1:1 ข้าพเจ้าผู้ปกครอง เรียนมายังท่านสุภาพสตรีที่ทรงเลือกสรรไว้ และบรรดาบุตรของนาง ผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักในความจริงนั้น และมิใช่แต่ข้าพเจ้าเท่านั้น แต่บรรดาคนทั้งปวงที่ได้รู้จักความจริงด้วย
** ท่านยอห์นเป็นผู้ปกครองคริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็ม (ข้อนี้และ 3 ยน 1)
** สุภาพสตรี ท่านนี้ คือพี่น้องหญิงที่ท่านยอห์นเคารพรัก
** จดหมายฉบับที่สองนี้ ท่านยอห์นเขียนถึงพี่น้องหญิงและลูกๆ ของนาง ซึ่งพวกเขาได้มาถึงพระคำแห่งความจริงแล้วเหมือนดั่งพี่น้องอีกมากมาย เราพบว่าท่านยอห์นเขียนหนังสือยอห์นเพื่อเปิดเผยเรื่องชีวิต เรื่องพระเจ้าเสด็จมาและอยู่ในเรากับเราเพื่อดำเนินชีวิตแทนเรา เป็นข้อลึกลับของพระคำแห่งความจริง ท่านยอห์นมักจะเน้นเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้า พระวาทะ พระบุตร ความจริง ทรงเป็นพระวิญญาณเพื่อเข้ามาอยู่ในเราเพื่อให้ผู้เชื่อได้รับชีวิตอย่างครบบริบูรณ์
1:2 เพราะเห็นแก่ความจริง ซึ่งดำรงอยู่ในพวกเรา และจะดำรงอยู่กับพวกเราเป็นนิตย์
** ความจริงดำรงอยู่ในพวกเรา ในที่นี้ คือความจริงแห่งพระคำพระเจ้า พระคำล้ำลึก หรือมานาที่ซ่อนไว้ ซึ่งเปิดให้บางคน และไม่เปิดให้หลายคน และเมื่อผู้ที่ได้รับมากพอ และได้เข้าสู่การฝ่ายวิญญาณก็จะอยู่กับเขา และเขาจะไม่ทิ้งไข่มุกนี้ตลอดไป เนื่องจากว่าพระวิญญาณทรงรักษาเขาไว้แล้ว
1:3 ขอพระคุณ พระเมตตา และสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระเยซูคริสต์เจ้าพระบุตรของพระบิดา สถิตอยู่กับท่านทั้งหลายในความจริงและความรัก
** พระคุณ ที่ครบถ้วน คือการที่พระเยซูนำพระบิดา มาสู่เรา มาอยู่กับเรา อยู่ในเราเพื่อเราจะมีครบทุกประการที่พระเจ้ามี พลัง สันติสุข พระพรฝ่ายวิญญาณ การเลี้ยงดูดูแล การช่วยเหลือ การนำพาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสุดท้าย
** พระเมตตา คือสิ่งที่อยู่เหนือพระคุณพระเจ้า พระคุณ คือพระองค์ทรงประทานให้ ทรงกระทำให้ตามที่ได้ทรงวางแผนเอาไว้แล้ว แต่พระเมตตา คือเราได้รับโดยพระกรุณาคุณของพระเจ้า เนื่องจากว่าเราทูลขอ ร้องเรียกหาด้วยจิตใจถ่อมและเป็นทุกข์หนัก ความเมตตาสงสารของพระเจ้าจึงเป็นเหตุให้พระองค์กระทำมากกว่าพระคุณแก่เรา
** สันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา คือสิ่งที่เราเรียกกันว่า สันติสุข หรืออาการนิ่งสงบ ปล่อยวางได้ และยิ้มหัวเราะโดยไม่มีเหตุผล หรือเพราะการที่เราได้รับสิ่งที่พึงปราถนา เป็นอาการดีใจที่มาจากพระบิดาผ่านทางพระเยซูคริสต์
** สถิตอยู่กับท่านทั้งหลาย ภาษากรีกคือ εἰμί I am, exist. I exist เราเป็น เราเป็นอยู่ ซึ่งท่านยอห์นอยากจะบอกว่า เมื่อเรารับพระคำแห่งความจริงอย่างมากมายแล้ว พระคุณที่ครบถ้วน พระเมตตา และสันติสุขที่ไม่กระหายอีกเลยจะ “เป็นอยู่” กับเราในเราอย่างมากมายตลอดเวลา
1:4 ข้าพเจ้าปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้าได้พบบุตรทั้งหลายของท่านดำเนินในความจริง ตามที่พวกเราได้รับพระบัญญัติจากพระบิดาแล้ว
** ในความจริง คือความจริงของพระเจ้า ความจริงฝ่ายสวรรค์ ความจริงที่พระเจ้ากระทำแล้วในพระคริสต์ ผ่านพระเยซูคริสต์
** ไม่เพียงแค่พี่น้องหญิงและลูกๆ ได้รับพระคำแห่งความจริงเท่านั้น แต่พวกเขายังฝึกเดินในแต่ละวันเพื่อประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาจะมาถึงผู้ชนะในอีกไม่ช้า
1:5 และบัดนี้ ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ท่านสุภาพสตรี มิใช่ราวกับว่าข้าพเจ้าเขียนพระบัญญัติใหม่มาถึงท่าน แต่สิ่งซึ่งพวกเราได้มีมาแล้วตั้งแต่เริ่มแรก ว่าให้พวกเรารักซึ่งกันและกัน
1:6 และนี่คือความรัก ที่พวกเราดำเนินตามบรรดาพระบัญญัติของพระองค์ นี่เป็นพระบัญญัตินั้นซึ่ง ตามที่พวกท่านได้ยินมาตั้งแต่เริ่มแรก พวกท่านควรจะดำเนินในพระบัญญัตินั้น
** ท่านยอห์นย้ำกับพี่น้องหญิงท่านนี้เพื่อนางจะตักเตือนหนุนใจลูกๆ ของนางให้มีชีวิตอยู่ในการรักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู (โดยมีพระคริสต์เป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนพวกเขา)
** พระบัญญัติที่มีมาแต่เริ่มแรก ในที่นี้ ไม่ใช่พระบัญญัติเดิมของโมเสส แต่เป็นพระบัญญัติของพระเยซู ซึ่งขณะที่ท่านยอห์นเขียนท่านเรียกว่าเป็นพระบัญญัติที่มีมาแต่เดิมเนื่องจากว่าเวลาผ่านไปประมาณเกือบจะเข้าเก้าสิบปีแล้ว
** พระบัญญัติของพระเยซู ก็คือ 1. รักพระเจ้าจนสุดจิตสุดใจ และ 2. รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
- สรุปง่ายๆ ก็คือผู้ที่ได้พบพระคำแห่งความจริงจะอยู่เพื่อ รัก เอารักนำหน้า เอารักเป็นหลัก เอารักเป็นใหญ่เหนือเหตุผล เหนือความผิดถูก และเหนือทุกสิ่ง ไม่มีข้อแม้ ไม่มีขีดจำกัด ทั้งนี้ทั้งนั้นเราเองก็รักษาไม่ได้แต่พระคริสต์ต่างหากที่รักษาแทนเราในเราเพื่อเรา
1:7 เพราะว่ามีผู้ล่อลวงเป็นอันมากออกเที่ยวไปในโลก คือคนที่ไม่รับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ คนนั้นแหละเป็นผู้ล่อลวงและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์
** เมื่อคริสเตียนเพิ่มจำนวนมากขึ้น มีบางกลุ่มเชื่อและออกไปประกาศว่า พระเยซูเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์และมีพระคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ตอนพระองค์เกิดมาและออกจากร่างตอนที่พระองค์สิ้นพระชนม์
ส่วนคริสเตียนเชื่อตามพระคัมภีร์ที่ว่าพระเยซูคือพระเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์และกลายเป็นเนื้อหนังที่พระวิญญาณทรงทำให้เกิดมีและไม่ได้มาจากมนุษย์เลย เพียงแค่พระองค์อาศัยนางมารีย์เพื่อเกิดมาและเติบโตเท่านั้น (มธ 1:20 / ยอห์น 8:23-24 / ลก 1:35 / โรม 8:3) พวกที่สอนขัดแย้งต่อความจริงนี้ ยอห์นเรียกว่า 'ผู้ล่อลวง'
1:8 ท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี เพื่อเราจะได้ไม่สูญเสียสิ่งที่เราได้กระทำมาแล้ว แต่จะได้รับบำเหน็จเต็มที่
** ที่เราได้กระทำมาแล้ว คือการฝึกเดินในพระวิญญาณตามอย่างเปาโลและยอห์นเขียนเอาไว้
** บำเหน็จเต็มที่ คือการเข้าถึงชีวิตที่มีสันติสุขทุกเวลานาที และมีพระคริสต์ทำแทนแล้วไม่มากก็น้อย
1:9 ผู้ใดละเมิดและไม่อยู่ในพระโอวาทของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่มีพระเจ้า ผู้ใดอยู่ในพระโอวาทของพระคริสต์ ผู้นั้นก็มีทั้งพระบิดาและพระบุตร
** แท้ที่จริงก็คือพระบิดาและพระบุตรนี่เองที่เป็นชีวิตที่เต็มล้นด้วยพลังและสันติสุขที่ไม่กระหายอีกเลยซึ่งเป็นบำเหน็จสำหรับผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดตา
1:10 ถ้าผู้ใดมาหาท่านและไม่นำพระโอวาทนี้มาด้วย อย่ารับเขาไว้ในเรือน และอย่าขอพรให้เขาเลย
** เมื่อผู้เชื่อหรือพี่น้องคริสเตียนนำความรู้ที่เป็นเชื้อยีสต์มาหาเรา อย่าต้อนรับเขา หรือไปหาเขาเพื่อรับฟังสิ่งที่เขาอยากแบ่งปัน เรารอโอกาสที่จะแบ่งปันให้เขาเมื่อพระวิญญาณนำพาจะดีกว่า
** อย่าขอพรให้เขาเลย คือเราจะไม่พูดว่า จงมีสันติสุขหรือจงชื่นชมยินดีในพระเจ้าเถิด เนื่องจากว่าเขาเชื่อผิดอยู่ เขาจะมีชีวิตและสุขทุกเวลาเหมือนอย่างที่เรามีไม่ได้ (เราพูดว่าขอให้จำเริญ หรือจำเริญขึ้นในพระคุณของพระบิดาได้)
1:11 เพราะว่าผู้ที่ขอพรให้เขา ก็เข้าส่วนในการกระทำชั่วของเขานั้น
** ชีวิตที่ไม่ได้รับการเปิดตา ไม่ฝึกเดินในพระวิญญาณ ไม่มีพระคริสต์ทำแทน และไม่มาถึงชีวิตที่มีพลังมากและสุขมาก ยอห์นเรียกว่า การกระทำอันชั่วช้า หรือไม่ดี
1:12 ข้าพเจ้ายังมีข้อความอีกหลายข้อที่จะเขียนมาถึงท่าน แต่ก็ไม่อยากจะเขียนด้วยกระดาษและน้ำหมึก ข้าพเจ้าหวังใจว่าจะมาหาท่าน และสนทนากันต่อหน้า เพื่อความปีติยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม
** การเขียนจดหมายฝากของอัครสาวกในสมัยก่อนไม่ง่ายและสะดวกเหมือนทุกวันนี้ ท่านยอห์นจึงปรารถนาที่จะไปพบผู้เชื่อทั้งหลายมากกว่าการเขียนไปถึงพวกเขา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การได้ไปพบปะ และร่วมสามัคคีธรรมร่วมกันพบเห็น และรับประทานอาหารร่วมกันย่อมลึกซึ้งกว่า
1:13 บรรดาบุตรของน้องสาวของท่านที่ได้ทรงเลือกสรรไว้ ฝากความระลึกถึงมายังท่าน เอเมน