โรม 8:1 เหตุฉะนั้นบัดนี้การปรับโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ
8:2 เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย
“โอ้ ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจจริงๆ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้ได้”
ถ้าหากทุกวันนี้เป็นเรานะครับ ประสบการณ์ของชีวิตเป็นเหมือนอาจารย์เปาโลในโรมบทที่ 7 เราก็จะพูดว่า โอ้ ทำไม ทำไมชีวิตของฉันถึงเป็นแบบนี้ ทำไมเชื่อพระเจ้ามาหลายปีชีวิตก็ไม่เปลี่ยน สันติสุขก็ไม่มี นานๆ มีครั้งหนึ่ง นานๆ ทำดีครั้งหนึ่ง แต่ชีวิตประจำวันทำบาปบ่อยมาก มีทุกข์บ่อยมาก ผิดหวังบ่อยมาก มีปัญหาบ่อยมาก ทางออกก็รู้สึกว่าจะไม่ค่อยมีใช่ไหม และยิ่งเข้ามาหาพระเจ้ามากเท่าไหร่ เรารู้สึกว่าก็ยิ่งห่างไกลพระเจ้าทุกที
และถ้าหากเราอยากเชื่อฟังพระเจ้ามากเท่าไหร่ ก็กลายเป็นการทำบาปแทนที่ และถ้าหากเราปรารถนาที่จะกระทำดีเชื่อฟังพระเจ้ามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งทำบาปมากขึ้นเท่านั้น
และในโรมบทที่ 7:25 อาจารย์เปาโลกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์ โดยทางพระเยซูคริสต์ และโรม 8:1-2 อาจารย์เปาโลกล่าวว่า เหตุฉะนั้นบัดนี้การปรับโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย
นี่นะครับคือคำตอบของชีวิตคริสเตียน การดำเนินชีวิตคริสเตียนเรา เราไม่ต้องอยู่ใต้เนื้อหนังต่อไป เราไม่ต้องอยู่ในฝ่ายเนื้อหนังอีกต่อไป คือเราไม่ต้องรักษาพระบัญญัติ ถ้าหากเมื่อไหร่ที่เรารักษาพระบัญญัติ เราก็เอาตัวของเราเอาชีวิตของเราเข้าไปอยู่ใต้เนื้อหนัง และเราก็กลายเป็นมนุษย์อาดัม ไม่ได้เป็นมนุษย์วิญญาณ
สำหรับคริสเตียนที่แท้จริงพระเจ้าไถ่เราให้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ และเราเป็นมนุษย์วิญญาณ เราควรจะดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณ และเรากินอาหารฝ่ายวิญญาณ เราเดิน นั่ง นอน คุยกับพระเจ้า ทำทุกสิ่งชีวิตของเราอยู่ในฝ่ายวิญญาณ
คริสเตียนไม่เข้าใจในการดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณ Live in the spirit / walk in the spirit ทั้งๆ ที่ตาเราไม่เห็น แต่เราเชื่อ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้อยู่บนสวรรค์สถานกับพระบิดาในพระเยซูคริสต์ แต่เราเชื่อ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ถูกย้ายไปไหนเราก็อยู่นี่นะครับ (อฟ 2:6) พระเจ้าย้ายเราออกจากราชอาณาจักรของซาตานซึ่งเป็นราชอาณาจักรของอาดัมในเนื้อหนัง ไปอยู่ราชอาณาจักรของพระบุตรซึ่งเป็นฝ่ายวิญญาณ (คส 1:13) ตาเราไม่เห็นนะครับแต่เราเชื่อ เมื่อเราเชื่อมากเท่าไหร่ เราก็จะเห็นและสัมผัสโลกฝ่ายวิญญาณมากขึ้นมากขึ้นทุกวัน
ถ้าหากว่าชีวิตคริสเตียนเรายังอยู่ในฝ่ายเนื้อหนัง เราก็จะพบแต่ความอ่อนแอ ผิดหวัง ถ้าหากมีใครทำอะไรไม่ถูกใจเรา เราก็จะไม่มีความพอใจ เราก็จะไม่สบายใจ เราก็จะเหนื่อยใจ ท้อใจเสียใจหมดกำลังใจ หลายสิ่งที่เป็นด้านลบก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา อันนี้ไม่ได้เรียกว่าการดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณ หรือดำเนินชีวิตโดยทางความเชื่อ พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นการดำเนินชีวิตในฝ่ายเนื้อหนัง โดยใช้อารมณ์และความรู้สึกเป็นใหญ่ ถ้าหากมีอะไรสิ่งที่ไม่ดี เราเห็น เราได้ยิน สิ่งที่ไม่ดีกระทบเข้ามา ข่าวร้ายเข้ามา สิ่งที่เป็นด้านลบเข้ามา เรารับไม่ได้เพราะว่าจิตใจของเราอยู่ในฝ่ายเนื้อหนัง และฝ่ายเนื้อหนังจะตอบสนองในสิ่งที่เข้ามาหาเรา และอะไรที่เรารับไม่ได้ เราก็จะตอบสนองกลับไปด้วยสิ่งที่เป็นด้านลบเหมือนกัน
สำหรับการดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณ เราอาศัยความเชื่อ
ซึ่งการดำเนินชีวิตในฝ่ายเนื้อหนังเราไม่ต้องเชื่อก็ได้ มันก็เป็นอยู่แล้ว เราตื่นนอนก็เห็นร่างกายนี้ เห็นความเมื่อยล้า ง่วงนอน ง่วงเหงาซึมเซา เสียใจ ท้อใจ หมดแรงอะไรประมาณนั้น
แต่ในฝ่ายวิญญาณ ขณะที่เราไม่เห็นอะไร เราบอกว่า
“ขอบพระคุณพระเยซูในวิญญาณในฝ่ายวิญญาณมีน้ำมันแห่งพระวิญญาณ และมีน้ำแห่งชีวิตที่เต็มล้นอยู่ในข้าพเจ้า โอ้ ขอบพระคุณพระเยซู” เราทำไปเรื่อยๆ คุยกับพระเยซู สนิทกับพระองค์ไปเรื่อยๆ เราจะเห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์นำสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำแล้วสองพันปีก่อนให้เราได้สัมผัส
เมื่อเราอยู่ในฝ่ายเนื้อหนังตัวบาปมีอำนาจเหนือเราใช่ไหม และเมื่อพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในเราในสภาพของพระวิญญาณ พระองค์คือตัวชอบธรรม คือผู้ชอบธรรม ขอโทษนะครับที่ต้องใช้คำว่าตัว เพื่อเปรียบเทียบให้เราเห็นภาพระหว่างตัวบาปและตัวชอบธรรมคือผู้ชอบธรรมนี้นะครับ เมื่อพระเยซูในฐานะของผู้ชอบธรรมเข้ามา
ตัวบาปนำเอากฎแห่งความบาปเข้ามา แต่พระคริสต์ตัวผู้ชอบธรรมนำเอากฎแห่งพระวิญญาณเข้ามาเพื่อเอาชนะกฎแห่งความบาป กฎแห่งความบาปอยากทำบาป และกฎแห่งพระวิญญาณอยากทำดีอยากเชื่อฟังอยากดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณ และดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเชื่อฟังพระเจ้าได้
และในด้านเนื้อหนังอีกอย่าง ตัวบาปมีกฎแห่งความตาย คือความง่วงเหงาซึมเซา เมื่อยล้า อ่อนเพลีย อ่อนแอ ขณะที่เราอยากอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน เราเปิดหน้าหนึ่งอ่านได้ใช่ไหม เราเปิดหน้าที่สองก็พอจะอ่านได้ หน้าที่สาม ที่สี่ เริ่มมีอาการง่วงเหงาซึมเซาเมื่อยล้าอ่อนเพลีย พอเราลุกขึ้นเราก็กระปรี้กระเปร่ามีกำลังขึ้นมาใหม่ แต่กลับมานั่งอ่านใหม่ เราก็จะพบว่าอาการของเรา ร่างกายแห่งความตายนี้มันจะง่วงเหงาซึมเซาเหมือนเดิม พี่น้องทุกคนมีประสบการณ์แบบนี้ใช่ไหมครับ ไม่นับตอนเฉพาะที่เราใกล้ชิดพระเจ้ามากๆ หรือว่าไปฟื้นฟูมาใหม่ๆ ตอนนั้นเป็นตอนที่พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานมาก และเราอยู่ในช่วงขณะที่มีกำลังนะครับ
การดำเนินชีวิตในประจำวันนะครับ ถ้าหากเรารู้สึกว่าจะอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน ใกล้ชิดพระเจ้า เรารู้สึกว่าร่างกายแห่งความตายนี้ กฎแห่งความตายจากครอบงำเราทันที
เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยซูเข้ามาอยู่ในเรา ไม่ได้มาเฉยๆ นะครับ พระเยซูนำเอากฎแห่งชีวิต กฎแห่งชีวิตคือการขยัน ความกระปรี้กระเปร่า กระตือรือร้น การร้อนรนใจ มีพลังมากมายที่จะอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ นมัสการ ทำทุกสิ่งถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้ ไม่เมื่อยล้า ไม่ง่วงเหงา ไม่ซึมเซา ไม่อ่อนแอด้วย เป็นการนำเข้าเพื่อเอาชนะในสิ่งที่เก่าที่เป็นฝ่ายเนื้อหนัง
พระเยซูคริสต์ในสภาพของพระวิญญาณนำกฎแห่งพระวิญญาณเข้ามา เพื่อเอาชนะกฎแห่งความบาป และพระคริสต์นำเอากฎแห่งชีวิต เพื่อเอาชนะกฎแห่งความตาย
และร่างกายนี้ถ้าหากว่าเมื่อก่อนเราอยู่ในฝ่ายเนื้อหนัง ร่างกายของเราเรียกว่าร่างกายแห่งความบาป มันจะรวดเร็วมาก ว่องไวมากในการที่จะตอบสนองต่อบาป เร็วจนที่เราคิดไม่ทัน
แต่ ขอบพระคุณพระเจ้าเมื่อพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในเรา แล้วนำกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิตเข้ามา ร่างกายนี้นะครับเราเชื่อเท่านั้นว่าเป็นร่างกายแห่งความชอบธรรม เมื่อมีความชอบธรรมเข้ามา เมื่อมีความบาปเข้ามา เราปฏิเสธนะครับที่จะทำบาป และร่างกายนี้นะครับปรารถนาและมีกำลังมากที่จะเอาชนะบาปได้
อีกครั้ง... เมื่อเราอยู่ในฝ่ายเนื้อหนัง ร่างกายนี้เป็นร่างกายแห่งความบาป อยากทำบาปรวดเร็วต่อความบาป พร้อมไปกับความบาป มีความพร้อมใจพร้อมเพรียงไปกับความบาป
แต่เมื่อพระคริสต์อยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์ เราสนิทกับพระองค์ และเชื่อว่าร่างกายนี้เป็นร่างกายแห่งความชอบธรรม พระเยซูนะครับจะใช้ร่างกายนี้ให้เกิดผลถวายเกียรติแด่พระบิดา และร่างกายนี้ไม่คิดที่จะทำบาป
และร่างกายนี้เมื่อเราอยู่ในฝ่ายเนื้อหนังเรียกว่าร่างกายแห่งความตาย ก็คือการตอบสนองต่ออาการง่วงเหงาซึมเซา เมื่อยล้า อ่อนแอ อ่อนเพลีย
แต่ถ้าหากเราอยู่ในฝ่ายวิญญาณและเราเชื่อทุกวันว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างกายแห่งความตายอีกต่อไป และไม่ใช่ร่างกายแห่งความบาปอีกต่อไป ร่างกายนี้นะครับก็จะกลายเป็น กลายเป็นร่างกายแห่งชีวิต คือร่างกายที่ร้อนรน กระตือรือร้น ไม่เหนื่อยล้า ไม่เมื่อยล้า ไม่อ่อนแอ ไม่อ่อนเพลีย มีพลังมหาศาลที่จะทำทุกสิ่งเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้
สรุปในฝ่ายเนื้อหนังตัวบาปอยู่ในเราอยู่ในตัวเก่าของเรา
ในฝ่ายวิญญาณ พระคริสต์ตัวชอบธรรมผู้ชอบธรรมอยู่ในฝ่ายวิญญาณอยู่กับตัวใหม่ของเรา
เราเรียกว่าจะอยู่ไหน วันไหน เวลาไหน ตอนไหนก็ได้ ถ้าใจเราถ้าจิตใจเราปักใจไปในฝ่ายเนื้อหนัง เราก็เป็นตัวเก่าและตัวบาปก็มีอำนาจเหนือเรา
ถ้าหากวันไหน ตอนไหน เวลาไหน เราปักใจมาใส่ในฝ่ายวิญญาณในพระวิญญาณ เราก็กลายเป็นตัวใหม่ และพระวิญญาณพระเจ้าทั้งสามพระภาคที่อยู่ในเรา ก็จะสามัคคีธรรมร่วมกับเรา สนิทในเรา และเรามีใจจดจ่อ ร้อนรน กระตือรือร้น และทำทุกสิ่งอยู่ในฝ่ายวิญญาณเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
ในขณะที่อยู่ในฝ่ายร่างกายฝ่ายเนื้อหนัง เราทำบาปอยู่ในตัวบาปตัวเก่า นอกจากตัวบาปแล้วในฝ่ายเนื้อหนังของเราก็มีกฎแห่งความบาป
และในฝ่ายวิญญาณเรามีกฎแห่งพระวิญญาณที่เราจะเอาชนะกฎแห่งความบาป
และต่อไปในฝ่ายเนื้อหนังเรามีกฎแห่งความตาย และในฝ่ายวิญญาณก็มีกฎแห่งชีวิตเพื่อที่จะเอาชนะกฎแห่งความตาย
เราเห็นนะครับว่าการทำงานของพระเจ้านำเข้าในสิ่งที่มีพลังมหาศาลมากมาย มากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในฝ่ายเนื้อหนัง
ซึ่งสงครามนี้นะครับไม่ใช่สงครามที่เราต้องต่อสู้เอง แต่เราเป็นผู้ที่ยกอวัยวะให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถ้าหากเราเอนไปทางนี้พระเจ้าก็จะชนะ ถ้าหากเราเอนเอียงไปทางนี้มารซาตานตัวบาปก็จะชนะ
และนอกจากตัวบาป กฎแห่งความบาป และกฎแห่งความตายนะครับ ร่างกายนี้ก็ยังเป็นร่างกายแห่งความบาปได้ถ้าหากว่าเราอยู่ในฝ่ายเนื้อหนัง
และถ้าหากเราอยู่ในฝ่ายวิญญาณ ร่างกายเดียวกันนี่แหละ ก็กลายเป็นร่างกายแห่งความชอบธรรม
และในขณะเดียวกันร่างกายนี้เป็นร่างกายแห่งความตาย ถ้าหากเราจดจ่อปักใจอยู่ในฝ่ายเนื้อหนัง
และขณะเดียวกันถ้าหากเราปักใจอยู่ในฝ่ายวิญญาณ ร่างกายแห่งความตายนี้ก็จะเป็นร่างกายแห่งชีวิต
พูดง่ายๆ กฎแห่งความบาป คือต้องการทำบาป รวดเร็วต่อการทำบาป อยากทำบาป ปรารถนาที่จะกระทำบาป
แต่กฎแห่งพระวิญญาณ เรามีจิตใจที่ปรารถนาอยากทำดี อยากอยู่ดำเนินชีวิตในความชอบธรรม รักในการชอบธรรม รักในการเชื่อฟังพระเจ้า
และกฎแห่งความตาย ก็คืออาการง่วงเหงาซึมเซา เมื่อยล้า อ่อนเพลีย อ่อนแอ ขณะที่เราอ่านพระคัมภีร์ หรืออธิษฐาน เฝ้าเดี่ยว
ส่วนในฝ่ายวิญญาณ เราก็มีกฎแห่งชีวิต คืออาการกระปรี้กระเปร่า ร้อนรน กระตือรือร้น ขยันขันแข็ง มีจิตใจที่มีพลังมากในการที่จะอธิษฐาน อ่านกี่หน้าก็ได้ เราไม่เหนื่อยไม่ง่วงเหงาไม่ซึมเซา
สุดท้ายก็คือ ร่างกายแห่งความบาปและร่างกายแห่งความตายที่พร้อมเพรียงไปกับตัวบาป กฎแห่งความบาปและกฎแห่งความตาย
ขณะเดียวกันถ้าหากเราเอนมาทางนี้สนิทในพระคริสต์ และเชื่อว่าตัวเราเป็นตัวใหม่ เรามีกฎแห่งพระวิญญาณ เรามีกฎแห่งชีวิต เรามีร่างกายแห่งความชอบธรรม และเรามีร่างกายแห่งชีวิต ชีวิตของเราก็จะอยู่ในพระวิญญาณ และเกิดผลมากถวายเกียรติแด่พระเจ้า และชีวิตของเราจะเติบโตไปได้ตามเวลาของพระเจ้า
ถ้าหากเราสนิทในพระคริสต์ และมีความเชื่อในลักษณะนี้ทุกวัน บอกตัวเองครับ บอกว่า “ตัวนี้เป็นตัวใหม่” บอกตัวเองอีกนะครับว่า “ร่างกายนี้เป็นร่างกายแห่งชีวิตและร่างกายแห่งความชอบธรรม”
และบอกตัวเองนะครับว่า “ตัวนี้บุคคลผู้นี้เป็นของพระเจ้าและมีพระเจ้าพระคริสต์ในสภาพของพระวิญญาณอยู่ในเรา และนำเข้า 2 สิ่งนะครับ ก็คือกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิต เพื่อเราจะชนะบาปได้ และเพื่อเราจะมีพลังมหาศาลในการอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน เฝ้าเดี่ยว รับใช้ ดำเนินชีวิตในการเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างสม่ำเสมอ”
เราขอบพระคุณพระเจ้าซึ่งการดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณเราไม่ต้องพยายามๆๆ “แต่วางใจในพระคริสต์” Do not try but trust in Christ
และเราไม่จำเป็นที่จะต้องดิ้นรนต่อสู้ ต่อสู้กับความบาป “แต่พักผ่อนในพระคริสต์”
และสุดท้ายเราไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามทำงานหนักมากเพื่อที่จะเอาชนะบาปให้ได้ และไม่จำเป็นที่จะต้องทำงานอธิษฐาน อดอาหาร อะไรต่อมิอะไรมากมายเพื่อที่จะเอาชนะบาป “แต่เราเดินไปกับพระเยซู” เดินไปเลย สบายๆ ไม่ต้องทำงาน ภาษาอังกฤษก็คือ do not work but Walk
การดำเนินชีวิตในคริสเตียนไม่ใช่ work แต่ Walk ไม่ใช่ทำงาน แต่เดินไปสบายๆ กับพระเจ้า
เพราะฉะนั้นอย่าพยายาม Don't try, but trust. “อย่าพยายาม แต่วางใจ ไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ ให้พระองค์ทำแทนเรา”