9:1 และเซาโลซึ่งยังกล่าวการข่มขู่และการสังหารต่อต้านพวกสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ ได้ไปหามหาปุโรหิต
9:2 และขอจดหมายหลายฉบับจากท่านเพื่อไปยังบรรดาธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าเขาพบผู้ใดแห่งทางนี้ ไม่ว่าพวกเขาเป็นชายหรือหญิง เขาจะได้มัดพวกเขาไว้พามายังกรุงเยรูซาเล็ม
9:3 และขณะที่เขาเดินทางไป เขาเข้ามาใกล้เมืองดามัสกัส และในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
** เมื่อเซาโลเดินทางไปมาเพื่อฆ่าข่มเหงคริสเตียน มาถึงบทที่เก้า เขาจึงขอจดหมายจากมหาปุโรหิตเพื่อยินยอมให้เขาจับทุกคนที่เป็นคริสเตียนและนำพวกเขามาที่กรุงเยรูซาเล็ม ขณะที่เขาและอีกหลายคนกำลังเดินทางไปเมืองดามัสกัส พระเยซูก็เสด็จมาหาเขา มีแสงสว่างมาจากฟ้าส่องมาที่ตัวเขา
9:4 และเขาล้มลงถึงพื้นดิน และได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่เขาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
** เจ้าข่มเหงเราทำไม คำว่า “เรา - I” ความหมายก็คือ 1. พระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อทุกคน 2. ผู้เชื่อทุกคนคือพระกายของพระองค์ เมื่อใครทำอะไรทั้งดีและร้ายต่อผู้เชื่อเขาก็ได้กระทำสิ่งนั้นกับพระคริสต์และพระกายด้วยเช่นกัน (มธ 25:35-46) เพราะฉะนั้นอย่าห่วงและอย่ากลัวเลย เมื่อใครทำสิ่งใดกับเราเขาก็ได้กระทำสิ่งนั้นต่อพระเยซูหรือพระกายของพระองค์
9:5 และเขากล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นผู้ใด พระองค์เจ้าข้า” และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราคือเยซู ผู้ซึ่งเจ้าข่มเหงนั้น เป็นการยากที่เจ้าจะถีบประตัก”
** “เป็นการยากที่เจ้าจะถีบประตัก” การข่มเหง ขัดขวาง ต่อสู้พระเยซู พระกาย และการงานทั้งหลายของพระองค์ก็ไม่ต่างไปจากการทำร้ายทำลายตัวเขาเอง พระเยซูจึงตรัสกับเซาโลว่ามันไม่ง่ายที่เจ้าจะทำร้ายทำลายเราและพระกายของเราเพราะมันเหมือนการทำร้ายทำลายตัวเจ้าเอง
9:6 และเซาโลก็ตัวสั่นและประหลาดใจจึงกล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร” และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “จงลุกขึ้น และเข้าไปในเมือง และจะบอกให้ทราบว่า เจ้าจะต้องทำประการใด”
** พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร คือคำถามที่เซาโลถามพระเยซูเมื่อท่านกลับใจแล้ว เป็นคำถามที่ผู้เชื่อทุกคนควรจะถาม เพราะว่านับตั้งแต่วันที่เชื่อ พระคริสต์เข้ามาอยู่ในเราและเป็นสติปัญญาของเรา พระองค์จะเป็นคนสั่งและนำพาเราในการดำเนินชีวิต การทำงาน และการรับใช้พระองค์ เป็นแอก ภาระที่เบามาก
9:7 และคนทั้งหลายซึ่งเดินทางไปด้วยกันกับเขาก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก โดยได้ยินพระสุรเสียงนั้น แต่ไม่เห็นผู้ใด
9:8 และเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน และเมื่อลืมตาของเขาแล้ว เขาก็ไม่เห็นผู้ใด แต่คนเหล่านั้นได้จูงมือของเขา และพาเขาเข้ามาในเมืองดามัสกัส
9:9 และเขามองอะไรไม่เห็นอยู่สามวัน และมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย
** เซาโลตาบอดเนื่องมาจากตาที่เป็นอวัยวะของอาดัมที่ตกต่ำแล้ว มนุษย์คนเก่าจึงไม่อาจได้ยิน ได้เห็น และรับสิ่งเป็นมาจากพระเจ้าได้ และเขาได้รับพระวิญญาณ พลัง และสันติสุข ทั้งตื่นเต้นที่ได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจึงไม่รู้สึกหิวเลยเป็นเวลาสามวัน
9:10 และมีสาวกคนหนึ่งอยู่ที่เมืองดามัสกัส ชื่ออานาเนีย และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาในนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” และอานาเนียทูลว่า “ดูเถิด ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ พระองค์เจ้าข้า”
** อานาเนียเป็นชาวยิวที่เคร่งพระบัญญัติ และท่านได้กลับใจเชื่อ แต่ยังไม่เข้าใจเรื่องพระบัญญัติใหม่ ท่านจึงยังไปพระวิหารเหมือนสาวก และยิวอีกหลายคน (กจ 21:12)
9:11 และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น และไปที่ถนนซึ่งเรียกว่าถนนตรง และในบ้านของยูดาสให้ถามหาชายคนหนึ่งซึ่งเรียกว่า เซาโล ชาวเมืองทาร์ซัส เพราะดูเถิด เขากำลังอธิษฐานอยู่
9:12 และได้เห็นในนิมิตว่าชายคนหนึ่งชื่อ อานาเนีย กำลังเข้ามา และวางมือของเขาบนเขา เพื่อเขาจะได้รับการมองเห็นของเขา”
9:13 แล้วอานาเนียทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินจากหลายคนเรื่องชายผู้นี้ว่า เขาได้กระทำความชั่วร้ายมากเพียงใดต่อพวกวิสุทธิชนของพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็ม
9:14 และที่นี่เขาได้อำนาจมาจากพวกปุโรหิตใหญ่ ให้ผูกมัดบรรดาคนที่ร้องออกพระนามของพระองค์”
** เนื่องจากว่าอานาเนียยังไม่ได้ถูกเปิดตา เมื่อได้ยินพระเยซูสั่ง เขาจึงใช้ความคิดของอาดัมคือด้วยเหตุและผลของมนุษย์ เขาจึงตอบพระเยซูว่า ดูสิ ชายคนนี้เป็นคนชั่วร้าย เป็นคนฆ่า ข่มเหงพี่น้องผู้เชื่ออย่างมากมาย
9:15 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงไปตามทางของเจ้าเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่ทรงเลือกสรรไว้แล้วสำหรับเรา เพื่อจะนำนามของเราไปต่อหน้าพวกคนต่างชาติ และบรรดากษัตริย์ และลูกหลานของอิสราเอล
9:16 เพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าใดเพราะเห็นแก่นามของเรา”
** ตอนแรกเปโตร ยอห์น และสาวกหลายคนประกาศกับชาวยิว จากนั้นฟีลิปและอีกหลายคนประกาศกับลูกผสมระหว่างยิวกับคนต่างชาติในแคว้นสะมาเรีย ต่อมาก็คือคนต่างชาติ แต่เซาโลถูกเลือกให้เป็นคนประกาศกับคนต่างชาติมากมาย ท่านถูกเลือกให้ได้ผ่านชีวิตที่ทนทุกข์ทรมานในการใช้ชีวิตและการเดินทางเพื่องานรับใช้ ท่านถูกข่มเหงและสุดท้ายก็ถูกประหารเพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐ
9:17 และอานาเนียก็ไปตามทางของเขา และเข้าไปในบ้านนั้น และวางมือของเขาบนเซาโลกล่าวว่า “พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเยซู ผู้ซึ่งได้ทรงปรากฏแก่ท่านในทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงส่งข้าพเจ้ามา เพื่อท่านจะได้รับการมองเห็นของท่าน และเพื่อจะเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
** ขณะที่เซาโลเห็นพระผู้เป็นเจ้าและทันทีที่เซาโลกลับใจ ท่านก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในท่าน ท่านจึงได้บังเกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว ส่วนในข้อนี้ ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้านนอกเพื่อการเข้าส่วนในพระกาย ย้ายเข้าไปในพระคริสต์และอาณาจักรของพระเจ้า เพื่อการรับใช้ เพื่อฤทธิ์เดช ของประทาน และในข้อต่อมาพระเจ้าจึงให้ท่านรับบัพติศมาในน้ำเพื่อให้ทุกสิ่งสำเร็จ
9:18 และในทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดตกจากตาของเซาโล และท่านได้รับการมองเห็นในทันที และได้ลุกขึ้น และรับบัพติศมา
9:19 และเมื่อท่านได้รับประทานอาหารแล้ว ท่านก็มีกำลังขึ้น แล้วเซาโลอยู่กับพวกสาวกในเมืองดามัสกัสหลายวัน
9:20 และในทันทีท่านได้ประกาศพระคริสต์ในธรรมศาลาทั้งหลายว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
** คำว่า พระบุตรของพระเจ้า the Son of God ความเชื่อของยิว ก็คือเป็นพระเจ้าที่มีความเท่าเทียมกับพระบิดา และมาจากพระบิดา (ยอห์น 5:18)
9:21 แต่บรรดาคนที่ได้ยินท่านก็ประหลาดใจ และกล่าวว่า “คนนี้มิใช่หรือที่ได้ทำลายคนเหล่านั้นที่ร้องออกพระนามนี้ในกรุงเยรูซาเล็ม และมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์นั้น เพื่อเขาจะได้ผูกมัดคนเหล่านั้นพาไปยังพวกปุโรหิตใหญ่”
** คำว่า ร้องออกพระนาม ไม่ใช่ต้องร้องว่า โอ้พระเยซูๆๆๆ ทั้งวันเหมือนบางกลุ่มที่เชื่อและทำกัน แต่คือการมีชีวิตและเดินในพระคริสต์เยซู กระทำทุกสิ่งในพระนามพระเยซู ตัวอย่างเช่น เราพูดว่า เอเมนพระเยซู ขอบพระคุณพระเยซู ข้ารักพระเยซู ฯลฯ
1. เจ้าข่มเหง เรา ทำไม การกระทำทุกสิ่งทั้งดีและไม่ดีต่อพระกาย ก็คือได้กระทำต่อพระเยซูเหมือนกัน เรา (me) ในที่นี้ คือ พระเยซู และผู้เชื่อทุกคนที่เป็นพระกายของพระองค์ (มธ 25:35-46)
2. เมื่อผู้ใดข่มเหงหรือทำสิ่งที่ไม่ดีต่อผู้เชื่อ ที่ไม่ชอบธรรมเที่ยงธรรม จะไม่ได้รับผลตอบแทนก็หามิได้ (กจ 9:5)
3. ผู้เชื่อที่แท้จริง จะเรียนรู้ที่จะรับฟังการนำพาของพระวิญญาณในทุกเรื่องในแต่ละวัน
4. อานาเนียเป็นคริสเตียนยิวที่ยังรักษาพระบัญญัติและไปนมัสการที่พระวิหารเนื่องจากว่าเขายังไม่เข้าใจ เขาใช้ความคิดปัญญาและเหตุผลของอาดัม แต่คริสเตียนควรให้พระคริสต์เป็นความคิดปัญญาของเรา (กจ 9:10)
5. เปโตรและยอห์นและสาวกบางคนประกาศกับคนยิว ฟีลิปประกาศกับลูกผสมยิวและต่างชาติ เปาโลถูกเลือกให้ประกาศกับชาวต่างชาติ
6. คำว่า "พระเจ้าพระบุตร" หรือ "พระบุตรพระเจ้า" ยิวรู้ดีว่าเป็นพระเจ้าที่มาจากพระเจ้า และเท่าเทียมกับพระเจ้า
7. การร้องออกพระนาม ไม่ใช่ร้องว่า โอ้พระเยซูๆๆ ทั้งวัน แต่คือการกินนอนไปมามีชีวิตในพระวิญญาณ เดินในพระวิญญาณ และกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซู ตัวอย่างเช่น เราตอนนี้ร่วมกันสามัคคีธรรมในพระนามพระเยซูและร้องออกพระนามพระเยซูเป็นระยะๆ
9:22 แต่เซาโลยิ่งมีกำลังทวีขึ้น และทำให้พวกยิวซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองดามัสกัสสับสน โดยพิสูจน์ว่า พระองค์นี้ทรงเป็นพระคริสต์อย่างแท้จริง
9:23 และหลังจากหลายวันผ่านไปแล้ว พวกยิวก็ปรึกษากันว่าจะฆ่าท่านเสีย
9:24 แต่การปองร้ายของพวกเขาได้ถูกเปิดเผยแก่เซาโล และเขาทั้งหลายได้เฝ้าประตูเมือง ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อจะฆ่าท่าน
** มีกำลังทวีขึ้น คือท่านกระตือรือร้นร้อนรน และการประกาศของท่านในเมืองดามัสกัสเกิดผลอย่างมากมาย จนพวกยิวสับสนและผู้นำศาสนาก็พากันหวั่นไหว และตามหาเพื่อฆ่าท่านเสีย
9:25 แล้วพวกสาวกได้พาท่านไปในเวลากลางคืน และหย่อนท่านลงข้างกำแพงในกระบุงใหญ่
9:26 และเมื่อเซาโลมาถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ท่านพยายามที่จะรวมตัวกับพวกสาวก แต่พวกเขาทุกคนกลัวท่าน และไม่เชื่อว่าท่านเป็นสาวก
9:27 แต่บารนาบัสได้รับท่านไว้ และพาท่านไปหาพวกอัครทูต และประกาศแก่พวกเขาว่าท่านได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตามทางอย่างไร และที่พระองค์ได้ตรัสแก่ท่าน และที่ท่านได้ประกาศด้วยใจกล้าที่เมืองดามัสกัสในพระนามของพระเยซูอย่างไร
9:28 และท่านก็อยู่กับพวกเขาในการเข้ามาและการออกไปที่กรุงเยรูซาเล็ม
9:29 และท่านประกาศด้วยใจกล้าในพระนามของพระเยซูเจ้า และได้โต้แย้งกับพวกกรีก แต่พวกนั้นหาช่องที่จะฆ่าท่านเสีย
9:30 ซึ่งเมื่อพวกพี่น้องทราบแล้ว พวกเขาก็พาท่านให้ลงไปยังเมืองซีซารียา และส่งท่านต่อไปยังเมืองทาร์ซัส
** เรื่องราวของเซาโล (เปาโล) ... ท่านกลับใจขณะที่เดินทางไปข่มเหงและทำลายล้างพวกคริสเตียนที่เมืองดามัสกัส แต่ท่านได้พบพระเยซู ท่านกลับใจและเข้าไปหาพี่น้องคริสเตียนในเมืองดังกล่าว ท่านประกาศและเป็นพยาน จากนั้นท่านก็ถูกข่มเหงและปองฆ่าโดยชาวยิว ท่านกลับมาที่เยรูซาเล็ม ตอนแรกสาวกทั้งหลายกลัวท่านแต่สุดท้ายพวกเขายอมรับท่านและส่งท่านไปประกาศและเป็นพยานต่อไป และเชื่อว่าต่อจากนี้ไปพระวิญญาณได้นำท่านไปที่ประเทศอาระเบียเพื่อรับการเปิดเผยสั่งสอนข่าวประเสริฐอย่างครบถ้วนโดยพระเยซูเป็นเวลาหลายปี (กาลาเทีย บทที่ 1)
9:31 ดังนั้น คริสตจักรทั้งหลายตลอดทั่วแคว้นยูเดีย และแคว้นกาลิลี และแคว้นสะมาเรีย จึงมีความสงบสุข และได้รับการเสริมสร้างให้จำเริญขึ้น และขณะดำเนินชีวิตในความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และในการปลอบประโลมใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาก็ทวีมากขึ้น
** แคว้นยูเดียเป็นเมืองหลวง มีกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารเป็นศูนย์กลาง แคว้นกาลิลีอยู่ทางภาคเหนือ ส่วนแคว้นสะมาเรียอยู่ภาคกลางของประเทศอิสราเอลที่มีลูกผสมยิวกับคนต่างชาติอยู่เต็มไปหมด ข่าวประเสริฐได้ไปถึงทั้งสามแคว้นและเกิดผลเติบโตมากมายโดยการนำพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในทุกที่ทุกแห่งหนเต็มด้วยสันติสุข (peace ความสงบสุขภายในที่ได้มาจากการกลับใจต้อนรับพระเยซู) และขณะนั้นเปาโลก็ถูกส่งไปประกาศกับคนช่างชาติ
1. เมื่อเรามีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ เราจะมีพลังอย่างมากมายจนเกิดอาการร้อนรนกระตือรือร้นภายในโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงอยากใกล้ชิด สนิท อ่าน อธิษฐาน และรับใช้พระเจ้า และนี่คือเหตุผลที่เปาโลกล่าวโดยพระวิญญาณว่า อย่าดับพระวิญญาณแต่จงรับการเผาไหม้ในพระองค์อยู่เสมอ
2. การข่มเหง ทำร้ายทำลาย ถ้าหากพระเจ้าให้เกิดก็เกิดและไม่ให้เกิดก็จะไม่เกิด เราทำสิ่งเดียวคือขอบพระคุณเนื่องจากว่าพระเจ้ามีเหตุผลสำหรับชีวิตของเราและสุดท้ายสิ่งดีก็จะตามมา
3. ถ้าเราไม่เรียนรู้ให้เข้าใจ เราจะคิดว่าพระคัมภีร์ขัดแย้งกัน คือหนังสือกิจการบทที่เก้าเปาโลไปหาสาวกในกรุงเยรูซาเล็ม แต่ในหนังสือกาลาเทียบทที่หนึ่งเปาโลไปที่ประเทศอาระเบียเพื่อรับคำสั่งสอนจากพระเยซูก่อน จากการเรียบเรียงสองบทนี้เราเชื่อว่าเปาโลไปหาสาวก แต่ไม่ได้รับคำสอนจากพวกเขา ท่านไปเพื่อให้สาวกรับรู้ว่าท่านกลับใจและต้อนรับพระเยซูแล้ว จากนั้นท่านได้เดินทางไปประกาศในหลายเมือง และสุดท้ายท่านจึงเดินทางไปประเทศอาระเบียเพื่อเรียนรู้จากพระเยซู
4. พระเจ้านำข่าวดีมายังทุกแคว้นในประเทศอิสราเอลตามสัญญา พระเจ้ารักทุกคนไม่ว่าจะเป็นยิวหรือต่างชาติ มั่งมีหรือยากจน มีการงานตำแหน่งสูงหรือต่ำ ชายหรือหญิงหรือขันที (เพศที่สาม)
5. สันติสุข/ความสงบสุขที่มาจากภายใน (Peace) เป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ฟรีๆ เมื่อเรากลับใจเชื่อ ไม่ต้องขอ ไม่ต้องทำดีเพื่อให้ได้รับมา (โรม 5:1) เมื่อเราขาดสันติสุขเราจึงเชื่อและขอบพระคุณที่มีสุขดังกล่าวแล้ว จากนั้นเราก็จะได้สัมผัสสุขจากภายใน
- การเชื่อผิด เดินผิด รับใช้ผิด อ่าน-แปล อธิษฐาน นมัสการ ปฏิบัติต่อพี่น้องผิด คือมองเน้นที่ทำๆๆ และผิดถูกๆ ไม่เน้นที่ รัก สนิท เสริมสร้างกันและกัน คือซาตาน
- ทั้งนี้ทั้งนั้นเราขอบพระคุณสำหรับการข่มเหงเพื่อเราจะได้ใช้เพื่อฝึกเดินในพระวิญญาณ
- เราที่เป็นผู้เชื่อด้วยกัน เป็นบุตรพระเจ้า เป็นคนใหม่ ควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นเนื้อหนังซึ่งชอบทำในสิ่งที่เป็นด้านลบและไม่เสริมสร้างกันและกัน (เราก็จะถูกพระเยซูมองว่าทำร้ายทำลายอวัยวะของพระกาย)
บทความเพิ่มเติม: เบื้องหลังของการข่มเหงจากคนที่ไม่เชื่อ และพี่น้องผู้เชื่อด้วยกัน
9:32 และต่อมา ขณะที่เปโตรเที่ยวไปตลอดทุกแห่งแล้ว ท่านก็ลงมาหาพวกวิสุทธิชนซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองลิดดาด้วย
** พวกวิสุทธิชน กรีกคือ พวกผู้บริสุทธิ์ เป็นคำที่เปาโลชอบใช้เพื่อเรียกผู้เชื่อทุกคนโดยพระวิญญาณ คือ พวกเราบริสุทธิ์ชอบธรรมแล้วโดยทางความเชื่อ
9:33 และที่นั่นเปโตรพบชายคนหนึ่งชื่อ ไอเนอัส ซึ่งได้นอนป่วยติดเตียงมาเป็นเวลาแปดปีแล้ว และป่วยอยู่เป็นอัมพาต
9:34 และเปโตรกล่าวแก่เขาว่า “ไอเนอัสเอ๋ย พระเยซูคริสต์โปรดให้ท่านหายสมบูรณ์แล้ว จงลุกขึ้น และเก็บที่นอนของท่านเถิด” และไอเนอัสได้ลุกขึ้นทันที
9:35 และทุกคนที่อาศัยอยู่ที่เมืองลิดดา และที่ราบชาโรนได้เห็นเขา และกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
9:36 บัดนี้ที่เมืองยัฟฟา มีสาวกคนหนึ่งชื่อ ทาบิธา ซึ่งแปลว่า โดรคัส หญิงคนนี้บริบูรณ์ด้วยการงานที่ดีหลายประการ และการให้ทานมากมาย ซึ่งนางได้กระทำ
9:37 และต่อมาในวันเหล่านั้น หญิงคนนี้ก็ป่วยลงและถึงแก่ความตาย ผู้ซึ่งเมื่อพวกเขาได้อาบน้ำศพแล้ว พวกเขาก็วางหญิงคนนี้ไว้ในห้องชั้นบน
9:38 และเพราะว่าเมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา และพวกสาวกได้ยินว่าเปโตรอยู่ที่นั่น พวกเขาจึงส่งชายสองคนไปหาท่าน โดยขอร้องท่านไม่ให้รอช้าที่จะมาหาพวกเขา
9:39 แล้วเปโตรจึงลุกขึ้น และไปกับพวกเขา เมื่อท่านมาถึงแล้ว พวกเขาก็พาท่านขึ้นไปในห้องชั้นบน และหญิงม่ายทุกคนเหล่านั้นได้ยืนอยู่ข้างท่าน โดยร้องไห้และแสดงบรรดาเสื้อคลุมกับเสื้อผ้าต่าง ๆ ซึ่งโดรคัสทำ ขณะที่นางอยู่กับพวกนาง
9:40 แต่เปโตรให้ทุกคนออกไปข้างนอก และคุกเข่าลงและอธิษฐาน และหันตัวมายังศพนั้นกล่าวว่า “ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้น” และทาบิธาก็ลืมตาของนาง และเมื่อนางเห็นเปโตร นางก็ลุกขึ้นนั่ง
9:41 และเปโตรยื่นมือของท่านออก และพยุงนางขึ้น และเมื่อท่านได้เรียกวิสุทธิชนทั้งหลายกับพวกหญิงม่ายแล้ว ท่านก็มอบเธอผู้มีชีวิตให้แก่พวกเขา
9:42 และเรื่องนี้ถูกลือไปตลอดทั่วเมืองยัฟฟา และคนเป็นอันมากเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า
9:43 และต่อมา เปโตรอาศัยอยู่หลายวันในเมืองยัฟฟา กับคนหนึ่งชื่อ ซีโมน เป็นช่างฟอกหนัง
** มีคนมากมายกลับใจเพราะว่าได้เห็นไอเนอัสคนที่ไม่เชื่อหายดี และสาวกหญิงชื่อโดรคัสฟื้นขึ้นมาจากความตาย การอัศจรรย์ การรักษาโรค ชุบชีวิตคนตายให้เป็นขึ้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เพื่อช่วยเหลือผู้คน และยืนยันว่าพระองค์เป็นคนทำ และอยู่ฝ่ายพวกสาวก แต่พระเจ้าห้ามใช้เพื่อยกตนขึ้น และเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ (งานหลักของเรา ก็คือประกาศ และเป็นพยานเรื่องพระเยซูคริสต์ คนที่เชื่อก็จะได้รับการรักษาให้หายเนื่องจากว่าพระเยซูทรงแบกเอาความเจ็บไข้ที่เป็นผลเนื่องมาจากความบาปไปไว้ที่กางเขนแล้ว (มธ 8:17))
** เราพบว่าเปโตรมีของประทาน และใช้ของประทานอย่างเกิดผล เปโตรได้รับการดลใจจากพระวิญญาณให้ไปทำอย่างแน่นอน ท่านจึงมั่นใจและคนไข้ก็หายดีคนตายก็เป็นขึ้น ผู้คนก็ยกย่องเขาและลืมคิดไปว่าพระเจ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหรือเป็นคนกระทำ ผู้เชื่อที่แสวงหาของประทาน และใช้เพื่อการขยายตัวของพระกาย ทั้งไม่แสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ พระเจ้าจะประทานบำเหน็จมากมายให้แก่เขา