4:1 และขณะที่เปโตรกับยอห์นกล่าวแก่ประชาชน พวกปุโรหิต กับนายทหารรักษาพระวิหาร และพวกสะดูสี ได้มาหาท่านทั้งสอง
** พวกปุโรหิต คือ พนักงานที่ประจำอยู่ที่พระวิหาร เป็นลูกหลานตระกูลเลวี
** ส่วนนายทหาร ก็คือ ทหารชาวยิวที่รับใช้ผู้นำศาสนายิว
4:2 โดยเป็นทุกข์ใจที่ท่านทั้งสองได้สั่งสอนประชาชน และประกาศโดยทางพระเยซูเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย
4:3 และพวกเขาจึงลงมือจับท่านทั้งสอง และจำท่านทั้งสองไว้ในคุกจนวันต่อมา เพราะว่าตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว
4:4 แต่คนเป็นอันมากในพวกเขาซึ่งได้ฟังถ้อยคำนั้นก็เชื่อ และจำนวนผู้ชายมีประมาณห้าพันคน
** ขณะที่เปโตรและยอห์นถูกกักขังอยู่ พวกผู้ชายชาวยิวที่ได้ฟังประมาณห้าพันคนก็กลับใจ
4:5 และต่อมาในวันพรุ่งนี้ พวกผู้ครอบครองของพวกเขา และพวกผู้อาวุโส และพวกธรรมาจารย์
4:6 และอันนาสมหาปุโรหิต และคายาฟาส และยอห์น และอเล็กซานเดอร์ และทุกคนที่เป็นญาติของมหาปุโรหิตนั้น ได้ชุมนุมกันที่กรุงเยรูซาเล็ม
4:7 และเมื่อพวกเขาได้ตั้งเปโตรและยอห์นในท่ามกลางพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ถามว่า “ท่านทั้งสองได้ทำสิ่งนี้โดยฤทธิ์อำนาจอันใดหรือโดยนามอะไร”
4:8 แล้วเปโตร ซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ กล่าวแก่พวกเขาว่า “พวกท่าน พวกผู้ครอบครองของประชาชน และพวกผู้อาวุโสของอิสราเอล
** สำหรับการประกาศของเปโตรและยอห์น คือการนำพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อคนห้าพันคนจะกลับใจ แต่ต้องแลกกับการถูกจับและข่มเหง แต่ผลตอบแทนสำหรับผู้รับใช้ของพระเจ้าก็คือ มงกุฎ คือการได้ร่วมครอบครองกับพระองค์เป็นนิจ
4:9 ถ้าวันนี้พวกเราถูกไต่สวนเรื่องการกระทำดีซึ่งได้ทำแก่ชายป่วยผู้นี้ว่าเขาหายเป็นปกติด้วยวิธีอันใด
4:10 ขอให้พวกท่านทุกคนกับบรรดาคนอิสราเอลทราบเถิดว่า โดยพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ ผู้ซึ่งพวกท่านได้ตรึงไว้ ผู้ซึ่งพระเจ้าได้โปรดให้เป็นขึ้นมาจากความตาย คือโดยพระองค์นั้นแหละชายคนนี้จึงยืนอยู่ที่นี่ต่อหน้าพวกท่านโดยหายเป็นปกติแล้ว
** เปโตร ใช้คำว่า "เยซูชาวนาซาเร็ธ" ซึ่งเป็นคำพูดของชาวยิวที่ไม่เชื่อ และคิดว่าพระองค์เป็นลูกหลานยิวธรรมดาคนหนึ่งที่มาจากเมืองนาซาเร็ธ แต่เปโตรย้ำว่า โดยพระนาม "เยซู" นี่แหละที่ทำให้ชายคนดังกล่าวหายดี
4:11 นี่คือ ‘ศิลา’ ซึ่งพวกท่าน ‘พวกช่างก่อได้ปฏิเสธเสีย ซึ่งได้กลายเป็นศิลามุมเอกแล้ว’
** คำว่า ‘ศิลา’ ในที่นี้คือ หินสำหรับใช้เพื่อก่อสร้างตึกอาคารบ้านเรือน
** ‘ช่าง’ ในที่นี้คือ พวกยิวที่ควรจะเป็นผู้ร่วมงานกับพระเยซู เพื่อก่อตั้งอาณาจักรแห่งชนชาติอิสราเอล แต่พวกเขาไม่ต้อนรับพระองค์ และพระองค์นี่เองที่เป็นหินมุมเอกที่สำคัญที่สุดแล้วและขาดไม่ได้ในการก่อตั้งอาณาจักรของพระเจ้า
4:12 และไม่มีความรอดในผู้อื่นเลย ด้วยว่าไม่มีนามอื่นใดใต้ฟ้าสวรรค์ที่ประทานให้ในท่ามกลางผู้คน ซึ่งโดยนามนั้นพวกเราต้องรับความรอด”
** สำหรับชาวยิว การที่จะได้รอดก็ต้องรักษาพระบัญญัติ เพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม เพื่อให้ได้รอดจากการพิพากษาของพระเจ้า แต่เนื่องจากว่าไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถรักษาพระบัญญัติได้ครบและเป็นคนชอบธรรมสำหรับพระเจ้า 'ไม่มีเลย' ความรอดจึงประทานให้ยิวและต่างชาติโดยทางพระเยซูคริสต์ เมื่อเชื่อเราก็ได้กลายเป็นคนชอบธรรมเท่ากับคนที่เคร่งพระบัญญัติมากคนหนึ่งและได้รอด
** อันที่จริง ความรอดที่เราได้รับจากพระเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าประทานให้เราฟรีๆ แต่พระเยซูเป็นคนจ่ายหนี้บาปให้เราและกระทำทุกสิ่ง เพื่อไถ่เราตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสุดท้าย พระโลหิตของพระเยซูเป็นค่าจ่ายหนี้บาปเรา การตายของพระองค์เพื่อประหารชีวิตเก่าของเรา การเป็นขึ้นมาจากตายของพระองค์เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้เรา การเชื่อฟังพระบิดาทำให้พระองค์ได้รับเกียรติและเราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
1. ผู้ที่ข่มเหงคริสเตียนพวกแรกมักจะเป็นครอบครัวของพระเจ้าด้วยกันที่อยู่คนละคณะนิกายหรือคริสเตียนที่ยังเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ และพวกที่สองก็คือชาวโลก ทั้งสองพวกนี้ซาตานใช้ เพื่อข่มเหงผู้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า
2. การถูกข่มเหง การถูกจับ การถูกทำร้ายทำลายผู้รับใช้ที่ซาตานอยู่เบื้องหลังจะทำให้อาณาจักรของพระเจ้าเกิดผลไม่ได้ ยิ่งการข่มเหงมีมากเท่าไหร่การเติบโตก็มีมากเท่านั้น เมื่อผู้รับใช้ถูกข่มเหงเราขอบพระคุณพระเจ้าแล้วทุกอย่างจะอยู่ในการดูแลและการจัดการของพระองค์
3. ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องถูกจับกักขังและข่มเหงอย่างรุนแรง แต่มีบางคนเท่านั้นที่พระเจ้าเลือกเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ และเพื่อให้เกิดผลมากตามการกำหนดของพระเจ้า
4. เปโตรเริ่มใช้คำว่า เยซูชาวนาซาเร็ธ เพื่อรักษาโรค ซึ่งนามว่า เยซู แท้ที่จริงพระเจ้าเป็นคนให้ใช้นามชื่อนี้ เป็นคำคำเดียวกับ เยโฮวาห์ ในพระคัมภีร์เดิม เป็นนามที่มีชัยชนะเหนือทุกสิ่งแล้ว เป็นฤทธิ์เดช เป็นความสุข เป็นความหวัง เป็นความรอด และเป็นทุกสิ่งที่มนุษย์แสวงหา
5. หิน หรือ ศิลา คือสิ่งที่ชาวยิวใช้เพื่อก่อสร้างตึกอาคาร และพระเยซูนี่เองที่เป็นหิน และเป็นหินมุมเองที่ขาดเสียไม่ได้สำหรับก่อสร้างชีวิต และก่อสร้างคริสตจักรของพระเจ้า เมื่อช่างที่เป็นชาวยิวไม่เอา เราคนต่างชาติจึงมีโอกาสใช้หินดังกล่าวเพื่อการดำเนินชีวิตและก่อสร้างคริสตจักรที่ “เที่ยงแท้”
6. ความรอดของยิวคือการรักษาพระบัญญัติ แต่ความรอดของคริสเตียนคือการเชื่อและวางใจในพระเยซู เนื่องจากว่าพระองค์เป็นคนจ่ายหนี้บาปและตายแทนที่ของเรา เราจึงได้รับพระคุณและพระเมตตาของพระเจ้า
.....
เรื่องบัพติศมา และอีกหลายๆ เรื่อง ถ้าหากเป็นพิธีกรรม พระเยซูต้องสั่งและสาวกต้องเขียน
แต่เราพบว่า บัพติศมา คือการจุ่มในน้ำเพื่อยอมรับการตายและเป็นขึ้นกับพระเยซู เมื่อเชื่อเรารับได้ทันที
กจ 8:26-40 ฟิลิป บัพติศมาให้ขันธีที่กลับใจทันทีเมื่อเจอแม่น้ำ
การเรียนรู้เรื่องบัพติศมา เราเรียนทีหลังก็ได้ เรื่องการเรียนรู้พระคำพระเจ้า เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา
.....
การฝึกเดินของเรา ต้องเจอกับทุกเหตุการณ์ที่เราอาจไม่คาดคิด เราอาจไม่ตั้งตัว ไม่ระมัดระวัง อาจคิดว่าคนที่รักกัน น่าจะไม่ใช่ แต่พระเจ้าใช้ทุกคน ที่เราคิดไม่ถึง เพื่อทดลองความเชื่อของเรา
พระเจ้าตรัสผ่านสาวกว่า จงมีสติ
สำหรับผู้ชนะ คิดเสมอว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น คือมาจากสามด้าน 1. การทดลอง 2. การลงโทษ และ 3. การถวายเกียรติ (ขอย้ำว่า ทุกสิ่งที่เข้ามา เราจะคิดแบบนี้)
4:13 บัดนี้เมื่อพวกเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรับรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนขาดความรู้ พวกเขาก็ประหลาดใจ และพวกเขาสำนึกเกี่ยวกับคนทั้งสองนี้ว่า คนทั้งสองได้เคยอยู่กับพระเยซู
** เมื่อไม่นานมานี้ เปโตรกลัวจนตัวสั่นและกล่าวต่อหน้าหลายคนถึงสามครั้งว่า เราไม่รู้จักท่านผู้นี้เลย (เปโตร ปฏิเสธพระเยซู มธ 26:69-70; มก 14:66-72; ลก 22:56-62)
** แต่ครั้งนี้ท่านประกาศต่อหน้าผู้คนมากมายที่บริเวณพระวิหารซึ่งเป็นถิ่นของพวกผู้นำศาสนาที่จับและประหารพระเยซู เมื่อพระวิญญาณนำพาผู้ใด พระองค์ย่อมจัดเตรียมคำพูดและความกล้าให้เขา เปโตรเป็นชาวประมงเป็นคนธรรมดาทั่วไปและไม่มีความรอบรู้เรื่องศาสนามากเท่าไหร่
4:14 และเมื่อมองดูชายคนนั้นซึ่งได้รับการรักษาให้หายแล้ว กำลังยืนอยู่กับท่านทั้งสอง พวกเขาก็ไม่มีข้อคัดค้านที่จะพูดต่อต้านสิ่งนี้ได้
** ชายที่ได้รับการรักษาให้หาย คือผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกและจัดเตรียมเพื่อพวกผู้นำศาสนาจะทำอะไรเปโตรและยอห์นไม่ได้ เนื่องจากว่าประชาชนมากมายได้เห็นว่าเขาหายดีแล้ว
4:15 แต่เมื่อพวกเขาได้สั่งให้เปโตรและยอห์นออกไปจากที่ประชุมสภาแล้ว พวกเขาก็ปรึกษากันท่ามกลางพวกเขาเอง
4:16 โดยกล่าวว่า “พวกเราจะทำอย่างไรดีกับคนทั้งสองนี้ เพราะว่าที่การอัศจรรย์อันเด่นชัดได้ถูกกระทำโดยคนทั้งสองอย่างแน่นอนนั้น ก็ได้ปรากฏชัดแก่คนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว และพวกเราปฏิเสธการอัศจรรย์นั้นไม่ได้
4:17 แต่เพื่อเรื่องนี้จะไม่ได้เลื่องลือแพร่หลายไปในท่ามกลางคนทั้งหลายมากกว่านี้ ให้พวกเราขู่คนทั้งสองอย่างแข็งแรงเถิด เพื่อที่นับแต่นี้ไปพวกเขาจะไม่พูดแก่ผู้ใดในชื่อนี้เลย”
4:18 และพวกเขาจึงเรียกเปโตรและยอห์นมา และสั่งท่านทั้งสองไม่ให้พูดหรือสอนในพระนามของพระเยซูอีกเลย
** แทนที่จะกลับใจและหันมาเชื่อในพระเยซู พวกผู้นำศาสนาเห็นว่า พวกเขาจะสูญเสียผลประโยชน์ ชื่อเสียงเกียรติยศตำแหน่ง หน้าตา พวกเขาจึงหาทางกำจัดท่านทั้งสองแต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงปล่อยท่านทั้งสองไปแต่สั่งห้ามไม่ให้สั่งสอนเรื่องพระเยซูอีก
4:19 แต่เปโตรและยอห์นตอบและกล่าวแก่พวกเขาว่า “จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือไม่ ที่จะตั้งใจฟังพวกท่านมากกว่าพระเจ้า ขอพวกท่านจงพิจารณาดูเถิด
4:20 เพราะว่าพวกเราจะไม่พูดสิ่งเหล่านั้นซึ่งพวกเราได้เห็นและได้ยินแล้วนั้นก็ไม่ได้”
** เมื่อเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ เปโตรจึงมีความกล้าและพูดในสิ่งที่พระเจ้าให้ท่านพูด คือการกระทำที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า
** ผู้เชื่อมากมายยึดการกระทำของเปโตรมาเป็นหลักเพื่อการรับใช้ พวกเขาพยายามทำตามอย่างท่าน แต่เราพบว่าพระเจ้าไม่ได้เลือกทุกคนให้ทำเหมือนท่าน และตัวอย่างเรื่องการประกาศของเปาโล.. ท่านเคยกล่าวว่า ถ้าหากข้าพเจ้าไม่ประกาศความวิบัติจะเกิดกับข้าพเจ้า สิ่งนี้คือสำหรับเปาโลเท่านั้น และเรานำมายึดเป็นหลักในการออกไปประกาศไม่ได้
4:21 ดังนั้น เมื่อพวกเขาได้ขู่ท่านทั้งสองนั้นเพิ่มเติมอีก พวกเขาก็ปล่อยท่านทั้งสองไป โดยไม่พบสิ่งใด ๆ ที่จะเป็นเหตุให้พวกเขาทำโทษท่านทั้งสองได้ เพราะเหตุประชาชนนั้น ด้วยว่าพวกเขาทุกคนได้ถวายสง่าราศีแด่พระเจ้าเนื่องด้วยสิ่งซึ่งถูกกระทำนั้น
4:22 ด้วยว่าชายคนนี้มีอายุกว่าสี่สิบปีแล้ว ผู้ซึ่งการอัศจรรย์นี้แห่งการรักษาให้หายได้ถูกสำแดง
** การประกาศข่าวประเสริฐ พระเจ้าให้ผู้ประกาศมีของประทานในการรักษาโรคและไล่ผี เพื่อสนับสนุนการประกาศ แต่ไม่ควรให้สิ่งนี้เป็นหลักสำคัญและเน้นสิ่งนี้มากกว่าการประกาศเรื่องพระเยซู
** ไม่นานต่อมาเราพบว่าเปาโลสั่งสอนและย้ำว่าทุกสิ่งไม่สำคัญเท่ากับ พระเยซู และความรัก ถึงแม้ว่าเราจะประกาศ นำคนมาเชื่อ รักษาโรค ไล่ผีได้ แต่เราไม่อาจเข้าไปในอาณาจักรได้ ถ้าหากไม่มีตัวตนของพระเยซูเป็นหลักในการดำเนินชีวิตและรับใช้ (พระองค์ต้องนำหน้าและสำคัญกว่าทุกสิ่ง)
1. การนำพาของพระวิญญาณจะทำให้เราไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ซึ่งมาจากอาการภายใน
2. การไล่ผี รักษาโรค ช่วยเหลือผู้ที่ขัดสนได้อย่างมากมาย ทำให้ผู้คนเห็นความรักและฤทธิ์เดชของพระเจ้า แต่อย่าให้เป็นเรื่องหลัก เรื่องหลักคือข่าวประเสริฐและตัวตนของพระเยซู
3. คนที่มีซาตานควบคุมชีวิตจะเห็นการอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้ามากมายแค่ไหนเขาก็จะไม่กลับใจจนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าต้องตีอย่างหนัก
4:23 และเมื่อถูกปล่อยตัวแล้ว ท่านทั้งสองได้ไปหาพวกของท่านทั้งสองเอง และรายงานทุกสิ่งที่พวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้อาวุโสได้พูดกับท่านทั้งสอง
** พวกของท่านทั้งสอง คือสาวกทั้งเก่าและใหม่ของพระเยซูที่มารวมตัวกันอยู่
** พวกผู้นำศาสนายิวที่ข่มขู่ท่านทั้งสอง ก็คือพวกที่จับและประหารพระเยซู พวกเขาไม่ต้องการให้มีลัทธิเยซูชาวนาซาเร็ธแพร่ขยาย จึงพยายามทำทุกวิธีเพื่อกำจัดคริสเตียน
4:24 และเมื่อเขาทั้งหลายได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็พร้อมใจกันเปล่งเสียงของตนต่อพระเจ้า และทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ซึ่งได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก และทะเล และสรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้น
** เมื่อได้รับรู้ถึงการข่มเหงข่มขู่ของผู้นำศาสนายิว สาวกทั้งหลายจึงกลัวและร้องทูลต่อพระเจ้า ซึ่งนี่คืออาการของคริสเตียนศาสนาหรือเด็กในฝ่ายวิญญาณ แทนที่จะสงบนิ่งและขอบพระคุณพระบิดาในทุกกรณีและขอให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ แต่พวกเขากลับร้องเปล่งเสียงด้วยความวิตกกังวล
4:25 ผู้ตรัสไว้ด้วยปากของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘เหตุใดพวกคนต่างชาติจึงเดือดดาล และประชาชนคิดอ่านในสิ่งที่ไร้สาระ
** คำว่า ไร้สาระ ไร้ประโยชน์ สำหรับพระเจ้าคือการกระทำทุกสิ่งที่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระองค์ โดยเฉพาะในยุคนี้ก็คือการกระทำดีที่ตายแล้ว พระเจ้านับว่าเป็นแค่ไม้ฟางและหญ้าแห้งเท่านั้นเอง
4:26 บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกได้ตั้งตนเองขึ้น และนักปกครองทั้งหลายได้ร่วมชุมนุมกัน ต่อสู้องค์พระผู้เป็นเจ้าและต่อสู้พระคริสต์ของพระองค์’
** คือคำทำนายของกษัตริย์ดาวิดในสดุดี 2:1-3 ผู้ต่อสู้พระคริสต์เริ่มจากพวกผู้นำยิว ทั้งเฮโรด และปอนทิอัสปีลาตในสมัยพระเยซูไปจนถึงผู้ต่อต้าน คือพระคริสต์เทียมเท็จในระยะเจ็ดปีแห่งความทุกข์ทรมาน
4:27 ด้วยว่าเป็นความจริงที่ทั้งเฮโรด และปอนทิอัสปีลาต กับพวกต่างประเทศ และคนอิสราเอลได้ชุมนุมกันต่อสู้พระเยซูพระบุตรผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงเจิมไว้แล้ว
4:28 เพื่อที่จะกระทำสิ่งใดก็ตามที่พระหัตถ์ของพระองค์ และพระดำริของพระองค์ได้กำหนดไว้แต่ก่อนแล้วว่าจะให้กระทำ
4:29 และบัดนี้ พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดทอดพระเนตรการขู่ทั้งหลายของพวกเขา และขอโปรดประทานแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อที่พวกเขาจะกล่าวพระวจนะของพระองค์ด้วยใจกล้าหาญทั้งสิ้น
4:30 โดยทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์ออกเพื่อรักษาให้หาย และเพื่อที่บรรดาหมายสำคัญกับการมหัศจรรย์ทั้งหลายจะถูกกระทำโดยพระนามของพระเยซูพระบุตรผู้บริสุทธิ์ของพระองค์”
** เราจะเห็นคำอธิษฐานในลักษณะนี้ในทุกๆ คริสตจักร คือร้องขอพระเจ้าให้ช่วยตามสิ่งที่เขาคิดเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบและสอน สั่งพระเจ้าให้ทำแบบนี้นั้นแบบนี้ คริสตจักรทุกยุคทุกสมัยจึงทำตามเป็นแบบอย่าง
4:31 และเมื่อพวกเขาอธิษฐานแล้ว สถานที่ซึ่งพวกเขาประชุมอยู่นั้นได้หวั่นไหว และพวกเขาทุกคนเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกเขากล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ
** พระเจ้ามองว่าพวกเขายังใหม่ในความเชื่อและมีความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก จึงให้พวกเขาเต็มล้นด้วยพระวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง ผลลัพธ์ ก็คือ ทุกคนร้อนรนและมีใจกล้าหาญ
4:32 และคนจำนวนมากในพวกเขาที่เชื่อนั้นมีใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน และไม่มีใครในพวกเขาอ้างว่าสิ่งของต่าง ๆ ที่ตนมีอยู่เป็นของตน แต่พวกเขาให้สิ่งของทั้งสิ้นเป็นของกลาง
4:33 และด้วยฤทธิ์เดชใหญ่ยิ่งพวกอัครทูตได้ให้คำพยานเรื่องการคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า และพระคุณอันใหญ่ยิ่งได้อยู่บนพวกเขาทุกคน
** เมื่อฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณ และการเต็มล้นมีมากมาย หลายคนจึงอยากจะอยู่ร่วมกัน ดูแลช่วยเหลือกันและกัน รับใช้และนมัสการร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว
4:34 และไม่มีผู้ใดในท่ามกลางพวกเขาที่ขัดสนสิ่งใด ๆ เพราะทุกคนที่เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือบ้านเรือนทั้งหลายก็ขายพวกมันเสีย และได้นำราคาของสิ่งเหล่านั้นที่ถูกขายมา
4:35 และวางเงินเหล่านั้นไว้ที่เท้าของพวกอัครทูต และมีการแจกจ่ายให้แก่ทุกคนตามที่เขามีความต้องการ
4:36 และโยเสส ผู้ที่พวกอัครทูตได้ให้นามสกุลว่า บารนาบัส (ซึ่งแปลว่า ลูกแห่งการหนุนน้ำใจ) เป็นคนเลวี และเป็นชาวเกาะไซปรัส
4:37 ซึ่งมีที่ดิน ได้ขายมันเสีย และนำเงินนั้นมา และวางมันไว้ที่เท้าของพวกอัครทูต
** เมื่อพระวิญญาณสวมทับทุกคน พวกเขาจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อพระเจ้าและเพื่อพี่น้องในพระกาย บวกกับความยังใหม่ของคริสเตียน อีกทั้งยังคิดไปว่าพระเยซูจะกลับมาในอีกไม่ช้า พวกเขาจึงมาอยู่ร่วมกันรวมตัวกันเป็นบ้านหลังใหญ่ (แต่เราจะพบว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะแยกย้ายกันไป)
1. การเริ่มต้นของกลุ่มผู้เชื่อในพระเยซูกลายเป็นรูปแนวศาสนาตั้งแต่เริ่มต้น เนื่องมาจากความคิดของมนุษย์ที่คุ้นเคยในการเชื่อแบบศาสนา คิดแบบศาสนา อธิษฐานแบบศาสนาคือกลัวและสั่งพระเจ้าว่าให้ทำแบบนี้แบบนั้น
2. โลกจะตั้งตัวเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์และข่มเหงผู้เชื่อ ซึ่งนี่คือการงานของซาตานที่อยู่เบื้องหลัง
3. การเต็มล้นภายนอกทำให้คริสเตียนศาสนากระตือรือร้นร้อนรนยอมทำทุกสิ่งเพื่อพระเจ้าได้ แต่ก็เป็นได้ไม่นาน จนกว่าจะมีการเต็มล้นภายในการยอมจำนนต่อพระเจ้าจึงมาถึงที่สุดได้
4. พระเจ้าอนุญาตให้เขียนถึงเรื่องการเดิน อธิษฐาน คิด พูดที่ไม่ใช่น้ำพระทัยในพระคัมภีร์เพื่อสอนเราว่าการเริ่มต้นของผู้เชื่อมาจากการทำสิ่งที่ไม่ถูกก่อนและหลังจากนั้นพระเจ้าก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อให้เป็นถูกเมื่อเปาโลกลับใจ
5. เราขอบพระคุณพระเจ้าที่สอนเราโดยให้เราอยู่ในสังคมคริสเตียนศาสนาเพื่อที่เราจะได้รู้ซึ้งถึงพระคุณและความรักที่แท้จริงของพระเจ้า