a. ความรัก/ผูกพันเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับพระเจ้า จึงถูกจัดไว้อันดับแรก
สิ่งที่สำคัญที่สุด พระเจ้าจะพูดก่อน พระเยซูต่อว่าคริสตจักร เพราะคริสตจักรตกจากความรักดั้งเดิม พระเจ้าไม่ได้ต้องการอะไรจากเรา แต่พระเจ้าต้องการหัวใจของเรา
พี่น้องที่รัก พระเจ้าก็มีหัวใจ พระเจ้าอยากได้ความรัก อยากได้หัวใจเรา อยากมีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับเรา แต่เราอยากปฏิบัติ อยากรับใช้ อยากทำๆๆ เพื่อพระเจ้า พระเจ้าบอกว่า “ไม่เอาๆ เราต้องการการสนิทจากเจ้า แล้วเราจะให้เจ้าเกิดผลมาก” พระเยซูพูดเองว่า “จงสนิทในเรา แล้วเจ้าจะเกิดผล” ก็คือจงสนิทผูกพันกับเรา แล้วเจ้าจะปฏิบัติๆๆ ได้ แปลง่ายๆ ครับ แต่คริสเตียนมากมายไม่เข้าใจ
ความรักดั้งเดิม คือเราต้องหลงรักพระเยซูเหมือนเมื่อก่อน อยากหลงรักพระเยซู ก็ต้องบอกรักพระเยซู ทั้งๆ ที่เราไม่รู้สึกว่ารักเลย แต่เราบอกรักไปเรื่อยๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเร้าใจเรา และเคลื่อนไหวในเรา ทำให้เคมีแห่งความรักมันเพิ่มพูนขยายตัว แล้วเราจะเกิดมีอาการหลงรักพระเยซู
ผู้ชายที่หลงรักผู้หญิง หรือผู้หญิงหลงรักที่ผู้ชาย มีรถมาปาดหน้าเรา หรือใครจะด่าใครจะว่าอะไรเรา เราก็ไม่สนใจ ไม่คิดอะไร
คนที่มีความรัก ทุกอย่างมันสวยงาม โลกเป็นสีชมพูไปหมด เราที่ตกหลุมรักพระเยซู ทุกอย่างมันเป็นสีชมพูหมด มันดีไปหมด เอเมน
การอยู่ในความรัก ทำให้เราหายโกรธ พระเจ้าเอาความรักมาใส่ ความโกรธก็ไม่มี อยากได้ความรักจากพระเจ้ามากๆ ก็ต้องบอกรักพระเยซูครับ บอกรักตั้งแต่เช้าจนค่ำ บอกรักทุกๆ ชั่วโมง
ผมตั้งนาฬิกาแปดโมง เก้าโมง สิบโมง สิบเอ็ดโมง เพราะว่าเราชอบลืมบ่อยๆ เราบอกรักพระเยซูไปเรื่อยๆ สุดท้ายเราก็หลงรักพระเยซูครับ
อาจจะมีพี่น้องบางคนที่เคยมีอาการตกหลุมรักพระเยซู เอเมน มันซาบซ่านซาบซึ้ง ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากไปไหน อยากอยู่ใกล้พระเยซูตลอดเวลา เป็นชีวิตที่ดีมากๆ ภาษาอังกฤษก็คือ Best Love
หล่นจากความรักดั้งเดิม ภาษาอังกฤษคือ “Lost The First Love” หรือ “Lost The Best Love” The First Love หรือ The Best Love ก็คืออันเดียวกัน เหมือนกันครับ
b. พระเจ้าต้องการความรัก และความสัมพันธ์กับผู้เชื่อ มากกว่าการเชื่อฟัง
c. พระเจ้ายอมรับการงานของพวกเขา
d. พวกเขาเหนื่อยยาก แต่มีความอดทนสูงมาก
e. มีผู้คนมาแอบอ้างว่าเป็นอัครสาวก แต่พระเจ้าไม่ได้เลือกเขา
f. คริสตจักรนี้ไม่มีการยกใครขึ้นเป็นใหญ่ ไม่มีอาจารย์ หรือศาสนาจารย์ที่มีอำนาจ และมีเกียรติเหนือพี่น้อง
g. การกลับมาสู่ความรักดั้งเดิม คือกลับมาสนิท สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเยซูอีกครั้ง ด้วยการบอกรักพระองค์ และพูดคุยอย่างสม่ำเสมอ (ยน 15:1–5; อฟ 6:18)
h. ถ้าไม่กลับใจจะไม่มาถึงชีวิตผู้ชนะ และไม่ได้เข้าไปในอาณาจักรอย่างแน่นอน
ถ้าหากชีวิตเราไม่มีการสนิทสนมกับพระเยซูอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีอารมณ์รักกับพระเยซู และไม่ตกหลุมรักพระเยซู เราจะพลาด และไม่ได้เข้าไปในอาณาจักร แต่รอดในวันสุดท้ายเท่านั้น
a. คืออาการที่ท้อแท้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็บ่น เบื่อ ท้อ และคิดจะหนี หรือแยกออกมา
b. คริสตจักรของพระเจ้าจะไม่ราบรื่น หรือมีจำนวนคนมากมาย แต่เต็มไปด้วยปัญหา
c. พวกเขายากจนฝ่ายร่างกาย แต่มั่งมีในความชอบธรรม (ได้สวมเสื้อตัวที่สอง)
d. การทดลองที่เข้ามา พระเจ้าทรงอนุญาตเพื่อให้เขาเติบโต และเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
คริสตจักรนี้มีครบ เป็นมนุษย์วิญญาณแล้ว และเดินด้วยตัวใหม่ทุกวัน แต่คริสตจักรนี้มีปัญหาเรื่องเดียว ก็คือท้อแท้ และพระเยซูก็เตือนเขาว่าอย่าท้อแท้
คริสตจักรฝ่ายวิญญาณ หรือคริสตจักรผู้ชนะ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ท้อแท้ หลายครั้งเราเจอปัญหามากมาย เราก็ต้องท้อแท้ แต่พระเจ้าบอกว่าอย่าท้อแท้ พระเจ้าไม่เคยท้อแท้ที่จะทำงานในชีวิตเรา ภาษาอังกฤษ คือ God Never Give Up On You, So Don’t Give Up On Yourself พระเจ้าไม่เคยท้อแท้ต่อชีวิตของเรา เราก็อย่าท้อแท้ในชีวิตของเราเหมือนกัน พระเจ้ากำลังทำงานอยู่ เอเมน
e. สถานที่นมัสการของยิว คือที่อยู่ของซาตาน พระเจ้าไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่อยู่ในคริสตจักรของพระองค์
เราเข้าใจนะครับ ทุกวันนี้พระวิหารของยิวถูกทำลายแล้ว ที่เยรูซาเล็มไม่มีพระวิหารแล้ว ทุกวันนี้ยิวนมัสการที่ธรรมศาลา ภาษาอังกฤษเรียกว่า Synagogue ทั่วโลกมี และที่เมืองไทยก็มี
ในพระคัมภีร์ วว 2:9 บอกว่า วิหารหรือ Synagogue ของยิวเป็นที่อยู่ของซาตาน พระเจ้าไม่ได้อยู่กับยิวที่รักษาพระบัญญัติ และไม่ต้อนรับพระเยซู แต่ซาตานอยู่ครับ
a. คือการนำโลก และสิ่งที่เป็นฝ่ายโลกเข้ามาใช้ในคริสตจักร เช่น คำสอนของศาสนาอื่น ความรอบรู้ที่ได้มาจากสติปัญญาของอาดัม ประเพณี หรือวัฒนธรรมของโลก
b. คริสตจักรมากมายทุกวันนี้จึงเป็นที่นั่งของซาตาน เพราะว่าเมื่อนำโลกเข้ามา ซาตานก็เข้ามาทำงานได้อย่างมากมาย
c. คริสตจักรนี้ยังเชื่อเรื่องการมีผู้นำ ศิษยาภิบาล หรือศาสนาจารย์ที่มีอำนาจ ตำแหน่ง และเกียรติยศที่สูงกว่าพี่น้องในคริสตจักร
เราหลีกเลี่ยงจาการเป็นคริสตจักรโลก คือไม่เอาอะไรที่เป็นของโลกเข้ามาในคริสตจักร เอเมน
มีแต่พระเจ้า พระเยซู และคำพูดของพระเจ้าเท่านั้น เราไม่เอาอย่างอื่น สติปัญญามีครบแล้วในพระเยซูคริสต์ คำตอบทุกอย่างมีอยู่แล้วในพระคำของพระเจ้า เราไม่จำเป็นต้องสนใจคำสอนของโลก ไม่เช่นนั้นคริสตจักรเราจะกลายเป็นคริสตจักรโลก
ตอนนี้พี่น้องหลายคนยังฉลองงานวันเกิด งานวันเกิดไม่ได้เป็นของคริสตจักร แต่เป็นของโลก ไม่มีในพระคัมภีร์ที่สาวกจัดงานวันเกิดให้กัน หรือจัดงานวันเกิดให้พระเยซู แล้วทำไมเราจัดงานวันเกิดให้พระเยซู เราจัดคริสต์มาสเพื่ออะไรครับ
เมื่อเราเอาโลกเข้ามาในคริสตจักร คริสตจักรก็เลยกลายเป็นคริสตจักรโลก อันตรายมากครับ เพราะถ้าคริสตจักรเอาโลกเข้ามา ซาตานก็ตามเข้ามาด้วย เพราะว่าซาตานครอบครองโลกอยู่ทุกวันนี้
พระคัมภีร์ วว 3:9 บอกว่า คริสตจักรมากมายของพระเจ้าเป็นที่อยู่ของซาตาน พระเยซูพูดเองว่า “ที่อยู่ของพวกท่านเป็นที่อยู่ของซาตาน” อย่าคิดว่าซาตานเข้ามาไม่ได้ครับ ตอนนี้ขณะนี้ซาตานก็พยายามอยู่ แต่เราไม่เห็น แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทำงาน
คริสตจักรทุกวันนี้หลายๆ คริสตจักรเขาทำกัน เราห้ามเค้าไม่ได้ครับ แต่เรารู้ความจริงแล้ว เราขอบพระคุณพระเจ้า
เราไม่จัดวันเกิดให้พระเยซู แต่เราเฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ทุกๆ วันอาทิตย์ เพราะว่าวันอาทิตย์เป็นวันแรกของสัปดาห์ เป็นวันที่พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย สาวกทั้งหลายฉลองการฟื้นขึ้นของพระเยซูทุกๆ วันอาทิตย์ นี่คือเหตุผลที่พวกเรานมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ ไม่ใช่เราเปลี่ยนวันสะบาโตจากวันเสาร์กลายมาเป็นวันอาทิตย์ ไม่เกี่ยวอะไรกับสะบาโตครับ
a. ใช้ระบบผู้นำเป็นใหญ่ มีอำนาจเหนือพี่น้อง
b. สอนผิด แปลความหมายพระคำพระเจ้าผิด การดำเนินชีวิตและรับใช้จึงผิด และชีวิตไม่ไปถึงไหน ต้องขึ้น-ลงๆ สุข-ทุกข์ๆ ดี-บาปๆ
เมื่อก่อนเราเคยเป็นคริสเตียนศาสนาใช่ไหม เอเมนไหมครับ เราไม่มีสันติสุขทุกวันเวลานาที เราไม่อยู่ในกระบวนการการเปลี่ยนแปลง
ถามว่าคริสตจักรโลก กับคริสตจักรศาสนา แตกต่างกันอย่างไร
คริสตจักรโลก คือเอาของโลกเข้ามา เอาความรอบรู้ และสิ่งที่เป็นของโลกเข้ามาใช้ แต่คริสตจักรศาสนา คือแปลพระคัมภีร์ผิด อยู่ในพระคำพระเจ้าก็จริง ใช้พระคำพระเจ้า และไม่เอาโลกเข้ามา แต่แปลพระคัมภีร์ผิด เชื่อผิด คิดผิด รับใช้ผิด อธิษฐานผิด สอนผิด อ่านผิด ทุกอย่างผิดหมด การดำเนินชีวิตก็ผิด เพราะฉะนั้น เราจึงกลายเป็นคริสตจักรศาสนา พระเยซูตำหนิคริสตจักรนี้ แล้วก็สาปแช่งผู้นำด้วย
c. ผู้นำมากมายจะแบกภาระหนักมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะที่นอนของเขาแทนที่จะเป็นที่ให้พักผ่อน แต่กลับกลายเป็นที่นอนของคนไข้
d. คริสตจักรศาสนาส่วนใหญ่จะอยู่ด้วยกันนานไม่ได้ จะเกิดมีการแตกแยกแบ่งแยกตลอดเวลา เราพบว่าคริสตจักรทุกวันนี้มีนับพันคณะนิกาย
a. คือการใช้เนื้อหนังคนเก่า ชีวิตเก่าอาดัม เพื่อดำเนินชีวิตและรับใช้พระเจ้า (The Flesh, Carnal)
b. ต้องค้นหาความจริงเรื่องการร่วมเป็นและร่วมตายกับพระเยซู เดินด้วยความเชื่อด้วยตัวใหม่อยู่ในพระคริสต์ และให้พระองค์ทำแทนทุกอย่างในแต่ละวัน ไม่เดินด้วยเนื้อหนังตัวเก่าอีกต่อไป
a. กำลังหรือจำนวนคนไม่มีมาก เหมือนคริสตจักรศาสนาทั่วๆ ไป
พระเยซูบอกเองว่า คริสตจักรเที่ยงแท้หรือคริสตจักรผู้ชนะจะไม่มีคนมาก แต่มีเล็กๆ น้อยๆ คือ 10, 15, 20, 30, 50 หรืออาจจะ 100 คน แต่น้อยมากครับ ขอให้เราทำใจ อย่าหวังว่าคริสตจักรเราจะมีคนเยอะๆ หรือคิดว่า “มานาที่ซ่อนไว้ดีมากเลย พี่น้องน่าจะมาฟังกันเยอะๆ” ไม่ครับ เค้าฟังแล้วเค้าก็หนี เพราะเค้ารับไม่ได้
มานาที่ซ่อนไว้เป็นข้อลึกลับเรื่องอาณาจักร พระเจ้าเปิดให้ใครคนนั้นก็ได้รับ เราพยายามช่วยคนอื่นให้ได้รับแค่ไหนเค้าก็ไม่ได้รับ ถ้าพระเจ้าไม่เปิด เราไม่ใช่คนเลือก แต่พระเจ้าเป็นคนเลือก
b. ได้หลุดพ้นแล้วจากปัญหาที่คริสตจักรทั้งหกมี อะไรก็ตามที่เป็นรูปแนวศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม ของโลกหรือของชาติหนึ่งชาติใด เราจะนำเข้ามาเป็นแบบเพื่อฝึกเดินในพระวิญญาณไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายแบบเดียวกัน ท่อง อธิษฐาน อ่านพระคำยามเช้า และไม่อยู่ภายใต้องค์กร หรือคณะนิกายใดๆ ทั้งสิ้น คริสตจักรยืนอยู่โดยพระคริสต์ และบริหารโดยพระคริสต์
c. คือบรรดาผู้เชื่อที่เคยอยู่ในคริสตจักรทั้งหก และหล่นจากพระคุณแล้ว เมื่อได้พบพระคำล้ำลึก (มานาที่ซ่อนไว้) ก็ฝึกเดินในพระวิญญาณ เขาเน้นที่สนิทบอกรักพระเยซู เขาจะสุกงอม พร้อมที่จะเป็นประชากรแห่งอาณาจักรพันปี และครอบครองร่วมกับพระเยซูไปจนชั่วนิรันดร์
a. ร้อน คือร้อนรนกระตือรือร้น ขณะที่เย็น คือไม่ทำอะไรเลย
b. อุ่นๆ คือดำเนินชีวิตเหมือนชาวโลก ไปโบสถ์วันอาทิตย์ อ่าน และอธิษฐาน แต่ไม่ร้อนรนกระตือรือร้น ไม่เดินในพระวิญญาณในแต่ละวัน หรือสนิทในพระคริสต์แต่ละชั่วโมง
มีคริสเตียนบางคนแปลพระคัมภีร์ข้อนี้ว่า “ถ้าร้อนก็ร้อน เย็นก็เย็น แสดงว่าถ้าร้อนก็ดี หรือถ้าเย็นก็ดี” อันนี้ไม่ถูกครับ
ในพระคัมภีร์ พระเจ้าต้องการให้เราทำสิ่งเดียว ก็คือร้อน ถ้าไม่ร้อนก็เย็นไปเลย ความหมายคือพระเยซูต้องการบอกเราว่า “จะเข้ามาใกล้พระเจ้าก็มาใกล้ อย่าเป็นอุ่นๆ ถ้าไม่ใกล้ก็ไปเลย ก็เย็นไปเลย” เข้าใจไหมครับ คือไม่ต้องทำอะไรเลย
มาโบสถ์วันอาทิตย์ แต่ชีวิตประจำวันไม่มีพระคริสต์ ไม่ฝึก ไม่อธิษฐาน และไม่อ่าน คือไม่สนิทในพระเยซู แต่เป็นอุ่นๆ อยู่ พระเจ้าไม่ชอบ ก็เลยบอกว่า “ไปเย็นไปเลย” คือไปเลย ออกไปเลย
วิวรณ์บทที่ 3 พระเยซูพูดถึงร้อน-เย็น คือเป็นเรื่องของใจ ไม่ใช่น้ำ ร้อน-เย็นก็คือใจ ไม่ใช่น้ำไม่ใช่ว่าเย็นคือดี น้ำร้อนก็ดีอย่างหนึ่ง และน้ำเย็นก็ดีสำหรับดื่ม เพราะมันเย็นชุ่มฉ่ำ ไม่ถูกครับ อย่าตีความหมายผิดครับ
“เรารักผู้ใด เราก็ตักเตือนและตีสอนผู้นั้น เหตุฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น” การกระตือรือร้นคือใจครับ พระเยซูพูดถึงเรื่องใจร้อนหรือกระตือรือร้น
โรม 12:11 บอกว่า “จงรับการเผาไหม้โดยพระวิญญาณ คือเผาไหม้ใจ คือจิตใจร้อนรน เป็นจิตใจที่ร้อนก็ร้อน และถ้าเย็นก็เย็นไปเลย ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยว ไปเลย ออกไปเลย
พระคัมภีร์ตอนนี้ บางคนคิดถึงข้อที่พระเยซูบอกว่า “เราใคร่จะให้เจ้าร้อนหรือเย็น” เค้าก็เลยคิดว่า “เออ เย็นน่าจะดี” แต่แท้ที่จริงพระเยซูบอกว่า “จะร้อนก็ร้อน จะเย็นก็เย็น” คือจะอยู่ก็อยู่ จะไปก็ไป
c. พวกเขาคิดว่าตนดีรอบคอบ และชอบธรรมแล้ว (เพราะใช้ชีวิตอาดัมทำดี) แต่เขาไม่มีพระคริสต์ทำแทน จึงไม่มั่งมีในความชอบธรรมของพระเจ้า
คริสตจักรทุกวันนี้มั่งมีในความดีของอาดัม และทำดีมากมาย แต่ความดีเหล่านั้นเป็นความดีที่ตายแล้ว คือเค้าเป็นตัวเก่า เอาตัวเก่าทำ
เราลองถามคริสตจักรมากมายว่า “พี่น้องครับ ตอนที่พระเยซูตาย มีกี่คนที่ตายกับพระเยซู” ส่วนมากเค้าจะตอบว่ามีสองคน รวมกับพระเยซูเป็นสามคน คือเค้าไม่รู้ว่าเค้าตายแล้วกับพระเยซู
เรื่องตายกับพระเยซูเป็นเรื่องใหญ่ ภาษาอังกฤษ คือ United With Christ Death And Resurrection ก็คือมีส่วนร่วมในการตายและการเป็นขึ้นมากับพระเยซู อันนี้เราต้องรู้ ถ้าไม่รู้เราหลงประเด็น เราเดินหลงทาง เรากลายเป็นคริสเตียนศาสนา เราตาบอด เดินในความมืด และอีกมากมาย
d. พวกเขาเป็นคนแร้นแค้นเข็ญใจ เป็นคนน่าสังเวช เป็นคนขัดสน เป็นคนตาบอด และเปลือยกายอยู่ (วว 3:17)
เป็นคนแร้นแค้นเข็ญใจ และเป็นคนยากจนน่าสังเวช คือไม่มีความชอบธรรมของพระเยซู (ไม่มั่งมี) แต่ทุกข์ยากยากจนในความดีของพระเยซู
เป็นคนตาบอด เปาโลตำหนิคริสตจักรโคโลสี ว่า เป็นคริสตจักรที่เดินในความมืด เดินในความมืด คือตาบอด
คริสตจักรกาลาเทียหล่นจากพระคุณ บอกว่าเชื่อแล้วต้องปฏิบัติตาม ต้องรักษาพระบัญญัติถึงจะได้รอด และได้รับพระวิญญาณ แต่เปาโลบอกว่า “ท่านได้รับพระวิญญาณเพราะความเชื่อ หรือเพราะการปฏิบัติ”
คริสตจักรโรมก็เหมือนกับพวกเราทุกวันนี้ในอดีต คือไม่รู้ว่าเค้าตายกับพระเยซู และเป็นขึ้นมากับพระเยซู
คริสตจักรสมัยก่อนก็มีปัญหาแล้ว เปาโลไปเตือน และหลายคริสตจักรก็ไม่พอใจ แต่พี่น้องส่วนหนึ่งพอใจในคำสอนของเปาโล และติดตามมาเรื่อยๆ
e. ซื้อทองคำที่หลอมให้บริสุทธิ์ในไฟแล้ว และเสื้อผ้าขาวเพื่อจะนุ่งห่มได้ คือซื้อชีวิตและธรรมชาติพระนิสัยของพระเจ้า เพื่อจะมั่งมีในผลของพระวิญญาณ เป็นเสื้อตัวที่สองเพื่อได้เข้าไปในอาณาจักร (วว 3:18)
“ซื้อทองคำที่หลอมให้บริสุทธิ์แล้ว” ทองคำคือพระเจ้า คือพระสติปัญญาและความคิดของพระเจ้าที่คิดแทนเรา เราคิดอะไรก็คิดเพื่อพระเจ้า คิดแทนพระเจ้า ให้พระเยซูคิด ให้พระเจ้าคิดแทนเรา ต่อไปเราจะไม่คิดเอง เพราะความคิดของเราเราต้องการแต่ฝ่ายเนื้อหนัง แต่ความคิดของพระเจ้าต้องการแต่ฝ่ายวิญญาณ
ซื้อทองคำ ก็คือซื้อพระสติปัญญา และความคิดทุกอย่างจากพระเจ้า ตรงข้ามกับทองคำ คือไม้หรือขี้เลี่อย มนุษย์ทุกวันนี้สมองมีแต่ขี้เลื่อย
สมองมนุษย์ทุกวันนี้เราใช้ได้แค่ 5-20% เท่านั้น คนที่ใช้ได้ 20% คือไอน์สไตน์ หรือใครก็ตามที่ฉลาดที่สุดในโลก แต่มนุษย์ส่วนมากทุกวันนี้ใช้ได้แค่ 5% เท่านั้น หรือคนที่ฉลาดหน่อย มีความรู้สูง และมีเงินเดือนดีก็ใช้ได้แค่ 10% ครับ ส่วนที่เหลืออีก 70-80% ก็เป็นต่อมน้ำ หรือเป็นขี่เลื่อยนั่นเอง
เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้คือสติปัญญาที่ได้มาจากไม้ ก็คือใช้ไม่ได้ พระเจ้าต้องการให้พระเจ้าเป็นคนคิดแทน และเป็นสติปัญญาของเรา
การที่จะให้พระเยซูเป็นสติปัญญาของเรา ให้พระเจ้าเป็นความคิดและผู้คิดแทนเรา คือเชื่อเอาครับ (1 คร 1:30) เอเมน ขอบคุณพระเยซู
1 คร 1:30 บอกว่า “พระคริสต์ทรงเป็นพระสติปัญญาของเรา” เอเมน พระคริสต์จะคิดแทนเรา
เราบอกว่า “พระเยซู คิดแทนข้าเถอะ ข้าพระองค์ไม่อยากคิดแล้ว เหนื่อย ปวดหัว คิดแทนเถิด” ไม่นานต่อมาพระเยซูจะคิดแทนเรามากขึ้นๆๆ และความคิดของเราทุกอย่างเราจะคิดเพื่อพระเจ้า ไม่สนใจโลก ไม่อยากคิดอะไร ใครจะเป็นยังไง จะอยู่ จะเป็น จะตาย จะดี หรือจะเป็นยังไงเราไม่ได้คิด พระเยซูคริสต์คิดแทนเรา เราก็เบาสบาย
คริสเตียนเราได้สวมเสื้อสองตัว แต่ตัวที่สองต้องเป็นผู้ชนะเท่านั้นที่ได้สวมใส่
ทุกๆ คนที่เชื่อพระเจ้าได้เสื้อตัวที่หนึ่งซึ่งเป็นเสื้อที่ดีที่สุด คือพระเยซูคริสต์ครอบคลุมเราอยู่ พระเจ้ามองมาที่เราก็เห็นแต่พระเยซูไม่เห็นตัวเรา พระเจ้าจึงเรียกเราว่าเป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ และไร้ตำหนิ เอเมน
ถ้าหากว่าชีวิตของเราไม่ปรากฏชีวิตของพระเยซูออกมา เราไม่มีคุณสมบัติของพระเยซู ไม่มีคำพูดของพระเยซู ไม่มีความสุภาพนอบน้อม เรียบร้อย ความรัก อดทนนาน กระทำคุณให้ และผลของพระวิญญาณเกิดขึ้น เราก็จะไม่ได้สวมเสื้อตัวที่สอง เสื้อตัวที่สองนี้คือการปรากฏของชีวิตพระเยซูผ่านเรา ถ้าหากเราไม่มีเสื้อตัวที่สองนี้ ก็จะไม่ได้เข้าไปในงานเลี้ยงในยุคพันปี
การจะได้สวมเสื้อตัวที่สอง คือเชื่อเอา เพราะหลักการของชีวิตคริสเตียนทุกวันนี้ก็ คือเชื่อเอา
โรม 1:17 “เราเริ่มต้นก็ด้วยความเชื่อ จบลงก็ด้วยความเชื่อ”
เรารับพระเยซูเพราะความเชื่อ เราได้รับการบังเกิดใหม่เพราะว่าเชื่อ เราได้รับการยกโทษบาปเพราะว่าเชื่อ เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะว่าเชื่อ เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมเพราะว่าเชื่อ เราได้รับสันติสุขเพราะว่าเชื่อ เราได้รับพระพรแล้วทุกอย่างฝ่ายวิญญาณเพราะว่าเชื่อ เราได้เป็นผู้ชนะแล้วเพราะว่าเชื่อ เราเป็นคริสตจักรเที่ยงแท้แล้วเพราะว่าเชื่อ เราเป็นผู้ชนะและเจ้าสาวที่น่ารักของพระเยซูเพราะว่าเชื่อ ฯลฯ
มีแต่เชื่อเอาๆ ทั้งนั้น ขอบคุณพระเยซู เรามาถูกทางแล้ว คือมันง่ายมาก ภาระก็เบา และรักพระเยซูได้มากกว่าก่อน
“โอ้พระเยซู ขอบพระคุณพระองค์สำหรับยาทาตา พวกเรารักพระองค์มาก ที่เปิดตาพวกข้าพระองค์ให้เห็นความจริง และทางที่แท้จริงของพระองค์ พระองค์เป็นทางนั้นจริงๆ เป็นความจริง และเป็นชีวิตที่ไปถึงพระบิดาจริงๆ และตอนนี้พวกข้าพระองค์ไปถึงพระบิดาแล้ว พระบิดาอยู่ในข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว พระเยซูพวกข้าพระองค์รักพระองค์ รักพระเยซู เอเมน”
f. เอายาทาตา คือขอการเปิดตาจากพระเจ้า ให้ได้เห็นพระคำล้ำลึกที่ซ่อนไว้จากผู้เชื่อทั้งหลายที่ไม่ถ่อมใจ (วว 3:18)
g. คริสตจักรดังกล่าวไม่มีพระคริสต์ครอบครองภายในจิตใจ เพราะเขาไม่ได้พบข้อลึกลับที่อุดมสมบูรณ์ของพระเจ้าใน (คส 1:27)
คริสตจักรอุ่นๆ ไม่มีพระคริสต์ครอบครองจิตใจ เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้พระคริสต์ครอบครองจิตใจเขา
พระคัมภีร์ อฟ 3:17 กล่าวว่า “เพื่อพระคริสต์จะครอบครองจิตใจของท่านโดยทางความเชื่อ” คือเชื่อเอาครับ
“ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์ครอบครองจิตใจข้าพระองค์แล้ว” ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็น ไม่เป็นไร ขอบพระคุณต่อไป เชื่อต่อไป และฝึกต่อไป ในที่สุดเราจะเห็นการครอบครองพระองค์อย่างครบบริบูรณ์ เอเมน
h. ดูเถิด เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้น (I Will Come in to Him) และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา (วว 3:20)