- การเปลี่ยนความคิดนำมาซึ่งการรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ (โรม 12:2)
- Be transformed by the renewed of the your mind (Rom 12:2)
- เราคิดว่าเราสวมอาวุธครบใน เอเฟซัส 6 แต่แท้ที่จริง เราเปลือยกายอยู่
เมื่อเปโตรและสาวก รับใช้ ประกาศข่าวประเสริฐ ในช่วงแรกๆ เขาหลงทาง เปโตรและสาวกทั้งหลาย พี่น้องผู้เชื่อชาวยิวเขาก็ยังไปนมัสการพระเจ้าที่พระวิหาร ไปร่วมสามัคคีธรรมที่ธรรมศาลา เขายังรักษาพระบัญญัติเดิม และยังอยู่ใต้พันธสัญญาเดิมของพระเจ้า เขาไม่เข้าใจเรื่องของการเปลี่ยนแปลง เรื่องยุคเก่ายุคใหม่ เรื่องพระบัญญัติเดิม พระบัญญัติใหม่ พันธสัญญาเดิม พันธสัญญาใหม่ การนมนัสการแบบใหม่ การดำเนินชีวิตแบบใหม่ ทุกสิ่งใหม่หมดแล้ว
เปโตรก็นำพี่น้องไปนมัสการกับชาวยิวที่พระวิหาร สาวกและผู้เชื่อมากมายยังอยู่ในพระบัญญัติเดิม เมื่อถึงเวลาที่อาจารย์เปาโลกับใจเป็นคริสเตียน และได้รับการถ่ายทอดความรู้ฝ่ายวิญญาณ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ อาจารย์เปาโลจึงมาเตือนเปโตรและสาวกทั้งหลาย ว่าเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับชาวยิว และพระบัญญัติเดิม และพันธสัญญาเดิม และศาสนายิวอีกต่อไปแล้ว
เราคือผู้เชื่อที่ติดตามพระเยซู เราอยู่ในยุคพระคุณแล้ว เราอยู่ในยุคพระบัญญัติใหม่แล้ว เราอยู่ใต้พันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าทำกับเราผ่านพระเยซูคริสต์ ซึ่งเมื่อก่อนชาวยิวอยู่ใต้พันธสัญญาเดิม ซึ่งพระเจ้าทำผ่านท่านโมเสส ต่อชนชาติอิสราเอล
ขอบคุณพระเจ้าที่เปโตรและสาวกทั้งหลายก็ถ่อมใจ จึงนำพี่น้องคริสเตียนยิวออกมาจากศาสนายิวโดยสิ้นเชิง คือไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว เราจะเห็นว่าหนังสือวิวรณ์ 3:9 กล่าวถึงข้อบกพร่องของชาวยิว คือชาวยิวตกจากตำแหน่งของการเป็นคนยิวแล้ว ทุกวันนี้ยิวแท้ คือเราคริสเตียน เราเป็นยิวฝ่ายวิญญาณ เราเป็นลูกหลานของอับราฮัมฝ่ายวิญญาณ
และธรรมศาลาทุกวันนี้เป็นที่อยู่ของซาตาน พระเจ้าไม่อยู่แล้ว พระวิหารก็ถูกทำลายแล้ว ชาวยิวเก็บสะสมความบาปไว้ตั้งแต่วันที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ พระเจ้ายกเลิกพระบัญญัติเดิม พันธสัญญาเดิม และก่อตั้งพันธสัญญาใหม่ และพระบัญญัติใหม่ ผ่านทางพระเยซู และพระเยซูก่อตั้งพระบัญญัติใหม่ในหนังสือมัทธิวบทที่ 5 บทที่ 6 และบทที่ 7
พระเจ้าทุกวันนี้ไม่อยู่กับชาวอิสราเอลแล้ว พระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับเราทุกๆ คนที่เป็นพระวิหารของพระเจ้า 1 โครินธ์ 6:19-20 กล่าวว่า เราเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นที่อยู่ของพระเจ้า พระเจ้าออกจากพระวิหารที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเมื่อสองพันปีก่อน ผ้าม่านฉีกขาดตั้งแต่บนสุดจนถึงล่างสุดเลย แล้วเราจะเห็นว่าพระคัมภีร์หลายข้อหลายตอนเหลือเกินที่กล่าวถึง การทรงสถิตอยู่ภายในวิญญาณของเรา ของพระเจ้าทั้งสามพระภาค โดยทางพระเยซูที่ทำให้ทุกสิ่งสำเร็จได้
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือเรื่องของการเติบโตในชีวิตใหม่ เมื่อเราอ่าน เรากินเพื่อให้โต คือความหมายที่เราอ่าน เราต้องเข้าใจ พระคำทุกข้อทุกตอนที่เราอ่าน เราตีความหมาย ต้องสอดคล้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ต้องการสื่อกับเรา
เมื่อก่อนเราอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเพื่อเคลื่อนไหวทำงานในขณะที่เรานมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ใช่ไหม เราจะได้ยินบ่อยมาก โอ้ ขอเชิญพระวิญญาณเสด็จลงมา เคลื่อนไหวในท่ามกลางคริสตจักรของเรา โอ้ เราเป็นคนบาปใช่ไหม ข้าพระองค์เป็นคนบาป โอ้ ขอเชิญพระเยซูคริสต์อยู่กับพวกเรา อยู่ในท่ามกลางคริสตจักรแห่งนี้ โอ้ ขอเสริมกำลังพวกเราด้วยตอนนี้ขาดกำลังเหลือเกิน ขอให้คริสตจักรของเราเนี่ยมีแต่ความรัก สามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ขอพระเจ้าเสริมกำลัง โอ้ พวกเราอยากเป็นเหมือนพระเยซู เราต้องเป็นเหมือนพระเยซูให้ได้ ยุคนี้เป็นยุคสุดท้ายแล้วใช่ไหม เราก็ได้ยินคำนี้บ่อยๆ นะครับ เราต้องมีชีวิตใหม่ เราต้องเปลี่ยนแปลง เราต้องพยายามรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า ต้องเชื่อฟังเพราะว่าเราเป็นบุตรพระเจ้า
คือมีความผิดพลาดความบกพร่องมีความเชื่อที่ผิด ต่อพระวจนะคำของพระเจ้าต่อความจริงของพระเจ้าอย่างมากมายเลยทุกวันนี้ คือเราจะอ่านพระคำพระเจ้า เราจะสอน เราจะแบ่ง เราจะเทศนา เราจะทำอะไรก็ตาม เรามีพระคำพระเจ้า เราเป็นคริสเตียน แต่ชีวิตของเราไม่ได้ไปตามที่เราสอนเราพูดเราคุยเราแบ่ง ชีวิตของเราเนี่ยอยู่ห่างไกลจากความจริงของพระเจ้ามาก ถูกไหม..
เมื่ออาจารย์เปาโลกลับใจเป็นคริสเตียน พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนอาจารย์เปาโลเองเลย เมื่ออาจารย์เปาโลออกมาจากทะเลทราย กลับมารับใช้พระเจ้า ท่านเตือนเปโตรและสาวกทั้งหลายว่า สิ่งที่พวกเธอทำเนี่ยไม่ถูก เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับชาวยิว ศาสนายิว พระบัญญัติเดิม พันธสัญญาเดิม
แต่เราอยู่ใต้พระคุณ เราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นมนุษย์วิญญาณ เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว พระเจ้าอยู่กับเรา พระวิญญาณไม่เคยออกไปจากเรา พระคริสต์เป็นกำลังของเรา ไม่ต้องขอพระเจ้าให้เสริมกำลังของเรา เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป แต่เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว (ในพระคริสต์) เราได้รับการชำระโดยทางความเชื่อ เราไม่ต้องอัญเชิญพระวิญญาณลงมาทำงานเคลื่อนไหวในคริสตจักรในขณะที่เรานมัสการพระเจ้า ยุคนี้เป็นยุคที่ 3 ไม่ใช่ยุคสุดท้าย
ยุคแรกคือยุคบาป ยุคที่สองคือยุคพระบัญญัติ ยุคที่สามคือยุคนี้ยุคพระคุณ และยุคหน้าก็คือยุคอาณาจักรซึ่งเป็นยุคสุดท้าย เราจะเห็นว่าพระเยซูตรัสถึงยุคหน้ายุคนี้ ยุคหน้ายุคนี้ตลอดเลยบ่อยเหลือเกิน
ซึ่งอาจารย์เปาโล พระวิญญาณบริสุทธิ์ใช้ท่านให้มาช่วยเปิดตา ให้มาช่วยนำทางของพี่น้องผู้เชื่อมากมายในช่วงแรก ให้กลับใจ ให้ดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ให้ดำเนินชีวิตที่เข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า และขอบพระคุณพระเจ้าที่พี่น้องผู้เชื่อเหล่านั้นและเปโตรถ่อมใจเชื่อฟังอาจารย์เปาโล แต่ก็ยังมีพี่น้องคริสเตียนมากมายที่ไม่ยอมเชื่อฟังท่าน และหาว่าท่านเชื่อผิด คือปัญหานี้มีมาตั้งแต่สมัยแรกๆ แล้วนะ
เราจะเห็นว่าคนที่เชื่อผิดมีมากกว่าคนที่เชื่อถูก คือเรามักจะเข้าใจผิดใช่ไหมว่า ถ้าหากว่ามีกลุ่มใหญ่ๆ มีคณะนิกายที่ใหญ่ๆ ใครก็เชื่อกันแบบนี้ เราก็คิดว่า เอ่อ น่าจะถูกใช่ไหม เราก็ไปตามเขา
แต่ถ้าที่จริงเราจะเห็นว่าพระเยซูถูกโจมตีถูกกล่าวหา ชาวยิว ฟาริสี ธรรมอาจารย์ สะดูสี ปุโรหิต กล่าวหาว่าพระเยซูเนี่ยผิด และเมื่อถึงสมัยของอาจารย์เปาโลพี่น้องคริสตจักรมากมายก็กล่าวหาว่าอาจารย์เปาโลผิด และเมื่อมาถึงยุคคาทอลิกรุ่งโรจน์ทุกคนก็เชื่อกันว่าคริสเตียนคาทอลิกถูกหมดใช่ไหม
แต่ในที่สุดพระเจ้าแยกผู้เชื่อจำนวนหนึ่งออกมา และกลายเป็นคริสเตียนโปรเตสแตนต์ทุกวันนี้ และในทุกวันนี้ก็มีความเชื่อที่ผิดแปลกผิดเพี้ยนมากมายเต็มในคริสตจักร แต่เราไม่รู้ตัว
คริสเตียนดำเนินชีวิตอยู่ ใต้พระบัญญัติเดิม ทั้งพระบัญญัติใหม่ ใช้ชีวิตของอาดัมพยายามเปลี่ยนแปลงทำดี ความเชื่อผิดๆ ถูกๆ เกิดมีคณะ มีนิกาย มีกลุ่มมากมาย ที่เมื่อเข้ากันไม่ได้ ความคิดไม่เหมือนกัน การแปลการตีความหมายพระคำพระเจ้าไม่เหมือนกัน ก็ต้องแยกจากพรากกันไป อยู่คนละที่ คนละแห่ง คนละมุม คนละคณะ คนละนิกาย แล้วไม่เพียงแต่เท่านั้นนะครับ แต่ละกลุ่มก็โจมตีกล่าวหาว่าอีกกลุ่มหนึ่งผิด กลุ่มเราถูก ในที่สุดคริสเตียนก็กลายเป็นศาสนาจนได้
ซาตานทำงานเงียบๆ อยู่ภายในคริสตจักร เราเนี่ยไม่รู้ตัว และเราคิดว่าเราสวมอาวุธยุทธภัณฑ์ครบชุด แต่แท้ที่จริงแล้ว พี่น้องคริสเตียนมากมายทั่วโลกทุกวันนี้ ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าใส่ อย่าว่าแต่อาวุธเลย
สำหรับพระเจ้ามองเรา ในหนังสือวิวรณ์ 3:17 กล่าวว่า เราเปลือยกายอยู่ คือชีวิตของเราไม่มีชีวิตของพระคริสต์ทำแทนเรา อันนี้เรียกว่าเปลือยกาย (เปลือยกาย = ไม่มีพระคริสต์เกิดผลในเขา)
เราจะทำดีมากมายแค่ไหน แต่เราไม่รู้ว่าเราเป็นคนใหม่แล้ว เราไม่รู้ว่าเราตายแล้วกับพระเยซูเมื่อ 2,000 ปีก่อน เราไม่รู้ว่าขณะนี้ทุกวันนี้เราใหม่ ใหม่ ใหม่ ชอบธรรม ชอบธรรม ชอบธรรม เราเป็นคนดีแล้วต่อสายพระเนตรพระเจ้า เรามีพระคริสต์เป็นเสื้อที่ดีที่สุดที่ให้เราสวมใส่ เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไปแล้ว เราไม่ต้องขอกำลังเสริม ขอพระเจ้าเสริมกำลังด้วย เราไม่ต้อง เพราะว่าพระคริสต์เป็นกำลังของเรา แล้วเราไม่ต้องขอพระวิญญาณเข้ามาอยู่เข้ามาสถิตอยู่ในเรา เพราะว่าเมื่อเราเชื่อ พระเจ้าก็อยู่กับเรา พระวิญญาณก็อยู่กับเราแล้ว
คือมีปัญหาความเชื่อผิดที่มากมายเหลือเกินที่ซาตานทำงานสำเร็จ หลอกเราได้สำเร็จ เราถูกหลอกโดยที่ไม่รู้ตัว เรามองเห็นว่าชาวโลกคนที่ไม่เชื่อหรือใครก็ตามถูกหลอกถูกโกงมีการหลอกลวงต้มตุ๋นกันเยอะมากทุกวันนี้ เราเห็นเราก็บอกว่า โอ๊ยเนี่ยสงสารเขาเหลือเกิน แต่แท้ที่จริง เราเนี่ยน่าสมเพชมากกว่าใคร เพราะว่าเราเป็นคริสเตียน เข้ามาใกล้พระเจ้าแล้ว แต่ยังมาไม่ถึงพระเจ้า เราคิดว่าเราสวมเสื้อ แต่เราเปลือยกายอยู่
ขอพระเจ้าช่วยเราที่จะเข้าใจการดำเนินชีวิตที่แท้จริง การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง การดำเนินชีวิตที่อยู่ในความสว่างที่แท้จริง
ความมืด ก็คือ การดำเนินชีวิตที่อยู่ในความไม่จริง เชื่อผิดๆ ถูกๆ แต่ความเชื่อที่ผิดนะครับมีมากกว่าความเชื่อที่ถูกต้อง ทำให้เราไม่สามารถที่จะเติบโตได้
ในโรม 12:2 พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสผ่านอาจารย์เปาโลว่า จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ จงรับ ไม่ใช่ จงเปลี่ยน จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ ภาษาอังกฤษก็คือ Be transformed / Be transformed คืออะไร Be transformed ก็คือจงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ และคำว่า Be transformed ภาษากรีกและภาษาอังกฤษใช้ในความหมายที่เป็นอดีตกาลแล้ว คือมันผ่านไปแล้ว
หมายความว่ายังไง จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่แล้ว ก็คือจงรับการเปิดตา ให้รู้ว่าท่านเป็นคนที่มีจิตใจใหม่แล้ว อาจารย์เปาโลกล่าวต่อไปอีกว่า จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่แล้ว ด้วยการรับการเปลี่ยนความคิดของท่าน ด้วยการเปลี่ยนความคิด คือเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนความคิด ยุคนี้ไม่ใช่ยุคสุดท้าย สิ่งที่สูงสุดเป้าหมายที่สูงสุดของคริสเตียน ก็คือ แสวงหาราชอาณาจักรสวรรค์ ไม่ใช่แสวงหาสวรรค์ พระเยซูสั่งเราใช่ไหมว่าจงแสวงหาราชอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน พระเยซูไม่ได้บอกว่าจงแสวงหาสวรรค์
เพราะว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว ความรอดก็เป็นของเรา สวรรค์ก็เป็นของเรา พระเจ้าอยู่ที่ไหนสวรรค์ก็อยู่ที่นั่น และเราก็จะอยู่ที่นั่นกับพระเจ้า อันนั้นเรียกว่าสวรรค์ แม้แต่ทุกวันนี้สวรรค์ก็อยู่ที่นี่แล้ว เมื่อเรามีสันติสุขทุกวันเวลานาที เมื่อเราอยู่ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในเรา เมื่อเราดำเนินชีวิตไม่เคยเป็นทุกข์ ไม่เคยกระวนกระวาย ไม่เคยขาดสันติสุข ไม่กระหายอีกเลย นี่แหละคือสวรรค์บนดินของเรา
แต่สิ่งที่เราควรจะแสวงหา ก็คือราชอาณาจักรสวรรค์ หรือราชอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งพระเยซูจะนำลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้เป็นเวลาพันปี ที่ผู้เชื่อมากมายไม่มีโอกาสได้เข้าไป พี่น้องคริสเตียนส่วนมากมักจะเข้าใจผิดคิดว่าพระคัมภีร์มัทธิวบทที่ 7:21-23 พระเยซูกล่าวถึงผู้เชื่อที่หลงหาย ผู้รับใช้ที่เลิกรับใช้พระเจ้า และเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา ก็ต่อว่าพระเยซูว่าขอเข้าไปด้วย
แต่แท้ที่จริงพี่น้องผู้เชื่อผู้รับใช้เหล่านั้น ในมัทธิวบทที่ 7:21-23 ก็คือผู้เชื่อที่ยังรับใช้อยู่ คือผู้เชื่อและผู้รับใช้ที่ยังทำงานการรับใช้พระเจ้าอยู่ แต่ก่อชีวิตการรับใช้การเชื่อฟังพระเจ้าไม่ถูก เขาก่อไม่เป็น
ถามว่า... ก่อยังไงก่อไม่เป็น คือใช้ตัวอาดัมไง เราใช้ตัวอาดัมทุกวันนี้ทำดี เพื่อรับใช้พระเจ้า เพื่อเชื่อฟังพระเจ้า เป็นความดีที่ตายแล้ว พระเจ้ารับไม่ได้
แต่คนที่ก่อถูกก่อเป็น ก็คือการให้พระคริสต์ทำแทนเรา ดำเนินชีวิตแทนเรา เพื่อให้เราเชื่อฟังพระเจ้าได้ ตามลักษณะที่พระเจ้าต้องการ เรารับใช้พระเจ้าด้วยตัวใหม่ ด้วยบุคคลที่บังเกิดใหม่ และมีพระคริสต์ทำกับเราร่วมกับเราในเราเพื่อเรา
ยุคนี้ไม่ใช่ยุคสุดท้าย แต่เป็นยุคที่ 3 และคริสเตียนไม่ใช่ทุกคนจะถูกรับขึ้น คนที่สุกงอม คือผู้ชนะเท่านั้น ที่จะถูกรับขึ้นไป
และเมื่อถึงยุคพันปี พระเยซูนำราชอาณาจักรลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้ ไม่ใช่ผู้เชื่อทุกคนที่จะได้เข้าไปข้างใน หนังสือมัทธิวพระเยซูตรัสถึง การเข้าใน และการไม่ได้เข้าใน คือผู้เชื่อที่ชนะแล้วก็เข้าใน ผู้เชื่อที่ไม่ได้ชนะ ไม่ได้ชัยชนะ เป็นคริสเตียนศาสนา เป็นคริสเตียนเด็กทุกวันนี้ คือผู้ที่จะต้องอยู่ข้างนอกเพื่อใช้หนี้ให้ครบกำหนดพันปี
เนื่องจากว่าทุกวันนี้เราแสวงหาอะไร เราดำเนินชีวิตอยู่เพื่อใครกันแน่ เราให้พระเจ้ากี่เปอร์เซ็นต์ สิบเปอร์เซ็นต์หรอ พระเจ้าต้องการร้อยเปอร์เซ็นต์
ความรักที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ เป็นความรักฟิเลโอ หรือความรักอากาเปกันแน่
เราจะเห็นว่า คริสตจักรก็ดี ในครอบครัวก็ดี ในที่ทำงานก็ดี ทุกที่ เราไม่เห็นมีคำว่าอากาเป้ออกมา แต่เราจะเห็นฟิเลโอเท่านั้น คืออย่ามาทำให้ฉันโมโหน่ะ อย่ามาทำให้ฉันโกรธฉันเกลียดแกน่ะ และความอดทนเราก็ไม่มี เป็นความอดทนของอาดัม
สรุปก็คือ ชีวิตของเราทุกวันนี้เราไม่ได้ใช้ตัวใหม่ เราไม่ได้ดำเนินชีวิตโดยที่พระเยซูคริสต์ทำแทนเรา และเมื่อถึงเวลาที่พระเยซูเสด็จมาในมัทธิวบทที่ 7:21-23 พระเยซูก็จะปฏิเสธเรา
อีกครั้ง โรมบทที่ 12:2 จงรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ ด้วยการเปลี่ยนความคิดของท่าน คือเปลี่ยนความคิดใหม่ เปลี่ยนมุมมองนะครับ เมื่อก่อนเราอ่านพระคัมภีร์เราแปลความหมายเราตีความหมายผิดๆ ถูกๆ
แต่ขอพระเจ้าเปิดตาเรา ขอพระเจ้าเปลี่ยนความคิดของเรา ให้เข้าใจพระคำพระเจ้าในลักษณะที่ถูกต้อง ตามพระวิญญาณที่ต้องการสื่อกับเรา
เราขอบพระคุณพระเจ้าที่พระเจ้าใช้อาจารย์เปาโล เพื่อให้มาช่วยพี่น้องคริสเตียนในช่วงคริสตจักรยุคแรก และทุกวันนี้เรามีพระวจนะคำของพระเจ้าที่ผ่านทางอาจารย์เปาโล เป็นประโยชน์ มีคุณค่ามากมาย ซึ่งไม่ใช่อาจารย์เปาโลเองที่เขียน พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้สัมผัสและดลจิตใจของท่านและเปิดตาท่านให้เข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตที่อยู่ใต้พระคุณที่แท้จริง อยู่ในยุคพระบัญญัติใหม่ที่แท้จริง
และทุกวันนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตามมาเพื่อเปิดตาเรา เพื่อให้เรามีโอกาสได้เข้าใจ พระวจนะคำของพระเจ้าตามความหมายที่ถูกต้อง
- บรรดาผู้ที่ทำงานหนัก และแบกภาระหนัก จงมาหาเรา
ผู้ที่ทำงานหนัก ก็คือ ทำงานหาเลี้ยงชีพในแต่ละวัน
และแบกภาระหนัก ก็คือ แบกพระบัญญัติ
คือมนุษย์เราจะมีปัญหา 2 อย่างนี่แหละ คือ 1.ทำงานหนัก ทำงานหาเลี้ยงชีพ และปัญหาที่ 2. ก็คือคริสเตียนเราเนี่ย มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการรักษาพระบัญญัติ การเชื่อฟังใช่ไหม
คริสเตียนทุกวันนี้ไม่มีความสุข กลัวพระเจ้า ชีวิตขึ้นลง ขึ้นลง เนื่องจากว่าเราเลิกทำบาปไม่ได้ ทำให้เราแบกภาระหนักมากใช่ไหม การเชื่อฟังพระเจ้าในแต่ละวันได้ คือต้องทำงานหนักมาก ต้องฝืน ต้องอดกลั้น ต้องพยายามเหลือเกิน ต้องตื่นแต่เช้า อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน ไปโบสถ์ รับใช้ คือพยายามใช้ชีวิตอยู่ในความเชื่อ อยู่ในสังคมคริสเตียน เพื่อรักษาการเป็นคนที่ชอบธรรมไว้ตลอด
แต่ยิ่งทำมากเท่าไหร่ เราก็เหนื่อย เราก็เหนื่อยและเกิดอาการท้อ และเบื่อหน่ายต่อสังคมคริสเตียน ที่เราทำมาเท่าไหร่ ผลที่เราได้รับก็ไม่ได้เป็นดังที่เราปรารถนาเราคาดคิดไว้
ขอพระเจ้าช่วยเรา ที่เราจะมาถึงชีวิตของการเป็นผู้ชนะ คือรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ ด้วยการเปลี่ยนความคิด คือให้พระเจ้าเปิดตาเรา ให้เห็นความจริงของพระคำพระเจ้า ให้รู้ว่ายุคนี้เป็นยุคไหน ให้รู้ว่าสิ่งที่เราแสวงหาแท้ที่จริง เป็นราชอาณาจักรของพระเจ้า หรือว่าสวรรค์ ให้เรารู้ว่าเราเป็นคนบาปหรือคนชอบธรรม ให้เราเข้าใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ตอนนี้อยู่ที่ไหน เราต้องอัญเชิญพระวิญญาณเสด็จมาเพื่อเคลื่อนไหวท่ามกลางคริสตจักรไหม หรือว่าพระเยซูสัญญาแล้วว่า สองคนอยู่ร่วมกันที่ไหน เราก็อยู่ที่นั่นแล้ว
คือมีมากมายหลายสิ่งเหลือเกินที่เราเชื่อผิดๆ ถูกๆ ขอพระเจ้าช่วยเราที่จะนำเรามาถึงจุดแห่งการเชื่อที่ถูก และเมื่อเราเชื่อถูก เราก็สะสมพระคำพระเจ้าที่เป็นมานาที่ซ่อนไว้ ที่เป็นความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และพระคำของพระเจ้าที่เป็นความจริงที่ถูกต้องก็จะเปลี่ยนเราได้ และปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ
เคล็ดลับของการดำเนินชีวิตคริสเตียนอยู่ตรงนี้ คือเราอย่าหวังว่าพระเจ้าจะเปลี่ยนสามีภรรยาเรา ลูกเรา เพื่อนในที่ทำงาน และที่คริสตจักร แต่การทำงานของพระเจ้าทุกวันนี้ พระเจ้าต้องการที่จะเปลี่ยนเราก่อนใคร ในเอเสเคียลบทที่ 36:26-27 พระเจ้าตรัสว่า เราจะให้วิญญาณใหม่แก่เจ้า เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และสัญญาข้อนี้สำเร็จเมื่อพระเยซูคริสต์ฟื้นคืนพระชนม์
พระเยซูคริสต์เป็นวิญญาณที่แจกจ่ายชีวิตของพระองค์ได้ เป็น life giving spirit เป็น spirit เป็นวิญญาณที่สามารถแจกจ่ายชีวิตได้ พระองค์ให้ชีวิตของพระองค์เข้ามาอยู่กับเราทุกคน เพื่อเอาชนะตัวบาปที่มันอยู่ในเรา
การเปลี่ยนความคิดใหม่ที่สำคัญที่สุด ซึ่งพระเจ้าจะทำงานและเปิดตาเรา ก็คือเราได้เป็นคนใหม่แล้ว เราเป็นผู้ชนะแล้ว เรามีสันติสุขทุกวันเวลานาทีได้ ซึ่งพระคริสต์เป็นบ่อน้ำพุที่อยู่ภายในตัวเราจะให้เราได้สัมผัสสันติสุขนั้นโดยที่เราไม่กระหายอีกเลย ตามที่พระเยซูสัญญาในยอห์นบทที่ 4:14
และพระคริสต์เป็นคำตอบของปัญหาทุกสิ่ง คือถ้าหากว่าเราขาดกำลัง พระคริสต์ก็เป็นกำลังของเรา เราไม่ต้องขอพระเจ้าให้เสริมกำลังของเราอีกแล้ว เราจะได้ยินบ่อยมากใช่ไหมในคริสตจักร และเมื่อเราขาดรัก พระคริสต์ก็เป็นความรักของเรา เมื่อเราขาดอะไร พระคริสต์ก็เป็นอันนั้น
คือทุกวันนี้มีหลายสิ่งเหลือเกินที่เราไม่จำเป็นต้องขอ เพราะว่าพระเจ้าประทานให้เราแล้ว เพียงแต่เราถูกเปิดตาให้รู้ให้เข้าใจว่ามีอะไรบ้างที่พระเจ้าให้แล้ว มีอะไรบ้างที่เราควรจะขออยู่ มีอะไรบ้างที่เราควรทำ และมีอะไรบ้างที่เราไม่ต้องทำ
การเป็นผู้ชนะไม่ใช่ว่าเราจะพยายามให้เป็นผู้ชนะให้ได้ ไม่นะ แต่ด้วยการเชื่อว่าเราเป็นผู้ชนะแล้ว การเป็นคนใหม่ไม่ใช่ว่าเราจะพยายามทำตัวให้เป็นคนใหม่ เราจึงจะเป็นคนใหม่ แต่ไม่นะ เราเป็นคนใหม่แล้ว เชื่อเท่านั้น
การที่จะมีสันติสุข ก็คือเชื่อว่าเรามีสันติสุขแล้ว ยิ้ม เมื่อยิ้ม และเชื่อ สรรเสริญพระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ เราก็จะเห็นสันติสุขทำงาน
เมื่อเราอ่อนแอ เราบอกว่าขอบพระคุณพระเจ้า ข้าพระองค์เข้มแข็ง ในพระคริสต์ไม่มีความอ่อนแอ เราจะเห็นความเข้มแข็งเกิดขึ้น เนื่องจากว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคนทำ
คือชีวิตคริสเตียนทุกสิ่งทุกอย่างจบลงแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เพราะว่าพระเจ้าทำแล้ว และพระเจ้าประทานชัยชนะให้แก่เรา เราเป็นผู้ชนะ เนื่องจากว่าเราเนี่ยช้าเราตามพระเจ้าไม่ทัน
และสิ่งเดียวเท่านั้นในชีวิตคริสเตียนที่จะเติบโตได้ ก็คือการ “ถูกเปิดตา” พระเจ้าต้องการเปิดตาเรา ให้รู้ว่าชีวิตของเราสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว
แต่พี่น้องคริสเตียนส่วนมากทุกวันนี้ไม่รู้ไม่เข้าใจ
การได้รับการเปิดตาให้เห็นความจริงของพระเจ้า เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่เราต้องการ ทุกวันนี้เราไม่ต้องการอะไร คำว่า “จำเริญขึ้นในพระคุณ” ก็คือ การได้รู้ให้ครบ การได้เห็นเหมือนพระเจ้าเห็น การรู้เหมือนพระเจ้ารู้ การมองเหมือนพระเจ้ามอง และถ้าหากเรามีตาทิพย์ มีตาของพระเจ้า เราเห็นพระคำพระเจ้าทะลุ ชีวิตของเราก็อยู่ในสวรรค์บนดิน และเราแบกภาระที่เบามาก เราเห็นสัญญาของพระเยซูสำเร็จในชีวิตของเราได้
แต่ถ้าหากว่าตาของเรายังปิด หรือว่าเห็นเพียงแค่เล็กน้อย เราก็จะมาไม่ถึงผู้ชนะ และชีวิตของเราก็จะเป็นเหมือนเดิมขึ้นลงสุขทุกข์ดีบาปไปจนตาย