** พระเยซูคริสต์ต่างหากที่เสนอทางแห่งความรอดให้นิโคเดมัส
** ผู้เชื่อมากมายเข้าใจผิดคิดว่า นิโคเดมัสมาหาพระเยซูเพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องทางแห่งความรอดจากพระเยซู
** แต่แท้ที่จริงแล้ว นิโคเดมัส มาหาพระเยซูเพื่อแสดงการเคารพยกย่อง และเป็นกำลังใจให้พระองค์ เพราะท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นครูที่มาจากพระเจ้า แต่ไม่ได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์
หนังสือยอห์นบทที่ 3 พระเยซู ทำให้เราได้บังเกิดใหม่เพื่อเริ่มเข้าสู่ ชีวิต และประสบการณ์ที่มาจากสวรรค์หรือโลกฝ่ายวิญญาณนั่นเอง เนื่องจากว่าวิญญาณถูกสร้างเพื่อให้ติดต่อกับพระเจ้า และเป็นที่สถิตอยู่ของพระเจ้า
3:1 มีชายคนหนึ่งในพวกฟาริสีชื่อนิโคเดมัสเป็นขุนนางของพวกยิว
** นิโคเดมัส ไม่ใช่ขุนนาง ภาษากรีกคือ ฟาริสี (กลุ่มผู้นำศาสนายิวที่เคร่งครัด) Φαρισαῖος, ου, ὁ
** ท่านมาหาพระเยซูในเวลากลางคืน เนื่องจากว่าท่านเป็นคนที่มีชื่อเสียง และเป็นที่เคารพของหลายคน
มีผู้นำ ศบ. ศจ. จากหลายคริสตจักรที่ยอมรับมานาและนำมานาไปแบ่งปันแต่ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน แต่พวกเขาแนะนำให้สมาชิกดูคลิปมานา ซึ่งเราเห็นว่าเป็นลักษณะคล้ายๆกันกับนิโคเดมัส ที่มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนเพื่อไม่เปิดเผยตัวตน
สิ่งสำคัญคือให้เราจดจำอยู่เสมอว่าหนังสือมัทธิวพระเยซูประทานพระบัญญัติใหม่ให้เรา และหนังสือยอห์นพระเยซูประทานพระองค์เองเพื่อช่วยรักษาพระบัญญัติใหม่ดังกล่าวเนื่องจากว่าเราทำไม่ได้ เพราะว่าพระบัญญัติใหม่ยากกว่าอันเดิม
3:2 ชายผู้นี้ได้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนและทูลพระองค์ว่า "รับบีพวกข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้าเพราะไม่มีผู้ใดกระทำการอัศจรรย์ซึ่งท่านได้กระทำนั้นได้นอกจากว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขาด้วย"
** ขณะที่พระเยซูประกาศข่าวประเสริฐผู้คนมากมายเชื่อว่าพระองค์เป็นรับบีหรืออาจารย์ที่พระเจ้าส่งมา
หลายคนยังไม่เข้าใจเรื่องข่าวประเสริฐเกี่ยวกับความรอดการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์และการนำชีวิตของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในมนุษย์ เพื่อมนุษย์และพระเจ้าจะเป็นหนึ่งเดียว รักผูกพันสนิทชิดเชื้อและอยู่ใกล้พระเจ้าได้โดยพระโลหิต
สาเหตุเป้าหมายหลักของพระเยซูที่เสด็จมา ก็คือหนังสือยอห์นเปิดเผยว่า พระองค์มาเพื่อจะนำพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา และเราเข้าไปอยู่ในพระเจ้า คือทั้งสองฝ่ายจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และอันนี้ก็สำเร็จในโรมบทที่ 8:9 บอกว่าเป็นหนึ่งเดียว ก็คือหนึ่งเดียว ไม่มี 1-2 ไม่มีแยก ไม่มีเอามาประกบกันอยู่ใกล้กันไม่ใช่ใกล้กัน แต่เป็นหนึ่งเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากว่าพระโลหิต
พระโลหิตของพระเยซูมีคุณค่ามากมายมหาศาล ที่ช่วยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ เรากลับคืนดีกับพระเจ้า เราเป็นบุตรพระเจ้า เราได้อยู่ใกล้ชิดสนิทชิดเชื้อกับพระเจ้า เรามีความผูกพันที่ดีกับพระเจ้ากลับคืนมาใหม่
3:3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่าถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ ผู้นั้นจะเห็นอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้"
** พระเยซูคริสต์ต่างหาก ที่เสนอทางแห่งความรอดให้นิโคเดมัส
** การบังเกิดใหม่เท่านั้น ที่จะช่วยเขาให้ได้เห็นราชอาณาจักรของพระเจ้า
** การบังเกิดใหม่ คือการรับชีวิตของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในวิญญาณที่ใหม่ของเรา
** การบังเกิดใหม่ คือหลักการแห่งความรอดและได้เห็น / ได้เข้าในราชอาณาจักรซึ่งเป็นโลกฝ่ายวิญญาณที่เนื้อหนังไม่อาจจะเข้าไปในอาณาจักรวิญญาณนี้ได้
** คำว่า บังเกิดใหม่, "ใหม่" ภาษากรีกคือ ἄνωθεν แอนโอเด็น แปลว่า จากสวรรค์ จากเบื้องบน จากพระเจ้า ใหม่อีกครั้ง เริ่มใหม่ และนี้คือจุดเริ่มต้นของชีวิตคริสเตียนที่จะเดินในความเชื่อได้อย่างถูกต้อง ถ้าหากเรามองเห็นและเข้าใจคำนี้
3:4 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า "คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่ได้หรือ"
** นิโคเดมัสสงสัย และแปลกใจเรื่องการเกิดใหม่ เพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องการบังเกิดใหม่นี้เลย
** นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “ผู้หนึ่งผู้ใดจะบังเกิดใหม่ได้อย่างไรเมื่อเขาเป็นคนชราแล้ว ทุกศาสนาในโลกนี้ล้วนแต่ใช้ตา สติปัญญาของอาดัม เรื่องการบังเกิดใหม่เป็นเรื่องการไถ่บาป และเรื่องฝ่ายวิญญาณทั้งหลาย ท่านจึงไม่เข้าใจ
3:5 พระเยซูตรัสตอบว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่าถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดจากน้ำและพระวิญญาณผู้นั้นจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้
** การที่จะได้เห็น (สัมผัส) และได้เข้าไปในราชอาณาจักรของพระเจ้านั้น ต้องเกิดใหม่ในน้ำและในพระวิญญาณเท่านั้น
** พี่น้องคริสเตียนบางกลุ่มไม่เชื่อเรื่องรับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระคัมภีร์ข้อนี้ชี้ชัดว่าเราต้องเกิดใหม่ในน้ำ (บัพติศมาในน้ำ) และเกิดใหม่ในพระวิญญาณ (บัพติศมาในพระวิญญาณ)
3:6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนังและซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็คือจิตวิญญาณ
** ข้อ 5 และ 6 ผู้เชื่อทุกคนต้องบังเกิดใหม่ในน้ำ และในพระวิญญาณ
- การบังเกิดใหม่ในน้ำ เล็งถึงการกลับใจใหม่จากระบบเก่า ศาสนาเก่า ชีวิตเก่า ทุกสิ่งที่เป็นเรื่องเก่า
- ส่วนการบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ชุบชีวิตและดลบันดาลให้วิญญาณได้ฟื้นขึ้นมากลับคืนมาเชื่อมต่อ ติดต่อ ต่อติดคืนดีกับพระเจ้าได้อีกครั้งหนึ่ง นี่คือการบังเกิดใหม่ในน้ำและในพระวิญญาณ
- การบังเกิดจากเนื้อหนัง คือบังเกิดจากพ่อแม่ จากชีวิตอาดัม
- ส่วนการบังเกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นวิญญาณเป็นมนุษย์วิญญาณ เป็นมนุษย์สวรรค์ซึ่งสิ่งนี้เราสามารถสัมผัสได้โดยการเชื่อ
** อาณาจักรของพระเจ้า เริ่มขึ้นเมื่อเราเป็นคริสเตียน การรับบัพติศมาคือบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณ คือการถูกย้ายจากชีวิตเก่าจากอาณาจักรของซาตานมาสู่อาณาจักรของพระคริสต์ ชีวิตผู้เชื่อและคริสตจักรในยุคนี้ คืออาณาจักรสวรรค์และอาณาจักรของพระเจ้า
3:7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านต้องบังเกิดใหม่
3:8 ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้นแต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหนคนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน"
** การบังเกิดใหม่ เราไม่อาจเห็นได้ว่าคืออะไร แต่เป็นการทำงานของพระวิญญาณต่อชีวิตของเรา
** เมื่อเราเชื่อ และรับบัพติศมาในน้ำ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะรับบัพติศมาเราในพระวิญญาณ ซึ่งเรามองไม่เห็น แต่อีกไม่นานต่อมาเราจะสัมผัส หรือเกิดมีอาการหิวกระหายอยากรู้เรื่องพระเจ้า อยากอ่าน อธิษฐาน และไปร่วมนมัสการกับพี่น้องผู้เชื่ออื่นๆ
** "การบังเกิดใหม่" คือ
- ทันทีที่เราเชื่อเข้าใน หรือรับพระเยซูเป็นพระเจ้าและพระคริสต์
1. พระวิญญาณจะเสด็จมาหาเรา
2. พระวิญญาณจะดลบันดาลให้วิญญาณของเรากลายเป็นวิญญาณใหม่ (จากวิญญาณที่มีอยู่แต่ตายแล้ว)
3. พระวิญญาณจะเข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา วิญญาณเราจะกลายเป็นบ้านของพระองค์ และพระวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณเราซึ่งจะแยกจากกันไม่ได้อีกเลย
(เมื่อเราทำบาปพระวิญญาณจะไม่ออกไปจากเราเหมือนผู้เชื่อมากมายเชื่อกัน แต่เราต่างหากที่ออกจากพระวิญญาณ หรือออกจากการสามัคคีธรรมกับพระวิญญาณ)
4. พระวิญญาณยืนอยู่ที่วิญญาณเคาะประตูใจเรา เพื่อเข้าไปครอบครองทีละส่วน และเมื่อครอบครองได้ส่วนไหน ส่วนนั้นก็จะเลิกทำบาปได้
3:9 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า "เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปอย่างไรได้"
3:10 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ท่านเป็นอาจารย์ของชนอิสราเอล และยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ
3:11 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า พวกเราพูดสิ่งที่เรารู้ และเป็นพยานถึงสิ่งที่เราได้เห็น และท่านหาได้รับคำพยานของเราไม่
3:12 ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายโลกและท่านไม่เชื่อถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายสวรรค์ ท่านจะเชื่อได้อย่างไร
** เรื่องการฝ่ายวิญญาณเราจะไม่สามารถใช้สติปัญญา ความรู้ ความเข้าใจของอาดัมเพื่อทำความเข้าใจให้ได้ และเมื่อเรามีความเชื่อ พระเจ้าจะเปิดเผยความจริงเรื่องฝ่ายวิญญาณให้เราได้เข้าใจ
3:13 ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปสู่สวรรค์นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์คือบุตรมนุษย์ผู้ทรงสถิตในสวรรค์นั้น
** "สิ่งฝ่ายโลก" ในที่นี้ ไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นๆ กัน แต่พระเยซูหมายถึงการไถ่บาปและการบังเกิดใหม่ที่พระเยซูนำมาสู่โลกมนุษย์ที่ท่านนิโคเดมัสฟังแล้วไม่เข้าใจนี่เอง
** "สิ่งฝ่ายสวรรค์" ในที่นี้ คือสภาพของพระเจ้าที่เป็นพระเจ้าและมนุษย์ในเวลาเดียวกัน ทรงประทับอยู่ในสวรรค์และลงมาเดินอยู่บนโลกนี้ในเวลาเดียวกันที่ท่านนิโคเดมัสไม่อาจจะรับได้
3:14 โมเสสได้ยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใดบุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น
** งูปลอมที่ทำเพื่อการรักษาอาการป่วยใกล้ตายของชนชาติอิสราเอลฉันใด พระเยซูที่มีร่างกายมนุษย์ที่เหมือนจริงก็จะถูกยกขึ้น (ถูกตรึง) เพื่อรักษาอาการป่วยและตายของคนทั้งโลกฉันนั้น
3:15 เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์
** "แต่มีชีวิตนิรันดร์" ในที่นี้ คือมีชีวิตพระเจ้า หรือชีวิตอมตะ
** ข้อ 15 เป็นคำคำเดียวกันกับข้อที่ 16 แต่ว่าข้อ 16 ภาษาไทยและอังกฤษบางฉบับแปลว่า มีชีวิตอันตลอดไปเป็นนิจ
** Eternal life = divine life = God’s life = everlasting life ความหมายที่แท้จริงคือ มีชีวิตพระเจ้า. ชีวิตที่ตายไม่เป็น. ไม่มีวันวานไม่มีอนาคต แต่ทรงเป็นอยู่สืบๆ ไปเป็นนิจ.
αἰώνιον = aionios = ออย นอย = ชีวิตพระเจ้า / ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า / ชีวิตที่ไม่ตาย / ชีวิตที่เป็นอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์.
** สรุป เมื่อเราเชื่อเราจะได้รับชีวิตพระเจ้าที่จะเข้ามาอยู่ในเราเพื่อเราจะมีชีวิตที่ตายไม่เป็นอีก และชีวิตนี้จะนำเราให้ไม่ทำบาปในแต่ละวัน
** เมื่อเรามีชีวิตพระเจ้า แน่นอนที่สุดเราก็รอดและมีชีวิตตลอดไปเป็นนิตย์ แต่ท่านยอห์นเน้นถึงการได้มีชีวิตพระเจ้าหรือได้รับชีวิตพระเจ้า ท่านไม่ได้เน้นว่าจะรอดในอนาคตดั่งที่ผู้เชื่อมากมายตีความหมาย
3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมาเพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
** คำว่า "เชื่อในพระบุตร" ในที่นี้คือ "เชื่อเข้าใน" หรือเอาชีวิตทั้งชีวิตเข้าในความเชื่อ หรือเข้าในพระเจ้าที่เรารับเชื่อ เพื่อรับพระองค์เป็นพระเจ้า และเปลี่ยนเส้นทางสายเดิมเป็นสายใหม่ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เดิน ไม่ใช่เชื่อว่ามี หรือเชื่อแค่คำพูดเท่านั้น
3:17 เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงใช้พระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อจะพิพากษาโลกแต่เพื่อช่วยโลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น
** การเสด็จมาของพระเยซูครั้งแรกนี้ไม่ใช่เพื่อการพิพากษาโลก (คือส่งมนุษย์ไปยังบึงไฟ) เนื่องจากการบาปของพวกเรา แต่พระองค์เสด็จมาเพื่อชี้ทางแห่งพระคุณ และเป็นทางแห่งพระคุณนั้น และเมื่อมนุษย์ยอมรับทางแห่งพระคุณของพระเจ้าเขาจึงได้รอดโดยทางพระเยซู
3:18 ผู้ที่เชื่อในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษแต่ผู้ที่มิได้เชื่อก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้วเพราะเขามิได้เชื่อในพระนามพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระเจ้า
** ส่วนคนที่ยังไม่ต้อนรับพระเยซู เป็นทางแห่งพระคุณ แน่นอนที่สุดเขาจะถูกพิพากษาในวันสุดท้าย
** "แต่ผู้ที่มิได้เชื่อก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว" คือทุกคนที่ไม่เชื่อก็อยู่ในการพิพากษาอยู่แล้วและกำลังจะไปถึงการพิพากษาเพื่อส่งไปบึงไฟ โลกทุกวันนี้ที่เป็นอยู่ ได้รับการพิพากษาแต่ยังไม่ถึงขั้นเด็ดขาด
3:19 หลักของการพิพากษามีอย่างนี้คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่างเพราะกิจการของเขาชั่ว
** เมื่อความจริงของพระเจ้าเข้ามาในโลกทางพระเยซู มนุษย์รักความมืด (ความไม่จริง) เพราะว่าเขารักและคุ้นเคยกับชีวิตที่อยู่ในความไม่จริงของโลก
** ความไม่จริง / ความมืด หรือเรียกอีกว่าความจริงของอาดัม
** ความจริงของพระเจ้า คือความสว่าง หรือสิ่งที่พระเจ้าเรียกว่าจริงผ่านทางพระเยซูกระทำ
ตัวอย่างของความจริง (ความสว่าง) ของพระเจ้า แต่กลับเป็นความไม่จริงของมนุษย์ คือพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ ทรงรวบรวมเราทุกคนไปตายกับพระองค์ พระเจ้าทรงยอมรับการตายแทนและการตายกับพระเยซูของพวกเรา คนที่ได้ยินก็ไม่เชื่อเพราะเขาเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่และรับความจริงในพระคัมภีร์ไม่ได้ นี่คือการรักความมืด
** มนุษย์ทุกคนเกิดมาในโลกนี้อยู่ในความมืด และไม่รู้จักไม่เข้าใจความสว่างคืออะไร ความสว่าง คือความจริงของพระเจ้า คือสภาพอมตะของพระเจ้า คือสภาพที่ไม่มีเปื่อยเน่าเสื่อมสลายเสื่อมโทรมเสื่อมทรามและตาย เนื่องจากว่ามนุษย์ไม่เข้าใจความสว่างนี้พวกเขาจึงรักที่จะอยู่ในความมืดต่อไป เขายังถูกสอนด้วยคำสอนของศาสนาว่าต้องทำดีปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ข้อบังคับในศาสนาของเขาจึงจะได้ขึ้นสวรรค์ เขาจึงต้องรับทางแห่งพระคุณไม่ได้
3:20 เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาถึงความสว่างด้วยกลัวว่าการกระทำของตนจะถูกตำหนิ
** เมื่อคนที่มาไม่ถึงความจริงของพระเจ้า ยังดำเนินอยู่ในเนื้อหนัง ถึงแม้จะเชื่อพระเจ้ามีผลงานมากมาย แต่การกระทำของเขาล้วนแต่ทำด้วยจิตใจที่แอบแฝงสิ่งที่ต้องการ ซึ่งเราพบว่า ผู้รับใช้มากมายทำเพื่อ
1. ตำแหน่งชื่อเสียง
2. ค่าจ้างรางวัล
3. กลัวถูกพระเจ้าลงโทษ
4. กลัวไม่รอด และการกระทำด้วยรักจริงใจเสียสละที่แท้จริงมีแต่ก็น้อยนิด
** มีคริสเตียนมากมายเมื่อได้พบพระเจ้า ได้เรียนรู้พระคัมภีร์ บางครั้งก็แอบคิดว่าถ้าไม่มีพระเจ้าก็คงจะดี เพื่อเราจะใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องการทำบาป พระเจ้าทรงทราบจิตใจของมนุษย์ว่ารักดีแต่ชอบทำบาปทำชั่ว และไม่ชอบให้ใครมาตัดสินหรือตำหนิเรา
3:21 แต่ผู้ที่ประพฤติตามความจริงก็มาสู่ความสว่างเพื่อจะให้การกระทำของตนปรากฏว่า ได้กระทำการนั้นโดยพึ่งพระเจ้า"
** ผู้ที่รู้จักความจริง (ในพระคริสต์) ก็ดำเนินในฝ่ายวิญญาณ และรู้ว่า…
1. เขาตายแล้ว
2. เขาเป็นขึ้นจากตายกับพระคริสต์และเป็นคนใหม่แล้ว
3. เขาทำทุกสิ่งโดยพึ่งพระคริสต์และไม่ใช่เขาอีกต่อไป
4. เขาไม่อวดตัวหรือยกตัวเองขึ้น แต่ถ่อมใจลงและถวายพระเกียรติทั้งหมดแด่พระเจ้า
** เมื่อผู้เชื่อได้เรียนรู้ว่าพระเยซูเสด็จมาเป็นทางแห่งพระคุณ ทรงประทานชีวิตอย่างครบบริบูรณ์ให้เราในเราแล้วเป็นความหวังแห่งสง่าราศี เราจึงไม่กลัวเนื่องจากว่าชีวิตของเราเริ่มเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลง และสุกงอมในที่สุด
3:22 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้พระเยซูก็เสด็จเข้าไปในแคว้นยูเดียกับสาวกของพระองค์ และทรงประทับที่นั่นกับเขา และให้บัพติศมา
3:23 ยอห์นก็ให้บัพติศมาอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิมเหมือนกัน เพราะที่นั่นมีน้ำมาก และผู้คนก็พากันมารับบัพติศมา
3:24 เพราะยอห์นยังไม่ติดคุก
3:25 เกิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างสาวกของยอห์นกับพวกยิวเรื่องการชำระ
3:26 สาวกของยอห์นจึงไปหายอห์นและพูดว่า "รับบี ท่านที่อยู่กับอาจารย์ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ผู้ที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น ดูเถิด ท่านผู้นั้นให้บัพติศมาและคนทั้งปวงก็พากันไปหาท่าน"
3:27 ยอห์นตอบว่า "มนุษย์จะรับสิ่งใดไม่ได้ นอกจากที่ทรงประทานจากสวรรค์ให้เขา
3:28 ท่านทั้งหลายเองก็ได้เป็นพยานของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าได้พูดว่า ข้าพเจ้ามิใช่พระคริสต์ แต่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์
3:29 ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว แต่สหายของเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าว ก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว ฉะนั้นความปีติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยมแล้ว
** สรุปข้อที่ 22-29
1. คนมากมายที่รับบัพติศมากับยอห์นก็ติดตามเป็นศิษย์ของยอห์น และบางคนไม่ติดตามพระเยซูเมื่อยอห์นถูกฆ่าตาย
2. คนที่ติดตามพระเยซูก็รับบัพติศมากับสาวกของพระเยซู (พระเยซูไม่รับให้ในน้ำ แต่รับให้ในพระวิญญาณ (รอด) และในไฟ (ไม่รอด) เท่านั้น ผู้ที่รับในน้ำให้เราทุกวันนี้คือผู้เชื่อผู้รับใช้ที่ประกาศหรือเลี้ยงดูเรา
3:30 พระองค์ต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง"
** นี่คือสิ่งที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลาย พระเยซูจึงทรงยิ่งใหญ่ไม่ได้เพราะเราไม่ยอมด้อยลง ต่างคนต่างแสวงหาเกียรติชื่อเสียงความเป็นใหญ่ ไม่มีใครถ่อม ยอมเป็นผู้เล็กน้อยเหมือนเด็กๆที่ไม่สนใจเรื่องตำแหน่งอำนาจใดๆ
** ยอห์นยอมรับเพราะท่าน คือผู้ชี้ทางให้คนทั้งหลายมาถึงพระคริสต์เท่านั้น ท่านต้องเล็กน้อยลงไปหรือหมดไป (decrease) และพระองค์ต้องยิ่งใหญ่มากขึ้นหรือขยายใหญ่ขึ้น (increase) คือคนที่ติดตามยอห์นจะค่อยๆ หายไปหมดและคนที่ติดตามและกลายเป็นพระกายของพระเยซูจะมีมากมายเต็มโลก
3:31 พระองค์ผู้เสด็จมาจากเบื้องบนทรงเป็นใหญ่เหนือสิ่งสารพัด ผู้ที่มาจากโลกก็เป็นฝ่ายโลกและกล่าวตามอย่างโลก พระองค์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ทรงเป็นใหญ่เหนือสิ่งสารพัด
3:32 และสิ่งใดที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นและได้ยิน พระองค์ก็ทรงเป็นพยานถึงสิ่งนั้น และไม่มีผู้ใดยอมรับคำพยานของพระองค์
** ไม่มีผู้ใดยอมรับคำพยานของพระองค์ คือพระองค์มาจากสวรรค์ ผู้ที่จะรอดคือผู้ที่ถูกเปิดให้ได้เห็นพระคริสต์พระผู้ไถ่ และผู้ที่จะได้เข้าไปในอาณาจักร คือผู้ที่ได้ถูกเปิดให้เห็นว่าพระคริสต์ คือชีวิตที่อยู่ในเรา
3:33 ผู้ที่ได้ยอมรับคำพยานของพระองค์ก็ประทับตราของตนเองลงแล้วว่า พระเจ้าทรงสัตย์จริง
3:34 เพราะพระองค์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงส่งมาแล้วนั้น ทรงกล่าวพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้า เพราะพระเจ้าไม่ประทานพระวิญญาณอย่างจำกัดแก่พระองค์
** ถ้อยคำ ในที่นี้ คือ เรมาร์ Rhema คือชีวิตและเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงไม่ใช่เพียงคำพูดเท่านั้น มันเกิดมีขึ้นเมื่อพระเยซูตรัสและกลายเป็นชีวิต และเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงที่เข้ามาถึงเราในเรา ขณะที่พระองค์เป็นพระวาทะ (ถ้อยคำ Logos) คือถ้อยคำที่เป็นอยู่ตลอดกาล
** พระองค์ทรงประทานพระวิญญาณอย่างไม่จำกัด คือพระคริสต์เมื่อฟื้นขึ้นจากตาย พระองค์ได้รับเกียรติจากพระบิดาได้รับสิทธิ์อำนาจที่จะประทานวิญญาณของพระองค์อย่างไม่จำกัดแก่ผู้เชื่อทุกคน
3:35 พระบิดาทรงรักพระบุตรและทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
** พระบุตรมีสิทธิอำนาจเท่าเทียมกับพระบิดา เราสามารถร้องออกพระนามของพระบุตร (พระคริสต์เยซู) เพื่อรับชีวิต และเพื่ออธิษฐานกราบทูลต่อพระองค์ได้ ก็เท่ากับเราได้ อธิษฐาน ถึงพระบิดาเหมือนกัน แต่ผู้เชื่อมากมายเข้าใจผิดคิดว่าต้องอธิษฐาน ถึงพระบิดาเท่านั้น แท้ที่จริง พระบุตร และพระวิญญาณก็รับคำอธิษฐาน และทรงเท่าเทียมกันทั้งสามพระภาค
บุตรมนุษย์ (พระเยซู) คือผู้รับสิทธิอำนาจทั้งหมดเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสามพระภาคผ่านทางพระองค์
** พระบิดาทรงรักพระบุตร และได้ทรงมอบสิ่งสารพัดไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว พระเยซูจึงเป็นตัวแทนของพระเจ้าสามพระภาค เราเอ่ยถึงพระเยซู เราบอกรักพระเยซู เราขอพระเยซู เราทำทุกสิ่ง ให้บัพติศมาในนามพระเยซู ได้หมด เนื่องจากว่าพระบิดาทรงมอบสิ่งสารพัดไว้ในพระหัตถ์ของพระเยซูแล้ว (มธ 28:18)
** พระนาม ชื่อ เยซู คืออีชูอะ คือเยโฮวาห์ นั่นเอง คือคำที่ใช้เรียกชายที่ถูกเจิม และมาบังเกิดของพระเจ้า พระนามนี้จึงมีอำนาจยิ่งใหญ่ มีชีวิต มีพลัง และสันติสุขซ่อนอยู่ในพระนามนี้ เมื่อเราร้องเรียกพระนามเยซู ขอให้เราเชื่อว่าจะได้รับทุกสิ่งในพระคริสต์ เพื่อเปลี่ยนจากทุกข์เป็นสุขได้ เปลี่ยนจากอ่อนแอกลายเป็นเข้มแข็งได้
3:36 ผู้ที่เชื่อในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ และผู้ที่ไม่เชื่อในพระบุตรก็จะไม่เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่บนเขา
** ผู้ที่เชื่อในพระบุตรก็มีชีวิต Zoe นิรันดร์ eternal คือได้รับชีวิตพระเจ้าที่เป็นอมตะหรือยืนยาวชั่วนิรันดร์ และผู้ที่ไม่เชื่อพระบุตรก็จะไม่เห็นชีวิต zoe คือจะไม่ได้รับชีวิตพระเจ้า
แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่บนเขา คือเขาจะไม่พ้นไปจากการพิพากษาสู่บึงไฟ ทั้งๆ ที่พระเจ้าให้โอกาสได้รับชีวิตพระองค์แต่เขาไม่เอา
** เมื่ออ่านพระคัมภีร์เดิมเท่านั้น เราจะเห็นว่าพระเจ้าน่ากลัว แต่พระคัมภีร์เดิมเป็นครึ่งแรกเท่านั้น เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงสำแดงตัวตนจริงที่ครบถ้วนของพระองค์ผ่านทางพระเยซูในพระคัมภีร์ใหม่ จึงพบว่าพระองค์แท้ที่จริงน่ารักมาก
สรุปหนังสือยอห์น บทที่ 3:22-36
1. เมื่อพระเยซูและสาวกออกเดินทางไปประกาศ มีผู้คนมากมายมารับบัพติศมากับพระเยซู แต่พระองค์ให้สาวกเป็นคนรับให้ทุกครั้ง (ยอห์น 4:2)
2. สมัยก่อนชาวยิวจะทำพิธีชำระ คือให้คนต่างชาติที่เข้ามานับถือศาสนายิว และทิ้งศาสนาเดิมของพวกเขาด้วยการจุ่มลงไปในน้ำ แต่ท่านยอห์นนำการจุ่มลงไปในน้ำ หรือบัพติศมาดังกล่าวมาใช้เพื่อให้ชาวยิวกลับใจใหม่จากระบบศาสนาจากพันธสัญญาเดิมและจากพระบัญญัติเดิม เข้าสู่ระบบชีวิตพันธสัญญาใหม่และพระบัญญัติใหม่
3. เนื่องจากว่ามนุษย์ ถูกปิดตา จึงหาทางออกของชีวิต สวรรค์นรก และพระเจ้า ไม่เจอ นอกเสียจากว่า พระเจ้า เปิดเผยให้ผู้ใด ได้พบได้เห็น จึงจะเห็นได้
4. ผู้เชื่อมากมายไม่เข้าใจ ข้อที่ 35 คำว่า พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระบุตร หมายความว่าอย่างไร คือทุกวันนี้พระบุตรได้รับสิทธิอำนาจ เกียรติและสง่าราศี อย่างครบบริบูรณ์ พระบุตร คือพระเยซู พระองค์เป็นตัวแทนของพระเจ้าทั้งสามพระภาค เราสามารถบอกรักพระเจ้าทั้ง 3 ผ่านพระเยซู เราสามารถทำทุกสิ่ง ผ่านพระเยซู หรือในนามของพระเยซู เมื่อเราเอ่ยปากถึงพระเยซู พระเจ้าทั้งสามก็รับทราบและพอพระทัย เมื่อเราบอกรักพระเยซู พระเจ้าทั้งสามก็ได้รับรักจากเรา สรุปก็คือ ในพระนามพระเยซู ก็คือในพระนามพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเอง เมื่อเราเอ่ยพระนามพระเยซูทั้งวันและทุกครั้งพระเจ้าทั้งสามภาคจะไม่น้อยใจอย่างที่เราคิด