ขอบพระคุณพระเยซูสำหรับยอห์นบทที่ 19 ขอบพระคุณที่พระองค์ยอมเชื่อฟังพระบิดาจนถึงที่สุด ยอมตาย ยอมทุกข์ทรมาน ถูกเฆี่ยนตี ยอมอับอายขายหน้าอยู่ที่กางเขน ด้วยการรับการเปลือยกาย ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อรับแบกความผิดทั้งหมดทั้งมวลทั้งสิ้นของมนุษย์ทั่วโลก ขอบพระคุณพระเยซูที่รักพวกเรามากและกระทำทุกสิ่งจนสำเร็จเพื่อให้เราอยู่ในความหวังใจในพระเจ้า
และขอบพระคุณสำหรับชีวิตผู้แพ้ซึ่งเมื่อก่อนเราเคยเป็นเคยมี แต่เดี๋ยวนี้โดยพระองค์เราจึงเป็นผู้ชนะ และผู้ชนะที่แท้จริง ก็คือพระองค์ที่อยู่ในเราเป็นผู้ชนะไม่ใช่เรา ขอบคุณพระเยซู
ขอบคุณพระเยซูที่เมื่อก่อนเรามีความทุกข์ เราเป็นทุกข์โศกเศร้าเสียใจท้อใจเบื่อกับชีวิตของในโลกนี้ แต่เมื่อเรามีพระองค์ พระองค์เป็นสันติสุข เป็นความหวัง เป็นความอดทนนาน เป็นการกระทำคุณให้ โลกที่มีแต่ทำร้ายรังแกเรา แต่เรายังรักเขาได้ยังอภัยยังอดทนนานได้โดยพระองค์ที่เป็นผู้ชนะที่อยู่ภายในเรา
...
สำหรับบทที่ 19 ตอนท้ายๆ จะพูดถึงเรื่องการถูกตรึงของพระเยซู ซึ่งปีลาตมอบพระองค์ให้เขาพาไปตรึงที่กางเขน นักโทษประหารในสมัยนั้น ชาวโรมันจะนำไปตรึงที่กางเขนโดยให้เปลือยกายเพื่อรับความอับอาย หลังจากที่ทหารได้เฆี่ยนตีพระเยซูอย่างทนทุกข์ทรมานแล้ว
สำหรับปีลาตที่เขียนคำประจานติดไว้บนกางเขน คือ "เยซูชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของพวกยิว" นี่คือคำเขียนของปีลาตที่เขียนเอาไว้บนศีรษะของพระเยซู นักโทษทุกคนจะมีป้ายเขียนชื่อและความผิดของเขาที่ได้กระทำ เยซูชาวนาซาเร็ธ ก็คือเยซูที่มาจากเมืองนาซาเร็ธ ความผิดของพระองค์ก็คืออ้างตนเป็นกษัตริย์ของพวกยิว ซึ่งผู้นำยิวบางคนไม่พอใจที่เขียนแบบนี้ แต่ปีลาตบอกว่าช่างเถอะเขียนอะไรก็เขียน เขียนแล้วก็เขียนเเล้ว ก็เขียนเลย ไม่ต้องแก้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพระเจ้าต้องการให้โลกและชาวยิวทั้งหมดได้รับรู้ว่าพระเยซูนี่แหละ คือกษัตริย์ของชาวยิวที่แท้จริง
สำหรับป้ายที่เขียนขึ้นด้วย 3 ภาษา ก็คือภาษาฮีบรู ภาษากรีก และภาษาลาติน ภาษาฮีบรูเพื่อให้ชาวยิวได้อ่านและเข้าใจว่า พระเยซูมีพระนามว่าอะไรและทำอะไรผิด ส่วนภาษาลาตินและภาษากรีก เพื่อให้ชาวต่างชาติได้อ่านได้รู้ว่าพระองค์เป็นใครและทำผิดอะไร เพราะฉะนั้นจึงต้องเขียนด้วย 3 ภาษา
...
สำหรับข้อที่ 23 ที่พูดถึงเรื่องการฉีกเอาฉลองพระองค์มาแบ่งกัน ผู้เชื่อมากมายอาจจะไม่เข้าใจการแต่งกายของชาวยิวในสมัยนั้น คือสมัยก่อนผู้ชายชาวยิวนิยมใส่ภาพโพกศีรษะ ภาษาอังกฤษก็คือ headdress ผ้าโพกศีรษะ อันต่อมาก็คือใส่เสื้อคลุมด้านนอก the outer garment ที่ยาวตั้งแต่ไหล่จนเกือบถึงเท้า และเขายังใส่เสื้อในก็คือ the chiton เสื้อใน และอีกอันหนึ่งก็คือชุดชั้นใน the girdle และสุดท้ายก็คือรองเท้า the shoes สำหรับชาวยิวที่ยากจนเขาจะสวมใส่แบบง่ายๆ ก็คือใส่แค่เสื้อชั้นนอกและรองเท้าเท่านั้น แต่ขอบคุณพระเยซูถึงแม้ว่าพระองค์จะยากจน แต่พระองค์ก็ยังมีเสื้อชั้นนอก และเสื้อชั้นใน และรองเท้าสวมใส่
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตอนที่ถูกตรึงบนกางเขน เขาจะถอดฉลองพระองค์ออกทั้งหมด เพื่อให้เปลือยกายไม่มีเสื้อชั้นใน ไม่มีเสื้อชั้นนอก ไม่มีชุดชั้นใน ไม่มีรองเท้า ไม่มีอะไรทั้งนั้นเปลือยทั้งหมดเลย และคนที่เดินผ่านไปมาก็จะเห็น ซึ่งเป็นความอับอายที่อับอายมากที่สุด แต่ขอบคุณพระเจ้าการเปลือยกายครั้งนั้น เพื่อให้เราทุกวันนี้ไม่ต้องอับอาย สรรเสริญพระเยซู
และสำหรับความคิดของคริสตจักรบางคริสตจักรหรือหลายๆ คริสตจักรทุกวันนี้ที่ถ้าหากว่ามีใครกระทำผิด เขาจะนำคนที่ทำผิดไปยืนบนธรรมมาสน์ต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย แล้วก็บอกว่าคนนี้ทำผิดอะไร ให้สารภาพผิด ให้กลับใจ จึงจะเป็นสมาชิกโบสถ์นี้ต่อไปได้ อันนี้เป็นความคิดของศาสนา
ซึ่งคริสตจักรฝ่ายวิญญาณคริสเตียนฝ่ายวิญญาณจะไม่ทำกัน เนื่องจากว่าพระเยซูเป็นคนรับเอาความอับอายของเราไปทั้งหมดแล้ว โดยการเปลือยกายอยู่บนกางเขน ต่อหน้ามนุษย์ทั้งหลายและทูตสวรรค์ เพื่อให้เราทุกวันนี้ไม่ต้องอับอาย ถ้าหากเราทำผิดอะไรเราสารภาพ เราไปสารภาพกับพี่น้องคนที่เราทำผิด หรือไปสารภาพต่อคริสตจักร ถ้าหากเราทำผิดต่อคริสตจักร และคริสตจักรนะครับก็จะปกปิดความผิดของเราไม่ทำให้เราอับอายขายหน้า รักเราและเราเองก็จะเห็นว่าคริสตจักรรักเรา คริสตจักรไม่ทำลายเรา ไม่ทำร้ายเรา พระบัญญัติมาเพื่อเปิดโปงเปิดเผยความผิดบาปความชั่วบาปของมนุษย์ แต่พระคุณมาเพื่อปกปิดความผิดบาปความชั่วบาปของพวกเรา สรรเสริญพระเยซู
...
ในข้อที่ 26 ที่พระเยซูบอกว่า “หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด” ก็คือจงดูท่านยอห์น และพระเยซูตรัสกับยอห์นว่าจงดูแล จงดูหญิงท่านนี้ ความหมายก็คือ เมื่อพระเยซูตรัสว่าหญิงเอ๋ย ไม่ใช่ว่า Woman หรือว่าหญิงเอ๋ยเหมือนกับคนที่ไม่มีเกียรติไม่มีอะไร แต่คำว่าหญิงเอ๋ย ในที่นี้ ภาษากรีกความหมายก็คือ γυνή, αικός, ἡ สุภาพสตรี คุณผู้หญิง ท่านหญิง หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า lady
เพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจผิดว่าพระเยซูยกตนเป็นใหญ่กว่าเหนือกว่ามารดาของพระองค์ ขอให้เข้าใจให้ถูก เป็นคำ คำเดียวที่พระเยซูใช้ตอนที่อยู่ที่งานแต่งงาน ที่บ้านคานา ที่หมู่บ้านคานา
...
สำหรับข้อที่ 27 คือพระเยซูตรัสกับสาวกคนหนึ่ง ก็คือท่านยอห์น "บอกว่าจงดูมารดาของท่านเถิด" ความหมาย ก็คือพระเยซูยกหน้าที่การดูแลมารดาของพระองค์สืบต่อให้ท่านยอห์น เชื่อกันว่าท่านโยเซฟผู้เป็นบิดาฝ่ายร่างกายของพระเยซู น่าจะเสียชีวิต และนางมารีย์ใช้ชีวิตอยู่กับลูกๆ ก็คือพระเยซูที่เป็นลูกชายคนโต และน้องๆ ของพระองค์ ซึ่งพระเยซูทำหน้าที่การงานเพื่อเลี้ยงดูมารดาและน้องๆ จนถึงทรงมีพระชนม์พรรษา 30 พรรษา พระเยซูจึงละมารดาและน้องๆ เพื่อออกไปประกาศข่าวประเสริฐ โดยน้องๆ ของพระองค์จะเป็นคนรับช่วงดูแลมารดาต่อไป
พอพระเยซูถูกจับและถูกตรึง พระเยซูถึงมอบหน้าที่ให้ท่านยอห์นเป็นผู้ดูแลนางมารีย์ต่อไป ไม่ได้ทิ้งให้นางมารีย์ต้องอยู่อย่างลำบาก แต่พระเยซูเป็นห่วง แล้วก็ให้ท่านยอห์นรับช่วงต่อ ขอบคุณพระเยซู
มาถึงคำที่พระเยซูตรัสว่า "สำเร็จแล้ว" เรารู้แล้วว่าการกระทำการงานของพระเจ้าเรื่องการไถ่โลกสำเร็จ ก็คือพระองค์ให้ซาตานหมดสิ้นอำนาจ ไม่มีสิทธิอำนาจในโลกนี้ในจักรวาลนี้ต่อไป คือการจับมัดคือการผูกมัดคือการทำให้ซาตานไม่มีอำนาจเหนือมนุษย์โลกต่อไป อันนี้ในส่วนของผู้ที่เชื่อ ในส่วนของผู้ที่เชื่อ แต่คนที่ไม่เชื่อก็ยังถูกอำนาจของผีมารซาตานครอบงำครอบครองต่อไปได้จนถึงยุคพันปี ขอให้เราเข้าใจตรงนี้
คำว่า "สำเร็จแล้ว" ก็คือการตายเพื่อไถ่บาปโลกทั้งหมดทั้งมวลทั้งสิ้นทุกคนได้รับการไถ่ ถ้าหากเชื่อแล้ววางใจในพระเยซู แต่คนที่ไม่เชื่อและไม่วางใจ ก็จะไม่ได้เข้าส่วนในคำว่า "สำเร็จ" ของพระเยซู
และอีกครั้งขอย้ำ หนังสือมัทธิวและมาระโกเน้นเรื่องพระเยซูมาเพื่อรับแบกบาปของทุกคน ยอมกลายเป็นคนบาปเพื่อพวกเราทั้งหลาย ส่วนหนังสือยอห์นขอบพระคุณพระเจ้าเน้นเรื่องพระเยซูเสด็จกลับมา นำพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าสามพระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในพวกเรา โดยการประทานชีวิตให้เราก่อน หลังจากนั้นก็เข้ามาอยู่ในชีวิต (โซเอ้) นี้ของพวกเรา ขอบพระคุณพระเจ้าในวันนี้เรามีพระเจ้าพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ อยู่ในวิญญาณใหม่ของพวกเรา เอเมน
และขอย้ำว่าทุกวันนี้ผู้ชนะที่แท้จริงแล้วไม่ใช่เรา แต่เรายืมชีวิตของพระเยซูมาเป็นผู้ชนะ ก็คือพระเยซูนั่นเองที่เป็นผู้ชนะที่อยู่ในเรา การดำเนินชีวิตในแต่ละวัน การรับใช้ การประกาศข่าวประเสริฐ การทำอะไรทั้งหลาย การนมัสการพระเจ้า ทุกสิ่ง เราเป็นอยู่และเรากระทำโดยพระเยซูในเรา เป็นผู้กระทำไม่ใช่เรา นี่คือชีวิตของผู้ชนะที่แท้จริง
เนื่องจากว่าเราล้มเหลว เราเป็นผู้แพ้ เราอ่อนแอ เราตกต่ำ เราเสื่อมทราม เราถูกสาปแช่ง เราป่วยแล้ว พระเจ้ารับชีวิตเก่าไม่ได้ ทุกสิ่งจึงจะต้องจบลงที่กางเขน ไม่มีอะไรที่จะผ่านกางเขนไปได้ มันจบที่กางเขนแล้ว มันถูกตรึงไปแล้วกับพระเยซู และขอบคุณพระเจ้าชีวิตของพวกเราทุกวันนี้ เป็นชีวิตที่ออกมาจากอุโมงค์ เป็นชีวิตที่เข้าส่วนในการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู เพราะฉะนั้นเรายิ่งสนิทในการตายกับพระเยซูมากเท่าไหร่ เราก็จะเห็นปรากฏการณ์ เห็นประสบการณ์ชีวิตที่เป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู คือเต็มด้วยสันติสุข เต็มด้วยพลัง เต็มด้วยความหวัง เต็มด้วยทุกสิ่ง ที่เป็นพระพรฝ่ายวิญญาณในพระเยซูคริสต์ เอเมน
เราขอบคุณพระเจ้าเมื่อเราถูกข่มเหง เราอดทนนาน เรารักศัตรูได้ เราขอบคุณพระเจ้าเมื่อเราเป็นทุกข์ เมื่อเราเข้าสู่มรสุมทั้งหลาย เรามีสันติสุข และมีพระเยซูเป็นผู้ปลอบประโลมเรา
ขอบคุณพระเจ้าเมื่อเราเข้าสู่การทั้งหลายที่เป็นด้านลบ เรามีพระเยซูนำด้านบวก นำพระพร นำสันติสุข นำทุกสิ่งมา เพื่อให้เราทนได้เพื่อให้เราอยู่ได้ และเพื่อให้เรารับได้และยิ้มได้ สรรเสริญพระเยซู
อย่าลืมพระเจ้าจะไม่นำเราออกไปจากปัญหาทั้งหลาย ออกไปจากโลกนี้ พระเจ้ายังให้เราอยู่ในที่ ที่เราอยู่ และให้เรารับทุกสิ่งที่เรารับอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นภายในหัวใจของเรา ภายในจิตใจของเรา ก็คือสันติสุข เมื่อเรามีความสุขสันติสุข มันทนได้ทุกสิ่ง ถ้าหากจิตใจเราดี อะไรก็ดีไปหมด แต่ถ้าหากจิตใจเราไม่ดี อะไรก็ไม่ดี
ถาม.
ที่พระเยซูเรียกนางมารีย์ว่าหญิงเอ๋ยที่ในภาษากรีกว่า สุภาพสตรี แล้วทีนี้พอหลังจากที่อาณาจักรโรมันกลับใจ เขาจะเข้าใจผิดไหมว่าที่พระเยซูเรียกมารีย์ว่า ท่านสุภาพสตรี เขาก็เลยยกมารีย์เป็นแม่มารีย์ ที่แบบมีรูปปั้นเต็มคาทอลิกเลย มันเกี่ยวไหมครับ
ตอบ.
สำหรับศาสนาทั่วๆ ไปและคาทอลิก มีความคิดในรูปแนวศาสนา เพราะฉะนั้นพระเยซูนะครับบังเกิดในครอบครัวของท่านโยเซฟและมารีย์ และไม่เพียงแต่มารีย์ที่เป็นแม่พระนะครับ ท่านโยเซฟก็ถูกแต่งตั้งถูกเรียกถูกยกขึ้นให้เป็นพ่อพระด้วย เราจะเห็นว่าโยเซฟที่เป็นบิดาฝ่ายร่างกายของพระเยซู ถูกเรียกว่าเป็นนักบุญโยเซฟ และมารีย์ ก็คือนักบุญมารีย์
ส่วนในบทที่ 19 ที่พระเยซูเรียกว่าหญิงเอ๋ย สุภาพสตรีเอ๋ย อันนี้สำหรับคนทั่วๆ ไป ก็ไม่ต่างไปจากศาสนาทั่วๆ ไปที่เห็นว่า หญิงเอ๋ยๆ เหมือนพระเยซูพูดเพื่อเคารพมารดา อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการยกขึ้นของคาทอลิก คาทอลิกยกขึ้นเพราะว่าเนื่องจากว่าพระเยซูเป็นลูกฝ่ายร่างกายเป็นบุตรฝ่ายร่างกายของโยเซฟและมารีย์
ถาม.
ขอถามตั้งแต่ข้อ 19 ถึงข้อ 22 ค่ะ สิ่งที่ปีลาตเขียนทั้งๆ ที่ปีลาตเขาก็ไม่รู้ว่าพระเยซูเป็นกษัตริย์ เขาเขียนเพราะว่าพระเจ้าทำงานในใจเขาให้เขียนว่าพระองค์เป็นกษัตริย์เหรอค่ะ เอเมนค่ะ
ตอบ.
ไม่ใช่นะครับ ตอนที่สืบสวนสอบสวนเราจำกันได้นะครับว่าผู้นำยิว นำพระเยซูมาหาปีลาต และบอกว่าคนนี้หมิ่นประมาทพระเจ้า คนนี้อ้างตนเป็นกษัตริย์ของพวกเรา แต่พวกเราไม่ยอมรับ เขาไม่ใช่กษัตริย์ของพวกเรา เพราะฉะนั้นความผิดของพระเยซูก็คืออ้างตนว่าเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ปีลาตจึงเขียนนะครับว่า เยซูชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของชาวยิว แต่จริงๆ แล้วนะครับ ยิวบอกว่าถ้าจะเขียนให้ถูกต้อง ก็คือเยซูชาวนาซาเร็ธผู้อ้างตนว่าเป็นกษัตริย์ของชาวยิว
แต่ปีลาตบอกว่า สิ่งใดที่เขียนแล้วก็แล้วไม่ต้องแก้ไม่อยากแก้ แล้วก็ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ ไม่ใช่พระเจ้าดลใจนะครับ แต่เป็นการเขียนตามความเข้าใจที่ได้สืบสอบปากคำของผู้นำยิวทั้งหลาย เราจำกันได้ไหมบทที่ 18 ที่พวกเขานำพระเยซูมาหาปีลาตแล้วบอกว่า คนนี้ทำผิด คืออ้างตนว่าเป็นพระเจ้า และอ้างตนว่าเป็นกษัตริย์ของพวกเรา แต่เขาไม่ใช่ พวกเราไม่รับ ปีลาตจึงเห็นว่าโอเคนี่คือความผิดของเขา
ถาม.
ขอถามข้อที่ 23 ไม่เข้าใจที่ว่าทหารเอาเสื้อผ้าของพระเยซูฉีกแบ่งกัน แล้วก็เอาไปทำไมคะ เพราะว่าเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าค่ะ เอเมนค่ะ
ตอบ.
คือเป็นการเยาะเย้ย เป็นการเยาะเย้ย เขาบอกว่าคนนี้ได้ส่วนนี้ของพระเยซู คนนี้ได้ส่วนนี้ แต่อีกไม่นานเขาก็จะทิ้ง ไม่ได้มีความหมายอะไรนะครับ อย่าเข้าใจผิดนะครับว่าเขาจะเอาไปเคารพบูชากราบไหว้ ไม่นะครับ เนื่องจากว่าชาวโรมันและทหารชาวโรมันเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับศาสนายิว และไม่เคยเคารพไม่เคยยกย่องพระเยซู
ถาม.
เพื่อให้สำเร็จตามคำพยากรณ์ด้วยหรือเปล่าคะ
ตอบ.
อันนั้นแน่นอนครับ เป็นคำพยากรณ์ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เดิม บอกว่าเขาจะฉีกเขาจะแบ่งฉลองพระองค์ สำหรับความหมายฝ่ายวิญญาณ ก็คือการฉีกฉลองของพระองค์ การถอดฉลองของพระองค์ ก็คือเพื่อให้พระองค์ได้รับความอับอาย ตรงนี้นะครับเป็นจุดที่เราควรใส่ใจและสนใจให้ความสนใจ คือเป็นความอับอายที่พระเยซูต้องรับต่างหน้ารับแทนเราทั้งหลายทั่วโลก เรานี่แหละควรจะถูกตรึง เรานี่แหละควรจะถูกถอดเสื้อผ้าไม่ต้องใส่อะไร เปลือยกายอยู่บนกางเขนรับความอับอายขายหน้า
แต่ขอบพระคุณพระเจ้าทุกวันนี้เราได้สวมใส่เสื้อที่ดีที่สุด โดยที่พระองค์ยอมเป็นคนอับอายแทนเรา พระเจ้ามองเราทุกวันนี้เราไม่ต้องอายพระเจ้า ไม่ต้องอับอายขายหน้า ทุกครั้งที่เราทำผิดไม่ต้องอายไม่ต้องกลัว มาเลยครับพระเจ้าไม่เคยเห็นตัวเราตัวเก่าของเราชีวิตเก่าของเราไม่ต้องอาย กล้าที่จะเข้ามาหาพระเจ้าทุกครั้ง ถึงแม้ว่าเราจะทำบาปมากน้อยแค่ไหนยิ่งใหญ่แค่ไหนฆ่าคนตายหรือทำอะไรผิดมากมาย กิเลส ตัณหา โลภ โกรธ หลง ไม่ต้องกลัว เนื่องจากว่าเสื้อที่ดีที่สุดจะเป็นสิ่งที่ปกปิดซ่อนบังซ่อนเราจากพระบิดา พระบิดามองมาที่เราเมื่อไหร่เห็นเราทำผิดก็ช่าง แต่พระองค์จะมองที่พระเยซูที่เป็นเสื้อที่ดีที่สุดที่ซ่อนเรา เอเมนขอบคุณพระเจ้า
ถาม.
คือคนสมัยก่อนเขาไม่น่าจะใส่ชุดชั้นในหรือกางเกงในครับ แล้วทีนี้ตอนที่พระเยซูถูกตรึงในภาพวาดจะเป็นแบบพระองค์มีผ้าพันตรงที่ ปกปิดอวัยวะที่เป็นของผู้ชาย ก็คือจะเหมือนเป็นกางเกงในพันอยู่บนกางเขน แต่ว่าในตอนที่พระเยซูถูกตรึงคือไม่ได้ใส่อะไรเลยใช่ไหมครับ ก็คือถอดหมดเลยใช่ไหมครับ แล้วคนสมัยก่อนเขามีชุดชั้นในที่แบบ คือผมนึกภาพไม่ออก แต่ว่าเคยเห็นในภาพวาดอยู่น่าจะเป็นอย่างนั้น
ตอบ.
สำหรับภาพวาดที่เราเห็นกัน ขอให้เราอย่าไปเชื่อ ตอนที่พระเยซูถูกตรึง ก็คือเปลือยกายไม่ได้สวมใส่อะไร และตอนที่พระเยซูถูกจับ ถูกตี ถูกเฆี่ยน ที่สถานที่ที่เขาทรมานนักโทษ ก็คือพระเยซูถูกถอดรองเท้า แล้วก็ผ้าโพกศีรษะก็ไม่มี และเขาเอาหนามทำเป็นมงกุฎสวมบนศีรษะของพระเยซู ก็คือตอนนั้นพระเยซูใส่เสื้อชั้นนอกและเสื้อชั้นใน พระเยซูไม่มีชุดชั้นในนะครับไม่มี
ปกตินะครับคืออย่างที่ผมพูดชาวยิวนิยมใส่ผ้าโพกศีรษะ เสื้อคลุมด้านนอก เสื้อใน และชุดชั้นใน และรองเท้า แต่ตอนที่พระเยซูถูกจับมา ก็คือผ้าโพกศีรษะถูกถอดออกไปเพื่อทุบตี และรองเท้าก็ไม่ได้สวมใส่ มีแต่เสื้อด้านนอก เสื้อคลุมและเสื้อใน ไม่มีชุดชั้นใน ขอย้ำนะครับ
แต่พอมาถึงกางเขน พอตรึงบนกางเขนเขาจะถอดทั้งหมดไม่มีอะไร ไม่สวมใส่อะไร ก็คือเปลือยกาย ภาพวาดทั้งหลายนะครับคือคริสเตียนทำแบบนี้เพื่อให้เกียรติพระเยซูนะครับ แต่ศาสนศาสตร์หลายคนเข้ารู้กันดีนะครับเขารู้ดี ว่าพระเยซูเปลือยกายไม่ได้สวมใส่อะไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนะครับ หนังหลายๆ เรื่องหรือภาพวาดที่เราเห็น ก็คือเพื่อให้เกียรติพระเยซู
ถ้าจะค้นดูความจริงถ้าจะเรียนรู้จริงๆ นักศาสนศาสตร์ ศาสนาจารย์ ศิษยาภิบาลหลายคนเขารู้ดีว่าพระเยซูถูกตรึงบนกางเขน ก็คือเปลือยกายไม่ได้สวมใส่อะไร
สำหรับพี่น้องหลายคน หรือคริสเตียนหลายคนที่ได้เรียนรู้ เข้าสู่ความรู้ที่ล้ำลึก หรือได้เรียนรู้ความจริง ถึงแม้จะไม่มาถึงมานา เขาก็แทบจะร้องไห้คือซาบซึ้งในความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซูมาก พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เหนือจักรวาลประทับอยู่บนสวรรค์ที่พระที่นั่ง เสด็จลงมายังโลกนี้ รับร่างกายมนุษย์ และยอมถูกเปลือยกาย ถูกประจานที่กางเขน ให้คนเดินไปเดินมาเห็นหลายชั่วโมง มันเป็นสิ่งที่อับอายมาก แต่พระเยซูถือว่าทำเพื่อให้พวกเราที่น่าจะเป็นคนที่ถูกอับอายขายหน้า แต่พระองค์เป็นคนรับแทน เราสรรเสริญ เรายกย่อง เราขอบพระคุณ และเรารักพระเยซูของเรา เอเมน พระองค์เป็นพระเจ้าที่ถ่อมใจมาก