4:1 เพราะฉะนั้น เหมือนที่พระคริสต์ได้ทรงทนทุกข์ในเนื้อหนังเพื่อพวกเราแล้ว พวกท่านจงคาดอาวุธไว้ด้วยความคิดอย่างเดียวกันด้วย เพราะว่าผู้ที่ได้ทนทุกข์ในเนื้อหนังก็ได้งดเว้นจากบาปแล้ว
** จงคาดอาวุธไว้ด้วยความคิดอย่างเดียวกันด้วย คือผู้เชื่อทุกคนควรรู้ และเข้าใจ และคิดแบบเดียวกันเรื่องการทนทุกข์ที่เราจะต้องได้รับเข้ามาไม่มากก็น้อยเหมือนพระเยซู การทนทุกข์ของพระเยซูก็เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องความบาปของเรา แต่การทนทุกข์ของเราก็เพื่อเลิกทำบาปได้ ซึ่งถ้าหากเราไม่เคยพบเจอความยากลำบากเลยเราก็เพิกเฉยต่อบาป
4:2 เพื่อเขาจะได้ไม่ดำเนินชีวิตแห่งวันเวลาของเขาที่ยังเหลืออยู่ในเนื้อหนังตามบรรดาราคะตัณหาของมนุษย์อีกต่อไป แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
** สำหรับพระเจ้า เมื่อทรงไถ่เรา ซื้อเรา พระองค์ประหารเรา และประทานชีวิตใหม่แก่เราแล้วในพระคริสต์ พระองค์มีพระประสงค์ให้เราใช้เวลาที่เหลือเพื่อการดีสำหรับพระเจ้า และเลิกทำบาปโดยมีพระคริสต์เป็นผู้ครอบครองชีวิตทั้งหมดของเรา และเกิดผลชีวิตใหม่ผ่านเรา
4:3 ด้วยว่าเวลาที่ผ่านไปในชีวิตของพวกเรานั้น อาจจะเพียงพอสำหรับพวกเราแล้วในการได้กระทำความประสงค์ของคนต่างชาติ เมื่อพวกเราเคยดำเนินในการลามก บรรดาราคะตัณหา การดื่มเหล้าองุ่นมากเกินไป การสำมะเลเทเมาทั้งปวง เลี้ยงกันอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยทั้งหลาย และบรรดาการไหว้รูปเคารพอันน่าสะอิดสะเอียน
** สำหรับพระเจ้า เมื่อได้รับการไถ่ และเวลาที่เหลือมันเป็นเวลาที่สั้นมาก และไม่นานเราก็จะจากโลกนี้ไป เพื่อเข้าสู่ยุคอาณาจักรสวรรค์ และแผ่นดินโลกใหม่ เราจึงควรใช้เวลาเพื่อเดิน ประกาศ ปรนนิบัติรับใช้ และทำทุกสิ่ง ในพระคริสต์ เพื่อให้เราได้หลุดพ้นจากกิเลสตัณหา โลภ โกรธ หลง แห่งเนื้อหนัง
4:4 ในเรื่องนี้พวกเขาคิดว่า เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดที่พวกท่านไม่วิ่งไปพร้อมกับพวกเขาสู่การอลหม่านอันเกินควรแบบเดียวกันนั้น โดยกล่าวร้ายพวกท่าน
** การดำเนินชีวิตคริสเตียนเป็นหนทางที่ตรงข้าม ขัดแย้ง และคนละเส้นทางกับคนที่ไม่เชื่อ พวกเขาจึงแปลกใจ ฉงนสนเท่ห์มาก เนื่องจากว่าพวกเขาเห็นว่าการกินดื่ม การลามก ราคะตัณหา เป็นหนทางที่นำพวกเขาไปถึงความสุขได้ แต่คริสเตียนเราไม่ทำและมีความสุขแท้ที่อยู่ภายใน
4:5 ผู้ซึ่งจะให้การแก่พระองค์ผู้พร้อมแล้วที่จะทรงพิพากษาคนเป็นและคนตาย
** เมื่อถึงวันพิพากษา สิ่งที่ผู้เชื่อได้กระทำนั้น คนที่ไม่เชื่อที่อยู่รอบข้างเราคือผู้ที่ได้รู้เห็น พวกเขาจะเป็นผู้ที่ฟ้องเราหรือเป็นสิ่งที่พระเจ้านำมาฟ้องเรา
4:6 เพราะว่าด้วยเหตุนี้เอง ข่าวประเสริฐจึงได้ถูกประกาศแก่คนทั้งหลายที่ตายไปแล้วด้วย เพื่อพวกเขาจะได้ถูกพิพากษาตามอย่างมนุษย์ในเนื้อหนัง แต่มีชีวิตอยู่ตามอย่างพระเจ้าในวิญญาณ
** คนทั้งหลายที่ตายไปแล้ว คือผู้เชื่อที่เคยต้อนรับพระเยซูและเดินในพระวิญญาณ ต่อมาร่างกายนี้ได้ตายไปแล้วเนื่องมาจากการทนทุกข์และถูกข่มเหง
4:7 แต่วาระสุดท้ายของสิ่งทั้งปวงใกล้จะถึงแล้ว เหตุฉะนั้นพวกท่านจงมีสติสัมปชัญญะ และจงเฝ้าระวังในการอธิษฐาน
** จงมีสติสัมปชัญญะ คือการใส่ใจ เอาใจใส่ เรื่องการเดินในฝ่ายวิญญาณหรือในพระคริสต์อยู่เสมอ
** จงเฝ้าระวังในการอธิษฐาน คือการใส่ใจ จดจ่อ ในการสนทนาพูดคุยบอกรักพระเยซูอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน
4:8 และยิ่งกว่าสิ่งทั้งหมด จงมีความรักอันร้อนรนในท่ามกลางพวกท่าน ด้วยว่าความรักจะปกปิดบาปอันมากมายไว้
** ความรัก ในที่นี้ คือ อากาเป คือเปโตรเตือนให้ผู้เชื่อควรมาถึงชีวิตที่พระคริสต์รักอย่างมากมายผ่านเราได้
** ความรักไม่ทำร้าย ทำลาย หรือทำให้ใครอับอายขายหน้า แต่ปกปิดเพื่อเขาจะมีโอกาสกลับใจ และมองเห็นความรัก พระคุณ พระเมตตาของพระเจ้าผ่านความรักในเรา ที่แสดงต่อเขา
4:9 จงต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน โดยปราศจากการบ่น
** สำหรับคริสเตียนศาสนาเมื่อทำดีไปก็บ่นไป แต่สำหรับคริสเตียนฝ่ายวิญญาณเมื่อทำดีไปก็ถ่อมใจไม่บ่น ไม่โอ้อวดใคร
4:10 ตามที่ทุกคนได้รับของประทานแล้ว ก็ให้เจือจานของประทานนั้นแก่กันและกัน เหมือนอย่างบรรดาผู้อารักขาที่ดีแห่งพระคุณอเนกอนันต์ของพระเจ้า
** พี่น้องในพระกายทุกคนควรค้นหาว่าตนมีของประทานอะไรบ้าง และนำมาใช้เพื่อรับใช้พระเจ้า และรับใช้กันและกัน เพื่อพี่น้องจะได้รับการก่อขึ้น และการช่วยเหลือทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ
** พระคุณอเนกอนันต์ของพระเจ้า คือพระคุณอันครบถ้วนของพระเจ้าที่ประทานมาให้เราผู้เชื่อทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระคุณและพระคุณซ้อนพระคุณ ในพระกายของพระเยซูย่อมมีพระคุณอันครบถ้วน เนื่องมาจากการร่วมกันรับใช้พระบิดาตามของประทานของแต่ละคน
4:11 ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดจะกล่าว ก็จงให้เขากล่าวเหมือนเป็นบรรดาพระโอวาทของพระเจ้า ถ้าคนใดปรนนิบัติ ก็จงให้เขาปรนนิบัติตามความสามารถซึ่งพระเจ้าโปรดประทานนั้น เพื่อว่าในสิ่งทั้งปวงพระเจ้าจะทรงได้รับเกียรติโดยทางพระเยซูคริสต์ การสรรเสริญและไอศวรรยานุภาพจงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์และเป็นนิตย์ เอเมน
4:12 ท่านที่รัก อย่าประหลาดใจที่ท่านต้องได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสเป็นการลองใจ เหมือนหนึ่งว่าเหตุการณ์อันประหลาดได้เกิดขึ้นกับท่าน
** สำหรับผู้เชื่อ เราไม่ควรแปลกใจเรื่องความทุกข์ยาก ขอให้เราเรียนรู้ว่ามีความทุกข์ยากและความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส ที่มาจากสามแหล่งด้วยกัน อย่างเช่น
1. การลงโทษ
2. การทดลอง
3. และการถวายเกียรติแด่พระเจ้า
เมื่อเราเข้าสู่การทุกข์ยาก พระเจ้าจะหาทางเพื่อบอกเราว่ามาจากไหน ถ้ามาจากการลงโทษเราก็สารภาพ ถ้าหากมาจากการถวายเกียรติเราก็ผ่านมันไปให้ได้เพื่อถวายเกียรติแด่พระบิดา และถ้าหากมาจากการทดลอง เราก็ขอบพระคุณพระเจ้าและอดทนโดยพระคริสต์ผู้เป็นชีวิตของเรา
4:13 แต่ว่าท่านทั้งหลายจงชื่นชมยินดีในการที่ท่านได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์ เพื่อว่าเมื่อสง่าราศีของพระองค์ปรากฏขึ้น ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมยินดีเป็นอันมากด้วย
** ความทุกข์ยากที่มาจากการทดลอง ก็คือความทุกข์ยากของพระคริสต์นั่นเอง เพราะฉะนั้นเราจึงได้มีส่วนในความทุกข์ยากของพระคริสต์ด้วย เราไม่ได้รับสิ่งใหม่หรือนอกพระคริสต์เลย
4:14 ถ้าท่านถูกด่าว่าเพราะพระนามของพระคริสต์ ท่านก็เป็นสุข ด้วยว่าพระวิญญาณแห่งสง่าราศีและของพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน ฝ่ายเขาก็กล่าวร้ายพระองค์ แต่ฝ่ายท่านก็ถวายเกียรติยศแด่พระองค์
** พระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา เพราะฉะนั้นถ้าหากมีคนมากล่าวหาใส่ร้ายเราเพราะพระนามพระเยซู เขาก็ได้ใส่ร้ายพระองค์ด้วย และเมื่อเราอดทนและไม่ตอบโต้ บำเหน็จมากมายก็เป็นของเรา เนื่องจากว่าเราได้ถวายเกียรติแด่พระองค์แล้ว
4:15 แต่ว่าอย่าให้มีผู้ใดในพวกท่านได้รับโทษฐานเป็นฆาตกร หรือเป็นขโมย หรือเป็นคนทำร้าย หรือเป็นคนที่เที่ยวยุ่งกับธุระของคนอื่น
** ชีวิตคริสเตียน ไม่ว่าจะเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ หรือระดับหนุ่ม ไม่ควรมีนิสัยที่ชอบ โขมย ทำร้ายผู้อื่น ฆ่าคน และไปยุ่งกับเรื่องชาวบ้าน
4:16 แต่ถ้าผู้ใดถูกการร้ายเพราะเป็นคริสเตียน ก็อย่าให้ผู้นั้นมีความละอายเลย แต่ให้เขาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเพราะเหตุนั้น
** คริสเตียน มีความหมายคือผู้ที่ติดตามพระเยซู เป็นคำที่ชาวต่างชาติที่เกลียดผู้ที่เชื่อในพระเยซูว่า คริสเตียน
** การเป็นคริสเตียน แน่นอนเราจะต้องถูกคนที่ไม่เชื่อเกลียดชัง ทำร้าย ใส่ร้าย ดูถูกเยาะเย้ย ฯลฯ ซึ่งเป็นการทดลองและการถวายเกียรติแด่พระเจ้า เราไม่ควรละอายใจแต่ขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าเมื่อเราไม่ละอายใจเราก็ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าแล้ว
4:17 ด้วยว่าถึงเวลาแล้วที่การพิพากษาจะต้องเริ่มตั้งต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า และถ้าการพิพากษานั้นเริ่มต้นที่พวกเราก่อน ปลายทางของคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร
** ถ้าหากเราผ่านความทุกข์ยากแสนสาหัส ไม่ละอาย ไม่ท้อ ไม่หนี และรักศัตรูที่ข่มเห่งเราได้ เราก็จะไม่ต้องถูกพิพากษาที่พระที่นั่งของพระคริสต์ และได้เข้าไปในอาณาจักรในยุคพันปี
** ครอบครัวของพระเจ้า ในที่นี้ ก็คือผู้เชื่อทุกคนตั้งแต่สมัยสาวกจนถึงทุกวันนี้ การพิพากษามีสองครั้ง ครั้งแรกก็คือการพิพากษาที่พระที่นั่งของพระคริสต์ The seat of Christ ซึ่งพระเยซูจะตัดสินผู้เชื่อให้เข้าไปในอาณาจักรเพื่อรับบำเหน็จและอยู่นอกอาณาจักรเพื่อรับโทษ ส่วนครั้งที่สองก็คือการพิพากษาคนที่ไม่เชื่อ เรียกว่าการพิพากษาที่พระบัลลังก์ใหญ่สีขาว The great white throne ซึ่งพระเยซูจะส่งคนที่ไม่เชื่อไปยังบึงไฟ
4:18 และถ้าคนชอบธรรมจะรอดพ้นไปได้อย่างยากเย็นแล้ว คนอธรรมและคนบาปจะไปอยู่ที่ไหน
** คนชอบธรรม คนอธรรม และคนบาป หมายถึงใคร ?
- คนชอบธรรม ในที่นี้ คือคนที่มีพระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเขาได้อย่างมากมาย
- ส่วนคนอธรรม ในที่นี้ ก็คือผู้เชื่อที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ในการบาปในแต่ละวัน เขายังไม่มีพระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเขา ซึ่งก็คือคริสเตียนศาสนานั่นเอง (ในข้อที่ 18 นี้ คนอธรรม คือคนที่กระทำการอธรรม ไม่ใช่สถานะ)
- ส่วนคนบาป ในที่นี้ ก็คือคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อ
4:19 เหตุฉะนั้น ให้คนทั้งหลายที่ทนความทุกข์ยากตามพระประสงค์ของพระเจ้า ฝากจิตวิญญาณของตนไว้กับพระองค์ด้วยการประพฤติดี เหมือนหนึ่งฝากไว้กับพระองค์ผู้ทรงสร้างอันสัตย์ซื่อ
** ฝากจิตวิญญาณ คือคำที่แปลผิดของฉบับภาษาไทย ภาษากรีก คือ ψυχή, ῆς, ἡ (ปะซูเค) ความหมายก็คือ การวางจิตไว้ หรือตั้งจิตไว้ ที่พระเจ้าเพื่อพระคริสต์จะสำแดงชีวิตที่ดีงามของพระองค์ออกมาผ่านเราได้