ถามว่าทำไมพระเยซูไม่บอกตรงๆ ให้หนุนใจกันและกัน ให้เตือนพี่น้องว่าให้ทุกคนให้อยู่ในพระคริสต์อย่างสม่ำเสมอ อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ สนิทในพระคริสต์อย่างสม่ำเสมอ คือสิ่งเหล่านี้พระวิญญาณตรัสผ่านเปาโล แล้วก็พระวิญญาณพูดในพระเยซูอยู่แล้ว หลายๆ ครั้งเราจะเห็นว่าพระเจ้าเตือนเราให้เดินในพระวิญญาณและอยู่ในพระวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ
แต่สำหรับยอห์นบทที่ 13 มีสิ่งหนึ่งที่ชาวยิวเขาทำกันเป็นประจำ ก็คือเมื่อแขกไปเยี่ยมบ้านของใคร ที่หน้าบ้านก็จะมีโอ่งใส่น้ำเพื่อจะล้างเท้าแขกที่มาเยี่ยมบ้าน เพื่อจะนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน เพราะว่าชาวยิวเวลาเขานั่งทานอาหารเขาจะยกเท้าขึ้น แล้วก็มันจะไปใกล้ศีรษะของอีกคนหนึ่ง คือเขาจะเอนกายลงแล้วจะมีหมอนเขาจะนอนกินข้าว
ทีนี้เรื่องการล้างเท้าจะเป็นประเพณีเป็นธรรมเนียมของชาวยิว และเราจะพบว่าพระเยซูใช้โอกาสใช้ประเพณีของชาวยิวนี้เพื่อสั่งสอนเราเกี่ยวกับเรื่องการล้างใจ ตรงไหนครับ
ตรงที่พระเยซูนำชามมาแล้วก็ถอดฉลองชั้นนอกของพระองค์ ก็คือเสื้อที่อยู่ด้านนอกคือถอดแล้วก็เอาน้ำล้างเท้าของสาวก แล้วพระเยซูพูดคำหนึ่งบอกว่า สิ่งที่เราทำตอนนี้ท่านไม่เข้าใจหรอก แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ แล้วทำไมพระเยซูพูดคำนี้ เราเห็นนะครับ
จริงๆ แล้วยิวชนชาติยิวชาวยิวตั้งแต่เล็กจนโตทุกคนเขารู้ดีว่าการล้างเท้าคืออะไร เขารู้ดีคือไปบ้านใครไปบ้านไหน เจ้าของบ้านจะใช้คนใช้หรือเป็นเจ้าของบ้านเองที่จะล้างเท้าให้แขกที่มาเยี่ยมบ้าน เขารู้กันดี เป็นประเพณีเหมือนบ้านเราที่ก่อนจะเข้าบ้านใครก็ต้องถอดรองเท้าเป็นประเพณีของบ้านเรา แล้วยิวเขาก็รู้ดีว่าการล้างเท้าก็เป็นประเพณีเขาทำกันทุกวัน
แล้วทำไมพระเยซูพูดว่า สิ่งที่เราทำตอนนี้ท่านไม่เข้าใจหรอก แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ แล้วพระเยซูพูดทำไมน่าคิดใช่ไหมครับ
แล้วสิ่งที่สอง ที่พระเยซูพูดว่า ถ้าหากเราไม่ล้างเท้าท่าน ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้ เห็นนะครับสองข้อนี้ที่พระเยซูพูด
ข้อแรก ก็คือ สิ่งที่เราทำตอนนี้ท่านไม่เข้าใจ แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ
แล้วคำที่สองที่พระเยซูพูด ก็คือ ถ้าหากเราไม่ล้างเท้าท่าน ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้ นี่คือหลักฐานนี่คือข้อพิสูจน์ว่าการล้างเท้าไม่ใช่เฉพาะเป็นเพียงแต่เรื่องการล้างเท้าเท่านั้น แต่มันมีอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ มีเรื่องฝ่ายวิญญาณที่ซ่อนอยู่
เราจึงพบว่าหนังสือยอห์นที่ผ่านมาเป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณทั้งนั้น เน้นแต่ฝ่ายวิญญาณ
บทที่ 1. พระเยซูเป็นความสว่าง ไม่ใช่หลอดไฟนะ ไม่ใช่ดวงตะวัน ไม่ใช่พระจันทร์ ไม่ใช่อะไรทั้งนั้นที่เป็นแสงสว่างที่ให้ตาเราฝ่ายเนื้อกายมองเห็น แต่เมื่อพระเยซูพูดว่าเราเป็นความสว่าง คืออะไร ความสว่างภาษาอังกฤษ the light จริงๆ แล้วคือความเป็นจริง คือความสว่างของพระเจ้า คือความเป็นจริง ความไม่รู้จักเสื่อมสูญ เสื่อมสลาย เสื่อมทรามเสื่อมโทรม เป็นสภาพอมตะ เป็นจริงอยู่ คงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ อันนี้เรียกว่าความสว่าง
และบทที่ 2. ที่พระเยซูถูกเชิญไปงานแต่งงานที่บ้านคานา จะมีเรื่องเหล้าองุ่นเก่าที่หมดไป และพระเยซูเสกน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นใหม่ มันคืออะไร หลายคนก็ตีความหมายเขาบอกว่าพระเยซูทำการอัศจรรย์ แต่จริงๆ แล้วมีเรื่องฝ่ายวิญญาณซ่อนอยู่ คือเรื่องอะไร เหล้าเราพบว่าเป็นชีวิต เหล้าเก่าก็คือชีวิตเก่า เหล้าใหม่ก็คือชีวิตใหม่ที่มีรสชาติอร่อยมากกว่าเก่า
และบทที่ 3. เราจะเห็นว่าเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณเหมือนกัน ผู้ชายคนหนึ่งนิโคเดมัสมาหาพระเยซูตอนกลางคืน แล้วยกย่องพระเยซูว่าเป็นอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ อาจารย์ที่มาจากพระเจ้า เคารพ นับถือ แต่พระเยซูพูดถึงเรื่องอะไร เรื่องการบังเกิดใหม่ เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณอีก การบังเกิดใหม่นี้ไม่ได้เข้าไปในท้องแม่อีกครั้งหนึ่งแล้วก็ออกมาเป็นมนุษย์คนใหม่เป็นเด็กทารกใหม่ ไม่นะครับ เป็นเรื่องของการบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณ แล้วพระเยซูยังเตือนว่าถ้าใครที่ไม่บังเกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณจะไม่ได้เห็นและไม่ได้เข้าไปในอาณาจักร
และบทที่ 4. ก็เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณเหมือนกัน พระเยซูตรัสว่าน้ำ เราเป็นน้ำ ไม่ได้หมายความว่าเราไปเอาน้ำที่ตู้เย็นหรือที่ไหนก็ตามไปซื้อน้ำเพื่อมากินมาดื่มให้มันเย็นชุ่มฉ่ำชุ่มคอ ไม่ครับ. คือพระเยซูตรัสว่าน้ำแห่งชีวิตที่เราให้ท่าน ท่านจะไม่กระหายอีกเลย มันจะพุ่งขึ้นสู่ทุกส่วนของร่างกายของชีวิต เราพบว่าสิ่งที่ทำให้เราชุ่มฉ่ำคืออะไร ชื่นใจคืออะไร ก็คือน้ำ น้ำก็คือความสุข ก็คือสันติสุข มันเป็นความหมายฝ่ายวิญญาณครับ
และบทที่ 5. พระเยซูรักษาโรค พระเยซูไม่ได้ไปซื้อยา ไม่ได้ไปร้านขายยา ไม่ได้ไปขอยาที่หมอเป็นยาอะไรที่เอามาทา เอามาทำมาช่วยมาให้เขากินเพื่อจะหายโรค แต่พระเยซูรักษาเขาด้วยเดชของพระเจ้า ด้วยฤทธิ์เดช ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องของพระวิญญาณเป็นฝ่ายวิญญาณ
และบทที่ 6. เราพบว่าอาหารฝ่ายวิญญาณ ก็คือพระคริสต์ในสภาพของอาหารที่เราต้องกิน ก็คือพระคำพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า เมื่อพระองค์ทรงเลี้ยงคน 5,000 คน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก 5,000 คนนะครับ เอาปลามาขยายให้มันเยอะมากขึ้นเพิ่มทวีคูณจนเหลือเป็น 12 กระบุง แล้วก็มีขนมปังด้วย และทุกวันนี้นะครับไม่ได้หมายความว่าพระองค์เป็นอาหาร ก็คือเราไปซื้อข้าวจี่ ซื้อขนมปัง ซื้ออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นอาหารมาทานแล้วบอกว่าพระเยซูเป็นอาหาร ไม่ใช่. มันคือพระคำพระเจ้านี่เอง ที่เรากินเราอ่าน แล้วเชื่อว่าเราได้กินพระคำพระเจ้า เราได้กินพระเยซู เราจะเติบโตสู่ชีวิตและนิสัยของพระเยซู
และบทที่ 7. เราพบว่าชนชาติอิสราเอล เดินเร่ร่อนเดินทางจากประเทศอียิปต์จนถึงดินแดนคานาอันใช้เวลานานหลายปี แต่จริงๆ แล้วพระเยซูตรัสว่า เราเป็นทางนั้น พระองค์เป็นทางที่จะนำเราเข้าสู่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ คือยุคพันปีและฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ อันนี้ก็คือฝ่ายวิญญาณอีกนั่นแหละ
และบทที่ 8. เราพบว่าพระเยซู คือผู้เดียวที่ยกโทษบาปให้มนุษย์ได้ การยกโทษบาปไม่มีสัญลักษณ์ ไม่มีเครื่องหมายที่จะชี้ให้เห็นเกี่ยวกับเรื่องฝ่ายร่างกาย ตามองไม่เห็นนะครับ การยกโทษบาปเป็นเรื่องของพระเจ้าเรื่องของพระวิญญาณ และเป็นเรื่องของอดีตที่พระเยซูทำนานมาแล้ว แล้วปัจจุบันนี้เราเชื่อเราก็ได้รับการยกโทษบาป มันเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ
และบทที่ 9. เราพบว่าพระเยซูช่วยให้เราหายจากอาการบอดฝ่ายวิญญาณได้ เราไม่ต้องไปซื้อยาเราไม่ต้องไปรักษาตา เราไม่ต้องไปทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องฝ่ายเนื้อกาย พระเยซูจะเปิดตาเราให้เข้าสู่พระคำความจริงของพระเจ้า เพื่อจะเดินในความจริงนั้น เราไม่ต้องไปแสวงหาพระ..องค์ไหนอีกแล้วศาสนาไหนอีกแล้ว เราพบพระเยซูไม่มีศาสนาแล้ว เราพบพระเจ้าองค์ผู้สูงสุด สรรเสริญพระเจ้า
และบทที่ 10. เราเห็นว่าเป็นเรื่องของพระเยซูนำเราออกจากพระบัญญัติ สู่ทางแห่งพระคุณได้ ก็คือออกจากคอก เราเป็นแกะที่ออกจากคอกแล้ว พบทุ่งหญ้าเขียวสดแล้วก็อาหารอุดมสมบูรณ์ เราขอบพระคุณพระเจ้าเราไม่ต้องอยู่ใต้พระบัญญัติอีกต่อไป อันนี้ก็เป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณ เมื่อพระเยซูตรัสว่าเราเป็นประตู เราเป็นทุ่งหญ้า พระเยซูไม่ได้เป็นจริงๆ แต่เป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณ
และบทที่ 11. เราพบว่าพระเยซูเป็นเหตุให้มีการฟื้นขึ้นมาจากความตาย การฟื้นขึ้นมาจากความตายไม่ได้ใช้ยา ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ต้องไปทำอะไรเพื่อให้ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย แต่เป็นฤทธิ์เดชที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณอีกนั่นแหละ
และสุดท้ายบทที่ 12. ก็คือเป็นเรื่องพระเยซูที่นำเราออกจากระบบศาสนา เข้าสู่พระกายเพื่อเลี้ยงดูเรา เมื่อก่อนมนุษย์อยู่ในระบบศาสนา ชาวยิวก็อยู่ในระบบศาสนา เป็นเรื่องของฝ่ายร่างกาย เป็นเรื่องของการที่จะปฏิบัติกฎพระบัญญัติ เป็นเรื่องของการนำเครื่องถวายบูชาอะไรก็แล้วแต่ไปที่พระวิหาร แต่ตอนนี้เราขอบพระคุณพระเจ้าเราไม่ต้องเอาแกะเอาสัตว์เอาอะไร ไปซื้ออะไรมาเส้นมาไหว้มาถวายเป็นเครื่องบูชา ไม่ต้องไปที่โบสถ์ที่พระวิหารที่ไหนก็แล้วแต่ เราขอบพระคุณพระเจ้า พระเยซูเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้เราแล้วและตอนนี้เราไม่ต้องมีรูปภาพของพระเยซูที่ห้อยอยู่ที่ฝาบ้าน หรือทำไม้กางเขน หรือทำอะไรก็แล้วแต่ เนื่องจากว่าเราไม่อยู่ในระบบศาสนา แต่เราอยู่ในฝ่ายวิญญาณ นมัสการก็นมัสการในวิญญาณ ดื่มก็ดื่มในวิญญาณ กินก็กินในวิญญาณ เดินก็เดินในวิญญาณ เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณทั้งนั้น
สรุปบทที่ 1 จนถึงบทที่ 12 เราจะพบว่าเป็นเรื่องของการได้บังเกิดใหม่ได้รอดได้เข้าสู่ชีวิตใหม่ได้อาบน้ำแล้วเรียบร้อยแล้ว
แต่สิ่งหนึ่งเมื่อเรารับเชื่อ เมื่อเราต้อนรับพระเยซู การเดินในชีวิตแต่ละวันของเราในความเชื่อ คือมันจะมีบางครั้งที่เราจะหลุดเนื่องจากว่าเรายังอยู่ในโลกและโลกนี้มีการทดลองเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด อยู่รอบข้างเราเต็มไปหมดเลย การทดลอง การทดสอบ ที่จะทำให้เราเรียกว่าฝุ่น พูดง่ายๆ เลยนะครับฝ่ายวิญญาณเรียกว่าฝุ่น ที่จะทำให้เท้าของเราสกปรก ก็คือทำให้ใจของเราสกปรก ก็คือออกไปหลุดไปได้ง่ายมาก มีซีรีส์เกาหลี มีหนังจีน หนังฝรั่ง มีละคร มีสินค้า มียี่ห้อแบรนด์เนม มีกระเป๋า มีโทรศัพท์ อะไรก็แล้วแต่นะครับเต็มไปหมดเลย ซึ่งเป็นกับดักที่ซาตานใช้เพื่อที่จะล่อเรา
เราใช้ให้เป็นประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ได้ แต่ถ้าหากเราใช้ไม่เป็น เราจะหลุดออกจากการมีส่วนในพระคริสต์ได้ เพราะฉะนั้นเรานะครับบังเกิดใหม่พระเจ้าสร้างเราขึ้นมาใหม่เพื่ออะไรครับ เพื่อให้เราอยู่ในพระคริสต์ 24 ชั่วโมง 7 วัน เอเมนไหมครับ
พระเจ้าซื้อเราแล้ว เรามีค่าสำหรับพระเจ้า เราเป็นภาชนะของพระเจ้า พระเจ้าจองแล้ว จับจองซื้อเป็นเจ้าของแล้ว และให้เรามีเป้าหมายเดียวก็คือเดินในพระคริสต์ อยู่ในพระคริสต์ 24 ชั่วโมง 7 วัน
อีกครั้งนะครับบทที่ 13 ซึ่งผมพูดมาเนี่ยเป็นคำตอบที่พี่น้องถามว่าทำไมพระเยซูไม่พูดตรงๆ ว่าจงสนิทนะ จงล้างใจซึ่งกันและกันนะ จงดึงใครก็ตามที่หลุดออกไปดูซีรีย์เกาหลี หรือไปหลงใหลใน iPhone หรือ Samsung อะไรก็แล้วแต่ คือให้กลับมา เราใช้มันให้เป็นประโยชน์ แต่อย่าให้มันเป็นนายเรา หรือให้มันเป็นพระของเรา
เพราะฉะนั้นเราอยู่ในพระวิญญาณตลอดเวลา และหากเมื่อไหร่ที่เราหลุดเราเผลอ เราขาดพี่น้องไม่ได้เราขาดกันและกันไม่ได้ เราต้องดึงพี่น้องกลับมา นี่คือการล้างใจครับ
อย่างตัวอย่างที่ว่า มีบางคนดูหนังอยู่ ดูหนังแล้วก็หลุดไปแล้วออกไปจากพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้นมีส่วนในพระคริสต์ไม่ได้อีกแล้ว การดูหนังการเป็นคริสเตียนเนื้อหนังการอยู่ในร่างกายฝ่ายเนื้อหนังจะมีส่วนในพระเยซูไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องรับการล้างใจ ให้จิตใจสะอาดก่อน จึงกลับเข้ามาสารภาพบาปมาทางพระโลหิต จากนั้นก็บอกกับพระเยซู สนิทในพระเยซู พูดคุยกับพระเยซู นี่นะครับคือการล้างใจจากพี่น้อง
เป้าหมายของพระเจ้าที่มีคริสตจักรให้เราอยู่ร่วมกันเป็นคริสตจักรเป็นพระกาย เพื่อให้เราได้มีโอกาสล้างใจกันและกัน เตือนกันและกัน ตักเตือนหนุนใจกันว่ากลับมากลับมา อย่าหลงไปอย่าหลุดไป เพราะว่าอยู่ข้างนอกกับดักซาตานเต็มไปหมด เราอาจจะหลงทางและอาจจะไปไกล ซึ่งตอนนั้นเรามีพี่น้องพระกายที่จะคอยอธิษฐานเผื่อและดึงเรากลับมา
อีกครั้งนะครับผมขอย้ำ คำพูดที่พระเยซูพูดที่น่าคิดก็คือ ตอนนี้ท่านไม่เข้าใจ แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ ซึ่งประเพณีการล้างเท้ามันมีมาตั้งแต่โบราณแล้ว แล้วก็ชาวยิวเขาทำกันทุกวัน เพราะฉะนั้นใครก็เข้าใจกันทั้งนั้น
แล้วทำไมพระเยซูพูดกับเปโตรว่าท่านไม่เข้าใจหรอก แสดงว่าต้องมีเบื้องหลัง ต้องมีความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ ผมพูดถูกไหม และสิ่งที่สองที่พระเยซูพูด ก็คือถ้าหากเราไม่ล้างเท้าของท่าน ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้ จริงๆ แล้วสาวกของพระเยซูเดินกับพระเยซูเท้ามีฝุ่นเต็มไปหมด แล้วเดินไปเดินมากินนั่งนอนกับพระเยซู ทำไมยังมีส่วนในพระเยซูได้ตอนนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของฝ่ายร่างกายนะครับ เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณครับ
ถาม.
ขอถาม เรื่องตัวเก่า และเรื่องเนื้อหนัง ขอให้อาจารย์ช่วยล้างเท้าด้วยค่ะ
ตอบ.
สำหรับมนุษย์เราทุกคนที่เกิดมาเรียกว่าชีวิตเก่า และชีวิตเก่านี้ก็คือตัวเราก็คือตัวเก่า จิตใจก็คือจิตใจเก่า วิญญาณก็คือวิญญาณเก่า การกระทำของเราทุกสิ่งมันเรียกว่าการกระทำเก่า ซึ่งพระเจ้าไม่รับ เราจะทำดีมากมายแค่ไหนก็ตาม มนุษย์อาจจะรับมนุษย์อาจจะยกย่อง พี่น้องคริสเตียนอาจจะเห็นว่าดี คนนี้เขาเป็นคนดีมาก ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือพี่น้อง แล้วก็ไปโบถ์สเป็นประจำ แต่ถ้าหากเราใช้ชีวิตเก่า ตัวเก่า จิตใจเก่า ทรัพย์สินที่เป็นของมนุษย์คนเก่าของเรานี้ พระเจ้านับเรียกมันว่าไม้ฟางและหญ้าแห้ง
คือไม่มีประโยชน์อะไร ซึ่งผลตอบแทนอาจจะมีบ้างในชีวิตนี้ในโลกนี้เท่านั้น และตัวเก่าคนนี้ ชีวิตเก่าคนนี้ จริงๆ แล้วพระเจ้านำมันไปประหารที่กางเขนร่วมกับพระเยซูในพระเยซูเมื่อ 2,000 ปีก่อนแล้ว ตัวเก่าตายไปแล้ว นี่คือความจริงของพระเจ้า
แต่เราทำไมยังนั่งอยู่ ยังหายใจอยู่ ยังเดินไปมาอยู่ มนุษย์ในโลกนี้ยังมีชีวิตอยู่ จริงหรอ? กลับไปอ่านดูใหม่นะครับ พระคัมภีร์บอกว่าเราตายแล้ว ทุกคนในโลกนี้ตายหมดแล้ว เขาไม่รู้ตัวว่าเขาตาย พระคัมภีร์บอกหลายครั้งว่ามนุษย์คือคนตาย คนตายฝั่งคนตาย เราเห็นนะครับ พระเจ้าเรียกมนุษย์ทุกคนว่าเป็นคนตาย
และอีกครั้งเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเยซูนับคนที่จะเชื่อในพระองค์ในอนาคตจะมีใครบ้างที่เชื่อในพระองค์ พระองค์จะนับและเอาเขาไปตรึงตายร่วมกับพระองค์ในพระองค์เมื่อ 2,000 ปีก่อน เพราะฉะนั้นเราตายแล้ว ทุกคนทุกวันนี้ตายแล้ว
ถาม.
ก็คือแบบว่าประมาณว่าเราบังเกิดใหม่แล้ว จิตใจวิญญาณเราใหม่หมดแล้ว แต่พอเราดำเนินชีวิตไป เรากลับไปทำบาป เราก็คือกลับไปเป็นคนเก่าใช่ไหม หรือยังไงเพราะเรากลับไปทำบาปแล้ว หรือว่าเราก็ยังเป็นคนใหม่ที่ทำบาป
ตอบ.
สำหรับเมื่อไหร่ที่เราเดินอยู่ในความมืด เราหลุดไปหลงไป หรือไม่อยู่ในความสว่าง ไม่เดินในพระคริสต์ ไม่บอกรัก ไม่พูดคุย ไม่สนิทในพระองค์ เราจะหลุดออกจากพระคริสต์และกลับไปอยู่ในตัวเก่า
ทุกวันนี้ตัวเก่ากับตัวใหม่จะไปๆ มาๆ ถามว่าทำไม คือมนุษย์เราก่อนที่จะเข้าสู่การฝึกให้ถึงความเชื่อ ให้ถึงความจริงของพระเจ้าต้องใช้เวลานานมาก
เพราะว่าเราเกิดมาแล้วโตจนถึงป่านนี้ บางคนก็อายุ 20 /30 /40 /50 ก็มี แล้วเราคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตเก่า ตื่นนอนขึ้นมาปุ๊บ บางคนชอบบ่นก็บ่น โอ๊ย..ร้อนจัง เสียงดัง รำคาญ คือมันเป็นความเคยชินที่เราทำมาตั้งแต่เล็กจนโต
ทีนี้เรามาเข้าสู่ความจริงของพระเจ้า เราพบว่าอ๋อ..ตัวเก่าเราตายแล้ว ขอบคุณพระเยซูเราเป็นคนใหม่แล้ว คำพูดของเราต้องใหม่ ทุกสิ่งต้องใหม่ อะไรก็ใหม่หมดแล้ว พระวิญญาณทำกิจในเราพระองค์ทำในตัวใหม่ของเราขอบคุณพระเยซู
แต่บางวันอากาศมันร้อนมากๆ แล้วปรากฏว่า จิตใจเก่าความเคยชินที่เคยบ่น แล้วเขาก็บ่นจะร้องออกมา ร้อนจังเลย เบื่อมาก เบื่อชีวิตนี้ ทำไมน่าเบื่อจัง อากาศร้อนมากเมืองไทยเมืองลาวร้อนเหลือเกิน มันเป็นอาการของการหลงลืม การหลุดการเผลอเข้าไปอยู่ในตัวเก่า แล้วตัวเก่ามันก็จะฟื้นขึ้นมา ถ้ากลับเข้าไปอยู่ในตัวใหม่ ตัวใหม่ก็จะฟื้นขึ้นมากลับไปอยู่ในพระคริสต์
คือตัวใหม่กับตัวเก่าจะแย่งกันอยู่ทุกวันนี้ แย่งกันไปแย่งกันมา เราจะเห็นในกาลาเทียพูดถึง พระวิญญาณต่อสู้กับเนื้อหนัง เนื้อหนังก็ต่อสู้กับพระวิญญาณ นี่แหละครับคือเหตุผลคือสาเหตุคือที่มาของตัวเก่าฟื้นขึ้นมา
และอยากมีชีวิตอยู่มันก็ไม่อยากตายไม่มีใครอยากตาย
เพราะฉะนั้นวิธีหลีกเลี่ยง อยากให้หลุดพ้นจากตัวเก่าได้จริงๆ คือสนิทในพระเยซู และพูดคุยกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ 1 เธสะโลนิกา 5:17 พูดคุยกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพูดคุย พระเจ้าก็จะรักษาเราให้อยู่ในพระคริสต์ ให้อยู่ในสภาพของตัวใหม่
และการมองก็เหมือนกันสำคัญมาก ทุกครั้งที่เรามองมาที่ร่างกายเรา มองมาที่จิตใจเรา ความคิดของเรา เราเตือนตัวเองเสมอว่านี่คือคนใหม่นะ คนใหม่นะ คนใหม่เอเมน มือใหม่ ตาใหม่ คำพูดใหม่ ถ้าเราเผลอหลุดพูดไปในสิ่งที่เป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ไม่สร้างประโยชน์ให้ใคร แล้วทำร้ายจิตใจใคร หรือในสภาพของคำพูดของอาดัม เราสารภาพ แล้วกลับมาใหม่อยู่ในพระคริสต์อีกครั้งหนึ่ง
อย่าลืมนะครับตัวเก่าฟื้นขึ้นมาได้ เมื่อไหร่ที่เราหลุดออกจากตัวใหม่ แต่สิ่งที่ดีนะครับถ้าหากเราสนิทในพระเยซูมากๆ สะสมพระคำที่เป็นความจริงให้มาก และอยู่ในความผูกพันบอกรักพระเยซูเป็นประจำ ความรักจะทำให้พระเยซูทำกิจมากมายในเรา และในที่สุดตัวเก่าอย่าฟื้นแต่ฟื้นไม่ได้ เพราะเรามาไกลแล้ว
เราเห็นเปาโลเป็นตัวอย่าง ตอนแรกที่เปาโลต่อสู้กับเนื้อหนังสู้กันไปสู้กันมา เปาโลก็บอกว่าเรากำลังสู้อยู่ เรากำลังวิ่งแข่งอยู่ แต่พอมาถึงหนังสืออีกเล่มหนึ่งเปาโลบอกว่าเราก็ยังวิ่งแข่งอยู่แต่มาไกลแล้ว ขอบคุณพระเจ้าเปาโลมาไกลเปาโลมีความหวัง และในที่สุด 2 ทิโมธี เปาโลพูดว่า ขอบคุณพระเยซูคริสต์ เราชนะแล้ว ตอนนั้นคือตอนที่เนื้อหนังตัวเก่าอยากฟื้นแต่ฟื้นไม่ได้แล้วคือมันยอมแพ้ เพราะว่าตัวใหม่อยู่ในการครอบครองครอบคลุมของพระเยซู
ถาม.
แต่คริสเตียนศาสนาคือแม้ว่าในเวลานั้นเขาจะแสวงอย่างเช่น เขาจะอ่านพระคัมภีร์ เขาจะนมัสการ แสวงหาพระเจ้า แต่เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวเก่าหรือเป็นตัวใหม่ ในเวลานั้นเขาก็ยังอยู่ในเนื้อหนังใช่ไหมครับ
ตอบ.
ตราบใดใครก็ตามที่เป็นบุตรพระเจ้าเชื่อพระเยซู และถ้าหากว่าเขาไม่รู้ว่าเขาเป็นคนใหม่และยังใช้คนเก่ามนุษย์คนเก่า ก็เป็นคนเก่าครับ
คือการเป็นคนใหม่ต้องรู้ เมื่อรู้ต้องเชื่อ เมื่อเชื่อต้องนำมาเดิน ฝึกเดิน นำมาใช้ให้มันเกิดขึ้นในชีวิตของเรา
ผมอยากถามเราทุกคนนะครับ เมื่อก่อนเรารับพระเยซูใช่ไหม เราไม่รู้ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเราตาย และเรายังไม่รู้ว่าเราเป็นคนใหม่ เราเชื่อพระเยซูปุ๊บ เราก็บอกว่าโอเคเราบังเกิดใหม่แล้ว เรารับบัพติศมาแล้ว เราบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณแล้ว และเรารักพระเยซู เรารักในการรับใช้ เราถวายตัว เราพยายามเชื่อฟังพระเจ้า ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทำทุกสิ่งเหมือนที่คริสเตียนทุกวันนี้ทำกันอยู่
แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่รู้ ก็คือเขาตายกับพระเยซูเมื่อ 2,000 ปีก่อน และเขาฟื้นขึ้นมาเป็นคนใหม่ เป็นตัวใหม่ เป็นมนุษย์วิญญาณแล้วเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้นการกระทำทุกสิ่งก็ยังทำอยู่ภายใต้มนุษย์คนเก่าเนื้อหนังเหมือนเดิม ทุกสิ่งที่เขาทำผลของการกระทำของเขาที่จะได้รับ ก็คือไม้ฟางหญ้าแห้ง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้เชื่อทั้งหลายที่รับมานา คือผลงานที่พระเจ้าเก็บเกี่ยว ผลงานที่พระเจ้าช่วยกู้ บรรดาคริสเตียนทั้งหลายที่แสวงหา ที่ร้อนรน ที่กระตือรือร้น ที่รักพระเจ้าและพระเจ้าก็ช่วยไถ่เขา ปลดปล่อยเขา ปลดปล่อยพวกเรา ออกมาให้ได้พบมานา และให้ได้พบว่าการเดินของมนุษย์วิญญาณ การใช้ชีวิตของมนุษย์คนใหม่เป็นแบบนี้ นี่คือผลงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราขอบพระคุณพระเจ้า
และพระเจ้ากำลังทำงานทำกิจในคริสตจักรศาสนาทั่วไปทุกวันนี้เหมือนกันเพื่อไถ่พวกเขา โดยผ่านการใช้ร่างกายของพวกเรา เพราะฉะนั้นเราแชร์ เราช่วย เราแบ่งปัน เราส่งไป ให้เขาเห็นมานา ให้เขาเห็นพระคำล้ำลึก เขารับหรือไม่รับก็เป็นเรื่องของเขากับพระเจ้าเขาไปคุยกันเองสองต่อสอง แต่เรามีหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์เราส่งบทเรียนไป เราส่งมานาไป แล้วอย่าลืมนะครับว่ามีหลายคนที่กลับใจรับมานาผ่านพวกเราโดยพระคุณของพระเจ้าโดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ถาม.
อจ. ดิฉันฟังในตอนนี้ดิฉันสัมผัสถึงว่า เหมือนพระเจ้ามีความละเอียดอ่อนในชีวิตของเรา แสดงว่าการเปิดเผยของพระเจ้านี้ยังไม่หมดใช่ไหมคะ มีความละเอียดอ่อนในชีวิตของเรา
ตอบ.
พระเจ้าจะค่อยๆ เปิดให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากันครับผม อยู่ที่พระเจ้าทรงทราบดีว่าแต่ละคนรับได้มากน้อยแค่ไหนเท่าไหร่ แต่ในที่สุดคนที่รักพระเจ้าจริงๆ คนที่ถูกเลือกจริงๆ ก็จะมาถึงอาณาจักรสวรรค์ และมีส่วนในการครอบครองร่วมกับพระเยซูอย่างแน่นอนครับไม่มีข้อสงสัย
อย่าลืมนะครับว่าไม่ใช่บังเอิญที่พระเจ้านำเราเข้ามาถึงพระคำล้ำลึก และไม่ใช่บังเอิญที่พระเจ้านำเราให้สะสม ให้เรียนรู้ ให้ฝึกเดินมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว เราสรรเสริญพระเยซู
แล้วพี่น้องไม่ต้องน้อยใจ หรือไม่ต้องแปลกใจ ว่ามีบางคนรับมานา ชื่นชอบชื่นชมยินดีดีใจมากแล้วจู่ๆ ก็ออกไป ก็คัดค้าน แล้วก็ต่อต้าน แล้วก็กล่าวหา คือเวลามันยังไม่ถึงนะครับ คืออาจจะถึงเวลาใดเวลาหนึ่งที่พี่น้องเหล่านั้นจะกลับใจ ถ้าเขาเป็นของพระเจ้าจริงๆ
คือผมได้ยินพี่น้องบางคนที่ออกไป แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินข่าว บอกว่ายังขอบพระคุณพระเจ้ายังฝึกเดินยังอยู่ในมานายังรับบทเรียน อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีก็ขอบคุณพระเยซู
ถาม.
ขอถามอธิบายเรื่อง เนื้อหนังด้วยค่ะ
ตอบ.
สำหรับเนื้อหนังถ้าจะพูดเรื่องฝ่ายวิญญาณ ก็คือในอาดัม ในความมืด คือการดำเนินชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง ทุกสิ่งที่ทำจะเป็นบาปทั้งหมด พระเจ้านับว่าเป็นบาปเรียกว่าบาป จะทำดีมากมายแค่ไหนก็ตาม คนจะยกย่องก็ยังถูกเรียกว่าบาป นี่คือการดำเนินชีวิตที่อยู่ในเนื้อหนัง
แล้วเมื่อไหร่ที่เราอยากจะหลุดพ้นจากเนื้อหนัง ก็คือเราต้องเรียนรู้เรื่อง ตายกับพระคริสต์เมื่อ 2,000 ปีก่อน และเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นมนุษย์วิญญาณ ไม่เป็นเนื้อหนังอีกต่อไป
(ถ้าผมตอบไม่ตรงก็ขอให้ช่วยขยายคำว่า เนื้อหนังอีกสักนิดหนึ่งได้ไหมครับ เอเมนไหมครับ)
สำหรับพระคัมภีร์ใหม่ถ้าพูดถึงเนื้อหนัง ก็คือไม่ใช่ฝ่ายร่างกายนะ ก็คือเรื่องชีวิตที่อยู่ในความบาป อยู่ในการบาป อยู่ในอาดัม อยู่ในความมืด เรียกว่าเนื้อหนังครับ
ถาม.
เดินด้วยความรู้สึกด้วยหรือเปล่าคะ
ตอบ.
สำหรับมนุษย์ที่อยู่ในเนื้อหนัง แน่นอนครับ สิ่งที่เขาเดิน และตัดสิน การดำเนินชีวิตทุกวันเขาตัดสินด้วยการตามองเห็น ด้วยอารมณ์และความรู้สึกครับ คือวันนี้ร้อนอากาศร้อนทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดรู้สึกอารมณ์ไม่ดี ก็คือบ่นเบื่อ ก็คือเดินด้วยอารมณ์
วันนี้มีคนเอาของขวัญมาให้เอาของดีอะไรบางอย่างมาให้ก็ดีใจ ก็เดินด้วยความรู้สึกดี
หรือว่าเห็นเหตุการณ์บางอย่างที่อัศจรรย์ที่แปลกประหลาด เขาก็เชื่อไปตามเขา เรียกว่าสิ่งที่ตามองเห็น
มนุษย์เนื้อหนังนะครับก็คือเดินด้วยอารมณ์ความรู้สึกและสิ่งที่ตามองเห็น
แต่มันตรงข้ามกับมนุษย์วิญญาณพวกเรา พระเจ้าให้เราเดินด้วยความเชื่อ ไม่เอาตามองเห็น ไม่เอาอารมณ์ ไม่เอาความรู้สึก เมื่อเราตื่นนอนตอนเช้าทุกวันนะครับประเทศลาวประเทศไทยอากาศร้อนมากๆ ซึ่งบางคนผมเข้าใจที่บ้านไม่ติดแอร์มีแต่พัดลม และเราที่เป็นมนุษย์วิญญาณเราปฏิเสธ เราไม่มอง เราไม่ใช้ความรู้สึกตัดสินสิ่งที่มันกระทบเรา ก็คืออากาศร้อน แต่เราพูดยังไงครับ
ขอบพระคุณพระเยซูยอห์นบทที่ 4 บอกว่าแม่น้ำแห่งชีวิตอยู่ในเราแล้ว เรากินเราจะไม่กระหายอีกเลย เราจะมีสันติสุขทุกวันทุกเวลา สันติสุขนะครับจะทำให้ใจเรามันเย็น ภายในของเรามันจะเย็นเหมือนมีแอร์เย็น
ถ้าคุณที่ฝึกแล้วเห็นแล้วก็ขอบคุณพระเจ้านะครับ ถ้าคุณยังไม่ฝึกใครก็ตามยังไม่ฝึกยังไม่เห็นแอร์เย็นเล็กๆ ที่อยู่ภายในเราที่มันทำกิจทำงานในเรา ก็คือฝึกเดินนะครับ ฝึกขอบพระคุณพระเจ้าที่เรามีแอร์เย็น เรามีสันติสุข เรามีแม่น้ำแห่งชีวิตที่อยู่ภายในเราแล้ว อากาศร้อนเราก็จะอยู่ได้ จะทนได้ จะเย็นได้ จะสงบสุขได้
ถาม.
ใน 1 โครินธ์บทที่ 9 ข้อ 27 แต่ข้าพเจ้าระงับความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนังให้อยู่ใต้บังคับ เพราะเกรงว่าโดยทางหนึ่งทางใดเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ คืออะไรคะ
ตอบ.
คือการดำเนินชีวิตด้วยเนื้อหนัง ไม่ได้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า และการดำเนินชีวิตด้วยเนื้อหนัง คือการทำด้วยความปรารถนาของจิตใจเราเอง เพราะฉะนั้นเปาโลต้องระงับสิ่งนี้
และคริสเตียนพวกเราที่เป็นผู้นำผู้รับใช้ใครก็ตาม ต้องระงับสิ่งนี้ ก็คือดับความต้องการของเนื้อหนัง คือการเดินด้วยวิญญาณ เดินในพระวิญญาณ ให้เป็นตามน้ำพระทัยของพระเจ้าดีกว่ามากกว่า
และตอนนั้นเป็นตอนที่เปาโลยังฝึกอยู่ อย่าลืมนะครับเปาโลยังไม่ใช่ผู้ชนะตอนที่ท่านเขียน 1 โครินธ์ เพราะฉะนั้นตอนนั้นท่านอาจจะโกรธได้ อาจจะโมโหได้ อาจจะอยู่ในเนื้อหนังบ้างเป็นบางครั้งบางคราวได้นะครับ แต่ท่านปฏิเสธ ก็คืออดกลั้น เพื่อให้เกิดผลช่วยเหลือพี่น้องหลายคน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมนะครับทุกสิ่งที่เราทำ เราทำโดยการอดกลั้น ใช้กำลังของตัวเก่าเนื้อหนัง คือมันก็เป็นไม้ฟางหญ้าแห้งทั้งนั้นครับผม
ถาม.
เนื้อหนังนี้ สมมุติว่าเราไปเจอคนที่น่ารัก ยังไงเราก็รักอยู่แล้วเพราะเขาน่ารัก ถ้าสมมุติว่าเราเจอคนที่ไม่น่ารัก ไม่น่ารัก เช่นกิริยามารยาท หรือการกระทำทุกอย่างไม่น่ารัก แล้วเราก็ไม่รักเขา เราก็ตกอยู่ในเนื้อหนังใช่ไหมคะ
ตอบ.
อันนี้เรียกว่าเนื้อหนังครับผม สำหรับมนุษย์วิญญาณนะครับถ้าเราหลุดจากเนื้อหนังแล้วไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว คือคนที่ไม่น่ารักเราก็รักได้ เรารักทั้งๆ ที่เขาไม่น่ารักเลย เรารักทั้งๆ ที่เขาไม่ดีกับเราเลย คืออย่าลืมนะครับความรักของมนุษย์วิญญาณความรักฝ่ายวิญญาณที่ไม่ใช่เนื้อหนัง คือไม่มีเหตุผลไม่มีขีดจำกัด
แต่มนุษย์ ความรักของมนุษย์ ความรักในเนื้อหนัง ก็คือด้วยเหตุและผล เขารักเรา เราก็รักเขา เขาไม่รักเรา เราก็ไม่รัก คือด้วยเหตุด้วยผล
แต่สำหรับความรักอากาเป ความรักของพระเจ้า ก็คือไม่มีเหตุ และไม่มีผล รักก็คือรัก
ถาม.
คนที่ไม่น่ารัก ต่ำตม เราต้องใช้ความพยายามที่จะยอมรับเขา แล้วถ้าเราไม่สามารถที่จะรักคนประเภทนี้ได้ สรุปแล้วว่าเราก็ยังตกอยู่ในเนื้อหนัง
ตอบ.
แน่นอนเรายังฝึกอยู่นะครับ เรายังอยู่ในเนื้อหนังอยู่ ตราบใดที่เรายังพยายาม ฝืนอดกลั้นเพื่อที่จะรักเขา อภัยให้เขา สิ่งเหล่านี้ที่เราทำเรียกว่าเนื้อหนังครับ เป็นการกระทำที่มาจากกำลังเรี่ยวแรงกำลังของเราเอง
แต่สิ่งที่สำคัญขณะที่เราฝึกแบบนี้อยู่ เราก็บอกว่าพระเยซูขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ดำเนินชีวิตดำรงชีวิตอยู่ในข้าพระองค์ พระองค์เป็นคนรักแทน อภัยแทน ยกโทษแทน ไม่จดจำความผิดแทน ข้าพระองค์ไม่ได้ทำอะไรแต่พระองค์เป็นคนกระทำ เราฝึกแบบนี้เราพูดแบบนี้ทุกวันทุกวัน
เราจะเห็น เราจะเห็นว่ามีใครบางคนที่อยู่ในเรา ใช้ร่างกายของเราอยู่โดยที่เราก็รู้เห็นและเป็นใจ แต่เราเองไม่ได้ออกกำลังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่รู้สึกว่ามันง่ายจังเลย การยกโทษให้ศัตรู การรักศัตรู การรักคนที่ไม่น่ารักทำไมมันง่ายแบบนี้
ตอนนั้นก็ถึงเวลาที่เรามาถึงจุดที่สุกงอม แล้วก็จุดที่พระคริสต์ทำแทนได้มากพอแล้วครับ
ถาม.
ถ้าเราใช้เหตุผลว่าโอเคคนนี้ไม่น่ารัก แล้วก็ไม่สามารถที่จะอยู่ใกล้เขาได้ เราไม่มีสันติสุข แล้วเราถอยเราผิดไหมคะ เราถอยห่างมาเพราะว่าเราไม่อยากต่อสู้
ตอบ.
ก็คือแสดงว่าเรายังไม่โตนะครับ เรายังไม่โต แล้วถามว่าผิดไหม ถ้าจะตอบตรงๆ นะครับ ก็คือผิด แต่พระเจ้าเข้าใจเรา อย่าลืมพระเจ้าเข้าใจว่าเรายังฝึกอยู่ เรายังมาไม่ถึงจุดที่พระคริสต์ทำแทนได้อย่างเต็มที่
คริสเตียนหลายคนก็ยังเป็นอยู่ไม่ต้องห่วงครับผม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นที่สำคัญก็คือการสนิท เราอย่าไปใส่ใจเรื่องพยายามรักใคร ยกโทษให้ใคร พยายามทำดีเพื่อพระเจ้า อย่าไปใส่ใจเรื่องนี้ ให้เราใส่ใจเรื่อง การสนิท เพราะว่า การสนิท คือเคล็ดลับ เพื่อให้เราเกิดการทำแทนของพระคริสต์ที่อยู่ภายในเรา
...
ผมอยากทบทวนความจำของพวกเรานะครับ เราจำกันได้ไหมเมื่อก่อน ก่อนที่เราจะมาพบมานา หลายคนคือพยายามทำดี พยายามเชื่อฟังพระเจ้าให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ แต่ไม่สนิท
แล้วทีนี้สิ่งที่พระเจ้าต้องการมากกว่าการทำดีเพื่อพระองค์ การรับใช้เพื่อพระองค์ คือการสนิทครับ เราดูมารีย์และมารธา เราจะเห็นว่าพระเยซูรักใครมากกว่าใคร ทั้งๆ ที่คนที่ทำงานมากกว่าเพื่อนก็คือมารธา แต่มารีย์ไม่ได้ทำอะไรแต่นั่งฟังพระเยซูพูด
เพราะฉะนั้นความรักที่พระเจ้าต้องการ ก็คือความรักของพวกเราที่มีต่อพระองค์ แทนที่จะทำๆๆ เพื่อพระเจ้า
แต่พระเจ้าต้องการคนที่รักๆๆ พระเจ้า
แล้วเราจะเห็นพระเยซูบอกยังไงยอห์นบทที่ 15 ขอย้ำอีกครั้ง พระเยซูตรัสว่า จงสนิทในเรา แล้วเราสนิทในท่าน และท่านจะเกิดผลมาก ผลอะไรครับ ผลของรักศัตรู ผลของรักเพื่อนบ้าน ผลของชีวิตใหม่
ถาม.
อย่างเช่นเมื่อก่อนเราเคยไม่ชอบคนที่ด่าเรามาก เราไม่ชอบแล้วเราก็ไม่เคยจะอธิษฐานเผื่อเขา แต่เราพูดคุยกับพระเยซูบ่อยๆ ทุกวัน สนิทบอกพระเยซู บอกรักพระเยซู แต่ไม่เคยพูดถึงเขา แต่การที่เขากับเราเคยมีปัญหากันเคยไม่ถูกใจกัน เราบอกว่าเราจะจำเขาตลอดจะไม่พูดจะไม่คุยจะไม่มอง แต่ปรากฏว่าทุกวันนี้มีแต่เมตตาเขามีแต่สงสารเขามีแต่แบบว่าเห็นอะไรก็อยากจะให้เขามีอะไรก็อยากจะช่วยเหลือเขาประมาณนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนเคยไม่ชอบไม่อยากมองหน้า แต่ไม่เคยอธิษฐานเผื่อเขานะ แต่เราพูดคุยกับพระเยซูตลอดเวลารักพระเยซูพูดคุยกับพระเยซู แต่ไม่เคยอธิษฐานเผื่อเขา แต่ปรากฏว่าตอนนี้รักเขาเมตตาเขาสงสารเขา แล้วก็ไปพูดกับเขาก่อนมีความรักให้กับเขามีอะไรก็ช่วยเหลือเขา
คือมันเกิดมาแบบว่าเราไปพูดกับเขาเอง ก็คือความรักของพระเยซูที่อยู่ในเราหรือเปล่าค่ะ
ตอบ.
แน่นอนครับ ถ้าเราฝึกเหมือนพี่น้อง... ทุกคนจะได้เห็นผลของพระวิญญาณเกิดขึ้น สรรเสริญพระเยซู
นี่คือที่มาคือผลงานของพระเจ้าที่ทำเมื่อเราสนิทมาก อันนี้คือไม่ใช่ผมพูดเอง ไม่ใช่คำสอนของใครบางคน เราก็เห็นอยู่ เราเห็นกันชัดๆ เลยในพระคัมภีร์ จงสนิทในเราและเราสนิทในเจ้า แล้วเจ้าจะเกิดผลมาก พระเยซูพูดเอง
ขอบคุณพระเจ้าและกาลาเทีย บทที่ 2 ข้อ 20 เราปฏิเสธการมีชีวิตอยู่นะครับ ข้าพเจ้าถูกตรึงแล้วกับพระคริสต์ ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า
พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ท่องเลยครับใครที่ยังไม่เห็นพระคริสต์ทำงานมากพอนะครับ ท่องทุกวันเลย พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ท่องสิครับ แล้วเราจะเห็นเหมือนที่พี่น้อง...เห็น เพราะว่านี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้พระบุตรให้พระคริสต์เป็นผู้ดำเนินชีวิตในเรา ขอใช้ร่างกายของเราเพื่อเราแทนเรา คือเราเป็นคนเก็บเกี่ยวผล แล้วพระเยซูเป็นคนทำ มันดีไหมครับ เป็นชีวิตที่วิเศษมากเลย
ถาม.
คือเรายังไม่ได้อธิษฐานเผื่อเขาเลยค่ะ แต่ว่าพระเยซูทำผ่านเขาหรอคะ
ตอบ.
พระเยซูดลใจใครก็ได้ พระเยซูทำผ่านใครก็ได้เพื่อเราและเพื่อเขาเองด้วย
มีพี่น้องหลายท่านที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องพระคริสต์ทำแทน ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดไม่น่าคิดและไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วถึงขนาดนั้นผมเห็นมาเยอะครับผม
ก็คืออยู่ดีๆ นะครับตื่นนอนก็เห็นว่าจิตใจใหม่แล้ว ตื่นนอนก็เกิดมีความรักสงสารศัตรู รักศัตรู ยกโทษให้ใครก็ได้ คือไม่มีจำกัดแล้ว คือไม่มีเหตุผลอะไรแล้ว มันเป็นหัวใจที่...ก็คือหัวใจพระเยซูนั่นแหละ พระเยซูน่ารักมากในเรา ใครที่ได้สัมผัสหัวใจพระเยซูแล้ว ก็คือซาบซึ้ง จิตใจมีเมตตา อยากร้องไห้ สงสารมนุษย์ คือพระเจ้ายิ่งใหญ่ ที่ทำงานในเราที่ฝึกเดินอย่างถูกต้องแล้ว ขอบคุณพระเยซู
อย่างน้อยใครจะว่าคำสอนดีไม่ดี มานาถูกไม่ถูก ผิดไม่ผิด แต่เราพบว่าบทเรียนของมานา ก็คือช่วยนำเราให้กลับมามีความผูกพันความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่มี
และเราได้มาเข้าใจความผูกพันการสนิทในพระเยซูที่แท้จริงซึ่งเมื่อก่อนเราคิดว่า ยิ่งทำยิ่งรับใช้ ก็คือรักพระเจ้ามาก
จริงๆ แล้วเรามาดูหัวใจของเรามันเหี่ยวแห้ง มันไม่มีความรักให้พระเจ้าจริงๆ เลย เราทำเพื่อเกียรติ ชื่อเสียง หน้าตา เงินเดือน กลัวไม่รอด พระพร บำเหน็จ อะไรเยอะแยะ แต่เหตุผลที่แท้จริงรักพระเจ้าเราไม่มี
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับมานาที่ให้เรารับการรักษาตาให้หายดี สรรเสริญพระเยซู
และที่สำคัญเราขอบคุณพระเจ้าที่ให้ความกระจ่างสำหรับเรื่องการล้างเท้า จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าเราไปเยี่ยมพี่น้องหรือไปร่วมนมัสการกับพี่น้องที่คริสตจักรแล้วก็จะมีการล้างเท้าเป็นครั้งเป็นคราว อันนั้นไม่ใช่แล้ว
ขอบคุณพระเจ้าที่เปิดตาเราให้ได้รู้ว่าการล้างเท้า จริงๆ ก็คือการล้างใจ ก็คือการหนุนใจ ก็คือการชักชวนพี่น้อง เตือนพี่น้องให้ออกจากเนื้อหนัง กลับเข้ามาสู่พระคริสต์ อยู่ในพระวิญญาณ เพราะว่าเราถูกสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อเป้าหมายเดียวก็คือให้เราอยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลา
พระเจ้ารักเรา พระเจ้าหวงแหน พระเจ้าไม่ต้องการให้เราไปอยู่กับใคร หลุดไปหลงไปที่ไหนอีก
ขอบคุณพระเยซูที่เปิดตาและล้างเท้าเรา เป็นแบบอย่างที่ดี พระองค์ทรงถอดฉลองด้วยความถ่อมใจและล้างเท้าสาวก และวันนี้เราจะล้างเท้ากันและกันด้วยความถ่อมใจ
ขอบพระคุณที่ให้เราอยู่ในพระคริสต์อย่างสม่ำเสมอและให้มีพระกายเพื่อเตือนหนุนใจพี่น้องที่หลุดหลงออกไปอยู่ในอาดัมอยู่ในเนื้อหนังเป็นครั้งเป็นคราว เนื่องจากว่าโลกนี้มีการทดลองมากมาย
แต่ขอบคุณพระเยซูที่พระวิญญาณก็ทำงานในพวกเราทุกๆ คน และช่วยกันและกัน หนุนใจกันและกัน เตือนสติกันและกัน ให้กลับเข้ามาสู่การเป็นบุตรพระเจ้า และอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่างของพระองค์ เพราะว่าเราเป็นลูกแห่งความสว่าง เอเมน