1:1 ยากอบ ผู้รับใช้ของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์เจ้า คำนับชนสิบสองตระกูลที่กระจัดกระจายอยู่นั้น
1:2 พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายตกอยู่ในการทดลองต่างๆก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี
1:3 เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความเพียร
1:4 และจงให้ความเพียรนั้นกระทำการจนสำเร็จ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นผู้สำเร็จครบถ้วนไม่ขาดสิ่งใดเลย
** การทดลองหรือปัญหา คือสิ่งที่จะช่วยให้เราท้อ ล้มลง และยอมรับว่าอ่อนแอ จากนั้นไม่นานเราจะพบว่าจิตใจเราเข้มแข็งขึ้น ซึ่งหลักการของการล้มแล้วเข้มแข็งนี้เราเคยพบเจอแล้วในชีวิตอาดัม พระจ้าก็ใช้วิธีนี้แต่ก่อเราขึ้นและเป็นความเข้มแข็งในเรา
1:5 ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยเต็มพระทัยและมิได้ทรงติว่า แล้วก็จะได้ทรงประทานให้แก่ผู้นั้น
** สติปัญญา ในที่นี้ คือแผนการงานบริหารจักรวาลของพระเจ้า เรื่องการไถ่มนุษย์และโลกจากอาการเสื่อมทรามตกต่ำอยู่ในความมืดให้กลับมาสู่ความสว่างอีกครั้ง เรื่องอาณาจักร เรื่องยุค เรื่องการดำเนินชีวิตคริสเตียนและคริสตจักรตามน้ำพระทัย เมื่อผู้เชื่อได้รับการเปิดตาโดยมานา เขาก็จะรู้และเข้าใจและมีสติปัญญาของพระคริสต์ในเขาอย่างมากมาย เริ่มแรกให้เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นสติปัญญาของเรา แล้วจะทรงเปิดเผยสิ่งที่ลึกและกว้างกว่าให้เรา
1:6 แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา
** ความเชื่อ ในที่นี้ คือความไม่สงสัยและวางใจในพระเจ้าจริง ๆ ไม่หวั่นไหว ไม่เชื่อใจใครที่มาชักจูงเราให้ออกไปจากความจริงแห่งพระคำ เราจึงจะได้เห็นการเปิดเผยมากขึ้นในแต่ละวัน
1:7 ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย
** ผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดเผยควรถ่อมใจ ไม่โอ้อวดว่ามีของประทานและมีตาที่หายบอดแล้ว แต่ยกย่องพระเจ้า
1:8 คนสองใจเป็นคนไม่มั่นคงในบรรดาทางทั้งหลายที่ตนประพฤตินั้น
** ผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้เป็นคนสองใจ ความเชื่อไม่มั่นคง เนื่องจากว่าแต่ละคริสตจักรมีคำสอนและผู้นำที่เชื่อไม่เหมือนกันและขัดแย้งกัน การรักและทำดีและการรับใช้จึงไม่มั่นคงไม่เที่ยงตรงและแน่นอน
1:9 ให้พี่น้องที่ต่ำต้อยชื่นชมยินดีในการที่ทรงเชิดชูเขา
** คนที่ต่ำต้อย ต่ำถ่อมยอมต่อผู้อื่น ย่อมเป็นที่รักและเคารพท่ามกลางพี่น้องของตน
1:10 และคนมั่งมีก็จงชื่นชมยินดีเมื่อตกต่ำลง เพราะว่าเขาจะต้องล่วงลับไปดุจดอกหญ้า
1:11 เพราะเมื่อตะวันขึ้น ความร้อนอันแรงกล้าก็กระทำให้หญ้าเหี่ยวแห้งไป และดอกหญ้าก็ร่วงลง และความงามของมันสูญสิ้นไป คนมั่งมีจะเสื่อมสูญไปตามทางทั้งหลายของเขาเช่นนั้นด้วย
** เมื่อตะวันขึ้นและความร้อนอันแรงกล้า คือการพิพากษาของพระเจ้าที่จะมาถึงโลก ทรัพย์สินทั้งหลาย ความงดงามทั้งหลายของมันจะเสื่อมสูญไป มีแต่คนที่ต่ำถ่อมและยอมเท่านั้นจะมั่นคงอยู่ได้ ถ้าหากเราจะสูญเสียทุกสิ่งเพื่อดำเนินชีวิตและรับใช้ในพระคริสต์ก็จงชื่มชมยินดีเถิด
1:12 ความสุขย่อมมีแก่คนนั้นที่สู้ทนการทดลอง เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์
** ความสุข กรีกแปลได้สองคำคือ พระพร และ ความสุข เป็นคำเดียวกันใน มธ บทที่ 5
** การทดลองหรือการทดสอบย่อมมาจากพระเจ้า และบางครั้งซาตานและมนุษย์นำความยากลำบากมาสู่เรา แต่พระเจ้าก็ใช้เพื่อเป็นการทดสอบความเชื่อของเรา ถ้าหากเราไม่บ่นไม่ท้อไม่หวั่นไหวแต่มั่นคงในความรักที่มีต่อพระเยซูไม่ว่าเราจะเจ็บปวดสูญเสียมากเท่าไหร่ก็ตาม ผลสุดท้ายก็คือมงกุฏคือตำแหน่งสูงในอาณาจักรและฟ้าสวรรค์ใหม่/แผ่นดินโลกใหม่
เราขอบพระคุณพระเจ้าที่ความรอดเราได้มาโดยทางความเชื่อ ส่วนมงกุฏเราจะได้มาก็โดยการสู้ทนต่อการทดลองทั้งหลายที่พระเจ้าให้เกิดกับเรา
1:13 เมื่อผู้ใดถูกล่อลวงให้หลง อย่าให้ผู้นั้นพูดว่า "พระเจ้าทรงล่อลวงข้าพเจ้าให้หลง" เพราะว่าความชั่วจะมาล่อลวงพระเจ้าให้หลงไม่ได้ และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อลวงผู้ใดให้หลงเลย
** การล่อลวงทุกสิ่งไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากซาตาน และพระองค์อนุญาตให้เกิดกับเรา เพื่อทดลองความเชื่อ ความรัก ความจงรักภักดี และความไว้วางใจของเราที่มีต่อพระองค์
1:14 แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อลวง เมื่อตัณหาของตัวชักนำตนให้กระทำผิดแล้วตัวก็กระทำตาม
** เมื่อมีการล่อลวงเกิดขึ้น สำหรับผู้เชื่อที่ยังเด็กย่อมจะหลงไปปักใจและถูกล่อลวงได้ง่ายและสุดท้ายก็กระทำผิด
1:15 ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้ว ก็นำไปสู่ความตาย
** เมื่อกระทำผิด และอยู่ในฝ่ายเนื้อหนังก็นำไปสู่ความตาย คือชีวิตอาดัมที่ตกต่ำ เป็นทุกข์ อ่อนแอขาดกำลัง
1:16 พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า อย่าหลงผิดไปเลย
** เนื่องจากว่าการหลงในการล่อลวงจะมีผลเสียต่อผู้เชื่ออย่างมากมาย เปาโลจึงเตือนผู้เชื่อโดยพระวิญญาณให้ระมัดระวังเพื่อจะไม่หลงไปในการล่อลวงนั้น
1:17 ของประทานที่ดีและเลิศทุกอย่างนั้นมาจากเบื้องบน คือมาจากพระผู้สร้างแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระองค์ไม่มีการแปรปรวนหรือเงาของการเปลี่ยนแปลง
** ทุกสิ่งที่ดีและดีเลิศย่อมมาจากพระเจ้าพระบิดาทั้งนั้น และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และถ้าหากตั้งอยู่ในพระองค์ก็จะไม่มีวันสูญเสื่อมสลายเปลี่ยนแปลงไปเป็นอันขาด
1:18 เมื่อตั้งพระทัยแล้ว พระองค์ทรงให้เราบังเกิดด้วยพระวจนะแห่งความจริง เพื่อให้เราเป็นผลิตผลแรกของสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง
** นี่คือการวางแผนของพระเจ้าเรื่องการไถ่โลกโดยการสร้างเราขึ้นมาใหม่ (บังเกิดใหม่) เพื่อพระเยซูและผู้เชื่อทุกคนจะกลายเป็นผลแรกของสิ่งใหม่ต่าง ๆ ที่จะมีมาภายหลังคือในยุคพันปี และฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่ ผลแรกก็คือสิ่งที่มีค่าและสำคัญที่สุดสำหรับพระองค์
1:19 พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงเข้าใจในเรื่องนี้ คือให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ
** คนส่วนมากไม่ว่าจะเป็นชาวโลกหรือคริสเตียนศาสนา จะไม่ชอบฟัง แต่ชอบพูด และให้ผู้อื่นฟัง พวกเขามักจะโกรธโมโหเมื่อมีคนพูดไม่เข้าหู แต่สำหรับมนุษย์วิญญาณ เราจะช้าในการพูดและไวในการฟังมากกว่า เราจะฟังด้วยเหตุด้วยผล และเข้าใจว่าเขาต้องการให้ใครก็ได้ฟังเขาพูด เพื่อรับรู้สิ่งที่เขาเป็นหรือพบเจอ เราไม่พยายามแนะนำ ไม่สั่งสอนหรือทำเป็นผู้รู้ แต่เป็นผู้ฟังที่ดีมากกว่าเพื่อเอาชนะใจเขา และเป็นที่รักของเขาได้ บางครั้งเราต้องทำใจไว้ก่อนเพื่อจะไม่โกรธเนื่องจากว่าเขาอาจจะพูดในสิ่งที่เราไม่อยากฟัง และทำร้ายจิตใจเราไม่มากก็น้อย
1:20 เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ก่อให้เกิดความชอบธรรมของพระเจ้า
** ความโกรธคือสิ่งที่มาจากมาร และทำลายชีวิตเราได้ และซ้ำยังทำให้เราห่างไกลจากการเป็นคนชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ เราจึงต้องขอการชำระจากพระวิญญาณให้เราไม่โกรธแต่ให้รักมาแทนที่
1:21 เพราะฉะนั้นจงขจัดความโสมมทุกอย่างและความชั่วที่มีอยู่ดาษดื่น และด้วยใจที่สุภาพอ่อนโยน จงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิต (soul) ของพวกท่านให้รอดได้
** จงขจัดความโสมม ขจัด ในที่นี้ คือทิ้งมันไป วางไว้ ถอดทิ้ง เอาทิ้ง
** ยากอบกล่าวโดยพระวิญญาณในข้อนี้คือ ให้เรายึดพระคำที่แปลถูกซึ่งเป็นความจริงที่จะช่วยให้จิตของเราได้รับการเปลี่ยนความคิดใหม่ เพื่อให้เชื่อถูก แล้วเราจะได้เดินถูก รับใช้ถูก นมัสการพระเจ้าอย่างถูกวิธี เพื่อให้เราได้เข้าไปในอาณาจักรซึ่งเป็นความรอดของจิต ซึ่งขณะที่วิญญาณรอดก็คือรอดจากการพิพากษาครั้งสุดท้ายนั่นเอง
1:21 เหตุฉะนั้นจงเลิกความโสมมทั้งหลายแหล่ และการชั่วร้ายอันดกดื่น และจงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายให้รอดได้
1:22 แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการลวงตนเอง
** จง ในที่นี้ คือคำสั่งของพระวิญญาณผ่านท่านยากอบ แต่คนที่ทำกลับไม่ใช่เรา
พระคริสต์ทรงกระทำในเรา สองข้อนี้ผู้เชื่อที่ทำได้แล้วจึงควรที่จะพูดได้ แต่คนที่ยังทำบาปอยู่ ก็ไม่ควรพูด กลัวว่าการตีสอนจะมาถึงคนนั้น
ส่วนคำว่า รอด ในที่นี้ คือ...การได้รับความรอดของ จิต ไม่ใช่ วิญญาณ
ภาษากรีก คือ ปซูเค่ psuché: breath, the soul ψυχή, ῆς, ἡ
เมื่อเราเลิกจากสิ่งโสมม/การอธรรมทั้งหลายได้ ซึ่งแน่นอนพระคริสต์ คือคนกระทำในเรา เราก็จะรอดเข้าไปในอาณาจักร
จิต คือ ปซูเค่ ระหัสกรีกคือ 5590
ส่วนวิญญาณ คือ พนูม่า ระหัสกรีกคือ 4151
1:22 แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการล่อลวงตนเอง
** ผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่ย่อมจะกระทำตามพระวจนะไม่มากก็น้อยไม่ช้าก็เร็ว ซึ่งอาจจะมีออกไปบ้าง ท้อบ้าง หายไปจากทางแห่งความเชื่อบ้าง กลับมาบ้าง แต่ถ้าหากผู้เชื่อที่ไม่สนใจไม่ใส่ใจและไม่เคยคิดจะกระทำตามถ้อยคำแห่งพระวจนะเลยก็คือคนที่หลอกตนเองว่าเชื่อหรือเป็นคริสเตียนแท้
1:23 เพราะว่าถ้าผู้ใดเป็นผู้ฟังพระวจนะ และไม่ใช่คนที่กระทำตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าปกติของตนในกระจกเงา
** กระจกเงาไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา เป็นแค่เงาที่เป็นอยู่ชั่งคราว และเมื่อเราเดินจากไป เราที่อยู่ในกระจกก็หายไป ส่วนเราเองก็ยังคงเป็นอยู่ การไม่กระทำตามถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ก็เช่นกัน เขาจะเป็นเพียงแค่เงาคือความไม่จริงและจะไม่ยั่งยืนมั่นคงไปจนถึงยุคอาณาจักรและฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ แต่บางคนที่บังเกิดใหม่แล้วก็เข้าได้แค่ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่เท่านั้น
1:24 ด้วยว่าคนนั้นแลดูตัวเองและไปตามทางของตนเสีย และในทันทีทันใดก็ลืมว่าตนเองเป็นคนอย่างไร
** คริสเตียนตามน้ำพระทัย คือคริสเตียนที่ใส่ใจในการจดจำและฝึกเดินในวิญญาณเพื่อให้พระคริสต์ทำแทนมากขึ้นในแต่ละวันเพื่อชีวิตจะดำรงอยู่ในพระบัญญัติของพระเยซู ไม่ปักใจในฝ่ายเนื้อหนัง
1:25 แต่ผู้ใดก็ตามที่พินิจดูในพระบัญญัติแห่งเสรีภาพอันสมบูรณ์ และดำรงอยู่ในพระราชบัญญัตินั้น โดยที่ผู้นั้นไม่ได้เป็นผู้ฟังที่หลงลืม แต่เป็นผู้กระทำตามกิจการนั้น คนนั้นจะได้รับพรในการกระทำของตน
** พระบัญญัติแห่งเสรีภาพอันสมบูรณ์ คือพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ทรงยกระดับสู่มาตรฐานของพระเจ้าแล้ว แต่เราผู้เชื่อก็มีเสรีภาพในการรักษา คือทำได้มากน้อยตามขนาดของความเชื่อ พระเจ้าก็เข้าใจเรา ไม่ได้บังคับให้รักษาพระบัญญัติให้ได้ครบทันทีหรือภายใน 2-3 ปี ซึ่งการเติบโตในการทำแทนของพระคริสต์เยซูเพื่อรักษาพระบัญญัติได้อย่างครบก็คือเป็นไปตามเวลาของการชำระของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การได้รับพรหรือบำเหน็จก็คือผลที่ได้รับจากทองคำ เงิน และเพชรพลอย ที่เป็นผลที่เราจะได้ดื่มกินในชีวิตนี้และมงกุฏในยุคหน้าและนิรันดร์
1:26 ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดในท่ามกลางพวกท่านดูเหมือนว่าเคร่งครัดในความเชื่อ และไม่ได้เหนี่ยวรั้งลิ้นของตนไว้ แต่หลอกลวงใจของตนเอง การเคร่งครัดในความเชื่อของผู้นั้นก็ไร้ประโยชน์
** ผู้เชื่อที่เรียกว่าตนเคร่งครัดจริง ๆ ในเรื่องความเชื่อ ย่อมจะเป็นคนที่ช้าในการพูดโดยที่เขาจะฟังคนอื่นและฟังเสียงของพระวิญญาณตรัสในเขา เพื่อทุกถ้อยคำจะเป็นเกลือที่มีรสเค็ม เป็นคำตอบที่มีคุณค่าและช่วยให้พี่น้องเกิดผลและได้รับพรจากพระเจ้า ส่วนคนที่ไวในการพูด พูดไม่มีสาระ พูดสิ่งที่ไม่เสริมสร้างและหนุนใจพี่น้อง ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
1:27 การเคร่งครัดในความเชื่ออันบริสุทธิ์และไร้มลทินต่อพระพักตร์พระเจ้าและพระบิดานั้น คือการเยี่ยมเยียนบรรดาเด็กกำพร้าพ่อและหญิงม่ายในความทุกข์ร้อนของพวกเขา และการรักษาตัวมิให้ได้รับราคีจากโลก
** ผู้เชื่อที่เรียกตนว่าเคร่งครัดในความเชื่อที่แท้จริง ย่อมจะเป็นคนที่มีใจกว้างขวาง รักและเป็นห่วงพี่น้องที่ยากจนขัดสนเสมอ และรักษาชีวิตให้อยู่ในฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา