1. ร่างกายอาดัม และพระกายของพระคริสต์
2. การเป็นหนึ่งเดียว
3. (1 ทธ 5:17; 3:5 / กจ 20:17-28) คือข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงผู้บริหารคริสตจักร ก็คือผู้นำ
4. สิ่งที่ผู้นำควรรู้
5. แผนการของพระเจ้าสำหรับคริสตจักร
6. คริสตจักรเที่ยงแท้และคริสตจักรศาสนา
7. คริสตจักรที่เป็นอาณาจักรของพระเจ้าจะต้องมีรัฐบาล และนั่นก็คือผู้นำ
8. ผู้นำไม่เพียงแต่ทำหน้าที่นำพา เลี้ยงดูแกะ เทศนาและสั่งสอนเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องบริหารคริสตจักรของพระเยซู
9. บุคลิกลักษณะของผู้นำ
10. ผู้นำเป็นผู้ปกครองคริสตจักร ไม่ใช่อัครสาวก
11. บุคคลย่อมสำคัญกว่าวิธีการ ถ้าบุคคลอ่อนแอ หรือหัวใจของเขาใช้ไม่ได้ วิธีการ จะดีมากมายแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร
12. ผู้นำต้องสัตย์ซื่อ ซื่อตรง และเชื่อถือได้ ไม่หน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้ายกย่อง แต่ลับหลังกลับตำหนิ นินทาพี่น้องของตน
13. หัวใจของผู้นำ
14. ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิอำนาจ
15. การมองเป็นในการมอง / การสังเกต
16. การประสานงานกันของผู้นำ
17. การยอมแตกหัก
18. การร่วมประสานงานกัน (Coordination)
19. คริสตจักร คือพระกายของพระเยซู อย่าให้มีระบบนิโคเลาตันเกิดขึ้น
20. การรู้จักหน้าที่การงานของแต่ละฝ่ายในคริสตจักร
21. การสามัคคีธรรม
22. การบริหารคริสตจักรของผู้นำ เพื่อเป้าหมายเดียวที่สูงสุด คือสำแดงพระคริสต์
23. คริสตจักรกับสามสิ่งที่ควบคู่กันไป
24. การรักษาชีวิต และการรับใช้ให้สมดุล (Balance)
25. การช่วยผู้อื่นเพื่อแก้ไขปัญหา
26. บทเรียนเรื่องกางเขน
27. บทเรียนเรื่อง การประสานงานกับพี่น้องในทุกเรื่อง
28. การประสานงาน และเป็นหนึ่งเดียวเรื่องการประกาศ
29. บทเรียนสำหรับผู้เชื่อใหม่
30. การทำให้ดีรอบคอบ (Perfecting)
31. การฝึกรับใช้ของผู้นำ
32. การร่วมประสานกันของพระกาย
33. ความแตกต่างระหว่างคริสตจักรเที่ยงแท้ และคริสตจักรศาสนา
a. สิ่งที่ถูกสร้างครั้งแรก เกิดขึ้นเพื่อสิ่งที่ถูกสร้างครั้งที่สอง
b. สิ่งที่ถูกสร้างครั้งแรก คือเนื้อหนัง แต่สิ่งที่ถูกสร้างครั้งที่สองนั้นครบถ้วนสมบูรณ์แบบ
c. พระเจ้าเป็นผู้กระทำการทุกสิ่งเพื่อพระองค์เอง แผนการและการงานทั้งหมดทรงวางแผน และจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
d. ผู้เชื่อทั้งหลายคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ และคือการขยายร่างกายของพระคริสต์
a. ในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ มีการบริหารและรับใช้ด้วยระบบเดียวกัน และเป็นหนึ่งเดียว แต่ต่อมาผู้เชื่อล้มเหลวในการบริหารและรับใช้ เนื่องมาจากการแตกแยกแบ่งแยก
b. คริสตจักรที่เป็นหนึ่งเดียวได้มาก พระเจ้าก็ทำงาน และเกิดผลที่ผ่านไฟได้มาก
c. ท่านยอห์นต้องจบการงานของยุคพระคัมภีร์เดิม ท่านเป็นคนแรกที่เริ่มระบบใหม่
d. เมื่อพระเยซูเสด็จมา ท่านยอห์นต้องหยุดการงานของท่าน แต่สาวกยังติดตามท่าน
e. เมื่อเปโตรล้มเหลว พระเจ้าก็ส่งเปาโลมาเพื่อเตือนให้คริสตจักรเป็นหนึ่งเดียว ภารกิจของเปโตรจบลงที่ กจ บทที่ 13
a. ผู้นำต้องรู้จักพระประสงค์ และน้ำพระทัยของพระเจ้าเกี่ยวกับคริสตจักร
b. วิธีการของฝ่ายโลกไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ และสติปัญญาของมนุษย์ไม่มีค่าอะไรสำหรับพระเจ้า มันถูกเรียกว่า ไม้ ฟาง และหญ้าแห้ง
c. ถ้าอย่างนั้นเราจะเอาวิธีที่ถูกต้องมาจากไหน เพื่อบริหารคริสตจักร
d. มีมากมายหลายสิ่งที่ผู้นำควรที่จะเรียนรู้
a. ผู้เชื่อมากมายล้มเหลวที่จะมองเห็นพระประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวกับคริสตจักร
b. คริสเตียนศาสนามักจะคิดว่า คริสตจักรมีไว้เพื่อการมาร่วมกันนมัสการ รับใช้ ประกาศ เทศนาสั่งสอน เพื่อรอไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์
c. พวกเขาอาจมีโบสถ์ใหญ่ มีสมาชิกมากมาย แต่ก็ล้มเหลวที่จะเป็นคริสตจักรเที่ยงแท้ตามน้ำพระทัยพระเจ้า
d. ผู้นำต้องรู้จักความต้องการ และน้ำพระทัยของพระเจ้าต่อคริสตจักร
e. พระเจ้าก่อตั้งคริสตจักรของพระองค์ในโลกนี้เพื่ออะไรกันแน่
f. พระคัมภีร์ใหม่กล่าวว่า คริสตจักร คือพระกายของพระคริสต์ หมายความว่าอย่างไร
g. พระเจ้าต้องการพระกายของพระคริสต์ เพื่อสำแดงชีวิตของพระคริสต์เยซูในโลกนี้
h. แผนการงานของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อจะให้เราไปอยู่สวรรค์ แต่พระองค์ต้องการที่จะสำแดงพระองค์เองผ่านพระเยซูคริสต์ และพวกเราคือพระกายของพระองค์
i. ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นและมีนั้น อยู่ในพระบุตรของพระองค์ เพื่อทุกสิ่งจะถูกเปิดเผยและสำแดง
j. พระเจ้าพระบิดาดำเนินชีวิตผ่านพระบุตร คือชีวิตที่ครบบริบูรณ์ พระสติปัญญา ฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ ความรัก พระคุณ พระเมตตา ความสว่าง (ความเป็นจริง) ความชอบธรรม และความบริสุทธิ์ เราจะเห็นทุกสิ่งในพระบุตร (ตั้งแต่ตอนที่เป็นมนุษย์ และเป็นวิญญาณที่เข้ามาอยู่ในเรา) คือความครบบริบูรณ์ที่ไม่มีขีดจำกัด
k. พระกายของพระคริสต์ทุกวันนี้ พระเจ้าจึงใช้เพื่อสำแดงพระองค์ เพื่อให้โลกได้เห็นความครบบริบูรณ์ที่ไม่มีขีดจำกัดดังกล่าว
a. คริสตจักรที่ขาดรักดั้งเดิม
b. คริสตจักรชาวโลก
c. คริสตจักรศาสนา
d. คริสตจักรที่ตายแล้ว
e. คริสตจักรที่ท้อแท้
f. คริสตจักรที่เป็นอุ่นๆ
g. คริสตจักรผู้ชนะ
a. การแต่งตั้งคือการเลือก และสิทธิอำนาจต้องมาจากพระเจ้า เหมือนในสมัยพระคัมภีร์เดิม
b. แต่สมัยพระคัมภีร์ใหม่ ผู้นำต้องมีพระวิญญาณทรงนำ และเป็นรูปแนวชีวิต ไม่ใช่รูปแนวศาสนา
c. ตัวอย่างเรื่องของประทาน การดำเนินชีวิต และการรับใช้ของอัครสาวกในพระคัมภีร์ใหม่
a. เราจำต้องยอมจำนน และยอมรับหน้าที่การงานของเราอย่างเป็นทางการกับพระเจ้า
b. พระเจ้าทรงมีรัฐบาลของพระองค์ในสวรรค์ฉันใด ในคริสตจักรก็ย่อมจะมีรัฐบาลของพระองค์ฉันนั้น และผู้นำคือรัฐบาลของพระเจ้า เพื่อบริหารคริสตจักร
c. ผู้นำต้องมีอายุฝ่ายร่างกาย และมีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่เติบโตพอสมควร
a. ผู้ปกครองเข้มแข็ง คริสตจักรก็เข้มแข็ง / ผู้ปกครองอยู่ในฝ่ายเนื้อหนัง-ฝ่ายวิญญาณ คริสตจักรก็อยู่ในฝ่ายเนื้อหนัง-ฝ่ายวิญญาณด้วย
a. เราควรให้ความสำคัญกับความจริงนี้ เพราะว่าพระเจ้าทำงานเกี่ยวกับการบริหารคริสตจักร ผ่านผู้นำ
b. จริงอยู่ที่พระเจ้ามองเห็นทุกคนในคริสตจักรสำคัญ แต่ผู้นำย่อมมีความสำคัญมากกว่า
c. ไม่ว่าคริสตจักร (ฝ่ายวิญญาณ) จะเล็กแค่ไหน แต่เมื่อมีการตัดสินใจของผู้นำ ทุกคนควรเคารพ ยอมรับ และทำตาม
d. บางครั้งการบริหารและการปกครองคริสตจักร อาจไม่ได้ดีดังที่เราคาดคิด แต่เมื่อเราเคารพ ยอมรับ และทำตาม เราจะเห็นการทำงาน และพระพรของพระเจ้าเกิดขึ้นท่ามกลางคริสตจักร
สรุป ศูนย์กลางของคริสตจักร ก็คือผู้นำนี่เอง
a. การเปลี่ยนวิธีการ จึงไม่สำคัญเท่ากับการเปลี่ยนผู้นำที่เหมาะสม
b. ผู้นำไม่ควรมีจิตใจคับแคบ แต่ตรงข้ามต้องเป็นคนที่ใจกว้าง ถ้าหากคุณเป็นผู้นำ แต่ไม่มีใจกว้างจริงๆ คุณควรขอพระบิดาช่วยให้คุณหายอาการใจคับแคบ พระองค์จะเปลี่ยนคุณ
c. การเปลี่ยนแปลงที่ผู้นำได้รับจากพระบิดา ย่อมมาจากการยอมต่ำถ่อมของเขาต่อผู้นำ และต่อคริสตจักร
d. ผู้นำที่ขี้เกียจอ่านและอธิษฐาน เขาจะนำและช่วยพี่น้องให้อ่าน และอธิษฐานอย่างจริงจังในแต่ละวันนั้น คงเป็นไปได้ยากมาก
e. ผู้นำที่จะช่วยพี่น้องคริสตจักรให้อ่านและอธิษฐาน ได้ต้องฝึกเดินในวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ
a. ใช่ บทเรียนดูเหมือนจะยากที่จะทำตามได้ เนื่องจากว่าเราคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอาดัมที่อ่อนแอ ป่วย และตกต่ำ
b. ผู้นำควรสำแดงชีวิตเท่าที่ทำได้ ไม่ควรเสแสร้งแกล้งทำ
c. คนฉลาดไม่ได้มีความจำเป็นต่อคริสตจักร ผู้ที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ คือพูดไม่เก่งและไม่ดีพอ แต่ต้องการมีส่วนในการบริหารคริสตจักรของพระเจ้า
d. สิ่งที่ผู้นำควรรู้และเข้าใจ คือไม่ควรพึ่งสติปัญญา ความรู้ความสามารถ และวิธีการ แต่คือการได้ผ่านการแตกหัก
e. พระเจ้าสอนโมเสส และชนชาติอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร เป็นเวลาสี่สิบปี ก็คือเพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้การแตกหัก โมเสสมีความรู้ทั้งด้านการเมืองและการทหาร แต่พระเจ้ามองเห็นว่าใช้ไม่ได้ ต้องแตกหักและเดินตามพระสติปัญญา และวิถีทางของพระเจ้าเท่านั้น
f. เมื่อคริสตจักรมีผู้นำที่แตกหักมาก ตายต่ออาดัมมาก เดินด้วยตัวใหม่ และยอมอยู่ภายใต้การนำพาของพระวิญญาณมาก เขาก็ประสบความสำเร็จในการบริหารคริสตจักรของพระเจ้าได้มากอย่างแน่นอน ซึ่งทุกวันนี้คริสตจักรศาสนาล้มเหลวในการบริหารคริสตจักร ในรูปแบบของพระเจ้า
1) มีจิตใจกว้างขวาง
- คือไม่มีจิตใจคับแคบ ไม่คิดอะไรทั้งนั้น (ที่เป็นด้านลบ) การมีจิตใจที่กว้าง เป็นคุณสมบัติของผู้นำ มันช่วยนำเขาไปสู่การได้รับสติปัญญาจากพระบิดาอยู่เสมอ
- ซาโลมอนได้รับสติปัญญาจากพระเจ้า ในการบริหารประเทศอิสราเอล ท่านมีความรอบรู้และชาญฉลาดมาก เนื่องจากท่านเป็นคนใจกว้าง ซาโลมอนประสบความสำเร็จตอนที่ท่านยังเป็นหนุ่ม ท่านมีจิตใจกว้างเหมือนดั่งทะเล
- ความหยิ่งผยองทำลายชีวิตของเรา และความหยิ่งนั้นๆ มาจากจิตใจที่คับแคบ
2) เป็นคนที่มีจิตใจกว้าง
- จิตใจนี้ได้มาจากพระคุณที่ครบบริบูรณ์ ผู้นำที่ขอก็จะได้รับ
- ผู้นำที่มีจิตใจกว้างจะใส่ใจที่พระเจ้า สนิท คิดบวก และความรัก เขาจะไม่ใส่ใจที่คนสร้างปัญหาหรือปัญหา เขาจะสนุก ยินดีไปกับการรับปัญหา และแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เข้ามา เพราะเขาทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ปัญหาต้องมี คนต้นเรือนที่มีจิตใจกว้าง ย่อมจะรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเสมอ เขาจะไม่หนีและไม่ท้อ
- เราต้องเรียนรู้ในการเป็นคนที่มีจิตใจกว้าง เพื่อใช้มันกับงานและปัญหาทุกชนิด ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กมาก หรือน้อยเพียงใดก็ตาม
- เราต้องมีจิตใจที่กว้างอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อกำจัดปัญหาการบ่น เบื่อ นินทา ท้อ แตกแยก และหนี
- คริสเตียนที่มีจิตใจคับแคบมักจะถกเถียง และมองลบในทุกๆ เรื่อง ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
- ทุกวันนี้ แทบจะทุกคริสตจักรมีผู้นำที่ไม่มีจิตใจกว้างพอ การแก้ปัญหา คือออกไปเยี่ยมเยียนคริสตจักรฝ่ายวิญญาณ และอธิษฐานเผื่อปัญหาดังกล่าว
- ขอพระบิดาอย่าให้เราถือตัว อวดตัว และพองตัวอยากเด่นดัง เพื่อเราจะมีจิตใจที่กว้าง
- มนุษย์อาดัม หรือมนุษย์เนื้อหนังจะแก้ปัญหานี้ไม่ได้ คือเปลี่ยนไม่ได้ (มากพอ)
- การยกโทษอภัยต่อผู้อื่นได้ เราต้องมีจิตใจที่กว้าง (โยเซฟรักพี่ชายทุกคน)
- การรักศัตรู คนที่ทำร้ายเรา ข่มเหงเรา และทำสิ่งชั่วร้ายกับเราได้ เราต้องมีจิตใจที่กว้าง
- การไม่ชอบถกเถียง ขี้ใจน้อย หรือชอบน้อยใจ เราต้องมีจิตใจที่กว้าง
- ผู้เชื่อและผู้รับใช้แทบจะทุกคน ต่างก็รักพระเจ้าไม่มากก็น้อย แต่ปัญหาของพวกเขาก็คือไม่มีจิตใจที่กว้าง
3) เป็นคนสัตย์ซื่อต่อหน้าที่คนต้นเรือน ที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ให้เรามีส่วนร่วมในการดูแลคริสตจักรของพระองค์
- ความสัตย์ซื่อที่แท้จริง คือเราไม่หวัง (1) ผลตอบแทนจากมนุษย์ (ค่าจ้างรางวัล/เงินเดือน) ถ้าหากสมควรรับเราก็รับ อยู่ที่เหตุผลและความต้องการของผู้ให้ (2) ชื่อเสียง คำชม คำยกย่อง (3) พระพร (4) ความรอด หรือเข้าอาณาจักร แต่เราทำเพราะเราสัตย์ซื่อ และรักพระเยซู
- กล้าพูดต่อหน้า (ไม่พูดอ้อมค้อมและลับหลังพี่น้อง) ด้วยความรักและอ่อนโยน
- ไม่กลัวเมื่อพี่น้องไม่เห็นด้วยในสิ่งที่เราต้องการพูด เพื่อเตือนสติและหนุนใจ
- การเป็นคนซื่อตรง คือเราอยู่ในความจริง หรือความสว่างของพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในความมืด
4) เป็นคนซื่อตรง ตรงไปตรงมา
- อย่าใช้ผลประโยชน์ คำชม หรือสิ่งของเพื่อให้พี่น้องทำอะไรบางอย่างให้เรา
- อย่าใช้พี่น้องไปพูดแทนเรา เมื่อเกิดปัญหาระหว่างเรากับอีกคน (เมื่อเรามีปัญหากับพี่น้องคนหนึ่งผู้เป็นสามี อย่าบอกภรรยาช่วยพูดแทนเรา หรือเมื่อมีปัญหากับพี่ชาย อย่าขอให้น้องชายของเขาพูดแทนเรา)
5) เป็นคนละเอียดถ้วนถี่ ใส่ใจต่อทุกคนและทุกสิ่ง
- เมื่อเรารับมานา เราควรสะสมอย่างระมัดระวัง เพื่อการนำมาใช้เพื่อฝึกเดินและแบ่งปัน จะไม่ผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อน
- ทุกวันนี้เราพบว่า พี่น้องที่รับมานายังมีจุดอ่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงรับมานาได้บ้างไม่ได้บ้าง ผิดบ้างถูกบ้าง และกล่าวว่าดีบ้างไม่ดีบ้าง ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง
6) เป็นคนขยัน
- ผู้นำต้องเป็นคนขยัน เพื่องานของพระเจ้าจะเดินไปตามกำหนดเวลา
- คนเกียจคร้านจะไม่เห็นคุณค่าของเวลา และการงานของพระเจ้า มิหนำซ้ำยังทำลายชีวิตของเขาเอง เนื่องจากว่า พระเจ้าไม่ต้องการให้บุตรของพระองค์เป็นคนเกียจคร้าน โดยเฉพาะคนต้นเรือนภายในคริสตจักร
- คนเกียจคร้านจะทำให้ชีวิตของเขาไม่ราบรื่น และไม่ไปถึงไหน
- ถ้าหากคริสตจักรของท่านเกียจคร้าน เราอธิษฐานเผื่อ และแก้ไขแบบค่อยเป็นค่อยไป เราเริ่มการงานโดยชักชวนพี่น้องที่ขยัน เพื่อเป็นตัวอย่าง
- ผู้นำคริสตจักรของท่านขยันหรือเกียจคร้าน เราดูจากกิจกรรมของพวกเขาว่ามีหรือไม่มี มีมากหรือน้อยแค่ไหน อย่างเช่น การสามัคคีธรรม การร่วมอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ เฝ้าเดี่ยว อธิษฐานเผื่อกลางสัปดาห์ตอนกลางคืน และการออกไปประกาศ
7) เป็นคนที่หนักแน่นมั่นคง คือไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ
- ถ้าหากจะตัดสินใจก็ต้องใช้เวลา หรือยากที่จะตัดสินใจ และเมื่อตัดสินใจก็ยากที่จะเปลี่ยนใจ หรือถ้าหากเปลี่ยนใจก็ต้องดูที่เหตุผล ความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน
- ถ้าหากเราไม่รีบ และใช้เวลานานในการตรึกตรอง ทุกสิ่งจะชัดเจนมากขึ้น
- อย่าด่วนเชื่อคำพูดของใครง่ายๆ อย่าด่วนยกย่องหรือตำหนิใครง่ายๆ
- มนุษย์ หรือแม้แต่คริสเตียน ต่างก็มีจุดดีและจุดบกพร่อง ผู้เชื่อทุกคนล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า เราต้องยอมรับว่า ผู้กระทำกิจเพื่อไถ่พวกเราก็คือพระเจ้า พระคริสต์คือผู้ชนะในเรา เป็นชีวิตพระเจ้าที่เรายืมมาเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่ตัวเราเอง เพราะฉะนั้น เราจึงมองบวกและมองทุกคนดีหมดใหม่หมด ตามพระดำรัสของพระบิดา
- คริสตจักรไม่ต้องการที่จะเห็นการเปลี่ยนไปมาบ่อยนัก มันเป็นเครื่องบ่งบอกว่า ผู้นำ ไม่หนักแน่นมั่นคง เราต้องช้าในการตัดสินใจ และมั่นคงกับการทำตามแผนการงาน ที่ได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
- เมื่อมีปัญหาเข้ามา อย่ารีบเปลี่ยนแผนงาน หรือด่วนไปคิดถึงเรื่องการเลือกตั้งใหม่
- เมื่อเผชิญกับปัญหา ผู้นำที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง จะแก้ไขปัญหาด้วยหัวใจที่สงบนิ่ง
- การประชุมและการสามัคคีธรรม ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ผู้นำควรช้าในการตัดสินใจ เพื่อจะไม่ต้องเสียใจทีหลัง และได้รับผลเสียหายมากกว่าผลที่ได้รับ
- ปัญหามักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ เนื่องมาจากการไม่มีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคงของผู้นำ ซึ่งเรื่องเล็กน้อยอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้
- เมื่อมีพี่น้องทำผิด ผู้นำที่ดีจะสงบนิ่ง ใจเย็น ไม่พูดอะไร และรอจนกว่าจะได้โอกาสที่เหมาะเสียก่อน
- ซาตานจะดีใจมาก ถ้าหากเราไม่สงบนิ่งไม่ใจเย็น และโวยวาย รีบด่วนตัดสินกล่าวโทษคนที่ผิด รีบขว้างก้อนหินใส่พี่น้องที่ผิดทันที
- อย่าให้ซาตานชนะ หรือหัวเราะเยาะเราในฐานะผู้นำที่ไม่ดี ทางที่ดีก็คืออย่าด่วนรีบขว้างก้อนหิน เมื่อได้ข่าวเรื่องการกระทำผิดของพี่น้อง
- การทำงานของพระเจ้าจะเกิดขึ้น เมื่อเราหนักแน่นมั่นคง ช้าในการตัดสินใจและเปลี่ยนใจ
8) มีความเป็นห่วงเป็นใยต่อพี่น้อง
- คนที่ไม่มีความเป็นห่วงเป็นใย สนใจ ใส่ใจต่อพี่น้อง ไม่ควรที่จะเป็นผู้นำ ผู้เชื่อหลายคนไม่ชอบให้พี่น้อง หรือผู้อื่นมารบกวนเวลาของเขา แต่กลับชอบอยู่แบบสบายๆ ก็ไม่ควรที่จะเป็น ผู้นำ
- ผู้นำจะตอบสนองทันทีที่ได้รับคำเสนอว่า พี่น้องพบปัญหาเรื่อง การงาน ขัดสนการเงิน ป่วยไข้ไม่สบาย ปัญหาครอบครัว ไม่รู้พระคัมภีร์ และต้องการความช่วยเหลือเรื่องการฝึกเดิน ฯลฯ
- ถ้าหากมีพี่น้องมาหาคุณเพื่อขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะด้านฝ่ายร่างกายหรือฝ่ายวิญญาณ คุณคือผู้นำที่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าหากว่าไม่มีใครมาหาคุณ ติดต่อคุณ ขอความช่วยเหลือจากคุณ คุณล้มเหลวที่จะเป็นผู้นำที่ดีของคริสตจักร
- ผู้นำบางคนทำตัวเหมือนพ่อแม่ต่อลูก เขาจะสอน แนะนำ สั่งให้คุณทำนู่นนี่นั่นตั้งแต่เริ่มต้นจนสุดท้าย นี่คือผู้นำที่ดี
- ผู้นำที่เป็นห่วงเป็นใยต่อพี่น้อง และต่อคริสตจักร ไม่ควรรอให้เขามาบอกเรา เราจะค้นหาการทำทุกสิ่ง เพื่อให้คริสตจักรอยู่ในการเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นการประชุมในวันของพระผู้เป็นเจ้า (การนมัสการ) การร่วมอธิษฐาน อ่าน และประกาศ
- ผู้นำของคริสตจักรนั้นๆ คือผู้ช่วยพี่น้องให้ได้รับคำแนะนำ หนุนใจ ชี้ทางเพื่อการดำเนินชีวิต และตัดสินใจที่ถูกต้องเพื่ออยู่ในการดูแลของพระเจ้า
- ปัญหาของคริสตจักรทุกวันนี้ ก็คือไม่มีผู้นำที่จะสามารถช่วยเหลือพี่น้องเกี่ยวกับความรู้สติปัญญา ทั้งด้านร่างกายและฝ่ายวิญญาณ
- ผู้นำควรติดตามเรียนรู้พี่น้องในคริสตจักรว่า ใครเป็นอย่างไร มีปัญหาอะไร ชอบไม่ชอบอะไร เพื่ออธิษฐาน และช่วยเขาเท่าที่ช่วยได้อย่างเหมาะสม
9) เป็นคนที่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับทุกคน ทุกสถานที่ ทุกสถานการณ์
- กาวชนิดน้ำสามารถเข้าไปได้ทุกซอกทุกมุมของวัตถุ และเมื่อมันแข็งตัว มันก็กลายเป็นรูปร่างที่เป็นช่องว่างอยู่
- การปรับตัวให้เข้ากับทุกคนเป็นสิ่งที่ผู้นำควรทำ ไม่ใช่ว่าเราต้องเคร่งจนเกินไปในท่ามกลางพี่น้องที่ยังเด็ก และกินน้ำนมอยู่
- สิทธิอำนาจเพื่อการปกครองของผู้นำ
- การบริหารเพื่อการจัดเตรียม และจัดการกับเรื่องราวต่างๆ ภายในคริสตจักร
- เมื่อมีคริสตจักร ก็ต้องมีการบริหารคริสตจักร เมื่อมีการบริหารคริสตจักร ก็ต้องมีผู้ที่มีสิทธิอำนาจ และก็คือผู้นำ
- ทุกคนในพระกายเท่ากัน ถูกแล้วครับ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริหาร คริสตจักร ผู้นำ คือผู้รับใช้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าพี่น้องในพระกาย
- ซาตานทำลายการงานของพระเจ้าในคริสตจักรศาสนาได้สำเร็จ เราพบว่า ทุกวันนี้ผู้นำ ไม่ใช่ผู้นำ คริสตจักรไม่ใช่คริสตจักร เพราะว่าผู้นำล้มเหลวต่อการบริหารคริสตจักร และไม่รู้จักพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อคริสตจักร
- คนที่ชอบวุ่นวาย ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ เพราะเขาให้โอกาสซาตานใช้ได้มากว่าใคร
1. มองเห็นว่าเขาอยู่ในฝ่ายวิญญาณหรือไม่
1. เมื่อเกิดปัญหาภายในคริสตจักร อย่ามองที่ใครผิดถูกดีไม่ดี แต่ควรมองที่บุคคลว่าอยู่ในเนื้อหนัง หรืออยู่ในวิญญาณ
2. คริสตจักรของพระเยซูไม่ใช่สมาคม องค์กร โบสถ์ศาสนา หรือธุรกิจ แต่คริสตจักรคือครอบครัวของพระเจ้า
3. การดำเนินชีวิตร่วมกับครอบครัว สังคม เพื่อนบ้านที่ไม่เชื่อ หรือเป็นคริสเตียนศาสนา ฉะนั้นการดำเนินชีวิต และการแก้ไขปัญหาจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก เพื่อที่เราจะสำแดงชีวิตพระคริสต์ได้อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
4. เป้าหมายหลักของผู้นำของคริสตจักร คือการป้อนอาหาร หรือป้อนชีวิตให้กับเหล่าบุตรของพระเจ้า เพื่อให้พวกเขาเติบโต และคิด ตัดสินใจ กระทำทุกสิ่งโดยพระคริสต์ได้
5. ภายในคริสตจักร ผู้นำต้องใส่ใจในฝ่ายวิญญาณที่ลึกซึ้ง ไม่ว่าใครจะพูดอะไร แนะนำเรื่องอะไร หรือต้องการนำเอาอะไรเข้ามาก็ตาม ผู้นำต้องใช้วิธีฝ่ายวิญญาณ
2. มองเห็นว่า เขาถูกกางเขนจัดการกับชีวิตเก่าของเขาหรือยัง
1. ผู้นำต้องมองคนที่มาหาเราว่า เขาผ่านการจัดการของกางเขน และผ่านการเป็นขึ้นร่วมกับพระคริสต์หรือไม่ เนื่องจากว่าผู้เชื่อมากมาย แม้แต่คริสตจักรผู้ชนะเอง ก็ยังมีผู้เชื่อที่ยังไม่ได้ผ่านการจัดการของกางเขนและการเป็นขึ้น
2. เราพบว่า พี่น้องหลายคนเดินด้วยเนื้อหนัง ใช้หลักจริยธรรมแห่งโลก และมีความไม่พอใจต่อสิ่งที่เป็นด้านลบ ที่เข้ามาในชีวิตของเขา
3. พี่น้องอีกหลายคนไม่มีความจริงใจต่อผู้อื่น และทะเยอทะยานเรื่องชื่อเสียง ตำแหน่ง อำนาจ
4. เรารักพระเจ้าแค่นั้นไม่พอ ยำเกรงพระเจ้าแค่นั้นยังไม่พอ ขยันก็ยังไม่พอ เราจะต้องผ่านการจัดการกับชีวิตเก่าของเราโดยกางแขนของพระเยซู และผ่านการเป็นขึ้นโดยพระวิญญาณเสียก่อนถึงจะพอ
5. ผู้นำต้องรู้จักมอง และช่วยพี่น้องคริสตจักรให้เข้าใจชัดเจน เกี่ยวกับเรื่องการตายและเป็นขึ้นกับพระเยซู เพื่อให้พระวิญญาณเปิดตามากขึ้น
6. ผู้นำคริสตจักรศาสนา จะเน้นที่การใช้วิธีของเนื้อหนังและศาสนา แต่ผู้นำที่ดีเน้นที่ฝ่ายวิญญาณ
7. พระเจ้าไม่อนุญาตให้ดำเนินชีวิตด้วยเนื้อหนัง และทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายเนื้อหนังฉันใด พระองค์ก็ไม่ทรงอนุญาตให้ใช้เนื้อหนัง เพื่อการงานของคริสตจักรฉันนั้น
3. ทุกสิ่งต้องเป็นฝ่ายวิญญาณและชีวิต
1. ผู้นำฝ่ายวิญญาณจึงควรสอน แนะนำ และตักเตือนให้พี่น้องอย่าได้มีส่วนร่วมในงานฟื้นฟู สัมมนา อดอาหาร อธิษฐาน และประกาศรับใช้ร่วมกับพี่น้องฝ่ายศาสนา เนื่องจากว่าพวกเขาเน้นที่เนื้อหนัง อย่าลืมว่า ความรู้ดีชั่วผิดถูก คือ ไม้ ฟาง และหญ้าแห้ง ส่วนฝ่ายวิญญาณและชีวิต คือ ทองคำ เงิน และเพชรพลอย
2. สิ่งที่สำคัญ คือเราจำต้องถูกจัดการโดยกางเขนก่อน เพื่อเนื้อหนังของเราจะยอมตายให้สิ้นไป เพื่อเราจะสามารถดำเนินชีวิตด้วยคนคนใหม่ ที่พระคริสต์เป็นผู้ชนะในเราได้มากขึ้นในแต่ละวัน
4. มองเห็นหัวใจที่ถูกต้องของเขา
1. ขณะที่พี่น้องมาคุยกับเรา อย่าจับคำพูดของเขาว่าผิดหรือถูก ดีหรือชั่ว แต่จงมองที่สถานะของเขาว่า เขาเป็นคนใหม่หรือเก่า จุดยืนของเขาอยู่ในอาดัม หรือในพระคริสต์
2. ทุกวันนี้เราพบว่า ถ้าหากพี่น้องมีพระคุณพระเจ้าในเขามากพอ เขาก็จะไม่ถกเถียงทะเลาะเพราะเห็นแก่พระคริสต์ที่เป็นประมุขของคริสตจักร (อฟ 1:22) ผู้มีพระคุณของพระคริสต์มาก ก็จงยอมทนทุกต่อพี่น้อง และยอมจำนนต่อพระคริสต์เยซู (1 คร 6) ยอมเสียเปรียบและหยุดการถกเถียงทะเลาะกัน
3. ผู้นำต้องรู้ว่า ผู้ที่มักทะเลาะถกเถียงไม่ยอมใคร คือพี่น้องที่มีหัวใจและจุดยืนที่ไม่ถูกต้อง เขายังคงอยู่ในอาดัมหรือเนื้อหนัง ถึงแม้ว่าเขาจะพูดว่า ไม่ได้ได้อยู่ในเนื้อหนังก็ตาม
4. การหนุนใจ แนะนำ ตักเตือนด้วยรัก และคำพูดที่อ่อนสุภาพของผู้นำ จะไม่ทำลายพี่น้องที่ผิด ส่วนการด่วนไปตัดสินว่าเขาถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี คือการทำลายพี่น้อง
5. “พี่น้องพูดก็มีส่วนถูก และมีเหตุผลนะครับ ผมก็เห็นด้วย แต่สถานะและจุดยืนของพี่น้องตอนนี้ กำลังออกจากขอบเขตฝ่ายวิญญาณและพระคริสต์” นี่คือการตัดสินเขาจากภายใน และเหมาะสมกว่า
6. คริสเตียนเปรียบเหมือนยาโคบ ที่เกิดจากอาดัมเป็นเนื้อหนัง แต่เป็นอิสราเอลที่บังเกิดใหม่ในพระวิญญาณ เขายังมีสองเชื้อชาติเผ่าพันธุ์
5. มองเห็นความจริงของเขา
พี่น้องหลายคนมักจะเพิ่ม หรือเสริมเรื่องที่ไม่จริงไม่มากก็น้อย เพื่อสนับสนุนเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเพื่อให้มีน้ำหนัก และน่าเชื่อถือมากขึ้น อย่าเชื่อฝ่ายเดียว แต่จงค้นหาความจริงด้วยข้อมูลจากหลายคนเท่าที่จะทำได้ เพื่อจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น
6. มองเห็นผลได้และผลเสียของฝ่ายวิญญาณ
เมื่อมีการแก้ไขปัญหาเกิดขึ้น เราอย่าไปใส่ใจเรื่องใครถูกใครผิด แต่ขอให้ตระหนักว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องสูญเสียพี่น้องไป หรือกระทบกระเทือนชีวิตฝ่ายวิญญาณของพวกเขา
สรุป.. ผู้นำที่ดีควรรู้จักการมอง คือ มองเห็นว่า (1) เขาอยู่ฝ่ายวิญญาณหรือไม่ (2) เขาถูกจัดการโดยกางเขนของพระเยซูหรือยัง (3) เขาอยู่ในความจริงหรือไม่ (4) เขาจะสูญเสียความเชื่อ การฝึกเดิน และทิ้งมานาแล้วหนีไปหรือไม่
การมองของผู้ปกครอง ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเรียนรู้และประสบการณ์
- คริสตจักรฝ่ายวิญญาณมีปัญหามากมาย ซึ่งผู้ปกครองต้องรู้จักมองและสังเกต และจัดการแก้ไขปัญหา เหล่านั้น
- เราต้องยอมรับว่า ปัญหาต้องมีมาให้แก้ไข มันคือการงานของคริสตจักร เพราะฉะนั้น คนที่เรียนรู้มามากมาย มีประสบการณ์ชีวิตผ่านศาสนาและฝ่ายวิญญาณ จึงดูแลคริสตจักรได้อย่างง่ายดาย
- การที่เราจะรู้จักสังเกต หรือมองเห็น เราเรียนรู้จากทางลัดไม่ได้
ถ้าหากเรามีประสบการณ์ชีวิตมากเท่าไหร่ เราก็จะรู้จักสังเกต และมองเห็นผู้อื่นมาเท่านั้น ถ้าหากผมไม่ได้เป็นคริสเตียน และไม่ได้รับความรอด ผมก็ไม่สามารถมองเห็นว่า คนใดคนหนึ่งได้รับความรอดหรือไม่ ถ้าหากผมไม่ได้เรียนรู้เรื่องการถวายตัวใหม่ ผมก็ไม่อาจเข้าใจว่า การถวายตัวใหม่ เป็นอย่างไร
ถ้าผมได้เรียนรู้การจัดการกับตัวเก่าของผม และผมได้เรียนรู้การเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซู ผมก็จะสามารถสังเกต และมองเห็นว่า ใครผ่านการจัดการโดยกางเขน และชีวิตแห่งการเป็นขึ้นแล้ว
เมื่อผมถูกจัดการกับชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง ผมก็สามารถสังเกตได้ว่า ใครอยู่ในเนื้อหนังหรือไม่
สมมุติว่า ถ้าหากผมไม่เคยผ่านการดำเนินชีวิตในคริสตจักรศาสนา ผมก็ไม่สามารถสังเกต และมองเห็นว่า คริสจักรฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าผมจะได้เรียนรู้บทเรียนแห่งชีวิต พระคำล้ำลึกมากมาย หรือมานาที่ซ่อนไว้ก็ตาม ผมก็ไม่อาจมองเห็น หรือสังเกตได้ว่า การดำเนินชีวิตในรูปแนวของชีวิต แตกต่างกับรูปแนวของศาสนาอย่างไร การหลุดพ้นจากพระบัญญัติ แท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไร การตายต่อตัวเก่านั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไร การดำเนินชีวิตด้วยตัวใหม่ ในฐานะของคนชอบธรรมนั้นเป็นอย่างไร
ยิ่งผมได้เรียนรู้ และมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมองเห็น และสังเกตได้ ว่าใครมีประสบการณ์ชีวิตในฝ่ายวิญญาณมากน้อยแค่ไหน
การทำงานที่ประสานกันของผู้ปกครอง
- การทำงานที่ประสานกันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผู้ปกครองบางคนอาจจะเข้มแข็งมีพลัง แต่ถ้าไม่ประสานงานกับพี่น้องผู้ปกครองท่านอื่น ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เนื่องจากว่า พระเจ้าแต่งตั้งผู้ปกครองให้ดูแลคริสตจักร และพระเจ้ามีพระประสงค์ให้ผู้ปกครองทำงานประสานกัน
- ถึงแม้คริสตจักรของท่านจะเล็กเพียงไหนก็ตาม ผู้ปกครองควรจะมีมากกว่า 1 คน คืออาจจะ 2 หรือ 3 คน คริสตจักรของพระเจ้า เป็นที่ที่พระเจ้าต้องการให้ทุกคนทำงานประสานกัน และช่วยกัน
- คริสตจักรคือพระกายของพระคริสต์ ซึ่งผู้ปกครองต้องทำงานเพื่อประสานกัน และช่วยพี่น้องทุกคนภายในคริสตจักรให้ประสานงานกันด้วย
ถ้าหากผู้เชื่อเคารพรักพระเยซู เขาก็ต้องเคารพรักผู้นำ (ที่มาจากพระเจ้า และอยู่ในคริสตจักรเที่ยงแท้) เหมือนกัน
ผู้นำที่ดีก็ต้องรักชอบทำหน้าที่ของตน เมื่อเกิดปัญหาภายในคริสตจักร ผู้นำมากมายจะไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตน ปัญหามาจากการไม่ได้เรียนรู้ และเข้าใจการเป็นผู้นำที่ดีของพระเจ้า
a. การที่เราใช้ของประทาน เพื่อรับใช้พระเจ้าในการงานของคริสตจักร ก็เป็นสิ่งทีดี แต่ถ้าหากพี่น้องไม่ร่วมมือกันรับใช้ ก็ไม่ใช่น้ำพระทัยพระบิดา และการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันที่ถูกต้องตามน้ำพระทัย คือเราต้องยอมเข้าสู่การแตกหัก
b. การแตกหักทำให้เราคุยกันได้ ตกลงกันได้ และยอมกันได้
c. ผู้ที่ยอมแตกหักจะเกิดผลมาก
d. ผู้ที่ยอมแตกหักจะไม่ชอบถกเถียง การชอบถกเถียงบ่งบอกถึงการไม่ยอมแตกหักของผู้เชื่อ
e. ผู้ที่ยอมแตกหักจะกล้าพูดสิ่งที่เป็นปัญหาออกมา ไม่เก็บมันไว้ แต่เขาจะพูดด้วยจิตใจถ่อมและด้วยรัก บางครั้งพี่น้องหรือผู้นำอาจจะตัดสินใจหรือกระทำผิด เพราะฉะนั้น ต้องมีคนที่กล้าพูดเพื่อนำปัญหามาแก้ไข
f. ผู้ที่จะแตกหัก คือเขายอมถวายตัวแด่พระเจ้าเหมือนดังทาส เพื่อรับใช้พระเยซูให้เกิดผล
g. ผู้นำควรมีความสามารถในหลายๆ ด้าน (แต่ไม่ใช่ทุกด้าน) อย่างเช่น การคิด การตัดสินใจ การก่อขึ้น การเลี้ยงดู การเสริมสร้าง การนำ การบริหารคริสตจักร การป้องกันคริสตจักร การจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น การอ่าน การอธิษฐาน การเผยพระวจนะ เพื่อช่วยพี่น้องในพระกายเข้าใจ และร่วมใจกันทำให้ดีที่สุด
h. ผู้นำและพี่น้อง ควรตระหนักเกี่ยวกับเรื่องการทำหน้าที่ตามของประทาน และความสามารถที่แต่ละคนมี เพื่อประสานงานกับทุกคน มือก็ทำหน้าที่ของมือ แต่ประสานงานกับแขน และส่วนต่างๆ ของร่างกายที่เกี่ยวข้อง และเราจะไม่อนุญาตให้ใครมีความสำคัญกว่าใคร ทุกคนสำคัญเท่ากัน และต้องการกันและกัน
พระกายวิญญาณมีใจเดียว พูดเรื่องเดียวกัน
- ในคริสตจักรผู้ชนะคริสตจักรฝ่ายวิญญาณที่อเมริกา คือ เราจะป้องกันสิ่งนี้ เพราะว่าจะมีเป็นระยะๆ ที่พี่น้องใหม่ๆเข้ามาในคริสตจักร แล้วปรากฏว่าเค้าคิดว่าเค้ารู้มาก เค้าเข้มแข็ง เค้าก็เกิด ถือว่าเค้าเป็นคนสำคัญ ยกตัวเค้าเองขึ้น เพราะฉะนั้นคริสตจักรฝ่ายวิญญาณ พวกเราป้องกันสิ่งนี้ คือ เราจะพูดคุยกับเค้า หรือไม่ก็ยกพระคัมภีร์เลย เราทุกคนเป็นน้องๆของพระเยซู ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าใคร เราเน้นเรื่องนี้เป็นประจำนะครับ อย่างสม่ำเสมอนะครับ เพื่อหยุดการพยายามการที่จะเป็นใหญ่ของใครบางคน
i. คริสตจักรเป็นเหมือนดังครอบครัวที่แต่ละคนมีหน้าที่ต่างกัน เพื่อช่วยกันทำให้พระกายอยู่ในการรับการหล่อเลี้ยงชีวิตจากพระคริสต์
j. อย่าคิดว่า ถ้าเราทำสิ่งนี้น่าจะดีกว่าคนที่กำลังทำอยู่ และเมื่อเราทำอะไรก็ไม่ควรภูมิใจเพราะว่ามันคือผลงานองพระเจ้าที่กระทำผ่านเราแต่ละคน
k. อย่าให้ความตายครอบงำพระกายได้ อย่าให้รูปแนวศาสนาเข้ามามีบทบาทในพระกายของพระเยซู
l. ผู้นำควรมีความรู้ความเข้าใจพระคำล้ำลึกมากพอ เขาเปิดพระคัมภีร์ข้อไหนเขาก็สามารถอธิบายได้ทันที เนื่องจากการใส่ใจในการสะสมมานา และเมื่อเขาอธิบายพระคัมภีร์ พี่น้องที่ได้ยินได้ฟังก็จะได้รับความสว่างจากพระเจ้าทันที
- เมื่อเราสะสมมาฯ นานมากขึ้นๆๆๆ ทุกวัน ในแต่ละวัน พระเจ้าจะใช้เรา แล้วเมื่อเราพูด ชีวิตก็จะออกมาจากเรา เอเมนไหม ไม่ใช่แต่เฉพาะอาจารย์เจคนเดียว ที่พูดแล้วมีพระวิญญาณมีชีวิตออกมา คือ พระเจ้าสัญญา แล้วเป็นหลักการของพระเจ้า ถ้าใครสะสมมานามากพอ ฝึก ปฏิบัติชีวิต ตามมานาที่แนะนำ เราจะพบว่าคนๆนั้นเวลาพูด เขาจะสัมผัสที่น้องจะสัมผัสได้
a. การพูดเรื่องเดียวกัน (ไม่มีเชื้อ) และการพูดในหัวข้อเดียวกัน (ไม่ออกนอกเรื่อง) ยกตัวอย่างการเผยพระวจนะ เมื่อพี่น้องพูด ทุกคนเห็นด้วย และสนับสนุนสิ่งที่เขาพูดเนื่องจากทุกคนพูดเหมือนกัน คือมาจากพระคำล้ำลึก หรือมานาที่ซ่อนไว้
- ก่อนที่จะมาพูดถึงเรื่องคริสจักรฝ่ายวิญญาณที่อยู่อเมริกา เรามาดูคริสจักรทั่วไปทุกวันนี้ ที่ผู้นำ ศิษยาภิบาล เทศนา สั่งสอน เราจะเห็นว่าเรื่องแรก เขาจะไปเรื่องความรอด อีก 5 นาทีต่อมาเขาจะวิ่งไปถึงเรื่องไม้กางเขน อีก 10 นาทีต่อมาเขาจะพูดถึงเรื่องโมเสส จากโมเสสเสร็จ เขาก็วิ่งไปเรื่องอับราฮัม ใช่ไหม คือ ไปเรื่อยๆ แล้วทีนี้พี่น้องรับอะไร เราจำกันได้ไหมเราอยู่คริสตจักรเดิม คำเทศนาเป็นยังไง วิ่งรอบโลกไปเลย
อันนั้นไม่ใช่วิธีการของพระเจ้า แล้วสำหรับคริสตจักรฝ่ายวิญญาณของพวกเราเหมือนกัน พวกเราพูดเรื่องเดียวกัน ถ้าสมมุติว่าผมวันนี้ยกเรื่อง elder เรื่องผู้นำ ถ้าพี่น้องมีโอกาสขึ้นมา ผมบอกว่าขอเชิญพี่น้องคนนี้ขึ้นมา เขาก็จะพูดถึงเรื่องผู้นำ คือ เราพูดเรื่องเดียวกันนี่คือการเคลื่อนของพระวิญญาณ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย และจะเคลื่อนภายในกลุ่มของเราได้ ถ้าเราไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราพูดคนละเรื่องพระเจ้าพอพระทัยไหม...นะครับ...
b. คนหนึ่งพูดอะไรหรือทำอะไร ทุกคนมีภาระใจ และรับผิดชอบด้วยการอธิษฐานเผื่อ หรือช่วยเท่าที่ช่วยได้
c. การอยู่ร่วมกันและประสานงานกัน ไม่ขัดแย้งทั้งเรื่องความเชื่อหลักคำสอน และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สิ่งนี้จะไม่ค่อยมีท่ามกลางคริสตจักรศาสนา
d. ผู้นำควรยำเกรงพระเจ้า เกี่ยวกับเรื่องการร่วมงานที่ประสานงานกัน
e. พระวิญญาณจะเคลื่อนไหวและนำพระกาย ถ้าหากพระกายตระหนักถึงการร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว แต่ถึงอย่างไร พระกายไม่ควรใส่ใจเมื่อเห็นการเคลื่อนของพระวิญญาณ แต่ใส่ใจที่การยกย่องสรรเสริญ
- คริสจักรฝ่ายวิญญาณ ที่อยู่อเมริกา เราเห็นเรามีประสบการณ์เรื่องการเคลื่อนของพระวิญญาณ เราเห็นมาเยอะแล้วเราถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆเลย มีลมพัดมาเหมือนพายุเข้ามาในคริสจักร เราทุกคนเฉย สรรเสริญพระเยซูไม่สนไม่สนใจเลย ยกย่องสรรเสริญพระเจ้าขอบคุณพระเยซู สามัคคีธรรม นมัสการต่อ แต่ถ้าเป็นคริสจักรที่เมืองไทย จะมีอะไรเกิดขึ้น ถ้ามีลมพัดพายุเข้ามานะครับทุกคนก็จะ..... สรรเสริญพระเจ้าฮาเลลูยา วันนี้พระเจ้ามาเยี่ยมคริสตจักรพวกเรา ใช่ไหม จริงๆแล้ว พระเจ้าไม่ได้มาเยี่ยมคริสตจักรพวกเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่ที่นี่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทำงานก็เคลื่อนไหว คริสตจักรของพระเยซูนะครับ
เมื่อมีการนมัสการเมื่อไหร่ที่ไหน พระวิญญาณก็จะทำงานที่นั่น พระเยซูก็ยังตัดเองไม่ต้องเชิญเรามา ถ้ามีสองคนหรือมากกว่าสองคน
ร่วมกันอยู่ที่ไหนในนามของเราเราก็อยู่ที่นั่น (มธ 18:20 )
ไม่ต้องเชิญเรามาหรอก ฉะนั้นเราขอบพระคุณพระเยซูที่เมื่อเราร่วมกันรวมกันอยู่ที่ไหน ในนามของพระองค์ พระองค์อยู่ที่นั่นแล้ว พระวิญญาณของพระองค์มีหน้าที่ทำอะไรครับ ...เคลื่อนไหว... ทำงานในเราทำงานกับพวกเรา
ถ้าหากเราทำแบบนี้ได้ ทำได้นะครับ กลับไปอ่านบทเรียนใหม่นะครับ
นี่เป็นการเปิดเผยครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องคริสจักร เกี่ยวกับเรื่องผู้นำ อีก 2-3-4-5 ครั้ง พระเจ้าจะเปิดตาเรามากขึ้นๆ วันนี้เราเห็นเป็นทฤษฎี เป็นความรู้ความเข้าใจผสมกับชีวิตนะครับ แต่อีกไม่นาน เราจะนำเข้ามาสู่ชีวิตประสบการณ์ชีวิต ในการรับใช้ร่วมกัน แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำงานมากในคริสตจักรของเรา
f. ผู้นำเดินในพระวิญญาณ รับผิดชอบตำแหน่งหน้าที่ และตระหนักถึงการประสานงานที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพระกาย
g. การประสานงานของผู้นำและพระกาย ทุกคนต้องมีจิตใจถ่อมเพื่อเห็นแก่พระคริสต์ และผู้มีจิตใจถ่อมจะนิ่งเฉยไม่ได้
h. สิ่งที่สำคัญ คือไม่มีใครพูดในรูปแบบที่เป็นอิสระ โดยอ้างว่าพระวิญญาณนำเขา
- เราเคยเห็นกันไหม ว่าเวลาที่มีการร่วมประชุมหรือว่าสามัคคีธรรม หรือว่าเรียนพระคัมภีร์ร่วมกัน บางคนบอกว่า หนูขอพูดเรื่องใหม่ รู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังนำหนูเรื่องที่จะพูดเรื่องนี้ ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับพี่น้อง 5-6 คน ที่กำลังพูดกำลังสามัคคีธรรมกันอยู่ เป็นคนละเรื่อง แต่เขาอ้างว่าพระวิญญาณกำลังนำ เราเห็นกันไหมบ่อยมากเนอะ เยอะมากนะครับ
อันนี้ ขอโทษนะครับขอพูดตามตรง ไม่ใช่พระวิญญาณนำ พระวิญญาณจะนำเราให้พูดเรื่องเดียวกัน พระวิญญาณจะนำเรา เมื่อเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ถ้าเราบอกว่าสมมุติว่าหนูขอพูดเรื่องของหนู รู้สึกว่าพระวิญญาณกำลังนำหนู อันนี้พระวิญญาณไม่ใช่ครับไม่ใช่พระวิญญาณ
พระวิญญาณของพระเจ้าต้องการให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนะครับอันนี้เราเข้าใจง่ายๆ
a. นิโคเลาตัน คือการที่บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งตั้งตัวเป็นนาย หรือเป็นผู้บงการทุกอย่าง
b. พระกายจะสัมผัสถ้อยคำที่มาจากพระเจ้าผ่านผู้นำ หรือพี่น้องบางคน ซึ่งการสัมผัสดังกล่าวเกิดขึ้นได้ เพราะว่าพระกายร่วมใจประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
c. ท่ามกลางพระกาย ไม่มีใครภูมิใจอะไร เราคือส่วนหนึ่งของกันและกันของพระกายของพระคริสต์ บางคนอาจเป็นผู้นำ บางคนไม่ บางคนอาจเป็นผู้นำ บางคนไม่ แต่เรายอมรับว่า เรารับการสัมผัส การเลี้ยงดูดูแลจากพระคริสต์ผู้เป็นศีรษะของเรา เราเปิดใจต่อกัน และสามัคคีธรรมในพระวิญญาณ
d. การเสนอความคิดเห็น การรับคำหนุนใจ และคำแนะนำจากทุกคนเป็นสิ่งที่เราทำ แต่ในที่สุดต้องสรุปด้วยพระคำพระเจ้า และแนวทางของพระองค์ผ่านพระคัมภีร์ หรือผ่านการเห็นพ้องต้องกันของผู้นำ
e. ผู้นำไม่ใช้อำนาจ ไม่บังคับบงการใคร ผู้นำดำเนินในพระวิญญาณ รับการทรงนำพาจากพระวิญญาณ
f. ผู้นำต้องเปิดใจสามัคคีธรรม มันช่วยแก้ไขปัญหาได้มากมาย
สรุป การเคลื่อนไปพร้อมกัน เกิดมีร่วมประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้เกิดชีวิต ไม่มีใครตาย และไม่มีใครอยู่ในเนื้อหนังและความบาป
a. ผู้นำ (Elders) เลี้ยงดูดูแลชีวิตฝ่ายวิญญาณของพระกาย
b. ผู้ดูแล (Deacons) ดูแลการงานต่างๆ ฝ่ายร่างกายภายในคริสตจักร
c. “การรู้จักหน้าที่การงาน” คือการที่ผู้นำไม่นำปัญหาของพี่น้องเรื่องความเชื่อฝ่ายวิญญาณ มาสามัคคีธรรมกับ ผู้ดูแล หรือผู้ที่ไม่เหมาะที่จะรับรู้ และแสดงความคิดเห็น และแม้กระทั่งภรรยาของผู้นำ
d. ผู้นำจะเป็นผู้นำไปจนตายได้ ถ้าหากคริสตจักรไม่เห็นความบกพร่องของเขา
e. ผู้นำต้องรู้จักความจริงแห่งพระคำทั้งหมด แต่อาจไม่มีโอกาสได้ใช้ทั้งหมด เพื่อป้องกันคำสอนที่ผิดเพี้ยน หรือเชื้อยีสต์ที่ซาตานพยายามนำเข้า เพื่อทำให้พระกายไม่เติบโต
f. ผู้นำต้องรู้จักรักษา แบ่งแยกเขตแดนของพี่น้องชายและพี่น้องหญิง เพื่อป้องกันปัญหาเกี่ยวกับเรื่องชู้สาว ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่า พี่น้องชายหญิงรักชอบกันไม่ได้ แต่ความหมายก็คือเพื่อให้มีการระมัดระวัง และการกระทำที่ไม่ถูกต้องที่อาจเกิดขึ้นได้
g. ผู้นำต้องรู้จักความแตกต่างระหว่างพระกายและคณะนิกาย
h. ผู้นำต้องรู้จักช่วยพี่น้องให้เข้าใจ เกี่ยวกับการร่วมกันไม่ได้ของพระกายและคณะนิกาย
i. ผู้นำต้องรักในการสามัคคีธรรมกับผู้นำด้วยกัน เพื่อพระวิญญาณจะช่วยทำให้ปัญหาที่มีมากจะได้น้อยลง และหนักกลายเป็นเบา การไม่รักชอบในการสามัคคีธรรม จะทำให้ผู้นำมองเห็นทุกสิ่งในวงแคบ แต่เมื่อมีมากกว่าหนึ่งคนร่วมกันเพื่อปรึกษาหารือ เราจะมองเห็นไกล และเห็นทางออกได้มากกว่า
j. พระกายก็เหมือนกัน ควรรักชอบในการสามัคคีธรรม เพื่อรับการหล่อเลี้ยงเลี้ยงดูดูแลจากพระวิญญาณ
k. สามัคคีธรรมกับพระเจ้าของผู้นำ การขาดการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า เราจะไม่มีโอกาสได้เห็นการทำงานของพระเจ้า สุดท้ายทุกคนต้องเหนื่อย และปัญหาเล็กๆ อาจกลายเป็นใหญ่ได้
a. พระเจ้าสามัคคีธรรมกับมนุษย์ตั้งแต่แรกสร้างมนุษย์
b. การสามัคคีธรรมช่วยผู้เห็นน้อยรู้น้อย ให้เห็นและรู้มากได้
c. สามัคคีธรรมระหว่างผู้นำกับผู้นำ
d. ผู้นำไม่เพียงแค่พบกันสัปดาห์ละครั้ง และพูดถึงเรื่องอากาศ รถติด การเมือง หรือข่าวบ้านเมือง แต่ผู้นำสามัคคีธรรมเรื่องฝ่ายวิญญาณของพระกาย
e. การสามัคคีธรรมระหว่างผู้นำกับผู้ดูแล
f. ผู้นำทำหน้าที่อธิษฐาน นำพี่น้องเข้าสู่ฝ่ายวิญญาณ ขณะที่ผู้ดูแลจัดที่นั่ง อาหาร ฯลฯ เพื่อให้ความสะดวกต่อพี่น้องที่มาร่วม
g. สามัคคีธรรมระหว่างผู้นำกับพี่น้องในพระกาย
h. ผู้นำแบ่งพี่น้องเป็นหมวดหมู่ และช่วยกันดูแล
i. เนื่องจากว่า พี่น้องจะมีปัญหาเข้ามาเป็นประจำ เป็นหน้าที่ของผู้นำที่จะช่วยหนุนใจ และอธิษฐานเผื่อพี่น้อง และพี่น้องก็จะเห็นถึงความห่วงใย และการเอาใจใส่ดูแลของคริสตจักร
j. การสามัคคีธรรมกับพี่น้อง ช่วยให้วิญญาณของพวกเขาไม่ตาย และไม่เหี่ยวแห้ง
k. การสามัคคีธรรม คือการเปิดทางให้พระสติปัญญา ความสว่าง ทางออก และการช่วยกู้ของพระเจ้าเข้ามาถึงพระกาย
l. การสามัคคีธรรมทุกวัน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระกาย ไม่ว่าจะใครสามัคคีธรรมกับใคร
m. การสามัคคีธรรมช่วยให้พระกายมีชีวิตอยู่ พระวิญญาณจะทำงานเคลื่อนไหวท่ามกลางคริสตจักรมาก ถ้าหากมีการสามัคคีธรรมมาก
n. การสามัคคีธรรมกับคริสตจักรต่างๆ (พระกายเที่ยงแท้)
o. เพื่อรับการเสริมสร้าง และรับภาระของกันและกัน (อธิษฐานเผื่อ)
a. คริสตจักรและผู้นำควรมีเป้าหมายเดียว นั่นก็คือเพื่อให้พระกายของพระเยซูร่วมกันสำแดงชีวิตและพระนิสัยของพระคริสต์ เรื่องอื่นควรเป็นรอง
b. คริสตจักรมากมายล้มเหลวต่อเป้าหมายการก่อตั้งคริสตจักรของพระคริสต์ บางกลุ่มเน้นที่ความรู้ พิธีบัพติศมา (กลุ่มคณะแบ๊บติสต์) ฤทธิ์เดช (คณะเพนเทคอส) ถือวัน (คณะวันเสาร์) คณะวิทยาศาสตร์ คณะข่าวประเสริฐ ฯลฯ แต่น้ำพระทัยของพระบิดาต่อคริสตจักร ก็คือสำแดงพระคริสต์
c. ความรักคืออะไร คือพระคริสต์ / ความอดทนนานคืออะไร คือพระคริสต์ / ความเมตตาคืออะไร การอภัยต่อผู้อื่นคืออะไร คือพระคริสต์
a. การประกาศเรื่องพระบุตร (นำคนมาเชื่อ และรู้จักตัวตนของพระเยซูและคริสตจักร)
สิ่งที่คริสตจักรพวกเราควรทำ การนำคนมาเชื่อ และรู้จักตัวตนของพระเยซูคริสต์ และคริสตจักร 3 สิ่งนี้นะครับ การประกาศเรื่องพระบุตรเราต้องเข้าใจ ประกาศนำคนมาเชื่อ และให้เขารู้จักตัวตนของพระเยซู และรู้จักคริสตจักร
ทุกวันนี้คริสตจักรมากมายประกาศข่าวประเสริฐนำคนมาเชื่อแล้ว แต่รู้จักตัวตนของพระเยซูไหม? ไม่รู้จัก
ตัวตนของพระเยซูคือมานาที่ซ่อนไว้ มานาที่ซ่อนไว้ก็คืออาหารที่เอาไว้ในพระวิหารชั้นในสุด ที่มหาปุโรหิต ปุโรหิตเท่านั้นที่กินได้นะครับ ไม่ใช่อาหารที่กินง่ายๆ และมานาที่ซ่อนไว้เล็งถึงพระเยซูที่เป็นตัวตน ที่เป็นบุคคลที่มาอยู่กับเรา ทุกวันนี้เรามีมานาที่ซ่อนไว้อยู่กับเรา ก็คือพระคริสต์ แล้วพระคริสต์เป็นผู้เปิดตาเรา พระคริสต์เป็นผู้ช่วยเรา พระคริสต์เป็นผู้ป้อนเรา พระคริสต์เป็นผู้เลี้ยงเรา พระคริสต์เป็นผู้ทำทุกสิ่งในเรา
เพราะฉะนั้นเราต้องนำเขาให้มารู้จักตัวตนของพระเยซู ขอบคุณพระเจ้าที่พวกเรารับมานาที่ซ่อนไว้แล้ว พวกเราได้มาถึงความรู้ รู้จักตัวตนของพระเยซูแล้ว เมื่อก่อนเราอธิษฐานเรามองที่ไหน เงยหน้าขึ้นฟ้า อยู่ไหนน้อ ใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้เรามองที่ไหน หลับตาเลยครับ พระคริสต์อยู่ในเรา พระคริสต์อยู่ในข้าพระองค์ ขอบคุณพระเยซู
และจากนั้นยังไม่พอ 4 ปีนะครับที่จริงผมเคยเราเคยจัดสัมมนาครั้งหนึ่งสองปีที่แล้ว เราพูดกันเรื่องคริสตจักร แล้ววันนี้นะครับก็มาถึงเรื่องคริสตจักรและผู้นำ ต่อไปผมจะพูดถึงพระคริสต์และคริสตจักรนะครับ
ฉะนั้นการประกาศเรื่องพระบุตรเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องนำคนเชื่อ เชื่อพระเยซู และรู้จักตัวตนของพระเยซู และรู้จักคริสตจักรของพระเยซูนะครับ
b. การช่วยให้พี่น้องเติบโต
- ช่วยให้เขารักพระเยซู
- ช่วยเขาจัดการกับอดีต
- ช่วยเขาถวายตัวแด่พระเจ้า
- ช่วยเขาเข้าใจขั้นตอนการอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ ติดต่อกับพระเจ้า และแสวงหาตัวตนของพระเยซู เพื่อชีวิตจะได้รับการหล่อเลี้ยงเลี้ยงดูดูแลจากพระบิดา
- ทำยังไงครับช่วยให้เขารักพระเยซู ทำยังไง?
พระเยซูไม่มีตัวตน พระเยซูไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่เรา เราจะมารักพระเยซูได้ไง ใช่เรารู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าเหมือนขอโทษนะครับ (ยกตัวอย่าง..เหมือนพระพุทธเจ้า เหมือนพระอัลลอห์ เหมือนพระอิศวร เหมือนพระนารายณ์ มีหลายๆ พระ แล้วพระเยซูก็เป็นเหมือนคล้ายๆ แบบนั้น แล้วเราจะมารักพระเยซูได้ยังไงใช่ไหม)
ก็แนะนำ สอน บอก พระคุณของพระเจ้า พระเจ้ารักเรา และเราต้องรักพระเยซูรักยังไง ก็บอกรักพระเยซูสิ อันนี้กลุ่มพี่น้องฟื้นฟู กลุ่มแบ๊บติส กลุ่มเพนเทคอส กลุ่มอะไรทั้งหลายคณะนิกายต่างๆ เขามีน้อยมากนะครับ ที่ผู้นำสอนเรื่องบอกรักพระเยซู มีน้อยมาก แล้วที่อเมริกาบางคริสตจักรเขาเน้นเรื่องนี้น่ะ คือเข้ามาปุ๊บเนี่ย บอกรักพระเยซู เพราะว่าเขาต้องการหลงรักพระเยซู ตั้งอารมณ์อยู่ในการอาการที่รัก รัก รัก รัก รัก ความรักนะครับ Love เราอยู่ด้วย Love อยู่ด้วยความรัก ถ้าไม่มีความรักก็ตาย
อเมริกานะครับที่ประเทศอเมริกา เด็กหนีออกจากบ้านปีละกี่แสนกี่ล้านคน ถามว่าทำไม เพราะว่าเขาขาดความรัก เขาออกไปข้างนอกเพื่อไปแสวงหาความรัก เมื่อพ่อแม่ไม่มีความรักให้เขา เขาก็ไปหาความรักจากแฟน จากผู้อื่น ประเทศไทยก็เหมือนกัน เด็กๆ นะครับขาดความรักจากพ่อแม่ แม้แต่พ่อแม่ที่เป็นคริสเตียนก็ยังไม่มีความรักให้ลูกๆ ใช่ไหม ประเทศลาวประเทศจีนประเทศไหนก็เหมือนกันคริสเตียนจะเป็นแบบนี้
เพราะฉะนั้นเราเน้นตรงนี้นะครับ ก็คือเราพาพี่น้องมาเชื่อในพระเยซู รู้จักตัวตนของพระเยซู รู้จักคริสตจักรของพระเยซู ยังไม่พอเราสอนเขานะครับให้รู้จักรักพระเยซู ขอบคุณพระเจ้ากลุ่มมานาฯ พวกเรา เรารักพระเยซูแล้ว และเราบอกรักพระเยซูบ่อยมาก เอเมนขอบคุณพระเยซู
- แล้วช่วยเขานะครับ ช่วยเขาจัดการกับอดีต จัดการกับอดีตคืออะไร?
บางคนนะครับมีอดีต บางคนนะครับจับ ดึง ถ่วงอดีตไว้ไม่ยอมปล่อย ฉันเป็นคนไม่ดี มีประวัติเสีย ฉันเป็นคนที่แบบคือเลวมาก ฉันเคยทำชั่วมากมายอะไรประมาณนั้นนะครับ ทิ้งมันไป ประหารมัน จัดการกับมัน จัดการที่ไหน? นี่ครับ (กางเขน) พระเจ้ารู้แล้วว่ามันเป็นปัญหาสำหรับเรา ถ้าหากเราถ่วง จับ ดึง ไม่ยอมปล่อยอดีตของเรา เราจะเป็นทุกข์มากๆ เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่จะกำจัดความทุกข์ที่อยู่ภายในเราได้ ก็คือกางเขนของพระเยซู และเมื่อถึงเวลาที่พระเยซูตายบนกางเขน พระเยซูก็นับเราทุกคนให้มาตายกับพระองค์ เพื่อจัดการกับอดีตของเรา จัดการกับชีวิตเก่าของเรา
เพราะฉะนั้นปัจจุบันนี้เราเป็นคนใหม่แล้ว พระเยซูบอกว่า อย่าอยู่เพื่อเมื่อวาน อย่าอยู่เพื่ออดีต แต่อยู่วันต่อวัน พระเยซูบอกว่ายังบอกอีกนะครับว่า อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ แต่ทำให้วันนี้ดีที่สุด แสดงว่าความหมายนะครับก็คือมัทธิวบทที่ 6 ก็คือให้เราอยู่วันต่อวัน ภาษาอังกฤษก็คือ Live Day By Day แค่วันต่อวัน เมื่อวานลืมมันไป อนาคตอย่าเพิ่งไปคิดถึงมันนะครับ
เราวางแผนได้ไหม วางแผนได้แต่อย่าไปปักใจนะครับ ปักใจว่า เอ่อ ต้องเป็น ต้องทำให้ได้ ไม่ครับ เราวางแผนอนาคตได้ แต่เราทำวันนี้เจาะจง จดจ่อที่วันนี้ ผมเมื่อวานผมไม่สนใจแล้ว อนาคตผมจะเป็นยังไง จะร่ำรวยจะยากจน ผมไม่แคร์เลยน่ะบอกตรงๆ ไม่แคร์เลย ผมทำให้ดีที่สุดวันนี้ก็พอ เพราะว่าผมรักพระเยซู และผมทำตามที่พระเยซูสั่งไว้ และการดำเนินชีวิตวันต่อวัน Live Day By Day เป็นกฎเกณฑ์ของพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู เราทุกวันนี้เรารักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูไหม? ดำเนินชีวิตวันต่อวัน.
- ช่วยเขาให้ถวายตัวแด่พระเจ้า ทำยังไงครับ
ก็แนะนำเขา โรทบทที่ 6:13 ถวายตัวเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า เราจะบอกเขายังไง แล้วเราเองล่ะถวายไหม
ทุกเช้านะครับทุกเช้าเราบอกว่า พระบิดาข้าพระองค์ขอถวายตัวใหม่ ชีวิตใหม่ ตัวที่ชอบธรรม เพื่อเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า อย่าลืมนะครับทุกครั้งที่เราถวายตัวเรา ก็คือเราได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า เอเมนไหม และทุกครั้งที่เรานำคนมาเชื่อ เราก็ได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า แล้วผมนะครับถ้าผมเปิดตาใคร ผมก็ได้นำคนนั้นมาถวายแด่พระเจ้า แล้วผมนะครับถ้าช่วยพี่น้องเปิดตาพี่น้องให้เรียนรู้มากขึ้น ผมก็ได้นำพี่น้องเข้าสู่การถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า เราทำอะไรก็ตามนะครับสิ่งที่เราทำ เรียกว่าถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า พระเจ้าพอพระทัยมาก เพราะว่าเราถวายด้วยตัวใหม่ เราถวายด้วยมนุษย์วิญญาณ
- ช่วยเขาเข้าใจขั้นตอนการอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ ติดต่อกับพระเจ้า และแสวงหาตัวตนของพระเยซู เพื่อชีวิตจะได้รับการหล่อเลี้ยงเลี้ยงดูดูแลจากพระบิดา
ทุกวันนี้คริสเตียนมากมายนะครับไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากพระบิดาเลย ไม่ได้รับนะครับ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานไม่ได้ ชีวิตก็ไม่ได้รับ พระวิญญาณก็ไม่ได้รับ การเต็มล้น การเติมเต็มก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเราต้องสอนเขานะครับ ให้เข้าใจการอธิษฐาน อธิษฐานยังไงที่จะรับพระวิญญาณและรับชีวิต
เราจะพูดถึงการอธิษฐานที่ไม่ได้รับชีวิตและพระวิญญาณ เมื่อก่อนเราอธิษฐาน อธิษฐานยังไงแบบศาสนาแบบไม่มีชีวิต (ตัวอย่าง เอเมนพระเจ้าขอพระองค์จงทำนู้น ขอพระองค์จงทำนี้ ขอพระองค์จงช่วยพี่น้องคนนั้น) จงและก็ขอใช่ไหม มีขอด้วยน่ะ แล้วก็มีบ่นด้วยนะครับ นี่คือการอธิษฐานที่ไม่ได้รับชีวิต ไม่ได้รับการหล่อเลี้ยง ไม่ได้รับการเลี้ยงดูโดยพระวิญญาณ
แล้วตอนนี้นะครับคือการอธิษฐานเพื่อรับพระวิญญาณ รับการเติมเต็มด้วยชีวิต (ตัวอย่าง เราเชื่อก่อนว่าเราอยู่ในวิญญาณ พระองค์อยู่ในวิญญาณกับเรา เชื่อว่าพระองค์ฟังอยู่) เราต้องเชื่อนะครับว่าเรากำลังรับพระวิญญาณรับชีวิตของพระเจ้าเข้ามา ทุกครั้งที่เราอธิษฐานเนี่ย เชื่อเลยว่า ขอบคุณพระเจ้าชีวิตของพระเจ้ากำลังหลั่งไหลเข้ามา และพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเติมเต็มเข้ามา ให้เชื่อนะครับ (ตัวอย่าง เอเมนขอบคุณพระเยซูข้าพระองค์รักพระองค์) รักพระองค์บอกรักพระเยซูจำได้ไหม
วิวรณ์บทที่ 2 ข้อที่ 4-7 เราต้องการความรักจากพระเจ้า ให้เราทำยังไง บอกรัก ถ้าเราบอกรักมากขึ้น พระเจ้าจะเอาอะไรเข้ามาใส่ในเรามากขึ้น "ความรัก"
เราส่งรักไป พระเจ้าส่งรักมา
เราส่งรักไป เราส่งรักไปอีก เราส่งรักมากขึ้น พระเจ้าก็ให้มากขึ้นนะครับ
เราบอกรักพระเจ้า พระเจ้าก็รักเรามากขึ้น รักมากขึ้น รัก รัก รัก รัก รัก รักไปรักมา
สุดท้ายเราเต็มล้นด้วยชีวิตของพระเจ้า และเราเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ
c. การรับใช้
1. คริสตจักรศาสนาจะรีบสั่งให้ผู้เชื่อใหม่เปลี่ยนแปลงเลิกทำบาป และซื่อสัตย์เรื่องการถวาย เขาไม่รู้ว่า ผู้เชื่อใหม่ต้องใช้เวลาในการเติบโต
2. คริสตจักรศาสนาล้มเหลวในการบริหารคริสตจักร บ้างก็เน้นข่าวประเสริฐ บ้างก็เน้นไฟ บ้างก็เน้นการเรียนรู้
3. ผู้นำควรป้องกันการโชว์เดี่ยวของพี่น้องในคริสตจักร เราสอนเขาให้เห็นคุณค่าของการประสานงาน และเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องทุกคนในพระกาย
** เราสัมมนาครั้งแรกผมเคยพูดถึงเรื่องนี้น่ะครับ คือการนมัสการที่บางคนชอบโชว์เดี่ยว ทำไมเราไม่มีการถวายเพลงพิเศษ มีบางคนขึ้นมา (สวัสดีค่ะวันนี้หนูขอถวายเพลงพิเศษนะคะ แล้วก็ร้องแล้วก็โชว์เสียง) แล้วที่นี้เวลาร้องเข้าหันหน้าไปที่ไหน? ที่ประชุมทุกคนก็ฟัง เขาก็พยายามร้อง ร้องเพื่อใครทำจริงๆ? ..อวด!..แล้วก็เพื่อสมาชิกฟัง (ถ้าร้องให้พระเจ้าก็ต้องร้องแบบนี้ ร้องเงยหน้าขึ้นฟ้า) ผมพูดถูกไหม!! ร้องให้พระเจ้า พระเจ้าก็อยู่ข้างบนพระบิดาข้าพระองค์รักพระองค์อะไรประมาณนั้น
แต่ทุกวันนี้คนที่ร้องเพลงถวายเพลงพิเศษก็ร้องแบบนี้ให้สมาชิกฟัง ลองดูสิถ้าไม่มีใครตบมือ เขาจะเป็นยังไง ไม่พอใจ น้อยใจ อาทิตย์หน้าไม่ร้องอีกล่ะ อันนี้ไม่ใช่ร้องเพลงถวายเพื่อพระเจ้า แล้วอีกอย่างน่ะครับตอนเวลาที่เขาร้องเพลงทุกคนทำอะไรอยู่? ก็ฟัง บางคนก็กดมือถือ เอามือถือออกมากดไลค์ กดแชร์ เล่นเฟส เล่นไลน์ แล้วเขาเป็นคนเดียวที่กำลังถวายแด่พระเจ้าแล้วทุกคนไม่มีโอกาส
คริสตจักรเน้นที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกันไปด้วยกัน เพราะว่าเราเป็นพระกาย เราไม่นิ่งเฉยน่ะครับ ทุกคนทำร่วมกันทำด้วยกัน ถ้าคุณไม่ทำผมก็ไม่ทำ ถ้าคุณทำให้ผมทำด้วย นี่คือพระกายของพระเยซู เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มีการทำอะไรก็ตามที่เป็นแบบลักษณะเดี่ยว ไม่มีเดี่ยว ไม่มีวันโชว์แมน
4. การรับใช้ต้องมีชีวิต และไม่เพียงแต่มีชีวิตเท่านั้น แต่ต้องดำเนินชีวิตอยู่หรือตื่นอยู่ (ในความจริงในพระคริสต์ (Be Living) เนื่องจากว่า คริสตจักรศาสนามีชีวิต แต่เขาไม่รู้ และยิ่งกว่านั้น เขาไม่ตื่นอยู่ในความจริงในพระคริสต์
** เราสังเกตน่ะครับ ในอนาคตถ้าเรามีคริสตจักรอยู่ที่ท้องถิ่นเรา ยังไงก็ตามขอให้จำในใจเสมอน่ะครับ "ว่าต้องมีชีวิต" การแก้ปัญหา การสอนพระคัมภีร์ การนำคนมาเชื่อ การประกาศ รับใช้ การทำอาหาร ทำกับข้าว การร่วมกันประชุม นมัสการ ขอให้เน้นขอให้ทำสิ่งหนึ่ง "ต้องมีชีวิต" เพราะว่าคริสตจักรของพระเยซูต้องมีชีวิต ศีรษะมีชีวิตไหมครับ ศีรษะพระเยซูมีชีวิต เราพระกายก็ต้องมีชีวิต
5. การตื่นอยู่ หรือดำเนินชีวิต (ฝ่ายวิญญาณ) คือการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า และกับพี่น้อง (ยน 15:1-5)
** การตื่นอยู่ ก็คือพระเยซูข้าพระองค์รักพระองค์ พระเยซูข้าพระองค์จะไปไหนดี พระเยซูวันนี้จะพูดกับใคร พระเยซูเขาพูดมาแล้วแทงใจข้าพระองค์แล้ว อดทนให้ข้าพระองค์หน่อยข้าพระองค์ทนไม่ไหว นี้คือตื่นอยู่
6. การประชุมของคริสตจักรก็ดี และครอบครัวคริสเตียนก็ดี ควรมีชีวิต และรักษาชีวิตนั้นให้อยู่ในอาการตื่นอยู่
** ครอบครัวเราทุกวันนี้ถ้ายังไม่มีการสามัคคีธรรม พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา ยังไม่มีการนมัสการสามัคคีธรรม ขอให้เราเริ่มชวน ชวนเขา ชวนสามีคุณ ชวนภรรยาคุณ ชวนพ่อแม่ ชวนลูกๆ ให้มีการสามัคคีธรรมเพราะว่าคริสเตียนอยู่ได้ด้วยการสามัคคีธรรม คริสเตียนอยู่ได้ด้วยการติดต่อกับพระเจ้า คริสเตียนถ้าไม่ติดต่อกับพระเจ้าก็ตายและเหี่ยวแห้ง ถ้าปักใจไปที่เนื้อหนังเราก็อยู่ในความบาปและความตาย ถ้าปักใจไปที่พระวิญญาณเราก็อยู่ในชีวิตและสันติสุข อยากมีสันติสุขตลอดเวลาอยากอยู่ในความชื่นชมยินดีตลอดเวลา เราทำยังไง? อยู่ในพระวิญญาณครับ
7. การช่วยเหลือพี่น้องในแต่ละเรื่องอย่ารีบร้อน แต่ค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากการรับรู้ฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องยากมาก
8. สรุป ผู้นำช่วยให้พี่น้องมีชีวิต และรักษาชีวิตให้คงอยู่ (ตื่นอยู่) หนุนใจให้เขาไม่ใช้เฟสบุ๊ก ไลน์ หรือยูทูปขณะที่ร่วมกันสามัคคีธรรม
** ถ้าตอนสามัคคีธรรมน่ะครับ ถ้าเราจะใช้เพื่อข้อพระคัมภีร์ เพื่อเปิดพระคัมภีร์ก็โอเค แต่ถ้าเราจะใช้เพื่ออย่างอื่น เพื่อเล่นเฟสหรือว่าเพื่อคุยกับพี่น้องทางไลน์ ในขณะที่เรามีการประชุมนมัสการสามัคคีธรรมกับพี่น้องอยู่ ขอให้งดไว้ก่อน (คิดถึงนะจุ๊บๆ) ไม่. หรือว่า เออ (นมัสการเสร็จเราจะไปไหนกินข้าวที่ไหนกัน) คือขอให้หยุด ขอให้ปล่อย เพราะว่าเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเราตอนที่ร่วมกันใครอยู่กับเรา พระเยซูอยู่กับเรา
(1. มีชีวิต 2. อยู่ในชีวิต 3. ร่วมประสานงานกับพี่น้อง 4. เรียนรู้การใช้ของประทาน 5. พระคริสต์ทำแทน (มีประสบการณ์การเต็มล้นภายใน))
** นี่คือข้อสรุปน่ะครับ คริสตจักรมาร่วมกันต้องมีชีวิต ต้องอยู่ในชีวิต ต้องร่วมประสานกับพี่น้อง เรียนรู้การใช้ของประทาน ''การเรียนรู้ใช้ของประทานนี้สำคัญมาก'' ทุกวันนี้คริสเตียนมากมายไม่รู้จักใช้ของประทาน แล้วไม่รู้เลยว่าเรามีอะไรพระเจ้าให้อะไรกับเรา อย่าลืมน่ะครับ คริสเตียนทุกคนเป็นคนต้นเรือน เราจะรับหรือไม่รับเชื่อหรือไม่เชื่อเอาหรือไม่เอา พระเจ้าก็ตั้งเราให้เป็นคนต้นเรือนแล้ว คุณเป็นคนต้นเรือนๆๆๆๆ ทุกคนเป็นคนต้นเรือนหมด เป็นผู้ดูแลบ้านของพระเจ้า เพราะฉะนั้นพระเจ้าให้อาวุธให้อุปกรณ์ในการใช้เครื่องมือให้เราดูแลบ้านของพระองค์
บางคนรักษาโรคได้ เคยคิดไหมว่าเรารักษาโรคได้ เคยสำรวจเคยเช็คดูไหมว่าเราไล่ผีได้ พระเจ้าให้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่เคยไปไล่ผีเลย พระเจ้าให้นานแล้ว ไม่เคยรักษาโรคใครไม่เคยอธิษฐานวางมือ ลองไปวางดูสิไปเยี่ยมใครก็ได้ ไปหาใครก็ได้ ไปประกาศข่าวประเสริฐก็ได้ ไปหาพี่น้องคริสตจักรคริสเตียนที่ป่วยไม่สบาย ได้ยินข่าวว่าคนนี้ไม่สบายก็ไปสิครับ ไปสะสมบำเหน็จรางวัล ไปเพราะว่าเรารักพระเจ้า เพราะเห็นแก่พระกายของพระองค์ อย่าเกียจคร้าน
ออกไปน่ะครับ วางมือดูน่ะครับวางมือในนามพระเยซูจงหายดี คุณจะหายนะ คุณต้องหาย ผมเชื่อว่าคุณต้องหายพระเยซูแบกความเจ็บไข้ไปที่กางเกงแล้ว คุณต้องหาย (เเล้วก็กลับบ้าน พระเยซูเขาต้องหาย เอเมนพระเยซู) ที่นี่เขาโทรศัพท์มาบอกว่าหายแล้ว โอ้ เราน่าจะมีของประทานก็ไปหาคนอื่น ในนามพระเยซูคุณจงหายดี หายนะขอให้เชื่อว่าหาย พระเยซูแบบความบาปแบกความเจ็บไข้ไปที่กางเขนแล้วต้องหายดี (ให้เขาหายนะพระเยซูอย่าให้ข้าพระองค์หน้าแตกนะ อันนี้ไม่ใช่นะไม่ถูกแล้ว) เชื่อน่ะครับเอเมนขอบคุณพระเยซูที่พระองค์จะรักษาเขา ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์จะให้เขาหายดี เอเมน
ไปวางมือไปช่วยเขา เห็นผีน่ะครับเห็นผีสิงคนที่ไหนไปเสนอเลย ไปถามเขาคุณเป็นใครกับคนที่ถูกผีสิงผีเข้า อ๋อ เป็นพ่อ ผมขอรักษาได้ไหมผมขอช่วยอธิษฐานให้เขาได้ไหม ผมเป็นคริสเตียนผมเชื่อพระเยซู ไปวางมือน่ะครับ (มึงเป็นใคร นามสกุลอะไร มาจากไหน พ่อแม่เป็นใคร) ต้องพูดแบบนี้ไหม? คริสตจักรมากมายทุกวันนี้ทำแบบนี้นะ ต้องสัมภาษณ์มันก่อนต้องถามข่าวคราวทุกสุขก่อน ไม่มีเวลาอย่าไปเสียเวลา ในนามพระเยซูจงออกไปน่ะครับ ถ้าไม่ออกถ้าไม่มั่นใจในพระนามพระเยซูชาวนาซาเร็ซ จงออกไป ไล่มัน ถ้ามันไปแสดงว่าเรามีของประทาน ถ้ามันไม่ไปมันหัวเราะ เราวิ่ง!!
ค้นหาของประทานน่ะครับ เพราะว่าพระเจ้าจะใช้ทุกคน ในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าใครไม่มีของประทานจริงๆ อย่างน้อยต้องมีหนึ่งชิ้น พระเจ้าให้ทุกคนและถ้าใครไม่มีจริงๆ พระเจ้าให้หนึ่งชิ้น เราอธิษฐานถามพระเจ้าดูหรือลองไปทำดู ไปทำ ถ้ามันเกิดผลแล้วไม่ใช่อำนาจไม่ใช่ความสามารถของเราก็คือของประทาน
การเล่นกีต้าร์คือของประทานไหม? ไม่ใช่นะ คือความสามารถคือพระพร
การร้องเพลงเก่งๆ คือของประทานไหม? ไม่ใช่นะ
คำว่า ของประทาน ก็คือ การวางมือหรือการทำอะไรที่มันเกิดผลที่เราเองทำไม่ได้ ผมมีของประทานเรื่องการแบ่งปันเรื่องการเปิดตาพี่น้อง รักษาตาอาการตาบอดอันนี้ชัดเลยน่ะครับ แต่ก่อนผมไม่รู้ตอนที่ผมเป็นคริสเตียนใหม่ๆ ผมฝันน่ะครับว่าผมเดินไปตามบ้านเมืองต่างๆ เดินไปแล้วก็ชี้ใส่บ้านนี้มันก็พังลง ชี้ใส่บ้านหลังไหนมันก็พังลงหมด ผมไม่รู้ว่ามันอะไรน่าจะเป็นฝันแบบคือคิดมากหรือยังไง แต่ต่อมาก็มารู้ว่า อ๋อนี่คือของประทานในการเปิดตาพี่น้อง ให้บ้านพังลง ให้ตายต่อตัวเก่า ให้บ้านเก่าชีวิตเก่าถูกพัง แล้วพระเจ้าสร้างบ้านขึ้นใหม่สร้างชีวิตใหม่ให้พวกเรา พวกเราจึงกลายเป็นมนุษย์วิญญาณ
แล้วพี่น้องคนไหนที่ยังไม่ได้สัมผัสมานาที่ซ่อนไว้ ก็คือเขายังมีบ้านเก่า ใช้ชีวิตเก่า ชีวิตอาดัมตัวเก่า อย่าลืมน่ะครับตัวเราเรียกว่าบ้าน 1 คร 6:19-20 เราเป็นวิหารของพระวิญญาณ วิหารแปลว่าอะไรภาษาอังกฤษเรียกว่า House พวกเราเป็น House ของพระเจ้า พวกเราเป็นบ้าน เป็นที่อยู่ของพระเยซู
a. การสอนและแนะนำพี่น้องที่มีของประทานและความสามารถ ให้ทำหน้าที่ให้ถูกต้องและเหมาะสม
b. การใช้ของประทานและความสามารถเพื่อพระกาย เป็นแค่หมายเลข 0
c. เมื่อคุณสามารถรับใช้ ใช้ของประทานและความสามารถ แต่ถ้าไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ ของชีวิตในพระคริสต์ คุณจะไม่ได้รับรางวัลอะไรเลยเมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมา
d. การรับใช้ต้องควบคู่ไปกับการสำแดงพระคริสต์ และการแบ่งปันชีวิตพระคริสต์ต่อผู้อื่น
a. เราไม่ควรพูดแค่คำว่า “จงวางใจในพระเจ้า” “เลิกทำบาปสิครับ” “อธิษฐานไม่มากพอ ผมจะอธิษฐานเผื่อนะครับ” ฯลฯ แต่เราต้องนำปัญหาของเขาไปทูลต่อพระบิดาอยู่เป็นประจำ และแนะนำทางออกที่เหมาะให้เขา เมื่อรู้สึกสัมผัสว่า ทรงตรัสกับเรา หรือไม่ก็ช่วยแนะนำเขาด้วยวิธีที่เหมาะสม ตามแบบอย่างในพระคำพระเจ้า หรืออาจจะไม่ใช่แบบในพระคัมภีร์ ยกตัวอย่างเช่น การคบกับคนที่ไม่เชื่อ หรือร่วมทำธุกิจกับพวกเขา อยู่ที่การนำพาของพระวิญญาณ อย่าลืมว่า พระเจ้าช่วยแก้ปัญหาหลายวิถีทางที่เราอาจคิดไม่ถึง และคิดว่าอาจจะไม่ใช่ เมื่อคนในครอบครัวบอกเราว่าหนาว เราจะไม่บอกว่า “มาอธิษฐานกันเถอะ เพื่อขอให้พระเจ้าช่วย” แต่เราต้องหาเสื้อกันหนาวมาให้เขา
** เราเห็นนะว่าถ้ามีใครมาหาเรา มาคุยกับเรา มาขอคำแนะนำจากเรา ส่วนมากเราจะบอกว่าวางใจในพระเจ้า วางใจในพระเจ้า แล้วเราไม่ทำอะไรเลย แล้วก็บอกว่าเลิกทำบาปสิคุณทำบาปอยู่ พระเจ้าลงโทษคุณอยู่นะ หรือไม่งั้นก็อธิษฐานไม่มากพอ อธิษฐานอีก
ผมจะอธิษฐานเผื่อคุณนะแค่นี้พอไหม? ไม่. ต้องหนุนใจ ต้องคุย ต้องปลอบประโลม คือทำให้เขารู้สึกว่าพระเจ้าแคร์เขา พระเจ้ารักเขา เป็นสิ่งที่เราต้องทำน่ะครับ
••• แต่เราต้องนำปัญหาของเขาไปทูลต่อพระบิดา •••
** อย่าลืมน่ะครับเมื่อใครมีปัญหามาหาเรามาคุยกับเรา เราทำยังไง? บอกพระบิดาฟ้องพระบิดาเป็นคนแรกเลย พระบิดาตอนนี้เขามีปัญหาทำยังไงดี จัดการหน่อยช่วยหน่อย แก้ไขให้เขาหน่อย ถ้าพระเจ้าไม่ตอบน่ะครับ ขออีกอย่างหนึ่งก็คือ "ความเมตตา" เราจำกันได้ไหมทุกวันนี้พระเจ้าทำ 2 สิ่งกับพวกเรา
1. ก็คือพระคุณ
2. ก็คือพระเมตตา
พระคุณก็คือพระเจ้าทำกับเราตามที่พระองค์กำหนดไว้ ให้เรารอด ให้เราได้รับพระพร ให้เรามีพระคุณ ให้เรามีความรัก ให้เรามีแค่นี้พอแล้ว แต่เราขอเพิ่มได้ไหม? ได้. การขอเพิ่มก็คือการขอความเมตตา ฉะนั้นพระเจ้าของเรา เราโชคดีบอกจริงๆ น่ะครับเราโชคดี พระเจ้าของเราเป็นคนที่มีความรัก มีบุญคุณต่อเราและยังไม่พอเป็นคนเมตตาสงสาร ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์มีพระเมตตาต่อพวกเรา
••• แนะนำทางออกที่เหมาะให้เขา เมื่อรู้สึกสัมผัสว่า ทรงตรัสกับเรา หรือไม่ก็ช่วยแนะนำเขาด้วยวิธีที่เหมาะสม ตามแบบอย่างในพระคำพระเจ้า หรืออาจจะไม่ใช่แบบในพระคัมภีร์ •••
** ตรงนี้ผมเขียนว่าเราแนะนำเขาตามวิธีในพระคัมภีร์ หรือบางครั้งอาจจะไม่ได้แนะนำตามวิธีในพระคัมภีร์หรือไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ มันแปลว่าอะไร?
ที่อเมริกามีพี่น้องหญิงคนหนึ่งเขาเป็นภรรยาของศิษย์ยาภิบาล พอดีศิษย์ยาภิบาลเสียชีวิต แล้วเขาก็เป็นหม้ายมีลูก 2 คน ทีนี้คือเขาเดือดร้อน เงินไม่พอ ค่าใช้จ่ายเยอะเลี้ยงลูก 2 คน แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งก็มาหลงรักเขามาจีบเขา แล้วทีนี้คริสตจักรก็บอกว่าอย่าไปคบกับคนที่ไม่เชื่อ เห็นไหมพระคัมภีร์บอก เขากลุ้มใจมากเพราะว่าคริสเตียนก็ไม่มีใครมาจีบเขา เขารอให้ผู้ชายคริสเตียนมาจีบเขาไม่มีใครมาจีบ แต่คนที่ไม่เชื่อก็หลงเข้ามา ก็มาคุย มาจีบ มาชอบ มารักเขา ทีนี้พี่น้องคริสตจักรก็ห้ามไม่เป็นใจไม่สนับสนุน เขาก็ร้องไห้โทรศัพท์มาหาผม อาจารย์ทำยังไงดี ผมก็บอกว่าคบเลยคุยกับเขาเลย ก็คุยกันก็คบกันแต่ให้มีขีดจำกัด เข้าใจน่ะครับคำว่าขีดจำกัด คือ คบ คุย คุย คบ แล้วผมก็บอกว่าเสียงคุณดีร้องเพลงให้เขาฟังสิร้องเพลงคริสเตียนเขาก็ร้อง คนที่แอบรัก คนที่มาชอบเรา มารักเรา มาจีบเรา ทำอะไรเขาก็ฟัง ทำอะไรเขาก็โอเคใช่ไหม
ตอนนั้นก็ฉวยโอกาสเลย ก็ร้องเพลงพระเยซูให้เขาฟัง เขาก็บอกว่าเพราะๆๆ ในใจผมรู้นะเขาบอกว่าเพราะเนี่ยที่จริงเขารำคาญใช่ไหม. คนที่ไม่เชื่อเขาไม่ชอบเพลงคริสเตียน เขาบอกว่าเพราะๆๆ เพราะเขารักผู้หญิงคนนี้ ทีนี้ผมก็บอกว่าประกาศเลยประกาศบอกเรื่องพระเยซูให้เขา ผู้หญิงก็บอกเรื่องพระเยซูเเล้วก็ชวนเชื่อ ชวนอธิษฐาน ผู้ชายก็บอกว่าโอเคๆๆๆ ก็อธิษฐาน สุดท้ายเป็นยังไงครับ. ผู้ชายคนนี้กลายเป็นคริสเตียน เชื่อพระเยซู รับใช้พระเจ้า ถวายตัว เข้มแข็ง
อันนี้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับคำสั่งของเปาโลที่เขียนโดยพระวิญญาณ มันมีกรณี มันมีเหตุผล มันมีหลากหลายหลายสิ่งหลายอย่างน่ะครับ ที่เราเอามาใช้ที่เรานำมาทำมาปฏิบัติและแนะนำให้กับคนที่เป็นพี่น้องของพวกเราน่ะครับ เราไม่ใช่เป็นคริสเตียนที่เคร่งศาสนา เราทำอะไรไปแล้วเราเห็นว่าพระวิญญาณทรงนำ หรือเห็นว่าสิ่งที่มันเป็นสิ่งที่เหมาะสม
สมมุตินะ กลับย้อนไปที่ผู้หญิงคนนี้ แล้วผู้หญิงคนนี้ประกาศกับเขา เขาไม่เชื่อ ผู้หญิงคนนี้ร้องเพลงให้เขา เขาก็ไม่ฟัง วางสายปั๊บเลย ที่นี้ทำยังไงก็อธิษฐานเผื่อเขาก็ไม่คบ ผมจะแนะนำแบบนั้น แต่ปรากฏว่ามันเกิดผลดีมันได้ผลพระเจ้าทำงานได้คนนั้นมาเป็นคริสเตียน
••• อยู่ที่การนำพาของพระวิญญาณ อย่าลืมว่า พระเจ้าช่วยแก้ปัญหาหลายวิถีทางที่เราอาจคิดไม่ถึงและคิดว่าอาจจะไม่ใช่ •••
••• เมื่อคนในครอบครัวบอกเราว่าหนาว เราจะไม่บอกว่า “มาอธิษฐานกันเถอะ เพื่อขอให้พระเจ้าช่วย” แต่เราต้องหาเสื้อกันหนาวมาให้เขา •••
** คือเราทำอะไรได้ เราช่วยอะไรได้ เราควรช่วยเขา เราไม่ใช่เพียงแต่อธิษฐาน อธิษฐานกันเถอะขอพระเจ้านำ วางใจในพระเจ้า ไม่น่ะครับ. หลายสิ่งหลายอย่างที่เราทำได้ เราก็ทำ หลายสิ่งหลายอย่างที่เราช่วยได้ เราก็ช่วย หนุนใจอะไรไปได้เราก็หนุนใจ ไม่เพียงแต่เฉพาะรอคำตอบจากพระเจ้าเท่านั้น ไม่นะ. คำตอบของพระเจ้าบางครั้งก็อยู่กับเรา พระเจ้าก็กำลังทำงานอยู่ แต่อย่างน้อยน่ะครับขอให้เชื่อว่าเรากำลังทำในพระคริสต์ ทำเพื่อพระคริสต์ ทำร่วมกับพระคริสต์ คนใหม่กำลังทำอยู่ เอเมน
b. เราขอการทรงนำจากพระบิดา และหวังพึ่งสติปัญญาของพระคริสต์ การเรียนรู้ที่จะให้พระวิญญาณสอน นำ และช่วยแก้ไขปัญหาชีวิต ไม่ง่ายและก็ไม่ยาก อยู่ที่เราเรียนรู้อย่างถูกวิธี
** หลายคนถามผมว่าอาจารย์ เราจะรู้ได้ยังไงว่าอันนี้มาจากพระวิญญาณ อันนี้ไม่ใช่มาจากพระวิญญาณ เราจะรู้ได้ยังไงว่าพระวิญญาณกำลังตรัสกับเรา แล้วทำไมหนูไม่เคยได้ยินเสียงพระวิญญาณ ไม่ได้ยินเสียงพระเยซูบอกสักคำเดียว
คือพระเยซูน่ะครับ พระวิญญาณน่ะครับ หรือทูตสวรรค์ เขาจะไม่มานั่งคุยกับเราเป็นหลายนาที บางครั้งพระเจ้าตรัสกับเราแค่คำเดียว บางครั้งประโยคหนึ่งน่ะครับ
มีอยู่วันหนึ่งผมจะสอนพี่น้องที่รัฐอื่น แล้วก็เดินทางไป ก่อนที่จะไปพี่น้องก็เชิญมาแล้ว แล้วก็คุยกันแล้วตกลงกันแล้วทีมงานก็เตรียม ผมไม่รู้จะสอนอะไร ไม่รู้จะพูดอะไร แน่นอนครับพื้นฐานที่ผมสอนบทเรียนพื้นฐานก็คือ 001 จนถึง 004 แต่หัวใจที่สำคัญและสิ่งที่ต้องการไปสอนเขาเพิ่มมันคืออะไร ก็คิด คิดไปคิดมา แล้วบอกพระเยซู พระเยซูๆๆๆๆ น่ะครับ แล้วก็มีเสียงมา หญิงพรหมจารี 10 คน ผมก็นำบทเรียนนี้ไปสอนแล้วก็ขอบคุณพระเจ้าก็เกิดผล พี่น้องที่นั่งฟังไม่ได้นั่งฟังธรรมดาน่ะครับร้องไห้ไปด้วย เพราะว่าพระเจ้าต้องการอยากให้เขาเรียนรู้เรื่องหญิงพรหมจารี เรื่องเกี่ยวกับการที่มีพระคริสต์ที่อยู่ในเปรียบเสมือนน้ำมันที่อยู่ในจิตใจของเรา ก็คือให้พระคริสต์ครอบครองจิตใจน่ะครับ
พระวิญญาณตรัสจะนานๆ ทีหนึ่ง บางคำหรือประโยคหนึ่งแค่นั้น หรือพระวิญญาณตรัสพระเจ้าตรัสกับเราพูดกับเราน่ะครับ ผ่านทางทีวีบ้าง พระคัมภีร์บ้าง โฆษณาป้ายที่เราเห็นบ้าง คนขอทานเดินผ่านมาบ้าง คือพระเจ้าตรัสทุกทางทุกวิธีขอให้เราสังเกต และสิ่งที่ผมสัมผัสมากๆ ถ้าเข้าถึงการสนิทในพระเยซูมากๆ ทุกวันพูดคุยกับพระเยซู บอกรักพระเยซู เป็นชีวิตหนึ่งเดียวกับพระเยซูแล้ว ผมเกิดมีประสบการณ์สิ่งหนึ่งก็คือ หัวใจร้อนรน มันมีการเคลื่อนไหวบริเวณหน้าอก แล้วก็เกิดมีความรักเมตตามากกว่าที่ผมเคยมี ผมน่ะครับก็เป็นคนเมตตาอยู่ เป็นคนขี้สงสารคน แต่ถ้าพระเจ้าใส่ความเมตตามาน่ะครับก็คือ อยากร้องไห้ อยากไป อยากสอน อยากควักกระเป๋าให้เขาอยากช่วย นี่คือเครื่องหมายเป็นสัญญาณบอกว่าพระเจ้ากำลังทำงาน กำลังตรัสกับเราหรือใช้เราสั่งเราให้ทำ ขอให้สังเกต
c. สอนให้ทุกคนมีภาระใจกับปัญหาของพี่น้องในพระกาย และนอกพระกาย (คริสตจักรเที่ยงแท้)
d. การอธิษฐานเผื่ออย่างสม่ำเสมอ และการช่วยเหลือเรี่ยวแรง หรือทรัพย์สินเงินทองเท่าที่เราทำได้
e. สอนพี่น้องให้เขาดูการทำงานด้วยวิธีของเรา ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกต้อง และได้ผลอย่างมากมาย
f. เราอาจจะเห็นผลช้า แต่เป็นการสอนที่ดี เนื่องจากว่า การสอนในลักษณะนี้ คือจากประสบการณ์ที่เขาเรียนรู้จากการได้เห็นการทำงานของเรา ซึ่งมีเราเป็นคนแนะนำเอง
g. ขอให้ช่วยพี่น้องให้รับใช้เกิดผลมาก และถึงเขาจะทำได้ดีกว่าเรา เราก็ขอบพระคุณพระเยซูที่เราได้ทำหน้าที่ที่ดีที่สุดในวันนี้
** เราไม่อิจฉา ไม่อิจฉาเขา เวลามีใครที่พูดได้ดีกว่าเรา ทำได้ดีกว่าเรา รับใช้ได้ดีกว่าเรา มีผลงานมากกว่าเรา เราไม่อิจฉา คริสเตียนฝ่ายวิญญาณมนุษย์วิญญาณไม่ขี้อิจฉา
a. เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพื่อกำจัดหรือทำลายความต้องการฝ่ายเนื้อหนัง และจิตใจที่หยิ่งผยองพองตัว ความหลงตัวเอง เพื่อความถ่อมและแสวงหาพระเจ้า และทางฝ่ายวิญญาณมากขึ้น
b. เมื่อผู้นำหรือผู้รับใช้มีชื่อเสียง หรือเป็นที่รู้จัก อาการอยากเด่นดีดัง หรือมีชื่อเสียงก็เกิดขึ้นได้
c. กางเขนเท่านั้นที่สามารถทำลายเนื้อหนัง และทุกสิ่งที่เป็นฝ่ายเนื้อหนังได้ การต้องการเป็นใหญ่ มีอำนาจชื่อเสียง หรือความอยากเด่นดีดังคนเดียวได้ เราจึงต้องเรียนรู้บทเรียนเรื่องกางเขนอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อเข้าสู่การชำระด้วยพระวิญญาณ
d. เมื่อผู้เชื่อได้เรียนรู้บทเรียนเรื่องกางเขน แน่นอนที่สุด พระเจ้าก็จะให้เราเข้าสู่บทเรียนเรื่องการแตกหักอย่างแน่นอน
a. “ผมไม่สามารถทำคนเดียวได้” “ผมต้องร่วมมือกับพี่น้อง” “ผมต้องการพี่น้อง และพี่น้องก็ต้องการผมในการรับใช้ และพวกเราจะทำทุกสิ่งเพื่อพระกาย”
b. ถ้าหากพี่น้องอยู่ในฝ่ายวิญญาณ ผมก็ประสานงานกับพี่น้อง ถ้าหากพี่น้องอยู่ในเนื้อหนัง ผมก็ต้องประสานงานร่วมงานกับพี่น้อง ถ้าหากพี่น้องอ่อนแอ ผมก็จะร่วมประสานงาน
c. ผมจะยืนเคียงข้างพวกเขา และผมจะไม่หวังว่า เขายืนอยู่เคียงข้างผม
d. เหตุผลทุกเหตุผลที่จะทำให้ไม่ร่วมประสานกัน ผมจะตรึงมันที่กางเขนของพระเยซู เพราะว่าผมได้เรียนรู้เรื่องกางเขน และเข้าสู่การแตกหักในแต่ละวัน
e. การร่วมประสานกัน ทำให้กลายเป็นหนึ่งเดียวได้
f. ถ้าหากเรายังยึดติดกับเนื้อหนัง ไม่ผ่านกางเขนและการแตกหัก พระกายจะเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้ เพราะว่าทุกวันนี้ซาตานทำงานหนักมาก เพื่อขัดขวางการเป็นหนึ่งเดียวของพระกาย
g. จุดที่สำคัญที่สุดของการบริหารคริสตจักรของผู้นำ คือการร่วมประสานกันของพี่น้องในพระกาย
h. การบริหาร คือเพื่อการร่วมประสานงานกัน การประสานงานกัน คือเพื่อก่อสร้างพระกาย
a. ผู้นำและพี่น้องในพระกาย ควรเรียนรู้การประกาศให้ถูกวิธี เรื่องสิ่งที่ควรพูดและไม่ควรพูด สิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ จังหวะและเวลาของการพูด ของประทาน และการทรงเลือก เพื่อให้พระวิญญาณใช้เราให้เกิดผลได้ และไม่เป็นที่สะดุด หรือน่าเบื่อหน่ายของผู้ฟัง
b. ข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตร สันติสุข และการตายเพื่อไถ่บาปมนุษย์ คือสิ่งที่เราประกาศกับคนที่ไม่เชื่อ ส่วนเรื่องอาณาจักร คือสำหรับคนที่เชื่อ
c. เป้าหมายคือที่ทำงาน โรงเรียน สมาชิกภายในครอบครัว โรงงาน และทุกแห่งที่เรามีช่องทางที่จะประกาศ
d. ผู้นำควรแนะนำพี่น้องให้เรียนรู้การประกาศที่ถูกต้อง และประสานกันและเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อพระวิญญาณจะทำงานเกิดผลอย่างมากมาย
e. การประกาศที่ครบถ้วน คือนำคนมาถึงพระเจ้า และนำพระเจ้าเข้ามาถึงคน
f. เมื่อมีคนกลับใจรับเชื่อ คริสตจักรควรชวนเขามาร่วมมีส่วนในพระกาย เพื่อเลี้ยงดูดูแลให้เขาเติบโต
a. ผู้นำและผู้ประกาศ ควรที่จะเข้าใจพื้นฐานของความเชื่อเกี่ยวกับเรื่อง:
1. การกลับใจใหม่ (Repentance)
2. การไถ่ (การตายแทนบาปของเราโดยพระเยซู) (Redemption)
3.การบังเกิดใหม่ (Regeneration)
4. การชำระให้กลายเป็นคนชอบธรรม (Justification)
5. การเข้ามาสถิตอยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และของพระคริสต์ (Indwelling of The Holy Spirit and Christ)
6. รอดแล้วรอดเลย (Sure Salvation)
7. ความรอดมีสองรอด (Two Salvation)
8. การสารภาพบาป (Confession)
9. การมาหาพระเจ้า (Come to God)
10. อาณาจักรสวรรค์ (The Kingdom of Heaven)
b. การสอนผู้เชื่อใหม่ ควรเป็นหน้าที่ของผู้นำ
- เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลานานหลายปี พวกเราทุกคนยังอยู่ในขั้นตอนนี้ ถึงแม้ว่าผู้เชื่อจะอยู่ในระดับพ่อก็ยังต้องทำบาป (นานนานทำที) แต่เขากลับใจ และกลับสู่ฝ่ายวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว อย่างน้อยเขาก็มีสันติสุขทุกเวลา และถูกพระคริสต์ครอบครองจิตใจได้ทั้งวัน
1. สอนและแนะนำให้ผู้เชื่อใหม่ถวายตัว (อย่างถูกต้อง)
a) เพื่อดำเนินชีวิตในพระคริสต์ และเพื่อร่วมรับใช้กับพี่น้องในพระกาย
b) การถวายตัว พระเจ้าถือว่า เป็นเครื่องบูชาที่ทรงพอพระทัย
c) การถวายตัว ทำให้พระเจ้าทำงานในผู้เชื่อใหม่เหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเขาให้โตตามกำหนดเวลาอันควร
2. การสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อใหม่
a) ในระยะ 10-20 วัน ผู้นำอธิษฐานเผื่อ ติดตาม สอน แนะนำวิธีการอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน สนิทบอกรัก สารภาพ ทั้งเตือนเขาเรื่องคำสอนที่มีเชื้อ และคริสตจักรที่ตกต่ำ จนกว่าเขาจะเข้าใจ และฝึกเดินในขั้นพื้นฐานได้
b) ผู้นำเสนอให้ผู้เชื่อใหม่มาร่วมประชุมกับพี่น้องในพระกายเพื่อรับการเสริมสร้าง เพื่อเข้าสู่ความอุดมสมบูรณ์ของพระคำพระเจ้า และสัมผัสพระพรฝ่ายวิญญาณทุกประการที่ทรงประทานให้เรา
3. การเปิดเผยเรื่องการตาย และเป็นขึ้นร่วมกับพระเยซูให้กับผู้เชื่อใหม่
มานาที่ซ่อนไว้อาจเป็นเรื่องของตาฝ่ายวิญญาณ แต่เมื่อพระเจ้าทรงนำผู้เชื่อใหม่เข้ามา เราทำหน้าที่ป้อน สอน เลี้ยงดูเขาจากอาหารน้ำนมสู่อาหารผู้ใหญ่ เขารับได้มากน้อยเท่าไหร่ อยู่ที่พระคุณที่เขาได้รับจากพระเจ้า และเวลากำหนดของพระองค์ต่อชีวิตเขา เขาอยู่ได้หรือไม่ได้เราก็เอเมนกับเขา เพราะว่าพระเจ้าทรงกำหนดทุกสิ่งเอาไว้แล้ว ฉะนั้น หน้าที่ของเราก็คือทำหน้าที่ของเรา
a. ผู้นำไม่เพียงแต่ฝึกเดินเท่านั้น แต่ควรฝึกรับใช้ และประสานกันกับพี่น้อง
b. การฝึกเดินคนเดียว ง่ายกว่าการฝึกเดินร่วมกันกับพี่น้อง ด้วยการร่วมแรงร่วมใจประสานกันเพื่อความเป็นหนึ่งเดียว เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่โดยพระคุณของพระเจ้าเราทำได้ และสิ่งที่พระเจ้าท้าทายเรา ก็คือมงกุฎแห่งการฝึกเดิน รับใช้อย่างสม่ำเสมอ และก่อขึ้นอย่างถูกต้องของพระกาย
c. 1 ปต 5:1-4 >> 5:1 ข้าพเจ้าจึงตักเตือนบรรดาผู้ปกครองในพวกท่านทั้งหลาย ในฐานะที่ข้าพเจ้าก็เป็นผู้ปกครองคนหนึ่งเช่นกัน และเป็นพยานถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และมีส่วนที่จะรับสง่าราศีอันจะมาปรากฏภายหลังด้วย 5:2 จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่กับท่าน จงเอาใจใส่ดูแลไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการเห็นแก่ทรัพย์สิ่งของอันเป็นมลทิน แต่ด้วยใจพร้อม 5:3 และไม่ใช่เหมือนเป็นเจ้านายที่ข่มขี่ผู้รับมรดกของพระเจ้า แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น 5:4 และเมื่อพระผู้เลี้ยงใหญ่จะเสด็จมาปรากฏ ท่านทั้งหลายจะรับมงกุฎแห่งสง่าราศีที่ร่วงโรยไม่ได้เลย
1) การสอนผู้เชื่อใหม่เรื่องการเป็นขึ้นของพระคริสต์
การเป็นขึ้นของพระคริสต์ คือพระเจ้าเสด็จมาบังเกิด-ตาย-เป็นขึ้นมาจากความตาย-เป็นพระวิญญาณ และเข้ามาสถิตอยู่ภายในมนุษย์ที่ตกต่ำแล้ว พระเจ้าได้ทำลายสภาพที่ตกต่ำในมนุษย์ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เป็นชีวิตของเรา นำพาชีวิตเรา เพื่อมนุษย์จะดำเนินชีวิตใหม่ในพระวิญญาณได้ และเพื่อมนุษย์จะได้หลุดพ้นจากความบาปและความตาย
2) การสอนผู้เชื่อใหม่เรื่องคริสตจักร
a. บทเรียนเรื่องคริสตจักร และเป้าหมายของพระเจ้าที่ก่อตั้งคริสตจักร เป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้เชื่อทุกคนควรรู้และเข้าใจ
b. คริสตจักรคือข้อลึกลับของพระคริสต์ คือพระกายของพระเยซู คือผู้เชื่อมาอยู่ร่วมกันเพื่อสำแดงชีวิตและนิสัยของพระเยซู (รสเค็มและความสว่าง) ในแต่ละเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ ทั้งภายในครอบครัว และทุกแห่งทุกหนทุกเวลา
c. รูปร่างหน้าตาของคริสตจักร ไม่ใช่ตึกสีต่างๆ ที่มีป้ายชื่อคริสตจักร และไม้กางเขน แต่รูปร่างหน้าตาของคริสตจักร คือบุคลิก ลักษณะ คุณสมบัติที่มาจากพระคริสต์ในเรา เป็นคนสำแดงผ่านเราไม่มากก็น้อย
d. เราไม่ได้สำแดงอำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเหมือนกลุ่มเพนเทคอส เราไม่สำแดงความรู้มากมาย และเน้นพิธีบัพติศมาเหมือนกลุ่มแบ๊บติสต์ เราไม่เน้นพระบัญญัติเดิมเหมือนคณะวันเสาร์ แต่เราเน้นชีวิตของพระคริสต์
e. ในอีกด้านหนึ่ง คริสตจักรคือบ้านของพระเจ้า หรือครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าใช้ผู้เชื่อทั้งหลายที่มาอยู่ร่วมกันเพื่อเป็นที่สถิตอยู่
f. สรุปก็คือ คริสตจักรคือร่างกายของพระคริสต์เยซู และบ้านของพระเจ้าที่พระองค์สถิตอยู่ในโลกนี้
g. ผู้นำจำเป็นต้องสอนผู้เชื่อใหม่ให้เข้าใจถึงคริสตจักรมากมายที่ตกต่ำ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน อย่างเช่น คาทอลิค แบ๊บติสต์ เพนเทคอส และกลุ่มเทียมเท็จหลายๆ กลุ่ม เพื่อเตือนพี่น้องอย่าได้หลงไปเรียนรู้ และรับเอาหลักคำสอนของพวกเขามา ซึ่งทุกวันนี้มีมากกว่าที่เราคิดเสียอีก
h. เนื่องจากว่า ผู้เชื่อมากมายไม่เข้าใจอย่างชัดเจน เกี่ยวกับคริสตจักรในสภาพของพระกายของพระเยซู และบ้านของพระเจ้า พวกเขาจึงไม่ได้ฝึกเดิน และร่วมกันรับใช้ในรูปแนวชีวิต แต่กลับกลายเป็นรูปแนวศาสนา ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงแม้ว่าจะมีบางกลุ่มที่มีหลักคำสอนที่เป็นอาหารผู้ใหญ่อยู่มากมาย แต่พวกเขาก็ยังกลายพันธุ์ได้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของตาจริงๆ
i. พระเจ้าทรงเมตตาเลือกผู้เชื่อบางกลุ่ม และนำพวกเขามาถึงพระคำที่มีชีวิต เป็นความจริง และฤทธิ์เดช พวกเขาจึงได้เรียนรู้การฝึกเดิน และรับใช้ในรูปแนวชีวิต
j. เมื่อเราสอนผู้เชื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับคณะนิกาย หรือกลุ่มคริสเตียนที่แตกต่างและแบ่งแยก จากนั้นเราให้พี่น้องเห็นว่า คริสตจักรยังมีอีกมุมหนึ่ง และนั่นก็คือพระกายของพระคริสต์
k. คริสตจักร คือพระกาย (ร่างกาย) ของพระเยซู ที่ผ่านการตายและเป็นขึ้นของพระองค์
l. พระกาย คือฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมีพระคริสต์เป็นศีรษะของคริสตจักร
m. เนื้อหนังและทุกสิ่งที่เป็นของฝ่ายเนื้อหนัง สติปัญญา ความรู้ ปรัชญา ประเพณี ความดี ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความจริง ของฝ่ายเนื้อหนัง ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้ามามีส่วนในพระกายนี้
n. คริสตจักรไม่ได้เป็นของโลกนี้ และไม่ได้อยู่ในโลกนี้
o. ความบาปและความตาย ไม่สามารถแตะต้องคริสตจักรได้
3) สอนผู้เชื่อเรื่องชีวิตของพระกาย
- ชีวิตพระคริสต์มีอยู่เต็มในพระกาย พระคริสต์ที่เป็นศีรษะของพระกาย จะหล่อเลี้ยงเลี้ยงดูให้พระกายรับชีวิตอย่างเต็มล้น
- การอยู่ร่วมกับพระกายจึงสัมผัสชีวิตได้ และอยู่เหนือความบาปและความตาย
4) สอนผู้เชื่อเรื่องการก่อขึ้นของพระกาย
- อย่าอยู่คนเดียวโดดเดี่ยว เพราะว่าเราจะเป็นเป้าให้ซาตานโจมตี และหลงทางจากพระเจ้าได้ง่ายๆ
- ถ้าหากเราอยู่ในพระกาย (เที่ยงแท้) เราจะมีโอกาสโต และรับการก่อขึ้นได้ เนื่องจากว่า การทำงานของพระวิญญาณมีมากในคริสตจักรเที่ยงแท้ ผ่านการเผยพระวจนะ และผ่านการเคลื่อนของพระวิญญาณ
- การมีส่วนร่วมในพระกาย ทำให้เรามีโอกาสรับใช้ และเกิดผลถวายแด่พระเจ้า เราจึงไม่ขาดบำเหน็จ และได้รับมงกุฎเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา
a. การอยู่ในบ้านของพระเจ้า เราเป็นพี่น้องกับผู้เชื่อที่มาร่วม เราแยกจากพี่น้องไปไหนมาไหนก็ได้ แต่การอยู่ในพระกายของพระคริสต์ เราทุกคนเป็นอวัยะแต่ละส่วนของพระคริสต์ที่ขาดกันไม่ได้
b. พระเจ้าต้องการให้เรามองเห็นความสำคัญของพระกาย เราขาดพี่น้องไม่ได้ และพี่น้องก็ขาดเราไม่ได้
c. จดหมายของเปาโลถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก คือตั้งแต่หนังสือโรมไปจนถึง 2 เธสะโลนิกา ส่วนที่สอง คือ 1-2 ทธ และทิตัส
d. โรม - 2 ธส คือจิตของพระกาย ซึ่งเป็นเรื่องการจัดการกับชีวิต และรับใช้ในฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อ เป็นเรื่องชีวิต
e. 1-2 ทธ - ทต คือการบริหารคริสตจักร และคุณสมบัติของผู้นำและผู้ดูแล
f. ภายในคริสตจักร เราไม่เพียงแค่ประกาศสั่งสอน เลี้ยงดูฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่ต้องมีสถานที่ ที่นั่ง อาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่าย ฯลฯ เพราะฉะนั้น คริสตจักรจึงต้องมีทั้งการจัดการเรื่องฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายและร่างกาย
1. เรื่องการดำเนินชีวิตพระกาย
2. เรื่องการรับใช้ร่วมกัน (สิทธิอำนาจ / ตำแหน่งหน้าที่)
3. เรื่องการปรนนิบัติร่วมกัน (น้องๆ ของพระเยซู)
4. เรื่องการเผยพระวจนะ (เทศนา / แบ่งปัน)
5. เรื่องการเป็นพยาน
6. เรื่องการเป็นหนึ่งเดียว
7. เรื่องการประกาศ
8. เรื่องการอธิษฐาน
9. เรื่องการอ่าน
10. เรื่องการร้องเพลง
11. เรื่องการรับบัพติศมา
12. เรื่องมหาสนิท
13. เรื่องการถวาย
14. หลักสำคัญของพี่น้องในพระกาย คือ
1) อยู่ในหลักคำสอนที่มีการแปลพระคำพระเจ้าที่ถูกต้อง
2) การต่ำ ถ่อม ยอมเพื่อการเป็นหนึ่งเดียว
3) ทำทุกสิ่งโดยมนุษย์วิญญาณ
4) ทำทุกสิ่งด้วยรักอะกะเป
1. เดินเข้าป่า (หลงทาง)
2. พระคริสต์และคริสตจักร (พระคริสต์เยซูและพระกายของพระองค์)
3. พระคริสต์ในสภาพมนุษย์
4. พระคริสต์ในสภาพวิญญาณและเป็นชีวิต เพื่อพระกายของพระองค์ (คริสตจักร) ที่เป็นวิญญาณและเป็นชีวิต
5. ผู้เชื่อมากมายล้มเหลวในการดำเนินชีวิต และรับใช้บนพื้นฐานของห้าสิ่งดังกล่าว
6. คริสตจักรที่ขับเคลื่อนไปด้วยพระวิญญาณ ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานห้าประการดังกล่าว เพื่อก่อตั้งคริสตจักร เสริมสร้างผู้เชื่อ และขยายพระกายของพระคริสต์
7. การดำเนินชีวิตพระคริสต์ผ่านพระกายมีสามด้าน
8. พระคริสต์ส่งลมหายใจ (วิญญาณ) เข้าสู่สาวกทุกคน จากเปโตรและบรรดาสาวก คนเก่าจึงเริ่มเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนใหม่อย่างช้าๆ ตามเวลา
9. ปุโรหิตหลวง "พระเจ้าทรงแต่งตั้งผู้เชื่อทุกคนให้เป็นปุโรหิต และคนต้นเรือนของพระเจ้า"
10. คนต้นเรือน (ผู้ดูแลบ้านของพระเจ้า)
11. การยอมรับพี่น้องที่เรียกตนเองว่า “คริสเตียน” ขณะที่ผู้เชื่อมากมายแบ่งแยก
12. อย่าลืมว่า เรื่องพระคริสต์และพระกาย เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณและชีวิต (Spirit and Life)
13. อย่าแสวงหาการเด่นดัง เพื่อให้ผู้คนยกย่องเรา
14. ตำแหน่งของผู้นำ
a. การไม่รู้จักแผนการบริหารงานของพระเจ้าเรื่องยุค เรื่องอาณาจักรของพระเจ้าและอาณาจักรสวรรค์ เรื่องความชอบธรรมของพระเจ้า เรื่องหลักการแห่งความรอดในแต่ละยุค เรื่องรอดสองรอด เรื่องความผิดบาปและการไถ่ที่ครบถ้วน เรื่องพระคริสต์และพระกายของพระองค์ และอีกหลายๆ เรื่อง ก็ไม่ต่างไปจากคนที่เดินเข้าไปในป่าและหลงทาง หาทางกลับบ้านไม่ได้
a. ในพระคัมภีร์ใหม่ เปาโลเขียนจดหมาย 14 ฉบับ ท่านเน้นถึงพระคริสต์และคริสตจักรเป็นหลัก
b. ข้อลึกลับที่สำคัญที่สุดในพระคัมภีร์ใหม่ คือพระคริสต์และคริสตจักร แต่ผู้เชื่อส่วนมากให้ความสนใจเรื่องความบาป การไถ่บาป การทำให้กลายเป็นคนชอบธรรม การเปลี่ยนแปลงใหม่ การทรงเลือก เนื่องจากว่าเขาไม่รู้
c. เปาโลเปิดเผยเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้าเกี่ยวกับพระบุตร (โรม 1:1) คือพระเยซูที่เป็นมนุษย์และพระวิญญาณ ถึงแม้ว่าเราจะรับมานาที่ซ่อนใว้ แต่การเปิดตาของพระเจ้าที่มีมากกว่านี้ ก็คือตัวตนของพระคริสต์เยซู (1 คร 15:45-47) และพระกายของพระองค์
d. เปาโลวางรากฐานที่ถูกต้อง คือพระคริสต์ (ผู้เป็นบุคคล) (1 คร 3:10-11) และท่านไม่ต้องการให้เราวางรากฐานใหม่ๆ ที่นอกเหนือไปจากรากฐานของท่าน เพื่อเราจะไม่ก่อชีวิตและรับใช้ขึ้นด้วยไม้ ฟาง และหญ้าแห้ง (1 คร 3:12-15)
e. ทุกวันนี้ ผู้เชื่อหลายกลุ่มวางรากฐานที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็เน้นไฟแห่งพระวิญญาณ / ภาษาแปลกๆ บ้างก็เน้นเรื่องพิธีบัพติศมาด้วยจุ่ม บ้างก็เรื่องการมีผู้นำเป็นนายของคริสตจักร บ้างก็เรื่องพระกาย บ้างก็เรื่องวันสะบาโต บ้างก็เรื่องการประกาศ บ้างก็เรื่องการรักษาพระบัญญัติเพื่อความรอด บ้างก็เรื่องภาษาฮีบรู กรีก อาราแมค ฯลฯ
a. พระองค์เสด็จมารับฐานะเป็นมนุษย์และทาส เพื่อมาไถ่พวกเรา ทรงซื้อเรา เพื่อทำให้เราเป็นบ้าน (ที่อยู่) ของพระองค์
b. พระองค์แบกบาปเรา และคำสาปแช่งทั้งหมดไปทิ้งที่กางเขน
c. พระองค์แบกความเจ็บไข้เราไปทิ้งที่กางเขน
d. พระองค์ฝังตัวเก่า ชีวิตเก่า จิตเก่า วิญญาณเก่า โลกเก่า ศาสนาเก่า และความคิดเก่าไว้ที่อุโมงค์
คนใหม่และสิ่งที่ถูกทรงสร้างขึ้นมาใหม่
a. พระเยซูเดินออกมาจากอุโมงค์ในสภาพของคนใหม่ และสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อแทนที่สิ่งทรงสร้างเก่า พระคริสต์จึงเป็นวิญญาณและเป็นชีวิต เพื่อพระกายของพระองค์ นี่คือเป้าหมายสำหรับการบริหารงานของพระเจ้าในยุคพระคุณ คือพระเจ้าต้องการพระกายเพื่อพระบุตรของพระองค์ในโลกนี้ เพื่อพระกายนี้จะสำแดงชีวิต และพระนิสัยของพระบุตรในทุกแห่งหน
b. ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความรอด ที่ผู้เชื่อทุกคนได้รับโดยพระคุณทางความเชื่อ แต่การได้รับบำเหน็จรางวัล หรือตำแหน่งการครอบครองร่วมกับพระเยซูไม่ได้ ได้มาง่ายๆ ทุกคนที่ค้นพบต้องแย่งชิงเพื่อให้ได้มา
c. คริสตจักรมากมายใส่ใจที่การประกาศ นำคนมาเชื่อ และสร้างสาวก แต่เขาไม่เข้าใจว่า พระเจ้าต้องการพระกายเพื่อสำแดงชีวิตของพระบุตร
การดำเนินชีวิตและรับใช้บนรากฐานของ 5 สิ่ง
หนังสือยอห์นเปิดเผยว่า:
1. พระเยซูไม่เคยทำอะไรโดยพระองค์ (ยน 5:19)
2. พระเยซูไม่เคยกระทำภารกิจการงานของพระองค์ (ยน 4:34; 17:4)
3. พระเยซูไม่เคยกล่าวถ้อยคำที่มาจากพระองค์ (ยน 14:10, 24)
4. พระเยซูไม่เคยกระทำอะไรตามใจของพระองค์ (ยน 5:30)
5. พระเยซูไม่เคยแสวงหาเกียรติยศเพื่อพระองค์เอง (ยน 7:18)
พระคริสต์ดำเนินชีวิตโดยพระบิดาในวันนั้น เพื่อวันนี้เราจะดำเนินชีวิตพระคริสต์ เพื่อเราจะมีประสบการณ์ชีวิตพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์
พระเยซูตรัสว่า “เรากล่าวคำอุปมา แต่ท่านไม่ต้อง”
ผู้ชนะได้รับการรักษาทั้งสามส่วนของชีวิต คือความตาย อาการตาบอด และความโง่เขลา จึงมีประสบการณ์ในชีวิต “โซเอ้” (Zoe-ชีวิตพระเจ้า) อย่างครบถ้วน คือสันติสุขทุกวันเวลา ความชื่นชมยินดี และพลังแห่งชีวิตของพระคริสต์
1. ประกาศสั่งสอน
2. ช่วยเหลือด้านฝ่ายร่างกาย
3. สำแดงชีวิตและนิสัยของพระคริสต์
a. เปโตรนำผู้เชื่ออธิษฐานสิบวัน พวกเขาร้อนรนในความเชื่อและการประกาศรับใช้ ทั้งนี้เนื่องมาจากการเข้ามาสถิตของพระวิญญาณของพระคริสต์
b. เพียงแต่ว่า ปัญหาก็คือผู้เชื่อไม่รู้ว่า พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา เพื่อการดำเนินชีวิตและรับใช้
c. เปโตรและสาวกประกาศนำคนมาหาพระเจ้า แต่ยังไม่มาถึงการเปิดตาเกี่ยวกับพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา เปาโลจึงสานต่อการงานของพวกเขาให้ครบถ้วน
d. เราควรอ่านหนังสือฝ่ายวิญญาณทุกเล่มถ้าเป็นไปได้ ไม่ใช่แค่อ่านของคนเดียว มานาที่ซ่อนไว้ได้รวบรวมหลักคำสอนที่เป็นความจริงซึ่งอาจจะมีผงฝุ่นเพียงเล็กน้อย
e. การประกาศสั่งสอนของเปโตรห้าครั้งในกิจการบทที่ 2 ถึงบทที่ 5 และบทที่ 10 ท่านไม่ได้พูดถึงพระบัญญัติ และคำสอนในพระคัมภีร์เดิม แต่ท่านสอนเรื่องการเสด็จมาบังเกิดของพระเจ้า ทรงสั่งสอน ตายไถ่บาปมนุษย์ ทรงฟื้นคืนพระชนม์ เนื่องจากว่า ความตายทำอะไรพระเจ้าไม่ได้ พระองค์จึงประทับที่พระที่นั่งกับพระบิดา พระคริสต์เยซูจึงกลายเป็นหินมุมเอกเพื่อใช้ก่อสร้างของพระเจ้า คือคริสตจักร
f. ในกิจการบทที่ 2-5 และบทที่ 10 เราพบว่า เปโตรเริ่มพูดถึงเรื่องพระคริสต์และพระกาย เพียงแต่ท่านพูดถึงพระกายเล็กน้อย พระเจ้าจึงทำงานผ่านเปาโล เพื่อเปิดเผยเรื่องการก่อตั้ง เสริมสร้าง และการขยายตัวของพระกายให้ชัดเจนมากขึ้น
สรุป
- เปาโลมาสานต่องานของยอห์นผู้ให้บัพติศมา พระเยซู และเปโตร
- ยอห์น พระเยซู เปโตร และเปาโลจะไม่พูดถึงพระคัมภีร์เดิม และบัญญัติเดิมมากนัก เพราะว่ายุคพระคุณ คือการประกาศพระคริสต์และคริสตจักร
คริสตจักรทั้งเจ็ดต้องสำแดงชีวิตพระคริสต์ เพื่อจะมีส่วนในการครอบครอง:
1. ไม่ยกคันประทีปออกจากที่ คือให้สำแดงชีวิต และนิสัยของพระคริสต์ได้
2. ความอดทนไม่ย่อท้อจนถึงที่สุด คือการทำแทนของพระคริสต์
3. เลิกเป็นคริสเตียนโลก จะได้กินมานาที่ซ่อนไว้ เพื่อพระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเขาได้
4. เลิกเป็นคริสเตียนศาสนา อยู่ในรูปแนวศาสนา พระคริสต์จะทำแทนได้
5. เลิกใช้ชีวิตและความดีที่ตายแล้ว พระคริสต์ทำแทนจึงกลายเป็นชีวิต และความดีที่มีชีวิต
6. มีคนน้อย ไม่ท้อ ไม่ยอมแพ้ รักษาถ้อยคำ มานาที่ซ่อนไว้ ด้วยความเพียร พระเจ้าจะไม่นำเราเข้าสู่การทดลองที่หนักจนเกินไป
7. ผู้ที่มีพระคริสต์ดำเนินชีวิตแทน จึงจะเลิกอาการเป็นอุ่นๆ ได้
8. คริสตจักร (พระกาย) บังเกิดจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู พระกายจึงดำเนินชีวิต เดิน รับใช้ นมัสการในวิญญาณ ความจริง และด้วยชีวิต (พระคริสต์) ที่ผ่านการตายและเป็นขึ้นจากตาย
9. การได้มาถึงความรอบรู้ ทั้งสติปัญญาอันครบบริบูรณ์ (มานาที่ซ่อนไว้ = พระคำที่แปลถูก) และการฝ่ายวิญญาณ (เข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตพระคริสต์) เป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิต และการเป็นหนึ่งเดียวในพระกายได้
10. พระเจ้าทรงแต่งตั้งผู้เชื่อทุกคนให้เป็นปุโรหิต และคนต้นเรือนของพระเจ้า
- เป็นหน้าที่ของผู้นำ ที่ต้องช่วยพี่น้องในพระกายให้รู้ เข้าใจ และตระหนักว่า พระเจ้าทรงเลือก และแต่งตั้งผู้เชื่อทุกคน
พระบิดาขอบพระคุณพระองค์ที่ให้พวกเราทุกคนเป็นปุโรหิตหลวงของพระองค์ ให้พวกเราปรนนิบัติพระองค์และปรนนิบัติพี่น้อง ให้ปรนนิบัติคนที่ไม่เชื่อ พวกเราจะอยู่ร่วมกับพระองค์ในฐานะของบุตรพระเจ้า เพื่อปรนนิบัติพระเจ้าและจะอยู่ในฐานะของทาสเพื่อปรนนิบัติพี่น้อง
เป็นหน้าที่ของผู้นำ ที่ต้องช่วยพี่น้องในพระกายให้รู้ เข้าใจ และตระหนักว่า พระเจ้าทรงเลือก และแต่งตั้งผู้เชื่อทุกคน
** ในเมื่อเรารู้ว่าเราเป็นปุโรหิตหลวงของพระเจ้า เราต้องทำอะไร ปรนนิบัติพระเจ้าคืออะไร ปรนนิบัติยังไง? บอกรัก สนิท พูดคุย ยกย่อง สรรเสริญ ขอบพระคุณ ร้องเพลงถวายแด่พระองค์ ถวายตัวใหม่ของเราให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตที่หอมหวลถวายเกียรติแด่พระเจ้า นี่คือหน้าที่ของปุโรหิตหลวง
แล้วก็ปุโรหิตหลวงเมื่อเราอยู่ร่วมกันเราทำยังไง? คนหนึ่งบอก ฮาเลลูยา เราก็เอเมน ก็คือหน้าที่ของปุโรหิตหลวง แล้วก็เราไม่พูดอะไร พี่น้องพูดแล้วขอบคุณพระเจ้าเราก็เอเมนไปกับเขาด้วย แล้วใครร้องเพลงเราก็ร้องเพลง ใครเป็นพยานเราก็ขึ้นมาเป็นพยาน ใครแบ่งปันเราก็แบ่งปัน ก็ช่วยกันนี่คือหน้าที่ของปุโรหิตหลวง
1. ในด้านการปรนนิบัติรับใช้ร่วมกัน เราเป็นปุโรหิตของพระเจ้า เรารับใช้พระเจ้าและมนุษย์ โดยเฉพาะพี่น้องในพระกาย จากนั้นคนที่ไม่เชื่อ
2. เราขาดพระกายไม่ได้ และพระกายก็ขาดเราไม่ได้
3. การปรนนิบัติ คือเราร่วมกันอธิษฐาน ร้องเพลง กล่าวปราศรัยบทเพลงสดุดี เป็นพยาน แบ่งปัน (เผยพระวจนะ) จัดเตรียมเรื่องอาหาร และสถานที่ประชุม
** เราทำทุกสิ่งร่วมกันช่วยกัน ไม่ต้องมีใครบอกใคร ไม่ต้องบอกเลย เราทำเลยน่ะครับ และถ้าใครไม่ทำก็ไม่เป็นไร เราก็เอเมน อย่าไปมองเขาแบบ (สายตาขวาง สายตาลบ ..ไม่ทำอะไร..) ไม่น่ะครับ และเขามาเขาไม่นำอาหารมา เขาไม่ช่วยงานอะไร เขามานั่งกินแล้วกลับบ้าน เราก็เอเมน เราขอบคุณพระเจ้า ห้ามมองใคร ห้ามดูถูกใคร ห้ามตัดสินใคร ห้ามกล่าวหาใคร ห้ามใส่ร้ายใคร ห้ามซุบซิบนินทาเรื่องของใคร นี่คือปุโลหิตหลวงที่พระเยซูรักมากๆ
4. ปุโรหิตไม่บ่น ไม่ซุบซิบนินทา ไม่ยุยงให้มีการแตกแยก ไม่มองฝ่ายเนื้อหนัง คือสิ่งที่ไม่ดีของผู้อื่น เราเน้นที่การ “เสริมสร้างพระกาย” เท่านั้น เพราะเขาตระหนักเสมอว่า พระบิดาทรงเฝ้าดูเราอยู่
** ใครเฝ้าดูเราอยู่ครับ?
พระบิดาเฝ้าดูเราอยู่ทุกนาทีทุกเวลา ถึงแม้ว่าเราไม่เชื่อ ถึงแม้ว่าเราไม่รู้ เราไม่แคร์ แต่พระเจ้าก็แคร์ พระเจ้าก็เฝ้าดูเราอยู่ เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำหน้าที่เป็นปุโรหิตหลวงของพระเจ้าให้ดีที่สุด ไม่บ่น ไม่ซุบซิบนินทา ไม่ยุยงให้มีการแตกแยก ไม่มองฝ่ายเนื้อหนัง คือสิ่งที่ไม่ดีของผู้อื่น เราเน้นที่การเสริมสร้างพระกาย เราอยู่ร่วมกัน เราอยู่ด้วยกัน เวลาไหน ที่ไหน อะไร เมื่อไหร่ก็ตาม เราเน้นที่การเสริมสร้าง เราจะต้องเสริมสร้างพระกายของพระเยซู เราจะต้องเสริมสร้างคริสตจักรของพระเยซู
เราเคยใส่ใจร่างกายของเราไหมทุกวันนี้ เคยนะ พี่น้องหญิงพี่น้องชายหลายคนผมเห็นว่า มีอาหารเสริม วิตามิน คอลลาเจน ไปหามาไปค้นมาอะไรที่มันดี สินค้าของใคร ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย เยอรมัน ฝรั่ง เอามาใช้เอามาลอง เพื่อรักษาใบหน้าจากนั้นก็ร่างกาย ดูแลดีมากๆ แล้วพระกายของพระเยซูล่ะ เราต้องใส่ใจเราต้องดูแลดีเหมือนใบหน้าของเราด้วย เอเมนไหม?
5. ปุโรหิตพูด และกระทำทุกสิ่งด้วย “รัก” เอเมน
6. ปุโรหิตหลวงต้องช่วยพี่น้องให้เข้าใจสามสิ่งในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เพื่อเขาจะไม่กลายพันธุ์
1) อยู่ในวิญญาณหรือไม่
2) ผ่านการตายและเป็นขึ้นหรือไม่
3) อยู่ด้วยความรักหรือไม่
** สามสิ่งที่เราตระหนักทุกวันทุกเวลาคือ 1. เราอยู่ในวิญญาณหรือไม่ 2. เราผ่านการตายและเป็นขึ้นกับพระเยซูหรือไม่ 3. เราอยู่ด้วยความรักหรือไม่
สามสิ่งนี้คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เรามีอยู่และเป็นอยู่และทำอยู่ทุกวันทุกเวลา
หน้าที่ต่อไปของเราพระเจ้าแต่งตั้งเราให้มี 2 หน้าที่ หน้าที่ที่ 2 ก็คือคนต้นเรือน "คนต้นเรือน" แปลว่า "ผู้ดูแลบ้านของพระเจ้า"
1. ผู้เชื่อทุกคนมีส่วนในการดูแลบ้านของพระเจ้า
2. พระเจ้าให้ทุกคนมีของประทานตามน้ำพระทัย เราเลือกไม่ได้ บางคนมีมาก บางคนมีน้อย
** อันนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าบันทึกผ่านเปาโลใน 1 โครินธ์ แล้วก็หนังสือโรม ว่าพระเจ้าให้ทุกคนตามน้ำพระทัยของพระบิดา ตามพระวิญญาณประทานให้ เพราะฉะนั้นเราเลือกไม่ได้ เราขอก็ไม่ได้ แต่เราค้นหาได้ว่าเรามีอะไร ถ้าคนที่ไม่มีอะไรเลยพระเจ้าก็ให้หนึ่งชิ้น อาจจะเป็นรักษาโรค อาจจะเป็นไล่ผี หรืออาจจะเป็นอะไรสักอย่างเราไปค้นเอง
3. ถ้าเราไม่ทำหน้าที่คนต้นเรือน ไม่ค้นหาและใช้ของประทาน เราจะไม่ได้เข้าไปในอาณาจักร
** อันนี้สำคัญมากเลย น่ากลัวมาก เราจำได้ไหม คนต้นเรือนที่พระเยซูตรัสคำอุปมา มีคนต้นเรือนและก็คนต้นเรือนคนหนึ่งเอาเงินตะลันที่นายมอบให้เขาเอาไปลงทุน เขาเอาไปฝังไว้
ถ้าคุณเป็นคนต้นเรือน... คุณทุกคนเป็นคนต้นเรือน เอเมน
ทีนี้ถ้าคุณไม่ใช้ของประทาน ไม่ค้นหาว่าคุณเป็นอะไร คุณทำอะไรได้ ฤทธิ์เดชของพระเจ้าทำงานกับคุณเกี่ยวกับเรื่องอะไร แล้วมันก็คือการฝังไว้ ถ้าเราฝังของประทาน เวลานายมาพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาพระองค์จะทำอะไรกับเรา "ยึดคืนและเราจะถูกโยนออกไปข้างนอก" เราต้องค้นหาของประทานเพราะว่าเราเป็นคนต้นเรือน
4. การใช้ของประทานด้วยตัวเก่า จะไม่ได้เข้าไปในอาณาจักร
5. ของประทานมีอะไรบ้าง (โรม 12:6-8 / 1 คร 12:4-11; 12:28) พูดถึงเรื่องของประทาน เราไปค้นดู ไปอ่านดูทำความเข้าใจ
- การยอมรับพี่น้องที่เรียกตนเองว่า “คริสเตียน” ขณะที่ผู้เชื่อมากมายแบ่งแยก และไม่ยอมรับพี่น้องที่เชื่อไม่เหมือนพวกเขา แต่เรารู้แล้วว่า ทุกคนที่เชื่อก็ได้กลายเป็นบุตรพระเจ้า และเป็นพี่น้องของเรา
- อย่าลืมว่า เรื่องพระคริสต์และพระกาย เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณและชีวิต (Spirit and Life) เราผู้เชื่อฝ่ายวิญญาณมีชีวิตอยู่ เพื่อประกาศพระคริสต์และคริสตจักรในฝ่ายวิญญาณ และมีชีวิต ไม่ใช่รูปแนวศาสนา และการกระทำทุกสิ่งเพื่อความรอดและพระพร
- อย่าแสวงหาการเด่นดัง เพื่อให้ผู้คนยกย่องเรา แต่ให้เขายกย่องชื่นชมยินดีพระคริสต์และพระกาย สิ่งที่ผู้อื่นและคริสตจักรอื่นทำแล้วเกิดผล เราก็ถ่อมใจ และนำมาใช้ได้
- เนื่องจากว่า เราเป็นมนุษย์วิญญาณ รับใช้ในคริสตจักรฝ่ายวิญญาณ ตำแหน่งฝ่ายวิญญาณจึงไม่มี (เป็นทางการ)
- ผู้นำ / ผู้ปกครองไม่ทำตัวเป็นเหมือนนายที่ไม่ดี แต่เลี้ยงดูแกะด้วยใจรักอ่อนสุภาพ (1 ปต 5:1-3)
- พระเยซูตรัสว่า “เราไม่ได้มาเพื่อให้เขารับใช้เรา แต่มาเพื่อรับใช้” (มธ 20:28)
- อฟ 2:7 แต่ได้ทรงกระทำพระองค์เองให้ไม่มีชื่อเสียงใดๆ และทรงรับสภาพอย่างผู้รับใช้ ทรงถือกำเนิดในลักษณะของมนุษย์
- ผู้นำเป็นอาจารย์ ก็คืออาจารย์ที่เป็นครูสอนเพื่อป้อนอาหาร เป็นแบบอย่างที่ดี ไม่ใช่นั่งที่ที่สูง และที่ที่มีเกียรติ
- เมื่อเราไม่คำนึงถึงอำนาจหรือตำแหน่งหน้าที่ การงานของเราต่อพี่น้องจะสะดวกสบายกว่า และไม่ต้องแบกภาระ ไม่ต้องหนักใจ ไม่ต้องอยู่ใต้ใครนอกจากพระคริสต์
- ผู้นำไม่มีสิทธิ์ควบคุม หรือออกคำสั่งแบบบังคับต่อพี่น้องผู้เชื่อ ทุกคนทำตามขนาดของความเชื่อ และไม่บังคับใจไม่ฝืนใจ
- ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า เราอยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ อยากเลิกก็เลิก แบบไม่รับผิดชอบ แต่คือเรายอมรับตำแหน่งหน้าที่ที่พระบิดาทรงตั้งเรา และทำด้วยรักและเต็มใจ พอใจต่อหน้าที่การงานดังกล่าว เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ และการเติบโตของพระกายของพระองค์ผู้เป็นที่รักของเรา