ขัดขวางไม่ให้ผู้เชื่อได้พบ “ราชอาณาจักรสวรรค์” (มธ 6:33; 13:4)
- ผู้เชื่อส่วนมากทุกวันนี้ ยังไม่ได้พบข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรสวรรค์ ซึ่งเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เขาได้พบเพียงแต่ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ และเรื่องความรอดเท่านั้น
- “ดินตามถนน” เป็นดินที่แน่นและแก่นมากเพราะผู้คนเดินผ่านไปๆ มาๆ ทุกวัน “ดินตามถนน” คือจิตใจของผู้เชื่อที่ถูกสอนเรื่องแสวงหาความรอดไปสวรรค์ จนแก่นแน่นแล้ว และไม่สามารถที่จะรับข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรสวรรค์ ได้อีกแล้ว (อาณาจักรนี้จะลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้พร้อมกับพระเยซูในยุคพันปี และต่อเนื่องไปจนถึงนิรันดร์กาล...รายละเอียด และข้อมูลเพิ่มเติม อยู่ในบทที่ 9 ชื่อเรื่อง ข้อลึกลับแห่งราชอาณาจักรสวรรค์)
- เมื่อผู้เชื่อพบพระเยซู และความรอด ก็คิดว่าพบสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ก็เลยไม่แสวงหาราชอาณาจักรตามคำสั่งของพระเยซูใน (มธ 6:33) ผู้เชื่อยังเข้าใจผิดคิดว่า ราชอาณาจักรดังกล่าวก็คือ สวรรค์นั่นเอง จึงเปลี่ยนคำว่า “ราชอาณาจักรของพระเจ้า” เป็น “แผ่นดินของพระเจ้า”
- เป็นชัยชนะของซาตานในท่ามกลางผู้เชื่อทั้งหลายที่ทุกวันนี้ยังไม่ได้พบราชอาณาจักรสวรรค์นี้ เขาพบพระเจ้าและความรอดเท่านั้น
- เพราะฉะนั้น การทำงานของมารซาตาน บวกกับจิตใจที่หยิ่งยโส คิดว่ารู้หมดแล้ว จึงทำให้เราไม่ได้พบราชอาณาจักร และจะไม่ได้เข้าไปข้างในอาณาจักร เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา (มธ 7:21-23) เพราะว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยให้คนที่ถ่อมแท้เท่านั้นได้พบ (มธ 13:11, 17, 19, 34)
- เมื่อข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรสวรรค์ ไปไม่ถึงทั่วโลก พระเยซูก็ยังมาไม่ได้ (มธ 24:14 ข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรนี้จะประกาศไปทั่วโลกให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลาย (ยุคสุดท้ายหรือยุคพันปี) จะมาถึง)
“นำเอาคริสเตียนปลอม เข้ามาผสมกับคริสเตียนแท้ (เกิดใหม่แล้ว) ในคริสตจักร “ (มธ 13:24-30)
- “คริสเตียนปลอม” คือคนที่เชื่อ แต่ไม่ได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง คริสเตียนดังกล่าวเชื่อตามพ่อแม่พี่น้อง ประเทศชาติ บ้านเมืองพาเขาเชื่อเพราะเป็นศาสนาประจำชาติ และเขาเกิดมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์
- ผลเสียหายที่ตามมาก็คือ ท่ามกลางสังคมคริสเตียนมีแต่เชื่อ และพูด แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสู่พระลักษณะของพระเยซูคริสต์ ผู้เชื่อเหล่านี้ยังใช้ชีวิตอาดัม และไม่ต่างอะไรจากศาสนาอื่นๆ ทั่วไป ที่ยังโกรธ โลภ หยิ่งยโส อวดความรู้ ความสามารถ มักใหญ่ใฝ่สูง และแย่งชิงกันเป็นใหญ่ หักหลัง เล่นพรรคเล่นพวก ไม่มีใครดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูใน มธ บทที่ 5 ถึงบทที่ 7 ได้อย่างแท้จริงในชีวิตประจำวัน
- คริสเตียนปลอม (ข้าวละมาน) เริ่มมีขึ้นอย่างมากมายตั้งแต่ ค.ศ. 300 จนถึงทุกวันนี้
- ผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง มีสองสิ่งที่บ่งบอกได้ คือ ต้องการใกล้ชิดสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า และหิวกระหายในเรื่องการเติบโตสู่พระลักษณะของพระคริสต์เพื่อเกิดผลแห่งพระวิญญาณ (ยน 3:3-5 / กท 5:22-23)
“เข้ามาครอบครองคริสตจักร” (มธ 13:31-32)
a. ผู้เชื่อมากมายเข้าใจว่า คำอุปมาเรื่อง เมล็ดมัสตาร์ด เป็นเรื่องการเติบโตในด้านที่ดีของคริสตจักร แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องความผิดปกติของ คริสตจักรของพระเจ้า ถ้าหากเราอ่าน มธ บทที่ 13 ทั้งหมดเราจะพบว่า คริสตจักรจะมีผลกระทบทั้งดี และร้ายตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงวันสุดท้าย
b. “มัสตาร์ด” เป็นพืชผักเพื่อเป็นอาหาร และเพื่อทำเป็นผงใช้ปรุงอาหาร ซึ่งความหมายก็คือ คริสตจักรของพระเจ้าควรเป็นที่ ที่เลี้ยงดูผู้เชื่อทั้งหลายด้วยพระวจนะคำซึ่งเป็นชีวิตของพระเจ้า แต่คริสตจักรกลับมีการแตกแยกแบ่งพรรค แบ่งพวกเพื่อแย่งชิงกันเป็นใหญ่ ไม่มีความถ่อมแท้ รักแท้ และอดทน จึงอยู่ร่วมกันไม่ได้ และในที่สุดก็แยกออกเป็นกิ่งก้านสาขา (คณะนิกาย) มารซาตานจึงเข้าครอบครองคริสตจักรทั่วไปได้
c. มารซาตานทำงานสองแบบ อย่างเช่น
ก. ทำให้ผู้เชื่อกระโดดโลดเต้น ร้องไห้ พูดภาษากระตุกลิ้น สั่นหัว หัวเราะ นอนกลิ้งไปมาที่พื้น พองตัวขึ้นอวดฤทธิ์อำนาจ ความสามารถ ชอบทำนายว่าคนโน้น คนนี้จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นถ้าไม่กลับใจ เมื่อมีความสุขในใจ ก็คิดว่าเป็นการกระทำของพระเจ้า แต่แท้ที่จริงเขาไม่รู้ว่ามารก็ทำได้ และหลอกให้ผู้เชื่อเหล่านั้นหลงทาง
ข. ไม่ทำเหมือนแบบที่หนึ่ง แต่ทำงานในใจผู้เชื่อเพื่อให้เกิดความแตกแยก และทำทุกสิ่งเพื่อทำลายชื่อเสียง และพระเกียรติของพระเจ้า เป็นการจู่โจม ครอบครองคริสตจักรแบบเงียบๆ
......
321 The church, which is the embodiment of the kingdom, should be like an herb that produces food. However, its nature and function were changed, so that it became a “tree,” a lodging place for birds. (This is against the law of God’s creation, that is, that every plant must be after its kind — Gen. 1:11–12.) This change happened in the first part of the fourth century, when Constantine the Great mixed the church with the world. He brought thousands of false believers into Christianity, making it Christendom, no longer the church. Hence, this third parable corresponds with the third of the seven churches in Rev. 2 and 3, the church in Pergamos (Rev. 2:12–17 — see note 121 there). The mustard is an annual herb, whereas the tree is a perennial plant. The church, according to its heavenly and spiritual nature, should be like the mustard, sojourning on the earth. But with its nature changed, the church became deeply rooted and settled as a tree in the earth, flourishing with its enterprises as the branches in which many evil persons and things are lodged. This resulted in the formation of the outward organization of the outward appearance of the kingdom of the heavens.
322 Since the birds in the first parable signify the evil one, Satan (vv. 4, 19), the birds of heaven here must refer to Satan’s evil spirits with the evil persons and things motivated by them. They lodge in the branches of the great tree, that is, in the enterprises of Christendom.
“เชื้อยีสต์” (มธ 13:33-35) “เชื้อยีสต์” คือคำสอน และการแปลความหมายพระคัมภีร์ที่ผิด หรือคลาดเคลื่อนจากความหมายที่แท้จริงของพระวจนะคำของพระเจ้า ซาตานใช้ผู้นำผู้สอนและผู้เทศนาภายในคริสตจักรป้อนเชื้อยีสต์ ซึ่งเป็นการแปลความหมายที่ผิด ให้ผู้เชื่อกินเข้าไป แทนที่จะป้อนขนมปังไร้เชื้อเพื่อนำมาซึ่งการเติบโต ทุกวันนี้เราจึงพบว่า คริสตจักรของพระเจ้ากลับกลายเป็นศาสนาคริสต์ไปเสียแล้ว เพราะเหตุว่า ไม่มีใครที่ดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และรักอากะเปได้ ซึ่งส่วนมากทำได้แต่ในสิ่งที่ตนชอบ หรือข้อง่ายๆ
- ผู้รับใช้ส่วนมากไปเข้าโรงเรียนพระคัมภีร์เพื่อต้องการ ประกาศนียบัตร เพื่อกลับมารับใช้ในตำแหน่ง ศิยาภิบาล ศาสนาจารย์ และหน้าที่อื่นๆ ส่วนมากจะเรียนแบบผิวเผิน แต่ก็มีบ้างที่ตั้งใจเรียนรู้เพราะรักพระเจ้า และจริงใจเพื่อกลับมารับใช้ให้เกิดผล แต่ปัญหาก็คือ โรงเรียนกลับสอนความรู้ และหลักการตามแบบศาสนา จึงทำให้คริสตจักรไม่ได้ก้าวไปสู่การเติบโตตามแบบแผนที่พระเจ้าทรงวางเอาไว้
- "ผู้หญิง" คือผู้รับใช้ภายในคริสตจักรซึ่งใครๆ ก็พูดได้ดี และเหมือน ทั้งมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้ แต่นำไปใช้ไม่ได้ อีกทั้งทำให้ผู้เชื่อหลงทางไปไกลจากความจริง และน้ำพระทัยของพระเจ้า
- "เต็มสามถัง" คือคำสอน และการแปลความหมายที่ผิดเพี้ยนมีมากกว่าความจริงที่มาจากพระเจ้าเสียแล้ว
- ผู้เชื่อมากมายเข้าใจผิดคิดว่าคริสตจักร หรือคณะนิกายใดๆ ที่มีสมาชิกมากมาย คริสตจักรและนิกายดังกล่าวคงจะดีและถูกต้อง คำสอนการแปลก็คงจะเชื่อถือได้ แต่เราไม่อาจวัดที่จำนวนคนหรือชื่อเสียง หรือคนทั่วไปยอมรับว่าถูก แต่เราดูที่ผลของชีวิตใหม่ และการอยู่ร่วมกันตามแบบแผนที่พระเจ้าทรงวางรากฐานไว้ในหนังสือกิจการ
- ปัญหานี้เป็นเรื่องใหญ่มากซึ่งเกี่ยวข้องกับการเติบโตสู่ชีวิตของพระคริสต์ เราเห็นการขัดแย้ง การแปล การอธิบายความหมายที่ไม่เหมือนกันเต็มไปหมด แต่ละคนต่างก็มีเหตุผลที่ดี ถ้าเราสังเกตดูการร่วมสามัคคีธรรมแต่ละครั้ง เราจะพบว่า สิบคนที่มาร่วมกันต่างก็มีความเข้าใจ และแปลความหมายได้สิบแบบ
เรามักได้ยินคำว่า “ฉันเข้าใจว่า” “อาจารย์คนโน้นคนนี้เคยสอนว่า” “ เท่าที่ฉันได้เรียนรู้มา…” สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มาจากความคิดของอาดัมซึ่งเป็นสติปัญญาที่ไม่อาจนำมาใช้เพื่อแปลความหมายพระวจนะคำของพระเจ้าได้ เพราะว่าพระวิญญาณเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของเราในการเปิดเผยความจริงที่ซ่อนไว้ในแต่ละบท และแต่ละข้อในพระคำภีร์
- ถ้าคุณทำบาปบ่อยๆ พระเจ้าจะไม่ยกโทษให้คุณ
- ถ้าคุณทำบาป พระวิญญาณจะออกจากคุณทันที และถ้าเชื่อฟังจะกลับมาใหม่
- เชื่อเท่านั้นไม่รอด ต้องเชื่อฟังด้วย
- คุณอาจสูญเสียความรอดได้ เมื่อคุณเชื่อต้องพยายามเปลี่ยน หรือเลิกทำบาป
- เรายังต้องรักษาพระบัญญัติสิบประการ
- เรื่องบุตรน้อยหลงหาย คือคริสเตียนที่หลงหาย
- เรื่องหญิงพรหมจารีสิบคน มีน้ำมันแค่ห้าคน อีกห้าคนไม่มี
- ถ้าเชื่อพระเจ้าชีวิตจะราบรื่น สุขภาพดี ฐานะดี การงานดี การเงินดี มั่งมี และครอบครัวอบอุ่น
- ผู้นำ และผู้รับใช้พูดอะไรถูกหมด
- คริสเตียนยังอยู่ในยุคเดิมและใช้ระบบเดิม ทั้งๆที่พระเจ้าเปลี่ยนยุคใหม่และใช้ระบบใหม่แล้ว
ถาม.
แล้วจะทำอย่างไรดี ในเมื่อคริสเตียนไทยส่วนใหญ่รับคำสอนแบบเดียวกันหมดเลย
ตอบ.
อธิษฐานขอพระเจ้าทรงทำงาน และเปิดตาพี่น้องที่แสวงหาอย่างแท้จริง เขาจะได้รับการปลดปล่อย