-46 คือ...
1. มธ 25:31-46 คือเหตุการณ์ในสามปีสุดท้ายของกลียุค
2. แกะ คือผู้เชื่อ แพะ คือคนที่เชื่อแบบศาสนาเมื่อถึงเวลาก็ทิ้งพระเยซู และพี่น้องของเขาไปเป็นลูกน้องของพระคริสต์เทียมเท็จ
3. คริสเตียนแท้ที่บังเกิดใหม่ คือแกะทุกตัว พระเยซูไม่เคยเปรียบคริสเตียนเป็นเหมือนแพะเลย (มธ 10:16 / ยน 10 / อสย 53:6)
** ขอให้แยก มธ บทที่ 25 ออก เพราะมีหลายส่วน ไม่ใช่เรื่องเดียวกันทั้งหมด
1. ใน 25:1 -13 คือหญิงพรมจารีย์ห้าคนมีพระคริสต์ครอบครองในจิตแล้ว (ผู้ชนะที่เอาน้ำมันใส่ภาชนะมาเผื่อ) - เป็นเรื่องของผู้เชื่อสองแบบ
1.1 ผู้ชนะเข้าอาณาจักร
1.2 ผู้ไม่ชนะถูกตีสอนนอกอาณาจักรจนครบกำหนด
2. ใน 25:14-30 คือ ผู้เชื่อที่ดำเนินชีวิตเพื่อใช้ของประทานในการรับใช้ ไม่เอาฝังไว้ จนถึงวันที่นายกลับมา เพื่อก่อตั้งยุคพันปี
3. ใน 25:32-46 คือ เหตุการณ์ที่พระเยซูเสด็จมาครอบครองโลกในยุคพันปี มอบรางวัลให้คริสเตียน (แกะ) ที่ดูแลกันและกัน และไม่ทอดทิ้งกัน ทั้งซื่อสัตย์ในความเชื่อ
- ขณะเดียวกันพระเยซูจะส่งแพะ คือคนที่ไม่ได้เชื่อจริง บังเกิดใหม่จริง จะทิ้งพระเจ้าและทิ้งพี่น้องคริสเตียน และเป็นลูกน้องพระคริสต์เทียมเท็จในระยะสามปีครึ่งสุดท้ายของกลียุค ลงไปในบึงไฟพร้อมกับพระคริสต์เทียมเท็จ (วว 19:20)
แพะ แกะ คือคริสเตียนสองแบบในระยะเจ็ดปีสุดท้ายของยุคพระคุณ
ข่าวประเสริฐสุดท้ายประกาศโดยทูตสวรรค์ (มธ 25:31-46 / วว 14:6)
ถาม.
การพิพากษาประชาชาติทั้งหลาย ในมัทธิว 25:31-46 ฝูงแกะ ให้มารับราชอาณาจักร ข้อ 34 และเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ ปลายข้อ 46 (ผลงาน คือ ดูแลคนของพระเจ้า ข้อ 35-36) ส่วนฝูงแพะ ต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ (ผลงาน คือ ไม่ดูแลคนของพระเจ้า)
คำถามคือ
1. เป็นการพิพากษาช่วงเวลาใด
2. บรรดาประชาชาติฝูงแกะนั้นเป็นผู้ชนะไหม
3. พวกเขาทั้งสองพวกยังมีชีวิตอยู่ในวันพิพากษาไหม
ตอบ.
1. เป็นเรื่องของคนที่จะรอด และไม่รอดในช่วงกลียุค (เจ็ดปีแห่งความทุกข์ทรมาน หรือเจ็ดปีสุดท้ายของยุคพระคุณ) ถ้าเราไม่ได้อยู่ในระยะนี้ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา
2. เป็นเวลาที่พระเจ้าจะแยกคนที่เชื่อเพื่อรอดเข้าในอาณาจักรและคนไม่เชื่อหรือละทิ้งพระเจ้าเพื่อไม่รอด
3. คนที่เชื่อในระยะ 7 ปี ไม่เพียงแต่เชื่อเท่านั้น แต่ต้องไม่ละทิ้งความเชื่อ และยอมตาย ถูกข่มเหง เพื่อพระเจ้าและช่วยเหลือพี่น้องคริสเตียนไม่ทิ้งกัน
4. ผู้เชื่อจำนวนหนึ่งที่รับพระเยซู แต่ทิ้งพระเจ้า ไม่ยอมถูกข่มเหง ไม่ช่วยเหลือคริสเตียนด้วยกัน เขาจะไม่ได้รอด
5. ข่าวประเสริฐในช่วงเจ็ดปีแห่งความทุกข์ทรมานเรียกว่าข่าวประเสริฐนิรันดร์ ทูตสวรรค์เป็นคนประกาศเอง วว 14:6 (หลักการแห่งความรอด คือ เชื่อ ยำเกรงพระเจ้า และอดทนจนถึงที่สุด ไม่ทิ้งพระเจ้า และช่วยพี่น้องคริสเตียนห้ามทิ้งกัน)
- หมายเหตุ: ข่าวประเสริฐมีข่าวประเสริฐเดียว คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า แต่ข่าวประเสริฐเดียวนี้มีหลายเรื่องด้วยกันอย่างเช่น เรื่องพระเยซูคริสต์ เรื่องความรอด เรื่องสันติสุข เรื่องกางเขน เรื่องอาณาจักร และสุดท้าย คือเรื่องอมตะ ที่ทูตสวรรค์จะประกาศในช่วงกลียุคนี้
สรุป .. มธ 25:31-46 ไม่เกี่ยวกับเราในยุคพระคุณนี้ แต่เป็นเรื่องของคนที่อยู่ในช่วง 7 ปีสุดท้ายของยุคนี้ แต่ถ้าหากเจ็ดปีเริ่มตอนนี้เราก็จะถูกนับเข้าในคริสเตียนเหล่านี้