ขอบคุณพระเจ้าสำหรับหนังสือยอห์น ขอบคุณพระเยซูที่สอนพวกเราเปิดเผยความจริงความเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ตั้งแต่บทที่ 1 จนถึงบทที่ 13 เป็นเรื่องที่เราจะต้องเข้ามาหาพระเจ้า เข้าใกล้พระเจ้า และเข้ามาอยู่ในพระเจ้า คือการรับเชื่อการบังเกิดใหม่การรับพระวิญญาณ การเข้ามามีบทบาท มีชีวิตที่เรียกว่าเป็นสาวกของพระเยซู
ส่วนยอห์นบทที่ 14 ก็คือพระเจ้าเข้ามาหาเรา พระเจ้าเริ่มเข้ามาสู่เรา เข้ามาอยู่ในเรา เข้ามาหาเรา เมื่อเราเข้ามาหาพระเจ้า
แต่บทที่ 15 เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เมื่อคนหนึ่งมาหาคนหนึ่ง แล้วอีกคนหนึ่งก็หันหน้าเข้ามาหาอีกคนหนึ่ง สองคนเข้ามาอยู่ด้วยกันแล้ว สิ่งต่อมาที่ควรจะทำก็คือ สนิท สร้างความผูกพัน สร้างความสัมพันธ์ที่ดี
จุดอ่อนของคริสเตียนตั้งแต่ประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้ ก็คือมาหากันแล้วนะครับ แต่ฝ่ายคริสเตียนคิดว่าพระเจ้าไม่มาหาเขา และคิดว่ามาเยี่ยมบางครั้ง มาเยี่ยมคริสตจักร มาเยี่ยมบ้าน บางคนก็อธิษฐานขอมาเยี่ยมบ้านข้าพระองค์ ขอมาเยี่ยมคริสตจักรพวกเรา ขออัญเชิญ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดเป็นการเชื่อผิดทำให้พระเจ้าไม่ทำงาน
ถามว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่นไหม ถึงแม้ว่าเขาจะเชิญหรือไม่เชิญนะครับพระเจ้าก็อยู่ที่นั่นแล้ว เพราะว่าเป็นคริสตจักรของพระองค์ไม่ต้องเชิญหรอก แล้วบ้านนะครับไม่ต้องเชิญพระองค์เข้ามาบ้าน บ้านก็เป็นของพระองค์ทรัพย์สินของพระองค์เพราะว่าพระองค์ทรงซื้อเราแล้ว ส่วนร่างกายชีวิตวิญญาณเราพระเจ้าก็ซื้อแล้ว พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าพระเจ้าทรงซื้อเราด้วยราคาโดยพระโลหิตเป็นเครื่องจ่ายหนี้ให้
เพราะฉะนั้นพระเจ้าก็อยู่ในเราและเราก็อยู่ในพระเจ้า ตอนนี้นะครับพร้อมแล้ว ก็คือยอห์นบทที่ 1 จนถึงบทที่ 14 เรามาอยู่กับพระเจ้า พระเจ้ามาอยู่กับเรา
แต่บทที่ 15 เป็นบทที่สำคัญมากที่สุด ซึ่งพระเยซูตรัสหลายครั้ง จงสนิท จงสนิท จงสนิท และบอกด้วยว่าผลที่ได้รับจากการสนิทคืออะไร คือการเกิดผลมาก คือการที่เราสามารถดำเนินชีวิตสำแดงพระบิดา ชีวิตและนิสัยของพระคริสต์ ของพระเจ้าปรากฏออกมาผ่านเราได้ ซึ่งไม่ต้องพยายามคือมันเป็นธรรมชาติ คำว่าธรรมชาติ ก็คือเกิดเองเป็นเองทำเองได้ เราจะห้ามยังไงก็ห้ามไม่ได้ จะเกิดก็ต้องเกิดเรียกว่าธรรมชาติ
เพราะฉะนั้นเป็นธรรมชาติของพระเจ้าจะเกิดกับเราแน่นอน หน้าที่ของเราอย่างเดียวนะครับ ไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องทำทำทำ ไม่ต้องฝึก ไม่ต้องฝืน ขอเพียงแต่เราสนิทบอกรักเท่านี้ แล้วที่เหลือเป็นหน้าที่ของพระเจ้าที่จะเป็นคนกระทำ
และในบทที่ 15 ข้อที่ 18 จนถึงข้อที่ 27 มีสองเรื่องที่ผมอยากจะสรุป
เรื่องแรก ก็คือ แต่ข้อที่ 22 และข้อที่ 24 เป็นเรื่องเดียวกัน ก็คือ "ถ้า ณ ท่ามกลางพวกเขา เรามิได้กระทำสิ่งซึ่งไม่มีผู้อื่นได้กระทำเลย พวกเขาก็จะไม่มีบาป" คืออะไร "แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ได้เห็นและเกลียดชังทั้งตัวเราและพระบิดาของเรา"
ขอให้เราเข้าใจนะครับว่ามนุษย์โลกล้วนเป็นคนบาปและมีความบาปอย่างมากมาย ซึ่งผลที่ได้รับก็คือความตายและการพิพากษา แต่พวกเขาไม่รู้ มนุษย์โลกไม่รู้เรื่องการพิพากษา ไม่รู้เรื่องพระเจ้าอย่างชัดเจน เมื่อเขาไม่รู้เขาก็ไม่ได้เชื่อ เนื่องจากว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ และไม่ได้ยินข่าวประเสริฐ
การได้กลายเป็นคนชอบธรรม ทำได้โดยทางความเชื่อ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเข้าใจแม้แต่ชาวยิวเองที่นับถือศาสนายิวก็ไม่รู้ ซึ่งนี่คือพันธสัญญาใหม่ พระเยซูนำข่าวประเสริฐ ซึ่งจะเปิดพันธสัญญาใหม่ให้กับชาวยิวและคนต่างชาติทั่วโลก ยิวจึงรักษาพระบัญญัติและคิดว่าพวกเขาก็ทำดีอยู่รอดแล้วแน่นอนไม่มีปัญหาไม่มีบาป แต่สำหรับพระเจ้าอีกครั้งนะครับ
เมื่อมาถึงยุคพระคุณ และการได้กลายเป็นคนชอบธรรม ก็คือต้องเชื่อและวางใจในพระบุตรเท่านั้น ซึ่งพระบุตรนี้ลงมาตายเพื่อไถ่โลก ใครรับพันธสัญญาใหม่รับพระบุตร รับการไถ่ของพระบุตร ก็คือได้รอด ก็คือเป็นสิ่งที่ทำให้เขาได้กลายเป็นคนชอบธรรมไม่มีบาป
เพราะฉะนั้นในข้อที่ 24 พระเยซูยืนยันว่าเขาไม่รู้ เขาไม่รู้ ยิวก็ไม่รู้ ว่าเขาต้องเข้าสู่พันธสัญญาใหม่ต้องมีพระเยซู ต้องผ่านพระเยซูเท่านั้นที่จะรอดได้ ซึ่งเขาไม่รู้นะครับ เขาก็ไม่มีบาป และชาวโลกต่างชาติเขาก็นับถือศาสนาเขาอย่างเคร่งครัด บางคนก็นับถือบ้างไม่นับถือบ้าง แต่เขาก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องของข่าวประเสริฐ ไม่รู้เรื่องพันธสัญญาใหม่
ปัญหานะครับในข้อที่ 22 และข้อที่ 24 พูดถึงเรื่องปัญหาของโลกชาวโลกและชาวยิวที่ไม่รู้เรื่องพันธสัญญาใหม่ เพราะฉะนั้นไปโทษเขาไม่ได้ จึงเรียกว่าเขายังไม่มีบาป แต่ที่จริงเขาเป็นคนบาปและมีบาปอย่างมากมาย ผลที่ได้รับก็คือความตายและการพิพากษา เราจำตรงนี้นะครับ แต่เนื่องจากว่าเขาไม่รู้ เขาไม่รู้ ฉะนั้นการเกลียดชังเกิดขึ้นเมื่อมีข่าวประเสริฐมาถึงเขา เขาได้รู้ เขาก็เริ่มเกลียดชัง
ชาวยิวเริ่มได้ฟังได้ยินข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ พระองค์มาประกาศตนว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขารู้ เขาเริ่มรู้ เขาเริ่มเข้าใจ และเขาไม่ต้อนรับนะครับ ความบาปจึงปรากฏชัดเจนมากต่อหน้าทุกคนที่ไม่ต้อนรับพระเยซู เราเข้าใจกันนะครับ
แต่ก่อนเขาไม่รู้ ไม่โทษเขา แต่เดี๋ยวนี้เขารู้แล้ว แม้แต่ชาวโลกคนที่ไม่เชื่อต่างชาตินะครับ เหมือนพวกเราที่มีศาสนาอื่นมาก่อน และเราปฏิเสธพระเยซูตอนนั้นนะครับความบาปจะเริ่มปรากฏ แต่ก่อนหน้านั้นก็ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐก็เรียกว่าเขาไม่มีบาปถือว่าเขาไม่มีบาป แต่จริงๆ แล้วเขามี แต่สำหรับพระเจ้า พระเจ้าถือว่าไม่มี เมื่อข่าวประเสริฐมาถึงและไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ นั่นคือการเริ่มต้นของบาปที่ปรากฏกับเขาอย่างชัดเจนสำหรับพระเจ้า สำหรับพระเจ้าเรียกว่าบาปเต็ม คือเต็มร้อยแล้ว ชัดเจนนะครับ
เรื่องที่สองสรุป ก็คือชาวโลกจะเกลียดชังคริสเตียน ขอให้เราเข้าใจนะครับ
การเกลียดชังคริสเตียนมีสองแบบ สองลักษณะ
ซึ่งมีคริสเตียนมากมายยังไม่เข้าใจ การเกลียดชังของโลกที่มีต่อเรา ที่เราทำผิดพลาด ก็คือแสดงอาการ โดยใช้คำพูดในลักษณะที่ไม่สมควร ทำให้ชาวโลก หรือเพื่อน หรือญาติมิตรมองเห็นว่าเราถือตัว สูงกว่า ดีกว่าเขา เราจะเห็นเต็มนะครับคริสเตียนทำแบบนี้เยอะมาก
คือไปไหนมาไหนก็บอกว่าฉันเป็นคริสเตียน ฉันกินไม่ได้เป็นคริสเตียน ของไหว้บูชาถวายผี คือทำตัวเหมือนลักษณะที่เป็นคนที่หยิ่งหรือยกระดับตนเองสูงกว่าญาติ เพื่อน มิตรสหาย คนที่รู้จัก ทำให้เขาหมั่นไส้ พูดคำนี้เลยนะครับภาษาบ้านๆ เราก็คือเขาหมั่นไส้เรา คือแสดงลักษณะมารยาทคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสม และยกตัวเหมือนคนที่หยิ่ง เหมือนคนที่มีพระเจ้าแล้วหยิ่ง และเก่งกว่า ดีกว่า ชอบธรรมกว่าเขาเป็นคนดี ซึ่งมันก็ใช่ แต่เราไม่สมควรที่จะแสดงลักษณะอาการคุณสมบัติแบบนี้ออกมา
เราถ่อม เราต่ำ เรารัก เรายอมเสียเปรียบ เราไม่พูดอะไรมากนะครับ เราบอกว่า
ขอโทษด้วยนะครับ ร่วมด้วยไม่ได้มีเหตุผล ขอโทษครับ ขอโทษค่ะ อันนี้กินไม่ได้ขอโทษค่ะ
คือในลักษณะที่ถ่อมใจและรักเขา ไม่ใช่ว่าเมินหน้าหนี ไม่ใช่ว่าเดินหนี ไม่ใช่ว่าแบบคือทำตัวเหมือน คือไม่เหมาะสมพูดง่ายๆ เราเข้าใจกันดี ซึ่งอันนี้มันเป็นการแสดงตัวเหมือนเป็นนักบุญที่ทำให้ชาวบ้านชาวช่อง ครอบครัวเรา เพื่อนมิตรสหายเรา เขาหมั่นไส้เราและเขาก็ไม่ชอบเรา
สำหรับเราที่เป็นคริสเตียน บางคนบอกว่าต้องออกห่างเขา หรือบางคนบอกว่าไม่ต้องออกห่าง คือทำได้ทั้งสองแบบนะครับ ยอห์นบอกว่าเราไม่ได้หนีออกไปจากโลก เพราะฉะนั้นเรายังอยู่กับโลก เรายังอยู่กับเขา เราไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปใกล้เกินไป เนื่องจากว่าเราจะพ่ายแพ้ต่อกการทดลอง
ซึ่งอย่างที่พี่น้องบางคนพูดคือเราอยู่ใกล้เกินไป คือคำพูดของเขามารยาทของเขานิสัยของเขาการอิจฉาการซุบซิบนินทา การเกลียดชังการหักหลังทุกอย่างมันมีหมด แล้วก็การใช้ชีวิตที่มึนเมาเกี่ยวกับเรื่องความบาป กิเลสตัณหาโลภโกรธหลงมีเต็ม เพราะฉะนั้นเราใกล้เขาได้ในระยะหนึ่ง แต่ไม่ใกล้ชิดจนเกินไป จนถึงนั่งพูดคุยทั้งวัน แล้วเดี๋ยวเขาก็ชวนไปเล่นไปทำไปกินไปดื่มกับเขา สุดท้ายก็แพ้ต่อการทดลอง
เราอยู่ด้วยเราคุยด้วยเราอยู่ใกล้เขาเพื่อสำแดงชีวิตของพระคริสต์ เรารักษาการสนิทในพระคริสต์ เพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเตือนเราตลอดเวลาว่า ระวังนะล้ำเขตไปแล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้นนะครับ เพื่ออาศัยช่วงเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เรามีโอกาสได้ประกาศข่าวประเสริฐ และสำแดงชีวิตนิสัยของพระเยซูให้เขาได้เห็น และเขาจะเลื่อมใสศรัทธา และต้อนรับพระเยซู เขามีโอกาสที่จะทำแบบนี้ได้
และการหนีไปจากเขาก็ไม่ต้องหนีไปไหนนะครับ ยอห์นพูดชัดเจนโดยพระวิญญาณ คือเราไม่ได้ออกไปจากโลกเลยนะ เรายังอยู่ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าคริสเตียนมากมายโดยเฉพาะอยู่ที่อเมริกา เขาไปสร้างบ้านสร้างเมืองใหม่ และรับแต่เฉพาะคริสเตียนเท่านั้น และเฉพาะกลุ่มของเขาเองที่ประกาศข่าวประเสริฐกับใครแล้วเรียกมาชวนมา แล้วบอกว่าเนี่ยนะเป็นหมู่บ้านที่เราควรจะอยู่ไม่ต้องออกไปไหน ไม่ต้องไปหาคริสตจักรอื่น ไม่ต้องไปหาชาวโลก อยู่เฉพาะพวกเราปลูกผักกินเลี้ยงสัตว์เป็นอาหาร
จริงๆ แล้วอันนั้นก็ผิดนะครับ แล้วถ้าเราทำแบบนั้นเราจะมีโอกาสไปสำแดงชีวิตพระคริสต์กับชาวโลกได้หรอ อันนั้นเป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นสรุปง่ายๆ ก็คือเราควรจะอยู่กับพี่น้อง อยู่กับญาติ อยู่กับครอบครัว อยู่กับเพื่อนมิตรสหาย ทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ ไม่ว่าจะศาสนาไหนก็ตาม เราก็ยังอยู่กับเขาเพื่อสำแดงความรัก ซึ่งทำให้เรายกโทษ 70×7 ได้ ให้โลกได้เห็นว่ามนุษย์เกลียดกัน แต่เราเป็นคริสเตียนเรารักนะครับ เราไม่จดจำความผิด ขณะที่โลกจำความผิด เราต่ำถ่อม ขณะที่โลกหยิ่งผยองพองตัว เราถ่อม ขณะที่โลกไม่ถ่อม เรายอมเสียเปรียบ ขณะที่โลกแสวงหาการได้เอารัดเอาเปรียบกันและกัน
เพราะฉะนั้นเราอยู่ในที่ ที่เราอยู่ต่อไปและเราทำตามขนาดของความเชื่อ ถ้าเราอยู่กับเขาได้เรามีโอกาสสำแดงชีวิตพระคริสต์ ใกล้เขาไปเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าเราคิดว่าจะไม่แพ้ต่อการทดลอง (ตัวอย่างการทดลอง คืออยู่ดีๆ นะครับ สนิทกับเขาบ่อยๆ เขาชวนไปเล่นไพ่ เราก็อ๋อ..วันนี้ไม่เล่นๆ ค่ะขอโทษเป็นคริสเตียนเล่นไม่ได้ไม่อยากเล่น วันพรุ่งนี้ก็ไม่เล่นๆ ค่ะ มะรืนนี้ก็ไม่เล่น พอเห็นเงินตาโตนะครับ สุดท้ายก็จบเลย)
เนี่ยเราทำทุกสิ่งตามขนาดของความเชื่อ เราไม่หนีไปจากโลกและเราไม่ใกล้โลกเกินไป คือสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระบิดาครับ
บทที่ 15 เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด ซึ่งพระคัมภีร์จะขาดหนังสือยอห์นเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะหนังสือยอห์นถ้าไม่มีบทที่ 15 ก็คือไม่ครบถ้วนไม่สมบูรณ์แบบไม่สมบูรณ์ ยอห์นบทที่ 15 คือเรื่องหัวใจของพระเจ้า คือน้ำพระทัยของพระเจ้า พระองค์ต้องการให้เราสนิทในพระองค์ พระองค์ต้องการให้เรารักพระองค์ พระองค์ต้องการให้เราพูดคุยกับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ
1 เธสะโลนิกา 5:17 บอกว่าจงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงพูดคุยกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอคืออะไร พูดภาษาบ้านๆ ภาษาชาวบ้านนะครับ ก็คือจงคุยกัน จงคุยกับพระเยซูอย่างสม่ำเสมอ สม่ำเสมอคืออะไร ก็คือคุยตลอดเวลา มีอะไรก็คุย คุยไปเลยพระเจ้าไม่เคยเบื่อพระเจ้าไม่เคยรำคาญ พระเจ้าต้องการให้เราพูดคุยกับพระองค์ ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
อย่าลืมนะครับชีวิตคริสเตียน วิญญาณของเราจิตใจของเราต้องการการเต็มล้น ต้องการการหลั่งไหลเข้ามาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ของน้ำมัน ของฤทธิ์เดชของพระเจ้า ของชีวิตของพระเจ้า ของสันติสุขของพระเจ้า แม่น้ำแห่งชีวิต ทุกสิ่ง ต้องการหลั่งไหลเข้ามาอยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นการเชื่อมต่อก็ต้องมี เมื่อมีการเชื่อมต่อ ก็มีการพูดคุยสนทนา มีการผูกพันสัมพันธ์ มีใครบ้างที่โทรศัพท์โทรไปหาใคร
สมมุติว่ามีบางคนพี่น้องในที่นี้พี่น้องผู้หญิงนะครับ แล้วโทรไปหาพี่น้องอีกคนหนึ่ง แล้วบอกว่าสวัสดีค่ะ พี่น้องคนนั้นก็สวัสดีค่ะ ตอบกลับมา แล้วหลังจากนั้นก็ไม่พูด ไม่คุยอะไรก็ปล่อยให้สายว่าง ปล่อยไว้เลย เป็นชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมง ไม่คุยอะไร เป็นไปได้ไหม
คือถ้าเราโทรหาใคร เราก็ต้องพูดใหญ่เลยใช่ไหม ต้องคุยๆๆ ต้องพูดๆๆ และนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อต่อสายแล้วเมื่อโทรแล้วก็ต้องคุยพระเจ้าไม่เคยปิดกั้น
ที่พระวิหารที่เยรูซาเล็มนะครับ พระเจ้าให้โอกาสบางครั้ง บางคราว บางเวลาที่มาหาพระเจ้า แล้วกลับบ้าน คิดถึงพระเจ้าเมื่อไหร่ก็มาที่พระวิหารเพื่อถวายเครื่องบูชาไถ่บาปหรือถวายเครื่องบรรณาการของขวัญให้พระเจ้า เเล้วพูดคุยกับพระเจ้าอธิษฐานตอนนั้น บางคนร้องเพลงได้ก็ร้องเพลงถวาย
แต่สำหรับตอนนี้ยุคนี้ พระเจ้าฉีกผ้าม่านที่พระวิหารแล้ว แล้วพระเจ้าเข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา พระเจ้ามาใกล้เราเพื่ออะไร เพื่อต้องการการสนิทของเรากับของพระเจ้าให้สนิทชิดเชื้อให้สนิทแน่น ให้เป็นหนึ่งเดียวออกจากกันไม่ได้ ให้รักกันเป็นคู่รักกันที่หวานซึ้ง เอเมนไหมครับ
ถาม.
เอเมนค่ะ ถ้าเราพูดคุยแบบคล้ายๆ เด็กไร้เดียงสา คือพูดคุยกับพระเยซูเหมือนเด็กเล่นขายของ คือพระเยซูเขาฟังกับสิ่งที่เราพูดไร้สาระไหมค่ะ เอเมนค่ะ
ตอบ.
สำหรับพระเจ้านะครับไม่เหมือนมนุษย์ และสำหรับพระเจ้านะครับไม่เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ที่ทำต่อลูก พ่อแม่บางคนอาจจะรำคาญใช่มั้ย ลูกดื้อ ลูกพูดมาก ลูกทำอะไรที่ไม่เป็นสาระ
แต่สำหรับพระเจ้าทุกครั้งที่เราเปิดปาก เราเอ่ยถึงพระเจ้าถึงพระเยซู แน่นอนที่สุดครับทุกคำที่เราพูดออกมา พระเจ้าฟังหมด เราอาจจะคิดว่าพระเจ้าฟังหรือไม่ฟังหนอ พระเจ้าจะถือสาเราไหมหนอ
พระเจ้าเข้าใจเราดีพระเจ้ารู้ว่าเราเป็นเด็กขนาดไหน ว่าเราเป็นผู้ใหญ่ระดับไหน เป็นหนุ่มระดับไหน พระเจ้ารู้พระเจ้าเข้าใจ เราจะพูดอะไรไปพระเจ้ารู้ว่าเราอยู่ในการเติบโตเท่าไหร่แล้ว ซึ่งเราไม่ต้องห่วงนะพูดอะไรก็ได้ พูดอะไรก็ได้ (พระเยซูเหนื่อยจัง) ใช้คำบ้านๆ หรือใช้คำแบบชาวบ้าน หรือใช้คำพูดอะไรก็แล้วแต่ คือพระเยซูเข้าใจเรา ขอให้เราเข้าใจตรงนี้นะครับพระเยซูเข้าใจเรา
และพระเยซูฟังเราไม่เคยหันไปไหนไม่เคยเลย พระเจ้าจะมองเราพระเจ้าจะฟังเราตลอดเวลา ทุกสิ่งที่เราพูดออกมาครับ ต่างแต่ว่าพระองค์จะตอบหรือไม่ตอบ และบางครั้งพระองค์ก็ตอบ ส่วนมากพระองค์จะตอบนะครับ ตอบอะไร ตอบ Yes ตอบ No
คือทุกครั้งที่เราขออะไรเราพูดอะไรพระเจ้าจะตอบ ก็คือ Yes และ No คือโอเค หรือไม่โอเค แค่นั้นเอง
เพราะฉะนั้นพูดไปเลยไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเกรงใจพระเจ้าไม่ต้องคิดมากอะไร คือพระเยซูบอกแล้วนะครับว่า เราเป็นเพื่อน เป็นมิตรสหาย เป็นเพื่อน คำว่าเป็นเพื่อน ก็คือไม่ต้องเกรงใจแล้วนะ คืออะไรก็ได้ ถ้าเราไปเจอใครคนหนึ่งแล้วเราแบบเกร็งๆ ทำตัวแบบกลัวว่าเขาจะชอบเราไหมน้อ กลัวว่าเราจะทำผิดอะไรต่อเขาไหมน้อ เขาจะคบเราเป็นเพื่อนต่อไปไหม ก็เลยแบบรักษามารยาทรักษาคุณสมบัติอะไรต่างๆ คำพูด
แต่สำหรับพระเจ้านะครับ ไม่ต้องเกรงกลัว ไม่ต้องเกร็งๆ ไม่ต้องอะไรทั้งนั้นเลย เราเป็นแบบไหนพระเจ้ารู้พระเจ้าเข้าใจเรา และอย่าลืมนะครับพระเจ้าไม่ถือสาเรา ตรงนี้นะครับสำคัญมากก็คือพระเจ้าไม่ถือสาเรา
ที่อเมริกาคนฝรั่งเขาพูดคุยกับพระเยซู คือเขาจะไม่สาธุการ จะไม่แสดงอาการแบบเคารพก่อนที่จะพูดอะไร ไม่เลยนะครับ ตอนที่เขาเรียกพ่อเรียกแม่ เขาก็เรียก Dad , mom, father , mother ก็เรียกแบบคุณพ่อคุณแม่ เมื่อเขาเรียกพระเจ้านะครับเมื่อเขาต้องการพูดคุยกับพระเจ้าเมื่อไหร่เขาก็บอกว่า Lord jesus Father พระเยซู คือคำพูดง่ายๆ พูดคำสั้นๆ พูดแบบคือไม่ต้องเกรงใจ แล้วเขาก็รู้ว่าพระองค์รักข้าพระองค์จะไปกลัวทำไมจะไปเกร็งทำไม
แล้วเข้ามาหาพระเจ้าไม่ใช่ว่าเอามารยาทของเราเข้ามาหาพระเจ้าหรือใช้คำพูดที่ดีๆ หรือคำพูดที่ต้องคิดว่าพระเจ้าจะฟังเท่านั้น จึงจะพูด จึงจะใช้คำนั้น แต่อย่าลืมนะครับเรามาทางพระโลหิตนะ เอเมนไหม คือเมื่อมาทางพระโลหิตจะพูดอะไรก็ได้พระเจ้าไม่ถือสา เอเมน
เรื่องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโลก ก็คือพูดง่ายๆ เพื่อนมิตรสหายญาติมิตรญาติพี่น้องคนในครอบครัวสามีภรรยาคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อ สำหรับเราเรายังใช้ชีวิตอยู่กับเขาต่อไป เรายังเคารพบ้านเมืองกฎหมายบ้านเมืองผู้นำประเทศ เรายังอยู่ในประเทศนั้นๆ บ้านเมืองนั้นๆ เราเคารพสิ่งที่เขาสั่งห้าม เพียงแต่ว่าเรามีหน้าที่ก็คือ สำแดงชีวิตพระคริสต์ ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ รักไม่มีเหตุผล ยกโทษอภัย ไม่ถือสา เพื่อเอาชนะใจโลกให้ได้ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร ก็คือพระคริสต์ทำแทนเรา พระคริสต์ทำให้เรา
เพราะฉะนั้นอย่าไปแสดงอาการที่ไม่เหมาะสมไม่สมควร เป็นคนที่หยิ่ง เป็นคนที่ไม่น่ารัก เป็นคนที่ไม่น่าคบ พูดอะไรไปคนก็ไม่อยากได้ยินอยากฟัง (อะไรก็ฉันเป็นคริสเตียนนะ ฉันเป็นคริสเตียนนะ ฉันมีพระเยซูฉันไม่ทำกับแกหรอก เนี่ยทำไม่ดี เนี่ยเรื่องบาป) เรื่องผิดในลักษณะแบบนี้ พระเยซูตรัสนะครับว่าเราต้องเป็นคนที่ถ่อมอ่อนสุภาพเหมือนนกพิราบ หลายคนที่ไม่มีโอกาสได้มาเชื่อเพราะคริสเตียนทำตัวไม่เหมาะสม
...
เราขอบคุณพระเยซูที่พระองค์ประทานความเข้าใจ การเปิดเผยโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอพระองค์ได้รับเกียรติ เราสรรเสริญยกย่องพระเยซู เรานมัสการในวิญญาณและในความจริง เรานำความรักมาถวายแด่พระองค์เป็นเครื่องบูชาเป็นเครื่องถวายบรรณาการเป็นของขวัญให้พระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาความรักจากหัวใจของพวกเรา
วันนี้เราเอาหัวใจที่เต็มด้วยความรักมาให้พระองค์ เราขอบคุณพระองค์สำหรับชีวิต สำหรับการดูแล เลี้ยงดู นำพา และทำให้เราโตตามขนาดของความเชื่อ และโตตามเวลาที่พระองค์กำหนด
เราขอบพระคุณพระเจ้าและขอบคุณที่สอนพวกเราให้เข้าใจว่าโลกนี้พระเจ้าไม่ถือสา เมื่อเขามีบาป แต่ถือว่าเขาไม่มีบาปเนื่องจากว่าเขาไม่รู้จักข่าวประเสริฐ แต่พอวันหนึ่งเขาได้มารู้จักพระเยซู รู้จักข่าวประเสริฐและเขาไม่รับ บาปก็เต็มล้น และบาปก็ถูกเปิดเผยให้เขาได้เห็น โดยเฉพาะจะเป็นวันพิพากษา
และขอบคุณพระเยซูที่สอนพวกเราให้เข้าใจเรื่องโลกจะเกลียดชังพวกเรา เนื่องจากว่า เราอาจจะทำตัวที่เหมาะสมแล้ว ทำดีแล้ว ต่ำถ่อมยอมเสียเปรียบแล้ว เรารักแล้ว เราช่วยงานของเขา เราไม่เคยหนีไปไหน เราอยู่กับเขาและทำดีที่สุดแล้ว แต่เขาก็เกลียดชังเราโดยไร้เหตุ นั่นคือความผิดของเขาไม่ใช่ความผิดของเรา
และเราจะเป็นบุตรที่รักของพระเจ้าเป็นผู้ที่กระทำตามเหมาะสม และคำว่า โลกจะเกลียดชังเรา ก็เกิดกับเราอย่างถูกต้อง ถูกแบบ ถูกวิธี ไม่ใช่เราไปทำตัวที่ไม่น่ารัก แล้วทำให้โลกเกลียดชัง แล้วมาอ้างว่านี่แหละพระเยซูพูดแล้วโลกจะเกลียดชังเรา อันนี้ไม่ใช่
ขอบคุณพระเยซูที่เราทำตัวดีแล้ว น่ารักแล้ว แต่โลกเกลียดชังเราเพราะว่าเขาเกลียดชังโดยไร้เหตุ เพราะว่าซาตานอยู่เบื้องหลัง บางคนเกลียดชังเราโดยไม่รู้ตัวแต่ถูกซาตานใช้
เราขอบคุณพระองค์สำหรับบทเรียน สรรเสริญพระเยซูเรารักพระองค์