เราขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์เมตตา พระองค์นำเรามาถึงความจริง นำเรามาถึงทางแห่งความรอด นำเรามาถึงพระเยซูคริสต์ผู้ที่พระองค์ทรงจัดเตรียม และประทานมาให้พวกเราทั้งหลาย ถ้าไม่มีพระเยซูคริสต์ ก็ไม่มีวันนี้ ถ้าไม่มีพระเจ้า การไถ่ การได้รับความรอด การได้รับความสุขของชีวิต และการดำเนินชีวิตที่มีความหมายมีเป้าหมาย ก็จะไม่มาถึงพวกเราในวันนี้ เราสรรเสริญพระเยซู เรารักพระเยซู เราขอกราบไหว้นมัสการพระเยซูพระนามยิ่งใหญ่ เอเมน
3 สิ่งในหนังสือกิจการในวันนี้ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยกับพวกเรา ก็คือ..
สิ่งที่ 1. มนุษย์หรือชาวยิวที่แสวงหาความจริงแสวงหาชีวิต และทางแห่งความรอด ด้วยเปิดใจ ถ่อมใจ พระเจ้าจะทำงานและช่วยเหลือพวกเขา
และข้อที่ 2. ก็คือ เรื่องผู้ประกาศ ซึ่งถ้าหากเราเดินในฝ่ายวิญญาณ เราใกล้ชิด เราสนิทในพระเยซู พระวิญญาณจะรบกวนเราเป็นระยะๆ ว่าจะให้ประกาศกับใคร ไปไหน ทำอะไร รับใช้ยังไง พูดอะไรกับใคร ซึ่งสำหรับบางคนก็คือมีโอกาสที่ได้คุยกับคนที่ไม่เชื่อ แล้วปรากฏว่าคนส่วนมากก็คือเปิดใจ ยอมรับฟัง
ในหนังสือ ทิตัส บทที่ 3 เราดำเนินชีวิตอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง ทั้งเรื่องคำพูด ความคิดและการกระทำ ซึ่งการประกาศก็เหมือนกัน เราพูดด้วยความที่รอบคอบ ใช้คำพูดที่เหมาะสม ใช้กิริยาอาการที่เหมาะสม สมกับการเป็นบุตรที่รักของพระเจ้า
เมื่อเราพูดดีเราพูดได้ เราพูดในสิ่งที่เหมาะสม และรอบคอบด้วยระมัดระวังคำพูดของเรา จะเปิดโอกาสให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงาน และคนที่ฟังก็จะเปิดใจ และถ่อมใจฟังเรามาก ตรงข้ามกับหลายคนที่ประกาศพูดไปเรื่อยเปื่อย พูดน้ำท่วมทุ่ง พูดยาว พูดบังคับ พูดในลักษณะของคนที่เหมือนกับที่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการพูดที่เหมาะสม ทำให้หลายคนไม่ยอมเปิดใจต่อ ฟังต่อ แล้วก็ไม่เปิดใจให้ข่าวประเสริฐ
แต่เรา เราขอบพระคุณพระเจ้า ที่พระองค์จัดเตรียมพี่น้องหลายคนให้มีของประทานในการประกาศ และยังไม่พอ ยังให้เป็นคนที่รอบคอบในเรื่องการพูด ใช้สติปัญญาของพระเยซู
สิ่งที่ 3. คำสอนในพระคัมภีร์ใหม่เป็นเรื่องแปลกใหม่ ใช่..ก็คือ มันเป็นไปได้ยังไงทุกๆ ศาสนาจะสอนว่า ทำดีไปสวรรค์ ทำชั่วตกนรก อันนี้เป็นคำสอนของศาสนาทุกๆ ศาสนา
แต่มีคำสอนเดียวข่าวประเสริฐเดียว เรื่องพระเยซูคริสต์ ที่สาวกนำไปเผยแพร่โดยเฉพาะเปาโล ทำให้อยู่และต่างชาติ คือตกใจ ตกตะลึง คือมันเป็นไปได้ยังไง รอดโดยการเชื่อ รอดโดยพระคุณของพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรก็รอดแค่เชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วเป็นไปได้ยังไงพระเยซูตายเพื่อไถ่บาป คนคนหนึ่งตายเพื่อไถ่บาปคนทั้งโลก มันเป็นไปได้ยังไง
แล้วก็ขอบคุณพี่น้องที่เอ่ยถึง พระเจ้ามีเหตุผล พระเจ้ามีเหตุผล ถ้าหากว่ามนุษย์ทำดีมันจะทำได้ยังไง เพราะว่ามนุษย์ถูกสาปแช่ง ตกต่ำ ถูกพิพากษาแล้ว มนุษย์ถูกเรียกว่าคนตาย คนที่ตายแล้วคนที่เป็นคนบาป จะทำสิ่งที่ดีไม่ได้
บริษัทที่ผลิตสินค้าอะไรบางอย่าง ซึ่งสินค้านั้นสินค้าดังกล่าว มันไม่มีคุณภาพ แล้วก็มันเป็นสิ่งที่ คือเป็นสารที่มันเสียไปแล้ว จะเอามาทำในสิ่งที่มันเกิดประโยชน์เนี่ยมันเป็นไปไม่ได้ พูดง่ายๆ ก็คือเอาสิ่งที่มันไม่ดีมาทำให้มันเป็นสิ่งที่ดีมันเป็นไปไม่ได้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นสำหรับพระเจ้า มนุษย์ตกต่ำเป็นคนบาป จะให้มนุษย์ที่เป็นคนบาปเนี่ยผลิตความดีออกมาผ่านชีวิตที่เป็นคนบาปของเขาได้ยังไง นี่นะคือเหตุผลที่พระเจ้าต้องเสด็จลงมาเอง พระองค์เองมาเอง ผู้บริสุทธิ์ผู้เดียวเท่านั้นในจักรวาลนี้ ก็คือมาเองเลย แล้วก็มาตายเพื่อไถ่บาป แล้วรับเอาความผิดบาปทั้งหมดทั้งมวล
ผมเคยพูดในคลิปบางคลิปนะครับในยูทูป>>> https://youtu.be/RWlLu_AzFAQ?feature=shared
ใครเป็นคนที่ชั่วช้ามากที่สุดในจักรวาล
ก็คือพี่น้องเชื่อไหม ใครเป็นคนที่ชั่วช้ามากที่สุดในจักรวาล ตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงนิรันดร์กาล บุคคลผู้ใดที่ถูกเรียกว่าเป็นคนที่ชั่วช้าที่สุด ฮิตเลอร์ใช่ไหม. ไม่น่ะ ใครอีก ใครก็ตามที่เป็นนักโทษประหารที่ฆ่าคนนับกี่คนไม่ได้ หรือแม้แต่เปาโลที่ฆ่าคริสเตียนนับไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่ชั่วเท่ากับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งผู้ชายคนนั้นก็คือพระเยซู พระเยซูชั่วช้าที่สุดในโลกในจักรวาล โดยที่พระองค์ไม่ได้ทำชั่ว โดยที่พระองค์ไม่ได้เป็นคนที่เคยมีบาป ไม่เคยทำบาปเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่พระองค์รับเอาความชั่วช้า รับมา สุดท้ายสำหรับพระเจ้า พระองค์มองพระเยซูว่าเป็นคนที่ชั่วช้าที่สุด เพื่อใคร??? คำตอบคือ เพื่อเรา.
พระองค์รับเอาความชั่วช้าความบาป ความผิด การกระทำละเมิดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้านับไม่ถ้วน ตั้งแต่แรกจนถึงสุดท้ายโยนให้พระเยซู แล้วพระองค์ก็ถูกตาหน้าว่าเป็นคนชั่วที่สุด จนต้องถูกประหารชีวิตบนกางเขน
เราขอบคุณพระเจ้าที่ความรักของพระเจ้า ทำให้พระเยซูผู้นี้กลายเป็นคนชั่ว เพื่อเราจะได้เป็นคนดี กลายเป็นคนอธรรม เพื่อเราจะเป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า และยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า เพื่อได้กลายเป็นบุตรที่รัก และเพื่อที่จะรอดจากบึงไฟ สรรเสริญพระเยซู
เรามาถึงความเชื่อที่ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์เปิดตาเราคริสเตียนทั้งหลาย ใช่..เป็นเรื่องที่แปลก เป็นข่าวประเสริฐที่แปลกประหลาด คนๆ หนึ่งตายเพื่อไถ่บาปคนทั้งโลก แล้วพระเจ้าเองมาตายเพื่อมนุษย์ มันเป็นไปได้ยังไง ก็ยังมีการถกเถียงกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ แล้วยังไม่พอ สิ่งที่แปลกมากกว่าใครก็คือพระผู้นี้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย
ในโลกนี้ ทุกคนก็ตายหมด ไม่มีใครฟื้นขึ้นมาจากความตาย อาจจะฟื้น 2 วันตายไป 2 วันแล้วฟื้นขึ้นมาก็มี 7 วันฟื้นขึ้นมาก็มี แต่จากนั้นหลังจากนั้นเขาก็ตายต่อ ก็กลับไปตายใหม่ แต่สำหรับพระเยซูผู้เดียวเท่านั้นในจักรวาลนี้ ก็คือพระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตายและไม่ตายอีกเลย พระองค์เป็นกายวิญญาณและอยู่กับพระเจ้าจนชั่วนิรันดร์ อีกไม่นานพระเยซูจะกลับมาและครอบครองโลกนี้ จากนั้นก็จะครอบครองฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ จะอยู่กับเราไปจนชั่วนิจนิรันดร์กาล สรรเสริญพระเจ้า
สำหรับคริสเตียนเราได้เรียนรู้ได้เข้าใจ เราจึงถือว่าไม่ใช่เรื่องที่แปลก แต่พี่น้องทราบไหม คริสเตียนเราทั่วไปรับได้แต่เรื่องนี้ แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่เขารับไม่ได้ ก็คือพระคริสต์ดำเนินชีวิตในเราแทนเรา เชื่อไหมครับผมได้คุยกับพี่น้อง ก็ไม่ได้คุยโดยตรงนะครับ ก็คือเขาโพสต์ลงในเฟสบุ๊คของเขาว่า เขาเป็นคนที่รับมานาแล้วก็เป็นหนึ่งในทีมงานชุดแรก แต่ไม่แปลกใจหรอกเพราะว่าเขายังเป็นเด็กหนุ่มอยู่ เขายังหนุ่ม เขาก็บอกว่ามานาฯ สอนผิด มานาฯ ไม่จริง มานาฯ สอนว่าให้พระเจ้าทำแทน
จริงๆ แล้วนะครับ คำว่า พระเจ้าทำแทน เป็นคำที่ชาวไทยชาวลาวสะดุดมาก คือการทำแทนเนี่ย เขาอาจจะมองว่าพระเจ้าทำแทนเหมือนกับคนใช้ หรือทำแทนแบบเพื่อช่วยเราอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่เข้าใจความหมายก็คือ มนุษย์ทำไม่ได้ มันทำไม่ได้ เราเป็นคนบาปจะทำดีเพื่อพระเจ้าไม่ได้ ทำพระเจ้าก็ไม่พอใจเพราะว่าทุกสิ่งที่เราทำ มันมีเบื้องหลัง มันมีเหตุผล ใช่ไหม เราต้องการอะไรบางอย่าง เราปรารถนาอะไรจากพระเจ้าบางอย่าง เราจึงทำดีเพื่อเป็นผลตอบแทน เพื่อรับผลตอบแทน ทำดีเพื่อให้ได้รอด ทำดีเพื่อพระพร
แต่สำหรับพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เราทำดีเพราะว่ารักพระองค์ เพราะว่าเรารัก เราจึงทำ นี่คือการกระทำดีที่บริสุทธิ์ และการกระทำดีนี้มีอยู่ในพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้าจึงต้องเสด็จมาอยู่ในเรา แล้วเราต้องตาย แล้วเราเป็นคนใหม่ แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าก็สถิตอยู่ในเราและพร้อมที่จะดำเนินชีวิตแทนเรา
คำนี้นะครับภาษาอังกฤษ ฝรั่งนะครับไม่มีปัญหาไม่สะดุด เพราะว่า (Christ Live For Us) พระคริสต์ผู้ดำเนินชีวิตแทนเรา คำนี้เป็นคำที่ชาวต่างชาติไม่เคยสะดุด แต่ชาวไทยชาวลาวกับสะดุดนะครับ เขาถือว่า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะมาทำแทนมนุษย์ได้ยังไง ทำเพื่ออะไร เขาก็หาเหตุผลแต่มันไม่สมเหตุสมผลเพราะว่า เราขอบพระคุณพระเจ้า หูที่ได้ยินและตาที่ได้เห็นก็เป็นสุข แล้วเราอธิษฐานเผื่อพี่น้องเหล่านั้นที่ไม่เห็นไม่ได้ยิน เอเมน
ถ้าเราจะใช้คำไหนก็ได้นะครับ ใช้คำว่า ทำแทน ก็ได้ เมื่อพระวิญญาณเปิดใจ พระวิญญาณดลใจ พระวิญญาณเปิดตาคนที่ฟัง เขาก็จะรับได้อยู่ดี เราไม่ต้องใช้คำว่าพระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเรา ให้มันดูง่าย ให้มันฟังเข้าใจง่าย แต่คำว่าง่ายหรือยาก สำหรับพระเจ้า มันเป็นเรื่องของการฝ่ายวิญญาณ เป็นเรื่องของการเปิดตาโดยพระวิญญาณแห่งความจริง เพื่อนำความจริง นำพระคำแห่งความจริงมาสู่มนุษย์ เอเมน
สุดท้ายก็คือ ผมอยากจะสรุปเรื่องเกี่ยวกับ คำทำนายของอิสยาห์ ผมจะพูดถึงบางข้อเท่านั้นนะครับบางข้อ คือในอิสยาห์บทที่ 9:6-7
ด้วยว่ามีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อพวกเรา.. มีเด็กคนหนึ่งนะครับ ทำไมพระเจ้าจึงให้อิสยาห์ย้ำว่าเป็นเด็ก ก็คือ เน้นถึงการที่พระคริสต์ พระเมสสิยาห์จะมาบังเกิดเป็นเด็ก เป็นเด็กที่ออกมาจากครรภ์มารดาที่เป็นมนุษย์ จึงเรียกใช้คำว่า ด้วยว่ามีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อพวกเรา
แล้วก็มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้พวกเรา.. เกิดมาเพื่อพวกเรา ก็คือช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ความตายที่เป็นผลมาจากการถูกสาปแช่งและถูกพิพากษา
ต่อมาก็คือ ..และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน.. การปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน ก็คือ พระคริสต์พรุ่งนี้จะมาเพื่อเป็นกษัตริย์ ที่เป็นพระผู้ไถ่ ที่จะช่วยมนุษย์ได้ทั้งวิญญาณทั้งจิตใจและร่างกาย อีกครั้ง ..การปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน.. ก็คือพระองค์จะมาในฐานะของกษัตริย์ ที่เป็นพระผู้ไถ่ เข้าใจนะครับ the king savior the savior king ก็คือเป็นทั้งกษัตริย์และเป็นพระผู้ไถ่ในขณะเดียวกัน เพื่อไถ่เราช่วยเรา 3 ด้านนะครับ ก็คือ 1. ช่วยฝ่ายวิญญาณ 2. ช่วยฝ่ายจิตใจ และ 3. ช่วยฝ่ายร่างกาย ทั้ง 3 ด้านของมนุษย์จะได้รับการช่วยเหลือ ในมัทธิว 4:20
ต่อมาก็คือ .. ที่ปรึกษามหัศจรรย์ นามของท่านจะถูกเรียกว่า ผู้ที่ปรึกษามหัศจรรย์ ก็คือพระองค์จะเป็นที่ปรึกษาของเรา เป็นคนที่นำพา เตือน สอน และพระองค์เองนี่แหละที่เป็นสติปัญญาของเราทั้งหลายในขณะนี้
1 คร 1:30 พระคริสต์เป็นสติปัญญาของเรา เอเมน
เราไม่ต้องคิดอะไร เราไม่ต้องกังวลอะไร เราไม่ต้องถามใคร เราเรียนรู้ที่จะสนิทในพระเยซู เรามีที่ปรึกษามหัศจรรย์ มหัศจรรย์มาก อัศจรรย์มากๆ เราไปถามใครอาจจะได้คำตอบที่อาจจะพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ถูกบ้างผิดบ้าง ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ผู้เดียวคนเดียวที่พร้อมที่จะให้คำตอบ พร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาของเรา ที่มหัศจรรย์มากๆ คำตอบทุกคำตอบจะเป็นที่พอใจของเรา
ต่อมาก็คือ ..พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์.. สำหรับภาษาฮีบรูนะครับใช้คำว่า אֵל เอล สำหรับคำว่า พระเจ้า เนี่ยมีหลายคำ ติโย บ้าง ติโอ๊ต บ้าง หลายๆ คำ แต่คำนี้นะครับที่เรียกในอิสยาห์ บทที่ 9:6 ก็คือใช้คำว่า אֵל เอล / אֵל เอล นี่ก็คือเป็นพระเจ้า เน้นถึงพระเจ้าที่มีฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่ ภาษาอังกฤษก็คือ Almighty หรือ Almighty God เน้นถึงเรื่องพระเจ้าที่มีพลังที่ยิ่งใหญ่ มีฤทธิ์อำนาจ มีฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่
ขอบคุณพระเจ้าพระเยซูเป็นพระเจ้าผู้ที่มีฤทธิ์เดช มีฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่ ทำได้ทุกสิ่ง สรรเสริญพระเยซู
และข้อที่สำคัญตรงนี้ก็คือ อิสยาห์เขียนว่า ..ท่านผู้นี้ก็คือพระบิดานิรันดร์.. พระบิดานิรันดร์ Everlasting Father มาถึงจุดนี้ ชาวยิวรู้ดีว่าผู้ที่จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เกิดมาจากครรภ์ผู้หญิงครรภ์มารดา เป็นมนุษย์เนี่ยก็คือเป็นพระเจ้าเอง เป็นพระบิดาเองที่ประทับอยู่บนพระบัลลังก์ในสวรรค์ จะเสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางพวกเขา
สุดท้ายก็คือ ..องค์สันติราช.. องค์สันติราชก็คือ ภาษาฮีบรูก็คือ Prince of peace ก็คือเจ้าชายแห่งสันติภาพ พระองค์จะนำสันติสุขความสงบสุข สันติภาพ ความสงบทั้งของโลกนี้ ของมนุษย์ และของจิตใจของหัวใจของมนุษย์ที่ไม่มี peace ไม่มีความสงบสุขอยู่ภายในหัวใจ
ขอบพระคุณพระเจ้าพระองค์จะช่วยให้จิตใจของเราเต็มด้วยสันติสุข เต็มด้วยแม่น้ำแห่งชีวิต และพระองค์นั่นแหละที่เป็นสันติสุข และขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์จะนำสันติภาพ นำความสงบสุขมาสู่โลกในยุคพันปีที่จะมาถึงอีกไม่ช้านี้
ในอิสยาห์บทที่ 52 จนถึง 53 มีบางตอนที่พูดถึงเรื่อง หน้าตาของท่านเสียโฉมมาก คำนี้คำแปลอาจจะไม่ตรงกับภาษาฮีบรูเท่าไหร่ อาจจะมีส่วนคล้ายๆ นะครับ
จริงๆ แล้วในอิสยาห์บทที่ 52:14 “ด้วยคนเป็นอันมากได้ตกตะลึง” ฟังดีๆ นะครับ “คนเป็นอันมากได้ตกตะลึงเพราะท่านฉันใด หน้าตาของท่านก็ดูไม่ดีกว่ามนุษย์ทุกคนฉันนั้น”
“รูปร่างก็เสียโฉมมาก” อันนี้แปลผิดนะครับ
“รูปร่างก็ดูไม่ดีเลย กว่ามนุษย์ทั้งหลาย” ภาษาฮีบรูเน้นถึงหน้าตาที่ไม่หล่อเหลา หน้าตาที่ไม่มีเสน่ห์ ไม่มีอะไรที่ดึงดูด ทำให้มนุษย์หลงใหล เพศตรงข้ามหลงไหลได้ คือพูดง่ายๆ เลยก็คือ พระเยซูขี้เหร่
เราหลายคนนะครับ คริสเตียนโดยเฉพาะคริสเตียนศาสนา รับไม่ได้อันนี้ เพราะว่าเราทุกคนต่างก็คิดว่าพระเยซู ก็คือหล่อเหลาเหมือนแขกดูไบ เหมือนแขกซาอุดิอาระเบีย หรือแขกเลบานอน อะไรประมาณนั้นใช่ไหม แต่จริงๆ ใช่ครับพระเยซูเป็นเหมือนแขกเลบานอน ผิวคล้ำ ผมหยิก แต่ในอิสยาห์บทที่ 52 และ 53 บอกว่าพระเยซูขี้เหร่ ขี้เหร่มากๆ ด้วย ไม่ใช่ขี้เหร่ธรรมดา
แล้วนี่คือเหตุผลที่คนมากมายตกตะลึง คือมันตกใจอ่ะ เขาคิดว่ากษัตริย์องค์นี้ พระเมสสิยาห์ของชาวยิวจะมาในฐานะกษัตริย์ แล้วก็เกิดในครอบครัวที่มั่งมี มั่งคั่ง เป็นเจ้าชาย หรือจะเป็นกษัตริย์องค์ต่อมา แต่ปรากฏว่าผู้ชายคนนี้กลับเกิดในเมืองเบธเลเฮม เมืองเล็กๆ แล้วก็เป็นคนที่ยากจน ไม่มีฐานะที่ดี แล้วก็หน้าตาก็ขี้เหร่ ใครจะรับได้ทุกคนก็ตกใจนะครับ
แต่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคนที่ไม่สะดุดและไม่ตกตะลึงไม่ตกใจ แล้วคริสเตียนพวกเราขอบคุณพระเยซู ที่เมื่อเรารู้ความจริง เราก็ไม่ได้ตกใจแล้วใช่ไหม เอเมน
ผมเคยย้ำอยู่บ่อยๆ นะครับ นางงามจักรวาล หรือชายงามแห่งจักรวาลสำหรับพระเจ้า ก็คือคนที่มีหัวใจอันบริสุทธิ์ มีความรัก มีความชอบธรรม มีความเที่ยงธรรม มีความเมตตา มีความดีครบทุกประการ นี่คือเจ้าชายเจ้าหญิงนางงามชายงามของพระเจ้า
เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องน้อยใจ สำหรับใครที่เกิดมาหน้าตาไม่ดี หรือขอโทษนะครับขอใช้คำว่า ขี้เหร่ แต่พระเยซูขี้เหร่กว่าทุกๆ คน แล้วขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เต็มด้วยความรัก และพระองค์เป็นผู้ที่สูงส่ง เป็นนามเนื้อนามใดๆ ทั้งสิ้น เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์โลกของจักรวาลนี้ และเราภูมิใจสำหรับหน้าตาเกิดมาดีไม่ดียังไง ไม่สำคัญ.
แต่สิ่งที่พระเจ้าต้องการ และเราจะวิ่งแข่ง เราจะแข่งขันเข้าประกวด ชายงามหญิงงาม ก็คือ แข่งดำเนินชีวิตให้พระคริสต์สำแดงชีวิตและนิสัยของพระองค์ ความดี ความรัก ความชอบธรรม ความอดทน การอภัยซึ่งกันและกัน การไม่โต้เถียง นี่คือคุณสมบัติทั้งหลายของผู้ที่จะชนะเป็นชายงามหญิงงามของพระเจ้า
และสิ่งสำคัญก็คือ พระองค์ยอมถูกโบยตี เพื่อรับเอาความเจ็บไข้ทั้งหลายของพวกเรา ยอมตาย เพื่อรับแบกเอาความผิดบาปทั้งหลายของพวกเรา และรับเอาฐานะสถานะคนชั่วช้าที่สุดในจักรวาล เพื่อเราทั้งหลายจะกลายเป็นคนชอบธรรม เป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับพระเจ้า
เราวันนี้ขอยกย่องนมัสการ กราบไหว้สรรเสริญพระเยซูของเรา เอเมน
ถ้าเราจะคิดดูดีๆ นะครับ เรื่องใบหน้าหน้าตารูปโฉมของพระเยซู ตรงข้ามกับมาตรฐานโลกที่เขาคาดหวัง ทำให้เขาตกใจ แล้วยังไม่พอ การดำเนินชีวิตของคริสเตียนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราจะเห็นว่าตรงข้ามกับการดำเนินชีวิตของศาสนาทั่วๆ ไป และมนุษย์โลกทั่วๆ ไป
มนุษย์ต้องการที่จะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ แต่พระเยซูสอนให้เราเป็นคนที่เล็กๆ เป็นผู้เล็กน้อย มนุษย์สอนให้คนเอาเปรียบ หรืออาจจะยุติธรรม แต่พระเยซูสอนให้เราเป็นคนที่เสียเปรียบ คือมันตรงข้ามใช่ไหม
เราพบว่าในหนังสือมัทธิวกฎหมายใหม่ของพระเยซู สอนเราสั่งเราให้ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับโลกหรือศาสนาทั่วๆ ไปที่เขาทำกัน เป็นการสำแดงชีวิตพระเจ้าเป็นการใช้ชีวิตที่ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ ยอมจนถึงดิน ไม่มีหน้าตาไม่มีชื่อเสียง ไม่แสวงหาอะไรทั้งนั้น
แต่แสวงหาพระคริสต์ อวดพระคริสต์ ประกาศพระคริสต์ ดำเนินชีวิตพระคริสต์ให้โลกได้เห็นพระคริสต์ เท่านั้นเอง แล้วบำเหน็จก็จะยิ่งใหญ่ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความแตกต่าง สิ่งที่ตรงข้ามที่พระเจ้าให้เราเป็น เพื่อเราจะเป็นพยานถึงพระเจ้าว่า พระองค์ทรงแตกต่างพระองค์ไม่เหมือน แล้วความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่มากมาย มากเหนือกว่าสิ่งใดในโลกนี้ ขอบคุณพระเยซู เอเมน
ถาม.
อ.ค่ะที่ว่ารูปร่างไม่น่าดูเพราะว่าพระองค์ถูกตีด้วยไหมคะ คือว่าถึงรูปร่างพระองค์จะหน้าตาไม่หล่อเหลา แต่เพราะว่าพระองค์ถูกตีจนฟกช้ำไปทั้งตัวหรือเปล่าค่ะ ทุกคนถึงมองว่าไม่น่าดูอ่ะค่ะ
ตอบ.
หลังจากที่อิสยาห์บทที่ 52 พูดถึงเรื่องหน้าตาของพระเยซู
ต่อมานะครับก็พูดถึงเรื่องการรับเอาความผิดบาปทั้งหลาย และรับเอาแบกเอาความเจ็บไข้ทั้งหลาย จึงเน้นถึงการถูกโบยตีเข้ามาเลย
ตอนแรกพูดถึงเรื่องใบหน้าของพระเยซู เนื่องจากว่าผู้เขียนที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยหรือภาษาลาว หลายๆ ภาษา เขาคิดว่าการเสียโฉมของพระเยซูบนใบหน้า จะมาจากการถูกโบยตี ไม่จริงครับ ไม่ใช่นะครับ
คือคำว่า เสียโฉม ภาษาฮีบรู คำว่า เสียโฉม ในที่นี้ ไม่ใช่เสียโฉมเพราะถูกโบยตี แต่เป็นใบหน้าที่ดูไม่ดี ไม่มีหน้าตาที่ดีนะครับ
ถาม.
อาเมนค่ะ เพราะว่าของชนกแปลมาจากภาษาฝรั่งเศสนะคะ อิสยาห์บทที่ 52:14 ชนกจะอ่านให้ฟังค่ะเขาจะแปลอีกอย่างค่ะเขาบอกว่า "ด้วยคนเป็นอันมากได้มองดูเขาผู้นั้นด้วยความพิศวงงงงวย เพราะเหตุว่ารูปโฉมของเขาฟกช้ำยิ่งกว่าใครๆ และร่างกายของเขาก็บอบช้ำยิ่งกว่าบุตรมนุษย์ทั้งปวงฉันใด" อาเมนค่ะ
ตอบ.
คำว่า หน้าตาฟกช้ำ ใช่ไหมครับ
ถาม.
ค่ะ ฟกช้ำกว่าใครร่างกายด้วยค่ะ ก็เลยคิดว่าพระองค์น่าจะถูกโบยตี อะไรอย่างนี้ อย่างมากนะคะอาจารย์
ตอบ.
แต่สำหรับภาษาที่แปลมาจากภาษาฝรั่งเศสที่พี่น้องพูดเมื่อกี้ ใช้คำว่า ฟกช้ำ แต่ภาษาไทยแปลว่า เสียโฉม นะครับ
จริงๆ แล้วคำว่าเสียโฉมหรือฟกช้ำ ในภาษาฮีบรูตรงนี้ ไม่มี. แต่เป็นคำว่า ดูไม่ได้ ดูไม่ได้นะครับ
ขอให้เราดูบรรทัดแรก ก็คือด้วยคนเป็นอันมากได้ตกตะลึง เขาตกใจ ทำไมเขาตกใจ เพราะว่าเขาคาดหวังว่าพระเมสสิยาห์ที่จะมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ต้องหล่อเหลา ต้องหน้าตาดี รูปร่างสง่า
แต่ปรากฏว่าผู้ชายคนนี้เมื่อเกิดมาเป็นพระเยซู หน้าตาไม่ดี เป็นคนขี้เหร่ คือมันตกใจมาก แล้วเราถ้าสมมุติว่า เราวาดภาพของพระเยซูเป็นแขกผอมๆ ขี้เหร่ แล้วก็เราเดินไปที่โบสถ์ ลองดูนะครับลองดู เดินไปที่โบสถ์แล้วบอกว่านี่คือพระเยซูตัวจริง เขาจะตกใจไหม (ตกใจ)
แน่นอนเพราะว่าในจินตนาการในความคิดของคริสเตียนทั่วโลก ต่างก็คิดว่าพระเยซูต้องเป็นคนที่ผิวขาว หน้าตาหล่อ มีหนวดมีเครา แล้วก็ผมยาวใช่ไหม แล้วการแต่งตัวใส่เสื้อผ้า ต้องเสื้อผ้าเป็นเสื้อผ้าที่สวยมากๆ เป็นเสื้อผ้าที่น่าจะมีราคาแพง แต่นั่นเป็นความเชื่อที่ผิดนะครับ
พระเยซูผมสั้นผมหยิกเป็นแขกเลบานอนตระกูลยิว ตระกูลยูดาห์ และก็พระเยซูใส่เสื้อผ้าที่ราคาไม่แพง เสื้อผ้าทั่วไปของคนยิวที่ไม่มีฐานะใส่กัน เพราะว่าพระเยซูมาจากครอบครัวยากจนอย่าลืมนะครับ นี่คือสิ่งที่คริสเตียนทุกวันนี้รับไม่ได้
ขอให้เราเข้าใจตรงนี้ ถ้าจะใช้คำว่าตกตะลึง ตกตะลึงเพราะว่าเสียโฉม คือตกตะลึงได้ยังไง คนทั่วไปคนทุกๆ คนนะครับเมื่อเห็นคนที่ถูกเฆี่ยนตี เป็นนักโทษเนี่ยเขาไม่ได้ตกใจน่ะ ชาวยิวเขาถือว่าทุกคนที่ทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง ก็จะถูกจับและถูกเฆี่ยนตี สุดท้ายก็ถูกประหารชีวิต อันนี้ไม่มีใครตกใจ เป็นเรื่องธรรมดานะครับ
แต่อยู่ดีๆ มาตกใจที่พระเยซูที่มีหน้าตาฟกช้ำ ไม่มีใครตกใจครับ เพราะว่าเขาคิดว่าพระเยซูต้องทำผิด
แต่การตกใจของเขาตกตะลึงของเขาก็เพราะว่า เขาคาดหวังว่าจะเห็นพระเยซูหล่อเหลา มีหน้าตาดี มีเสน่ห์ แต่ปรากฏว่าเมื่อคนพูดถึงพระเยซู ผู้นี้แหละคือพระเมสสิยาห์ ผู้นี้นี่แหละเป็นพระคริสต์ หลายคนก็ตกใจ อ้าว เป็นได้ยังไง โอ๊ยขี้เหร่จัง นี่คือการตกใจของชาวยิวครับ
ขอย้ำนะครับภาษาฮีบรู ไม่มีคำว่า เสียโฉม หรือ ฟกช้ำ ไม่มี. แต่หน้าตาดูไม่ดีอันนี้มีครับ
เราไปดูที่อิสยาห์บทที่ 53 ก็ได้นะครับ บทที่ 53:2 เพราะท่านจะเจริญขึ้นต่อพระพักตร์พระองค์อย่างต้นไม้อ่อน และเหมือนรากแตกหน่อมาจากพื้นดินแห้ง ท่านไม่มีรูปร่างหรือความสวยงาม และเมื่อพวกเราจะเห็นท่าน ไม่มีความงามที่พวกเราจะพึงปรารถนาท่าน
อันนี้คือข้อสรุปของอิสยาห์บทที่ 52:14 อันนี้พูดชัดเจนมากใช่ไหม ทำไมต้องย้ำว่า..
- เจริญขึ้นต่อพระพักตร์ของ พระเจ้าอย่างต้นไม้อ่อน - เพราะว่าพระเยซูจะเกิดมาแล้วก็เป็นคนที่เจริญขึ้นในความชอบธรรม ความรัก ความดี ความเมตตา ความจริงของพระเจ้า
- เหมือนรากแตกหน่อออกมาจากพื้นดินแห้ง - ก็คือเกิดมาจากมนุษย์ที่เป็นคนบาปทั้งหลาย อยู่ท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย
- ท่านไม่มีรูปร่างหรือความสวยงาม - และเมื่อเราจะเห็นท่านเมื่อเรามองดูท่าน มองดูท่านเนี่ยก็คือไม่มีความงามเลย ไม่มีเสน่ห์ที่จะพึงปรารถนา เราเคยเห็นดาราผู้ชายหรือใครที่หล่อเหลามากๆ เราตกใจไหม ผู้หญิงทั้งหลายก็จะกรี๊ดใช่ไหม หรือเราจะมองว่าโอ้หล่อจัง แต่เมื่อทุกคนมองเห็นพระเยซู คือเขาจะตกตะลึงตกใจ เพราะว่าพระเยซูขี้เหร่
อีกครั้งขอย้ำ สำหรับพระเจ้า ความหล่อความสวย พระเจ้ามองที่ฝ่ายวิญญาณ คนที่มีหัวใจที่รัก บริสุทธิ์ ชอบธรรม ยกโทษ อภัย ไม่โต้เถียงใคร ต่ำถ่อมยอมเสียเปรียบจนถึงดิน คนนี้คือชายงามและนางสาวของจักรวาล
ถาม.
เอเมนค่ะอาจารย์ สำหรับคนที่จะเป็นนางงามและมีเสน่ห์ อันดับ 1 ของเจ้าบ่าวนี้ จะมีคุณสมบัติแบบไหนค่ะ เอเมนค่ะ
ตอบ.
เป็นคนที่สำแดงชีวิตของพระคริสต์ได้อย่างครบถ้วน เป็นผู้ชนะเต็มร้อย เป็นคนที่มีความรัก อดทนนาน กระทำคุณให้ ในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 5:22-23 ก็คือคุณสมบัติของนางงามแห่งจักรวาลของพระเจ้า
(กท 5:22-23 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความเชื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีพระราชบัญญัติห้ามไว้เลย)
คือคนที่มองอะไรก็ดีไปหมด มองทุกคนดีไปหมด มองทุกคนน่ารักไปหมด ไม่มองลบ ไม่คิดลบกับใคร คำพูดการกระทำความคิดของเขาบริสุทธิ์เหมือนเด็กเล็กๆ คนนึง
จำได้ไหมพระเยซูตรัสว่า ถ้าใครเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ เขาจะได้เข้าไปในอาณาจักร
(มธ 18:2-4 พระเยซูจึงทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมาให้อยู่ท่ามกลางเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่ได้เลย เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดจะถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์)
ถาม.
ขอถามหน่อยครับที่ตะกี้นี้ที่อาจารย์บอกว่า คือการดำเนินชีวิตของเราจะเป็นเหมือนพระเยซู ที่สวนกับโลกใช่ไหมครับ แต่ตอนที่ผมเป็น คต. ศาสนา เขาสอนว่า คือเราต้องเป็นคนที่มีหน้าที่การงานมีทรัพย์ เป็นคนที่มีตำแหน่งอะไรในสังคมนี่แหละ เพื่อว่ามันจะช่วยเราในการประกาศ คือช่วยเราในการประกาศแล้วก็นำพาคนมาเชื่อพระเจ้าได้มาก ตรงนี้คือ มันเพี้ยนไหมครับหรือว่า การประกาศของเราควรจะเป็นยังไงครับ เอเมนครับ
ตอบ.
เป็นความเข้าใจผิดนะครับ ที่เราต้องมีหน้าตาชื่อเสียงในสังคมทั่วไป เพื่อจะประกาศได้ง่าย
สำหรับการประกาศนะครับ ง่ายหรือยาก อยู่ที่พระวิญญาณเป็นคนนำพา ชัดเจนไหมครับ
เปาโลนะครับ ไม่มีหน้าตาในสังคม ไม่มีชื่อเสียงท่ามกลางอาณาจักรโรมัน แล้วตรงข้าม ตรงข้ามก็คืออาณาจักรโรมันพอรู้ข่าวว่าเขาเป็นคริสเตียน แล้วก็ประกาศข่าวประเสริฐในเรื่องที่ไม่เหมือนศาสนาของอาณาจักรโรมันที่เขานับถือกันอยู่ ทุกคนเกลียดชังเปาโลมาก แต่รู้ไหมเปาโลเกิดผลมากกว่าใคร
แล้วผมเห็นนะครับ หลายคนที่ไม่มีหน้ามีตา ไม่เป็นที่รู้จักของสังคม คนทั่วไปไม่มีใครรู้จัก เป็นคนยากจนคนหนึ่ง แต่เขาซื่อสัตย์ในการสนิทในพระเจ้า เขาเป็นคนที่รับใช้ด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ ก็คือพระเจ้าก็ใช้เขา แล้วเขาก็เกิดผลมาก
สิ่งสำคัญการประกาศจะได้ผลหรือไม่ได้ผล อยู่ที่เราเดินไปกับพระเจ้า และอยู่ที่เราระมัดระวังในการพูด คิด กระทำ ให้ทุกสิ่งสอดคล้องไปกับน้ำพระทัยของพระบิดา สิ่งนี้จะทำให้เกิดผลมาก เอเมน
และที่สำคัญ ทำไมเราต้องรอการเร้าใจ การดลใจ การนำพาของพระวิญญาณ เรื่องการประกาศข่าวประเสริฐ เพราะว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้เราทำตามใจ เนื่องจากว่าการทำตามใจของเราเอง สิ่งที่เราได้รับ ก็คือ ไม้ฟาง และหญ้าแห้ง ก็คือไม่มีบำเหน็จสำหรับยุคอาณาจักร อาจจะมีผลตอบแทนในชีวิตนี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องระมัดระวัง เรื่องการดำเนินชีวิตก็ดี การรับใช้ก็ดี การนมัสการพระเจ้าก็ดี การทำทุกสิ่งในชีวิตประจำวันก็ดี หรือแม้แต่การประกาศข่าวประเสริฐก็ดี ขอให้เราให้โอกาสพระวิญญาณบริสุทธิ์นำพา เร้าใจ ดลใจ นำเราไป นำเราทำในทุกสิ่งจะดีกว่า เพื่อผลที่ได้ก็จะเป็น ทองคำ เงิน และเพชรพลอย คือ ได้ผลตอบแทนทั้งชีวิตนี้และผลตอบแทนในยุคหน้าด้วย เอเมน (1 คร 3:12-15)
เริ่มยังไงครับ เริ่มยังไง ..
“ขอบคุณพระเยซู ตื่นเช้าขอบคุณพระเยซู ที่พระองค์ดำเนินชีวิตแทนข้าพระองค์ เรายังไม่เห็นแต่เราพูดก่อน ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์จะทำ ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์ผู้แทน ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์มองฟังทำทุกสิ่งแทนข้าพระองค์ ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์จะประกาศแทนข้าพระองค์ ขอบคุณพระเยซู”
คือพูดไปเลย ให้โอกาสพระเยซูดำเนินชีวิตแทนเราในเรา ทุกครั้งทุกวันทุกเวลาทุกสถานการณ์ แล้วไม่นานครับ ไม่นานพระเจ้าจะทำกิจในเรามากขึ้น
ถาม.
ขออนุญาตค่ะอาจารย์ คือการดำเนินชีวิตของเราที่มีพระคริสต์ทำแทนในแต่ละวัน แล้วก็การพูด การแสดงความรัก การดำเนินชีวิต การที่มองหรือการทำหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างในชีวิตของเราในแต่ละวัน ก็เป็นผลของพระวิญญาณที่ทำแทนเรา ก็เป็นการประกาศอย่างหนึ่งเหมือนกันที่ให้เขาเห็นชีวิตพระคริสต์ผ่านเราใช่ไหมค่ะ
ตอบ.
แน่นอนครับ เป้าหมายของเรา ก็คืออยู่เพื่อให้พระคริสต์ เป็นผู้ก่อร่างขึ้นในชีวิตของเรา และดำเนินชีวิตสำแดงชีวิตนิสัยของพระองค์ผ่านเราในแต่ละวัน
มีผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อก่อนเป็นคนที่ค่อนข้างจะขี้โมโห แล้วผู้ชายคนนี้พอได้ยินบางคนพูดอะไรที่ไม่ถูกหูถูกใจเขา เขาก็จะเริ่มโมโห แล้วปรากฏว่ามีคนหนึ่งที่เป็นคนที่รู้จักเขาดี ส่งข้อความมาหาเขา พอเขาได้ฟังข้อความนะครับ เขาก็เกิดโมโห แล้วก็เกิดตอบโต้ในคำพูดที่ค่อนข้างจะไม่สุภาพเท่าไหร่
แล้วปรากฏว่าเขารู้สึกว่า เอ๊ะ ไม่ใช่พระคริสต์ทำแทนแล้ว ไม่ใช่พระคริสต์สำแดงชีวิต ตอนนี้เราทำเองเราใช้ตัณหาเราใช้อารมณ์ของอาดัม เขาก็ยิ้มนะครับแล้วก็สารภาพ แล้วก็บอกว่า..
“เอเมนพระเยซู พระองค์ดำเนินชีวิตแทนข้าพระองค์ ข้าพระองค์เมื่อกี้ลืมไปหน่อย หลุด หลง”
หลังจากนั้นเขาก็ลบข้อความ แล้วก็เขียนพูดไปใหม่นะครับบอกว่า คือให้เป็นแบบนี้นะ ทำแบบนี้นะ คือน้ำเสียงก็จะซอฟลง คำพูดของเขาก็จะเบาไป ความโมโหอารมณ์โกรธในน้ำเสียงก็ไม่มี แล้วเขาเชื่อด้วยนะครับว่าพระเยซูเป็นคนทำแทน
จริงๆ แล้วพระเจ้าเป็นคนดลใจเขาให้เขาลบข้อความ ที่แสดงอาการเนื้อหนังหรืออาดัม แล้วก็เขียนใหม่พูดใหม่เป็นชีวิตและนิสัยของพระเยซู เมื่อทำแบบนี้ไปบ่อยๆ ในที่สุดพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะครอบคลุมครอบครองชีวิตของเรา แล้วเราไม่รู้ตัวนะครับว่าเราทำอะไรพูดอะไรลงไป แต่กลับมาดูใหม่เห็นว่า โอ้ จริงๆ แล้วไม่ใช่เราแน่นอน นิสัยเราไม่ใช่แบบนี้
นี่..คือการเติบโต คือการพัฒนา คือความก้าวหน้าของชีวิตที่ถูกพระคริสต์ก่อขึ้นในเรา
ตอนแรกเชื่อก่อน เชื่อก่อนครับ แล้วเริ่มทำ เริ่มก็กลับมาสารภาพ แล้วทำใหม่
ผมขอบอกตามตรงนะครับ เราทำมาหากิน ทำมาค้าขาย เราทำทุกสิ่งเราทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เป็นปกติไม่มีปัญหา แต่สิ่งหนึ่งที่เราขาดไม่ได้ พระเจ้าให้การบ้านง่ายๆ ง่ายมากๆ ก็คือสนิทในพระคริสต์ แล้วฝึกเดินในพระองค์ ฝึกให้พระคริสต์ทำแทน แค่นี้เอง ง่ายนะครับ ง่ายกว่าเมื่อก่อนไหม แล้วมงกุฎก็จะเป็นของเรา
ถาม.
เมื่อก่อนนี้ก็อ่านพระคัมภีร์ก็บอกว่าต้องออกไปประกาศออกไปประกาศ แต่เดี๋ยวนี้พอเข้ามาสนิทกับพระองค์มากขึ้น พระองค์ก็ให้เราเห็นว่าการดำเนินชีวิตของเรา ก็เป็นการดำเนินชีวิตในรูปแบบของการประกาศในตัวด้วยเหมือนกัน เพื่อทุกคนรอบข้างเราเห็นชีวิตของพระคริสต์ทำแทน แล้วก็เห็นลักษณะของพระคริสต์ที่ทำแทนเรา แล้วก็ความรักอะไรทุกอย่างนั่นก็คือการประกาศที่พระคริสต์เป็นผู้ประกาศอยู่ในตัวของเราอยู่แล้ว เอเมนค่ะ
ตอบ.
สำหรับการประกาศ การประกาศที่ง่ายที่สบาย ก็คือ การพูด การบอกคนอื่น เรามีของประทานนะครับในการประกาศข่าวประเสริฐ เราพูดมีคนเชื่อ
แต่การประกาศที่หนักกว่า ที่ยากกว่า ก็คือ การประกาศแบบเปาโล เหมือนกับพี่น้องที่พูดเมื่อกี้ ก็คือเปาโลพูดบ่อยครั้งว่า “ข้าพเจ้าประกาศพระคริสต์” คือเขาไม่ได้พูดเรื่องข่าวประเสริฐ ไม่ได้เป็นพยานเท่านั้น คำว่าประกาศพระคริสต์หรืออวดพระคริสต์ของเปาโลก็คือ “การให้พระคริสต์สำแดงชีวิตผ่านเปาโล”
เราทุกวันนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้พูดเรื่องพระเยซู ได้เป็นพยานเรื่องพระเยซูคริสต์ ว่าพระเจ้าทำอะไรกับชีวิตของเรา เราเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน พระเจ้าอวยพรเรามากมายเท่าไหร่
แต่เราประกาศพระคริสต์ ก็คือให้พระองค์สำแดงความรัก การยกโทษ การไม่ถือสา การพูดด้วยความรักที่ให้ความอบอุ่น ให้ความสุข ให้หัวใจที่สงบสุขกับคนที่เราไปพูดคุยด้วย เขาได้สัมผัสวิญญาณคำพูดของพระเจ้าที่ผ่านคำพูดของเรา นี่คือการอวดพระคริสต์หรือประกาศพระคริสต์ที่แท้จริง
ถาม.
พอเราเห็นชีวิตพระคริสต์ทำแทนเรามากขึ้น แล้วก็เห็นชีวิตพระคริสต์ทำแทนเราทุกวัน มันดูแล้วเราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แต่เราก็เบาสบาย แล้วก็ไม่เหนื่อยด้วยค่ะ ขอบคุณพระเจ้า
ตอบ.
บรรดาผู้คนทั้งหลายที่แบกภาระหนักและทำงานหนักจงมาหาเรา เพราะว่าแอกของเราก็เบา ภาระก็เบา กางเขนก็เบา และมีความสุข ใครพูดครับ (พระเยซู)
แต่ทุกวันนี้คริสเตียนมากมายไม่ได้เข้าสู่การพักสงบในพระเจ้าใช่ไหม ภาระก็หนัก ทุกอย่างก็หนัก กางเขนก็หนัก แอกก็หนัก ยังหนักอยู่จนถึงทุกวันนี้
แต่เราขอบพระคุณพระเจ้า เรามาถึงชีวิตที่เบาสบายแล้ว ให้เราสรรเสริญพระเยซู เอเมน
อันนี้เราน่าจะรู้กันดีนะครับ มาถึงจุดนี้ เมื่อเรารับมานารับพระคำล้ำลึกมากพอ และเข้าสู่ประสบการณ์หรืออยู่กับพี่น้องมานาน คริสตจักรศาสนาพูดได้แต่ทำไม่ได้ คริสตจักรศาสนาสอนว่ารักกันและกัน อภัยให้กันและกัน ไม่ทิ้งกัน แต่พอเกิดเรื่องพอมีเรื่อง พอมีปัญหา ขอถามหน่อยความรักอยู่ที่ไหน การยกโทษอยู่ที่ไหน การอภัยให้กันอยู่ที่ไหน ความเมตตาอยู่ที่ไหน ไม่มี. อันนี้เราพูดถึงตัวเราเองที่เมื่อก่อนที่เคยเป็นคริสเตียนศาสนา
แต่เราขอบคุณพระเจ้า ชีวิตคริสเตียนควรจะมาถึงชีวิตที่ลึกซึ้ง และเป็นชีวิตที่ไม่ใช่แต่พูดเท่านั้น เราทำได้ด้วย
แล้วเราจะทำได้ยังไง? เพราะว่าเราเป็นคนบาป เป็นทาสของตัวบาป
ขอบคุณพระเจ้าพระคริสต์เป็นพระผู้ไถ่ของเรา ขอบคุณพระเจ้าพระคริสต์เป็นกฎแห่งชีวิตและกฎแห่งพระวิญญาณที่อยู่ในเรา ที่พระองค์ทำได้ทุกสิ่ง ขณะที่เราทำอะไรไม่ได้
ถาม.
เอเมนค่ะ ปัญหาก็คือตัวเรานี่แหละค่ะ เราก่อนค่ะกับพระเจ้า ถ้าเรากับพระเจ้าลึกซึ้ง แล้วก็ยอมแพ้ แล้วก็ยอมให้พระเจ้ามาดำเนินชีวิตแทนเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น แล้วก็การประกาศก็ง่ายขึ้นค่ะ เพราะว่าเราประกาศชีวิตพระคริสต์ให้พระคริสต์เป็นคนประกาศพระองค์ผ่านชีวิตของเรา มันจะง่ายกว่าค่ะ
ตอบ.
ใช่ครับ ปัญหาคือตัวเรานี่แหละ ปัญหาไม่ใช่โลกนี้ ปัญหาไม่ใช่ผู้คน ปัญหาไม่ใช่สถานการณ์ต่างๆ ที่อยู่รอบข้างเรา
มีอยู่บางวันที่ผมคิดอยากจะมองดูผู้คน ก็ผมเป็นคนที่ชอบปั่นจักรยานตอนเช้าแล้วก็ตอนเย็นด้วย แล้วก็มีวันหนึ่งคือปั่นจักรยานแล้วก็มองดูผู้คน ซึ่งปกติผมก็จะปั่นไปเรื่อยๆ แต่บางวันก็มองดูผู้คนนะครับ ก็เห็นคนตื่นแต่เช้า รีบปัดกวาดถนนหน้าบ้าน รีบเอาของออกมาขาย ก็คือใบหน้าบึ้งตึงหน้าบูด แล้วก็บางคนก็ทะเลาะกัน แล้วก็บางที่มีทัวร์ที่เป็นชาวต่างชาติ มาก็มาทะเลาะกับร้านขายของที่อยู่แถวๆ ที่เขาลงมาดูวิวทิวทัศน์อะไรสวยๆ เนี่ย อากาศก็ร้อนด้วยนะครับ อากาศก็ร้อน
ถ้าเราจะแสวงหา ความสุขจากมนุษย์ คนที่อยู่รอบข้าง ความสงบ จริงๆ แล้วมันหาไม่ได้หรอก มันหาไม่ได้
ขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้ารู้ใจเรา ขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าชี้มาที่เรา ปัญหาไม่ใช่พระเจ้าต้องเปลี่ยนทุกสิ่งให้เราพอใจ เราจึงมีความสุข แต่ปัญหามันอยู่ที่ตัวเรา จำกันได้ไหม it's you / you are the problem เราคือปัญหา คุณคือปัญหา ผมคือปัญหา
ถ้าหากใจเราดีทุกสิ่งมันก็ดีไปหมด ใช่ไหม แต่ถ้าหากใจเราไม่ดีอะไรก็หงุดหงิด อะไรก็ไม่ดี อะไรก็ทำให้อารมณ์เสีย สรุปก็คือตัวเรานี่แหละที่เป็นปัญหา
แล้วขอบคุณพระเจ้าพระองค์ประทานหัวใจใหม่ให้เรา พระองค์ประทานวิญญาณใหม่ให้เรา ในเอเสเคียลบทที่ 36:26-27 พระเจ้าประทานวิญญาณใหม่ หัวใจใหม่ จิตใจใหม่ ให้เรา เพื่อเอาใจหินออกไป คือใจที่มีแต่ความคิดด้านลบ คิดไม่ดีกับใคร มองโลกเป็นความไม่ดีทั้งหมด ทำให้หงุดหงิด ทำให้อารมณ์เสีย ทำให้อบอ้าว
แต่ขอบคุณพระเยซูเราพบสวรรค์บนดินแล้ว ในพระเยซูคริสต์ เอเมน
สรุป ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น แล้วทำให้เราไม่พอใจ เกิดอารมณ์เสีย อย่าไปโทษใครนะ โทษเราเอง เรานี่แหละที่ยังไม่โตพอ เรานี่แหละที่ยังไม่เป็นผู้ชนะ เรานี่แหละที่ยังไม่ต่ำถ่อมยอมเสียเปรียบ ยังไม่มาถึงชีวิตและนิสัยของพระคริสต์ พระคริสต์ยังไม่สำแดงชีวิตของพระองค์
เน้นการสนิทให้มากๆ แล้วพระคริสต์จะเริ่มสำแดงชีวิต แล้วหัวใจของเราจะสงบ แล้วเราจะพบสวรรค์บนดินได้
ถาม.
เอเมนขอบคุณพระเยซูค่ะ อาจารย์เคยพูดนะคะในพระคำของพระเจ้าในคำอธิบาย ว่าโลกใบนี้คือห้องสอบ เราเดินกับพระเจ้าวันต่อวัน เราจะเห็นข้อสอบ พระองค์จะส่งมาในแต่ละวัน แล้วก็นั่นคือบททดสอบและการทดลอง ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ ชีวิตเราถูกสร้างใหม่สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แหนะทุกสิ่งอย่างก็กลายเป็นสิ่งใหม่ สายตาของเราก็ต้องมองใหม่ค่ะ โดยพระคริสต์มองแทนเราค่ะ ถ้าเราให้พระคริสต์มองแทน เราจะมองไม่เห็นความผิดของใครเลย แต่เราจะหันกลับมามองตัวเองว่า เรายังไงกับพระเจ้าค่ะ แก้ไขอะไรกับพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะมาทำทุกสิ่งอย่างและให้ชีวิตของเราเปลี่ยนใหม่ได้จริงๆ ขอบคุณพระเจ้าค่ะ ขอบคุณพระเยซู
ตอบ.
ถูกแล้วครับ สำหรับเรา ขอบคุณพระเจ้าที่นำเรามาถึงการได้รู้ความจริง คือโลกนี้เป็นทุ่งนา เราเป็นชาวนา ที่ต้องลำบากเหน็ดเหนื่อย ต้องมีเหงื่อ เหงื่อไหล ต้องตากแดด แดดร้อนอบอ้าว ต้องทำงานเพื่อพระเจ้า ก็คือใช้ชีวิตดำเนินชีวิตเพื่อประกาศพระคริสต์ ประกาศข่าวประเสริฐ และรับใช้พระเจ้าร่วมกัน เพื่อให้น้ำพระทัยของพระบิดาและการงานของพระองค์สำเร็จ โลกนี้จึงเป็นทุ่งนา และเราก็เป็นชาวนาของพระเจ้า
แล้วอีกอันหนึ่ง ก็คือเมื่อปัญหาเข้ามา อย่าลืมโลกนี้ สำหรับพระเจ้าก็คือห้องสอบ แล้วปัญหาก็คือข้อสอบ เราเองก็คือเป็นนักเรียน ที่จะต้องแก้ข้อสอบให้ได้ ก็คือเอาความต่ำถ่อมยอมเสียเปรียบ เอาชีวิตที่ตรงข้ามกับโลกกับศาสนาคริสต์ เอามาดำเนินชีวิตเพื่ออวดเขา ก็คืออวดพระคริสต์
สำหรับเรื่องพระคริสต์ พระเมสสิยาห์ เราขอบพระคุณพระเจ้าที่เราไม่สะดุด แล้วเราขอบพระคุณพระเจ้าที่เราได้พบพระองค์ ได้รู้จักพระองค์ และรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราสำหรับวันนี้
ซึ่งเมื่อก่อน สองพันปีก่อน ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จมา บังเกิดเป็นมนุษย์ที่เกิดจากครรภ์มารดาที่เป็นผู้หญิงที่เป็นมนุษย์ ก็มีประมาณสัก 16 คน ที่มาก่อนพระเยซูแล้วอ้างตนว่าเป็นพระคริสต์ เป็นพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมสสิยาห์ แล้วก็ถูกประหารทั้งหมด ถูกตรึงบนกางเขนทั้งหมด แล้วพระเยซูก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกตรึง แต่สิ่งที่ไม่เหมือน 16 คนที่ตายก่อนพระเยซู แล้วพวกเขาไม่เคยฟื้นขึ้นมา แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับพวกเขาก็คือพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย แล้วพระองค์เป็นพระวิญญาณ แล้วพระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่ในเรา
เราพิสูจน์ได้ยังไง? อธิษฐาน พูดคุย ขอการเปิดเผยจากพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะให้เราเห็น และได้สัมผัสพระองค์
เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับ บทเรียนเกี่ยวกับ 3 เรื่อง ที่พระองค์นำเรามาสู่พระคำแห่งความจริงในวันนี้
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการเร้าใจของพระวิญญาณในการดำเนินชีวิต เมื่อเราสนิท เราใกล้ชิด เราอยู่ในพระองค์อยู่เสมอ
แล้วเรื่องที่สองก็คือ ขอบพระคุณพระเจ้า คำทำนายการกล่าวถึงพระคริสต์ในสมัยก่อน มาถึงพวกเราแล้ว เกิดขึ้นเป็นจริงแล้ว โดยที่พระเยซูเสด็จมา
แล้วขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์รับเอาแบกเอาความเจ็บไข้ทั้งหลายของเรา เพื่อเราจะได้รับการรักษาให้หาย แล้วขอบพระคุณที่พระองค์ไปตายที่กางเขน เพื่อเราจะได้กลายเป็นคนชอบธรรม
ชาวยิวตกตะลึง เมื่อได้ยินข่าวประเสริฐเรื่อง เชื่อเท่านั้นก็ได้รอด ไม่ใช่ด้วยการทำดี
คริสเตียนศาสนาตกตะลึง เมื่อได้ยินข่าวประเสริฐเรื่อง พระคริสต์ทำแทน ไม่ใช่ตัวเราเองเป็นคนทำ