1. ไม่ใช่ตะวันตกดินจริงๆ แต่เป็นเรื่องของการออกจากความสว่างเข้าสู่ความมืด
2. วิธีถอดทิ้งคนเก่า สวมใส่คนใหม่
3. พระบัญญัติใหม่ไม่ได้มีไว้เพื่อให้เรารักษา แต่เพื่อให้พระคริสต์ดำเนินชีวิต /ธรรมชาติพระเจ้าผ่านเรา
4:1 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าผู้ถูกจองจำขององค์พระผู้เป็นเจ้า (พระเยซู) ขอวิงวอนท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับที่ท่านทั้งหลายถูกเรียกแล้วนั้น
4:2 คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่างและใจอ่อนสุภาพ (Meek) อดกลั้นไว้นาน และอดทนต่อกันและกันด้วยความรัก
** ทุกๆ ครั้งที่พระเจ้าตรัสสั่งให้เชื่อฟัง หรือรักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู เราไม่ใช่ผู้รักษาเชื่อฟัง แต่คือพระคริสต์ในเราที่ถ่อมใจลง และไม่ตอบโต้ โต้ตอบใคร
** ความรัก (ของพระคริสต์ในเรา) เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่เราขาดไม่ได้ เพราะเมื่อมีความรัก (ของพระคริสต์) เราก็มีความอดทน (ของพระคริสต์) และเราสามารถรับสถานการณ์ทุกอย่างได้ไม่ท้อไม่หนี
4:3 จงเพียรพยายามเอาสันติสุขผูกมัดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของพระวิญญาณ
** เมื่อเรามีจิตใจที่สงบสุขกับทุกคน เรามองบวกคิดบวก มีพระเยซูเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง เราจึงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในพระวิญญาณได้
4:4 มีพระกายเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนมีความหวังใจอันเดียวที่เนื่องในการที่ทรงเรียกท่าน
** น้ำพระทัยพระเจ้า คือต้องการให้เรามีพระกายเดียว แต่มารซาตานอยู่เบื้องหลังของการฉีกพระกาย และการแตกแยก (ในทางที่ไม่ถูกต้อง)
** การแยกออกที่ถูกต้องเพื่อน้ำพระทัยพระเจ้าก็มี เราเห็นคริสตจักรมากมายอ้างว่าเขาถูกและผู้อื่นผิด ใครที่ออกไปจะถูกพระเจ้าลงโทษสาปแช่ง เมื่อมีการเชื่อที่ผิด การฝึกชีวิตฝ่ายวิญญาณและฝึกเดินที่ผิดและเรารู้ว่าแก้ไขไม่ได้ พระเจ้าจำต้องแยกเราออกมา นี่คือการแยกออกที่เป็นตามน้ำพระทัย เพื่อน้ำพระทัยของพระเจ้าจะสำเร็จ
4:5 มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว
** มีพระเจ้าเดียวแต่มีหลายพระภาค
** สำหรับพระเจ้า มีความเชื่อเดียว หรือมีความคิดความเข้าใจเดียว พระคำพระเจ้ามีแง่มุมเดียวและไม่เคยเปลี่ยน ผู้เชื่อมากมายเข้าใจผิดคิดว่าพระคำพระเจ้าเป็นเหมือนดาบสองคม เปลี่ยนไปมาเพื่อให้เรารับการหนุนใจในเวลาที่ต้องการ พระคำข้อเดียวนั้นจะเปลี่ยนความหมายอยู่เรื่อยไป แต่สำหรับพระคำพระเจ้า แท้ที่จริงแล้วมีความหมายเดียว และไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย จิตใจมนุษย์ต่างหากที่เปลี่ยนแปลง และเห็นพระคำพระเจ้าในแง่มุมใหม่ๆ
** มีบัพติศมาเดียว คือบัพติศมาของพระเยซู ไม่ว่าจะเป็นบัพติศมาในน้ำ หรือในพระวิญญาณก็คือบัพติศมาของพระเยซู พระเจ้าไม่นับบัพติศมาของยอห์นอีกต่อไป เมื่อสาวกของยอห์นรับบัพติศมาจากยอห์น ถ้าหากจะติดตามพระเยซูต้องผ่านการอธิษฐานเผื่อหรือวางมือโดยสาวกของพระเยซู เพื่อให้การรับบัพติศมาของพวกเขาถูกต้องสำเร็จครบถ้วน
4:6 พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของคนทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือคนทั้งปวง และทั่วคนทั้งปวง และในท่านทั้งปวง
4:7 แต่ว่าพระคุณนั้นทรงโปรดประทานแก่เราทุก ๆ คนตามขนาดที่พระคริสต์ทรงประทานให้
** พระเจ้าทรงทราบดีว่าใครจะตอบสนอง ตอบรับ แสวงหา เปิดใจ ถ่อมใจ และรักพระเจ้ามากเท่าไหร่ พระองค์จึงทรงประทานพระคุณให้มากน้อยตามที่เขาควรจะรับนั้น พระเจ้าไม่เคยลำเอียงเพราะทรงยุติธรรมและชอบธรรมเสมอ
4:8 เหตุฉะนั้นพระองค์ตรัสไว้แล้วว่า ‘ครั้นพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง พระองค์ทรงนำพวกเชลยไปเป็นเชลยอีก และประทานของประทานแก่มนุษย์’
4:9 (ที่กล่าวว่าพระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น จะหมายความอย่างอื่นประการใดเล่า นอกจากว่าพระองค์ได้เสด็จลงไปสู่เบื้องต่ำของแผ่นดินโลกก่อนด้วย
4:10 พระองค์ผู้เสด็จลงไปนั้น ก็คือพระองค์ผู้ที่เสด็จขึ้นไปสู่เบื้องสูงเหนือฟ้าสวรรค์ทั้งปวงนั่นเอง เพื่อจะได้ทำให้สิ่งสารพัดสำเร็จ)
** 1. เมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้เสด็จลงไปยังแดนคนตายก่อน เพื่อประกาศกับวิญญาณมนุษย์ที่ไม่เชื่อ ที่เคยเป็นเชลยของมารซาตาน จากนั้นพระองค์ก็ครอบครองพวกเขาและให้เป็นเชลยของพระองค์ ก่อนที่จะได้รับการปลดปล่อยให้ได้รับความรอดในวันสุดท้าย
** 2. จากนั้นพระเยซูได้เสด็จขึ้นไปที่สวรรค์ชั้นที่สาม ซึ่งเป็นที่ประทับของพระบิดา เพื่อรับชัยชนะ และรับเกียรติสง่าราศีอันครบบริบูรณ์จากพระบิดา และสามารถแจกจ่ายชีวิตทั้งประทานของประทานให้ผู้เชื่อที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อช่วยให้ชีวิตส่วนตัวของผู้เชื่อเติบโต และเพื่อคริสตจักรเติบโต
4:11 พระองค์จึงให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นผู้พยากรณ์ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาล และอาจารย์
4:12 เพื่อเตรียมวิสุทธิชนให้ดีรอบคอบ เพื่อช่วยในการรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น
** พระเยซูทรงประทานของประทานให้ผู้เชื่อ เพื่อช่วยให้ชีวิตส่วนตัวของผู้เชื่อเติบโต และเพื่อคริสตจักรเติบโต คริสตจักรไม่สามารถเลี้ยงดู ดูแลผู้เชื่อให้เติบโตได้ ถ้าหากไม่มีของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระกายของพระเยซูจึงถูกฉีกขาด (แตกแยก) และพิการ (ใช้งานไม่ได้) เหมือนดั่งที่เราเห็นกันทุกวันนี้ เพราะว่าผู้เชื่อไม่ยอมแสวงหาและใช้ของประทาน
4:13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้าอย่างครบ จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
** การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อได้ คริสตจักรจำเป็นต้องมีของประทานในการเปิดเผยพระคำล้ำลึกและข้อลึกลับของพระเจ้าทั้งหมด เพื่อผู้เชื่อจะได้รับพระคำที่เป็นความจริง เขาจึงได้รู้เรื่องพระบุตรพระเจ้าอย่างครบถ้วน และอีกไม่นานก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ (ผู้ชนะที่สุกงอม) ได้ และสามารถสำแดงชีวิตพระคริสต์ได้ในแต่ละวัน
4:14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไปถูกซัดไปซัดมา และหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาด ซึ่งโดยวิธีนี้พวกเขาคอยซุ่มรอที่จะล่อลวง
** เนื่องจากว่ามนุษย์เห็นแก่ตัวมักจะเข้าข้างตนเองเสมอ ทุกคนจึงคิดไปว่าเขาถูกเสมอ คำสั่งสอนที่เป็นเชื้อยีสต์ จึงเกิดมีเต็มและแพร่หลายภายในพระกายของพระเยซูทั่วโลก
** เมื่อเราโต รับมานามากมาย เราจะไม่หลงเชื่อคำสอนที่ผิดเหล่านั้นอีกต่อไป เอเมน
4:15 แต่ให้เราพูดความจริงด้วยใจรักเพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์
** การพูดความจริงทั้งเรื่องจริงและพระคำที่เป็นความจริง (แปลถูก) เป็นสิ่งที่จะช่วยชำระพระกายของพระเยซูให้เติบโตได้ นี่คือการชำระขั้นตอนที่สองของพระเจ้า (การชำระมีสามขั้นตอน ชำระด้วยพระโลหิต ชำระด้วยพระคำพระเจ้า และชำระด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์)
4:16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและผูกพันกัน โดยที่ทุก ๆ ข้อต่อได้ช่วยชูกำลังตามขนาดแห่งอวัยวะทุกส่วน ร่างกายนั้นจึงได้จำเริญเติบโตขึ้นเองด้วยความรัก
** เมื่อมีการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างมาก และอยู่ในพระคำที่เป็นความจริง พระกาย (พวกเรา) จะจำเริญขึ้นด้วยความรักของพระเยซู
** คือ คริสตจักรที่มีผู้ชนะมากมาย ที่ยอมต่ำถ่อมยอมเสียเปรียบต่อกัน เพื่อเห็นแก่การเติบโตของพระกาย
4:17 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอยืนยัน และเป็นพยานในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ท่านอย่าดำเนินตามอย่างคนต่างชาติอื่น ๆ ที่เขาดำเนินกันนั้นคือมีใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่มีสาระ
** สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างในพระคริสต์ คือมีสาระ และถวายเกียรติแด่พระองค์ และทุกสิ่งทุกอย่าง ในอาดัม ในเนื้อหนัง กิเลสตัณหา โลภ โกรธ หลง รักโลก สิ่งบันเทิง หนังละคร แฟชั่น การอยู่เพื่อตนเอง และยึดตนเองเป็นหลักในชีวิต คือไร้สาระ
4:18 โดยที่ความเข้าใจของเขามืดมนไป และเขาอยู่ห่างจากชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า เพราะเหตุความโง่ซึ่งอยู่ในตัวเขา อันเนื่องจากใจที่แข็งกระด้างของเขา
** "มืดมนไป" คืออาการบอดฝ่ายวิญญาณ ไม่พบข้อลึกลับของพระเจ้า อาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ เพราะอาการหยิ่งผยองพองตัวทำให้จิตใจแข็งกระด้าง เมล็ดอาณาจักรจึงหยั่งลงไม่ได้
4:19 เขามีใจปราศจากความสะดุ้งต่อบาป ปล่อยตัวทำการลามก ทำการโสโครกทุกอย่างด้วยความละโมบ
** เมื่อจิตใจแข็งกระด้าง หยิ่งผยองพองตัว เขาใช้ชีวิตในการบาปและเนื้อหนังเขาจึงมีเหตุผลมากมายเพื่อแก้ตัวและไม่ยอมแสวงหาการกลับใจ
4:20 แต่ว่าท่านไม่ได้เรียนรู้จักพระคริสต์อย่างนั้น
** ผู้เชื่อมากมายอยู่ในความเชื่อตลอดชีวิต แต่รู้จักพระเยซูแบบผิวเผินเท่านั้น
** มีผู้เชื่อส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้พบพระเยซูที่เป็นบุคคล และได้รู้จักพระองค์อย่างครบถ้วน จึงเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลงสู่ชีวิตพระคริสต์
4:21 ถ้าแม้ท่านได้ฟังเรื่องพระองค์ และได้รับการสอนโดยพระองค์ตามความจริงซึ่งมีอยู่ในพระเยซูแล้ว
4:22 ท่านจงทิ้งมนุษย์เก่าของท่าน ซึ่งคู่กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสีย อันจะเสื่อมเสียไปตามตัณหาอันเป็นที่หลอกลวง
** เมื่อเราพบพระคำที่เป็นความจริงแล้ว เราควรฝึกชีวิตตามที่ได้รับรู้จากพระคำดังกล่าว ด้วยการทิ้งมนุษย์คนเก่า หรือถอดทิ้ง (put off the old man) กับวิถีชีวิตเก่า
** การ (ถอด) ทิ้งมนุษย์คนเก่า คือ
1. เชื่อเอาว่าคนเก่าคนนี้ตายแล้ว เพราะแท้ที่จริงเขาตายแล้วกับพระเยซู (โรม 6:3-7) และ
2. นับทุกวันว่าตายแล้ว (โรม 6:11 / 1 คร 15:31)
4:23 และจงให้ท่านถูกเปลี่ยนใหม่ในวิญญาณแห่งความคิด
** วิญญาณที่เป็นหนึ่งเดียวกับจิต
** คือเปลี่ยนความคิดความเข้าใจต่อพระคำพระเจ้า จากคำสอนที่แปลผิดสู่คำสอนที่แปลถูก
** จงให้จิตใจของท่านเปลี่ยนใหม่ (อฟ 4:23) ความหมายก็คือ ให้จิตใจของเราได้รับการเปลี่ยนใหม่ในฝ่ายวิญญาณ ในวิญญาณ ก็คือ เข้าสู่ความจริงในฝ่ายวิญญาณ ก็คือ ความรู้ที่มาจากพระเจ้า ไม่ใช่ความรู้ที่มนุษย์สอน มนุษย์แต่งตั้ง มนุษย์คิดขึ้นมา เพราะฉะนั้นเราเป็นบุคคลพิเศษที่พระเจ้าเลือกให้มาพบพระคำล้ำลึก
4:24 และให้ท่านสวมมนุษย์ใหม่ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง
** อาดัมถูกสร้างตามพระฉายา เขาได้รับวิญญาณจากพระเจ้าที่รักชอบในความรัก ความจริง ความบริสุทธิ์ และความชอบธรรม แต่เขาไม่อาจกระทำตามได้อย่างครบถ้วน
** เมื่อคริสเตียนถูกสร้างขึ้นใหม่ เขาได้รับชีวิตพระเจ้า และมีพระคริสต์สถิตอยู่ในเขา เขาจึงสามารถสำแดงความรัก ความชอบธรรม ตามแบบพระเจ้าได้อย่างครบ ไม่ใช่ทำได้เล็กน้อยหรือสวมหน้ากากเสแสร้งแกล้งทำ
** สวมใส่มนุษย์คนใหม่ คือ
1. เชื่อว่าเราบังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นคนชอบธรรมบริสุทธิ์แล้ว เรามีพระคริสต์อยู่ในเราแล้ว เรามีกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิตในเราแล้ว
2. นับทุกวันว่าเราใหม่และอยู่ในพระคริสต์ เราจะเห็นการทำงานของพระวิญญาณในเรา ก่อชีวิตพระคริสต์มากขึ้นในแต่ละวัน พระบัญญัติใหม่ของพระเยซูไม่ได้มีไว้เพื่อให้เรารักษา แต่มีไว้เพื่อให้พระคริสต์ในเรารักษาแทนเรา (กท 2:20 / ฟป 1:21; 2:13)
4:25 เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกพูดมุสาเสีย และ ‘จงต่างคนต่างพูดความจริงกับเพื่อนบ้าน’ เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน
4:26 โกรธก็โกรธเถิด แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่
** ตะวันตกดิน คือตะวันฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ตอนหกโมงเย็น แต่เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ตะวันตกดิน คือเริ่มสำแดงชีวิตอาดัมฝ่ายเนื้อหนัง และออกจากกลางวัน คือการอยู่ในพระคริสต์ (ยน 11:9-10)
** พระวิญญาณตัดผ่านเปาโลเพื่อเตือนผู้เชื่อที่ยังเป็นเด็กและหนุ่ม ที่ยังโกรธได้ และเมื่อเกิดอารมณ์โกรธ เขามีเวลาเล็กน้อยเพื่อที่จะไม่ปล่อยตัวไปทำบาปต่อไปซึ่งเรียกว่าตะวันตกดินแล้วและออกจากพระคริสต์ไปแล้ว
4:27 และอย่าให้โอกาสแก่พญามาร
** คือการตอบสนองต่อความคิดทางลบ และออกจากพระคริสต์เข้าไปอยู่ในเนื้อหนังและทำบาป
** เมื่อเรายอมหลุดออกไปจากพระคริสต์ มารมีโอกาสที่จะชักนำเราให้ไปทำบาปมากกว่าเก่า และออกห่างจากพระเจ้าไปไกล จนเรารู้สึกฟ้องผิดน้อยใจและไม่อยากเดินในวิญญาณ อย่าให้ความคิดที่ทำให้เราน้อยใจและห่างไปจากพระเจ้า เราจะจมอยู่ในความมืดสนิท คือ ชีวิตเริ่มไม่มีพระเจ้าไปแล้ว
4:28 คนที่เคยขโมยก็อย่าขโมยอีก แต่จงใช้มือทำงานที่ดี ๆ กว่า เพื่อจะได้มีอะไร ๆ แจกให้แก่คนที่ขัดสน
4:29 อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดี และเป็นประโยชน์ ให้เกิดความจำเริญ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง
** เปาโลเตือนผู้เชื่อที่พบพระคำล้ำลึก หรือมานาที่ซ่อนไว้ที่เป็นพระคำแห่งความจริงแล้ว แต่ยังไม่ได้ฝึกเดินหรืออยู่ในจุดเริ่มต้น
4:30 และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้จนถึงวันที่ทรงไถ่ให้รอด
** การทำบาป อยู่ในอาดามฝ่ายเนื้อหนัง คือการทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย
** ถูกประทับตราหมายไว้ คือพระวิญญาณเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของผู้เชื่อ ซึ่งพระองค์ไม่อาจสามารถแยกออกไปจากเราได้อีกแล้ว เพราะนี่คือพระสัญญาของพระเจ้า (ยน 14:16)
** พระเจ้าไถ่เราให้รอดทุกคนโดยทางความเชื่อ และประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำแห่งความรอดในวันสุดท้าย (รอดจากบึงไฟ) เพราะเหตุนี้นี่เอง ไม่ว่าผู้เชื่อจะทำบาปมากมายแค่ไหน เขาก็จะรอดแต่จะรอดเหมือนผ่านพ้นไฟ คือไม่มีตำแหน่งบำเหน็จรางวัลอะไร
** ผู้เชื่อไม่เคยดูหมิ่นพระวิญญาณแต่เราทำอยู่ตลอดเวลา คือทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย ความหมายก็คือ 1. เราดับพระวิญญาณ ไม่ร้อนรนกระตือรือร้น และ 2. เราทำบาป 3. เราไม่อยู่ในพระคริสต์ไม่สนิทบอกรักพระเจ้าของเรา
ขอบพระคุณพระบิดาที่พระวิญญาณทรงประทับตราเราแล้ว ให้ถึงความรอด คำว่าประทับตรามีความหมายมากในพระคัมภีร์ คือการยืนยัน รับรอง รับประกันต่อสิ่งที่พระเจ้าทำกับมนุษย์ และพระองค์ไม่เคยกับคำเป็นอันขาด
4:31 จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดเสียดสี กับการคิดปองร้ายทุกอย่าง อยู่ห่างไกลจากท่านเถิด
** เป็นน้ำพระทัยของพระบิดาที่ผู้เชื่อมีพระคริสต์ดำเนินชีวิตในเรา แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือรวดเร็วตามที่เราต้องการได้ พระเจ้าต้องนำเราเข้าสู่กระบวนการการแตกหัก จนเรายอมด้วยปากรับด้วยใจว่า อ่อนแอ ป่วย ทำไม่ได้ครบจริงๆ เราจึงจะสุกงอมได้
4:32 และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้ท่าน เพราะเห็นแก่พระคริสต์