มัทธิวบทที่ 5 พระเยซูทรงเปลี่ยนแปลง และยกระดับมาตรฐานของพระบัญญัติเดิมจากง่ายให้เป็นยาก และจากมาตรฐานของมนุษย์สู่มาตรฐานของพระเจ้า เพื่อไม่ให้เราทำได้
มัทธิวบทที่ 6 พระเยซูทรงเปิดเผยข้อลึกลับของการดำเนินชีวิตสู่ชัยชนะ และข้อลึกลับนั้นก็คือ “ตา” ที่สามารถมองเห็นความจริงแห่งพระคำของพระเจ้า เพราะถ้าเรามีตา เราก็จะพบราชอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ ซึ่งผู้เชื่อมากมายในยุคนี้ยังไม่ได้พบ แต่เขาคิดว่าเขาพบแล้ว
มัทธิวบทที่ 7 พระเยซูทรงเปิดเผยอีกครั้งเกี่ยวกับผลดีหรือผลร้ายซึ่งเราจะได้รับ เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา และตั้งแต่บทที่ 6 และบทที่ 7 การจะดำเนินชีวิตที่ครบบริบูรณ์ได้ต้องมี “ตา” เพราะมันเป็นเรื่องของตา
มัทธิวบทที่ 7 ข้อ 1–5
การตัดสินและกล่าวโทษพี่น้องว่าไม่รู้ ไม่เข้าใจ หรือเชื่อผิด ทั้งๆ ที่ตนเองไม่รู้ ไม่เข้าใจ และเชื่อผิดมากกว่าพี่น้อง
ผู้เชื่อมากมายคิดว่าในข้อที่ 1–5 นี้ พระเยซูกล่าวถึงเรื่องการตัดสินลงโทษพี่น้องเรื่องความบาปทั่วๆ ไป แต่ถ้าเราดูข้อที่ 3 เราจะพบว่าพระองค์ทรงกล่าวถึงเรื่อง “ตาที่มองไม่เห็น” เพราะมีผงและมีไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตา คือไม่สามารถมองเห็นความหมายที่แท้จริงของพระคำพระเจ้า
ตั้งแต่ข้อที่ 1–27 พระเยซูทรงเน้นถึงเรื่องการมองเห็นและไม่เห็น ซึ่งเป็นสาเหตุให้คนจะ (1.) ไม่รอด (2.) ไม่ได้เข้าในราชอาณาจักรในยุคหน้า และ (3.) คนที่จะรอดในสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่
การกล่าวโทษหรือตัดสินผู้อื่นว่ารู้ผิด หรือแปลความหมายพระคำพระเจ้าผิด ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เชื่อควรกระทำ เพราะเรามีวิญญาณที่ถ่อมของพระคริสต์อยู่ในเรา และทรงอยู่แทนเรา
เราควรที่จะขอการเปิดตาฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า ให้ได้เห็นมากขึ้นเพื่อการเติบโตของชีวิตในพระคริสต์
เมื่อเรารับความจริงหรือแสงสว่างจากพระวิญญาณแล้ว และเห็นพี่น้องเชื่อผิดหรือแปลความหมายผิด เราจึงช่วยพี่น้องให้เห็นด้วยความรักและห่วงใย และไม่ใช่การกล่าวโทษหรือเอาความผิด นอกจากเป็นหน้าที่ของเราที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้า ให้กล่าวโทษคนที่ควรถูกกล่าวโทษนั้นๆ
สรุป เราสามารถตัดสินหรือกล่าวโทษพี่น้องได้ ถ้าเราไม่มีความรู้หรือความเข้าใจผิดดังที่เขามีอยู่ และถ้าเราได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้กล่าวโทษเขา เราก็ทำด้วยความรัก อย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม และชอบธธรม
มัทธิวบทที่ 7 ข้อ 6
“ของดี” หรือ “สิ่งที่บริสุทธิ์” คือข่าวประเสริฐแห่งความรอด ซึ่งนำความบริสุทธิ์มาถึงเราเพื่อให้ได้รับความรอด
“สุนัข” คือบุคคลที่คิดว่าตนชอบธรรม บริสุทธิ์ และไม่ต้องการให้ใครมาช่วยเขาให้รอด หรือเขามีทางของเขาเองอยู่แล้ว พระเยซูเล็งถึงชาวยิว
“ไข่มุก” คือชีวิตแห่งผู้ชนะ ซึ่งดำเนินในทางแห่งสันติสุขได้ทุกวันเวลา และอยู่ในกระบวนการการเติบโตสู่พระลักษณะของพระคริสต์ ซึ่งมีในไม่กี่คนในท่ามกลางผู้เชื่อมากมาย
“สุกร” คือผู้เชื่อที่ได้ฟังถ้อยคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ในส่วนที่เป็นข้อลึกลับ แต่เขาไม่ยอมรับเพราะไม่อาจเข้าใจข้อลึกลับที่พระองค์ตรัสได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ ศิษยาภิบาล ศาสนาจารย์ หรือใครก็ตามที่เชื่อและรับใช้พระเจ้า แต่ชีวิตยังขึ้นลงๆ ดีบ้างบาปบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง และยังไม่ไปถึงไหน พระเยซูจะเปรียบเขาเหมือนสุกร
(หมายเหตุ: แปลความหมายตามพระคำพระเจ้า และไม่ได้ตัดสินใคร)
มัทธิวบทที่ 7 ข้อ 7–11: ขอ หา เคาะ
“ขอ” คือการขอพระวิญญาณ เพื่อรับพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในเรา เป็นการต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วย หรือการแจ้งเกิดชีวิตในพระวิญญาณ
“แสวงหา” คือแสวงหาพระวิญญาณ เพื่อการเติมให้เต็มอยู่เสมอในแต่ละวัน
“เคาะ” คือเคาะเพื่อให้ได้รับพระวิญญาณ และรับอย่างเต็มล้นในแต่ละวัน
(ดูคำตอบใน ลก 11:13 เพราะฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์”)
ผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้คิดว่าคือการขอนั่นขอนี่ แต่แท้ที่จริงพระเยซูทรงสั่งให้เราขอพระวิญญาณ เพื่อการเติมให้เต็มด้วยพระวิญญาณในแต่ละวัน และการดำเนินชีวิตซึ่งเต็มล้นด้วยพระวิญญาณที่ทำงานในเรา เพื่อเราจะสามารถทนต่อทุกสิ่งได้