9:1 ข้าพเจ้ามิได้เป็นอัครสาวกหรือ ข้าพเจ้ามิได้มีเสรีภาพหรือ ข้าพเจ้ามิได้เห็นพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือ ท่านทั้งหลายมิได้เป็นผลงานของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ
** มีเสรีภาพ เปาโลไม่ได้เป็นทาสของใคร ไม่ได้เป็นหนี้ใคร ไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับหรือบงการของใคร ไม่ต้องกลัวเรื่องการกินดื่มเหมือนชาวยิว ซึ่งนี่คือสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนควรจะเป็น
(เปาโลไม่ได้สังกัดคณะไหนไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครแต่ขึ้นตรงต่อพระเยซู)
** การได้เห็นพระเยซู ได้กินอยู่ไปมากับพระเยซูเป็นเวลาสามปีกว่า และมีของประทานในการประกาศข่าวประเสริฐ ท่านจึงมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเป็นอัครสาวกของพระเยซูได้
** ผู้เชื่อมากมายในเมืองโครินธ์ได้รับข่าวประเสริฐจากท่านและรู้จักท่านดี
(มีบางคนตั้งข้อสงสัยว่าเปาโลเป็นอัครทูตหรือไม่)
เปาโลเป็นอัครสาวก ไม่ได้เป็นทาสใครแต่มีเสรีภาพ เคยเห็นพระเยซูคริสต์ คริสตจักรที่เมืองโครินธ์เป็นผลงานของท่าน
9:2 ถ้าข้าพเจ้ามิได้เป็นอัครสาวกในสายตาของคนอื่น ข้าพเจ้าก็ยังคงเป็นอัครสาวกในสายตาของท่านอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะพวกท่านคือตราตำแหน่งอัครสาวกของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า
** พวกท่านคือตราตำแหน่ง คือผลงานการประกาศต่อชาวเมืองนี้ คือตราเพื่อยืนยันตำแหน่งอัครสาวกของเปาโล
** หนึ่งในคุณสมบัติของการเป็นอัครทูตของเปาโล คือเป็นผู้บุกเบิก และก่อตั้งคริสตจักรที่เมืองโครินธ์
9:3 ถ้าผู้ใดสอบสวนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะบอกว่า
9:4 เราไม่มีสิทธิ์ที่จะกินและดื่มหรือ
** เปาโลมีสิทธิ์ที่จะดื่มและกินโดยรับจากคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ ที่น่าคิดก็คือคริสตจักรแห่งนี้ไม่ได้ยากจน แต่ทำไมเปาโลไม่รับทำไมต้องเย็บเต็นท์เอง
9:5 เราไม่มีสิทธิ์ที่จะพาพี่น้องซึ่งเป็นภรรยาไปไหนๆ ด้วยกัน เหมือนอย่างอัครสาวกอื่นๆ และบรรดาน้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเคฟาสหรือ
** 1 คร 7:8 ยืนยันว่าขณะที่เปาโลเขียนหนังสือเล่มนี้ ท่านไม่มีภรรยา
แต่ข้อนี้ท่านกล่าวในฐานะเป็นตัวแทนให้กับพี่น้องชายที่มีภรรยา และสามารถพาภรรยาของตนเดินทางไปไหนมาไหนด้วยได้ในฐานะพี่น้องหญิงเพื่อรับใช้ร่วมกัน
** เปาโลมีสิทธิ์ที่จะแต่งงาน และมีครอบครัว
แต่ท่านเลือกที่จะไม่แต่งงาน เพราะมีของประทานในการอยู่เป็นโสดและไม่อยากมีใจสองฝักสองฝ่าย (*ผู้รับใช้พระเจ้าแต่งงานได้*)
9:6 เฉพาะข้าพเจ้าและบารนาบัสเท่านั้นหรือที่ไม่มีสิทธิ์จะเลิกทำงานหาเลี้ยงชีพ
** อีกข้อหนึ่งยืนยันว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะรับการเลี้ยงดูจากคริสตจักร แต่ท่านไม่รับเอง
** อีกเหตุผลหนึ่ง คือท่านไม่อยากให้ใครมีข้อมาตำหนิเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในการรับใช้พระเจ้าว่าทำเพื่อเงิน
** เรื่องการเงินของคริสตจักรจึงจำเป็นต้องทำให้ชัดเจนไม่ให้ขึ้นกับคนหนึ่งคนใดทำบัญชีเอง ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งการล่อลวงหรือการกล่าวหาจากผู้อื่นได้
9:7 ใครบ้างที่เป็นทหารไปในการศึกสงคราม และต้องกินเสบียงของตัวเอง หรือใครบ้างที่ทำสวนปลูกต้นองุ่น และมิได้กินผลองุ่นในสวนนั้น หรือใครบ้างที่เลี้ยงสัตว์และมิได้กินน้ำนมของฝูงสัตว์นั้น
** สิทธิ์ของทหาร คือกินเสบียงของกองทัพ
เช่นเดียวกับคนที่ทำสวนองุ่นก็สามารถกินผลองุ่นในส่วนนั้นได้
คนที่เลี้ยงสัตว์ก็สามารถกินน้ำนมของฝูงสัตว์นั้นได้
เปาโลยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะรับการเลี้ยงดูจากคริสตจักร
9:8 ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนี้ตามอย่างมนุษย์หรือ พระราชบัญญัติมิได้กล่าวอย่างนี้เหมือนกันหรือ
** ในพระบัญญัติเดิมก็สนับสนุนการเลี้ยงดูผู้ปรนนิบัติพระเจ้าจากการถวายของพี่น้อง
9:9 เพราะว่าในพระราชบัญญัติของโมเสสเขียนไว้ว่า `อย่าเอาตะกร้าครอบปากวัว เมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่' พระเจ้าทรงเป็นห่วงวัวหรือ
** เหมือนกับวัวเมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่มันก็สามารถกินข้าวตรงนั้นไปพร้อมกันได้ ขณะที่กำลังทำงานอยู่
9:10 หรือพระองค์ได้ตรัสเพื่อประโยชน์ของเราทั้งหลาย แท้จริงคำนั้นท่านเขียนไว้เพื่อประโยชน์ของเราทั้งหลาย ให้คนที่ไถนาไถด้วยความหวังใจ และให้คนที่นวดข้าวนวดด้วยความหวังใจว่าจะได้ประโยชน์ตามที่เขาหวัง
** ไม่ผิดที่จะคาดหวังการเลี้ยงดู การดูแลจากผู้ที่เราปรนนิบัติเขา แต่เปาโลไม่รับเพราะว่าไม่อยากให้ใครมาคิดว่าท่านประกาศข่าวประเสริฐ หรือรับใช้เพื่อเงิน หรือเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
** เหตุผลของการที่เรามาคริสตจักรเพื่ออะไร ก็เพื่อมาสามัคคีธรรมกับพี่น้อง ประกาศเสริมสร้างฝ่ายวิญญาณ เพื่อนมัสการพระเจ้า และเพื่อปรนนิบัติสนับสนุนงานของพระเจ้าให้เจริญก้าวหน้าต่อไปด้วยทรัพย์ของเรา
** การถวายทรัพย์ไม่ใช่หน้าที่หรือภาระที่ต้องทำ แต่เราถวายเพราะสำนึกในพระคุณของพระเจ้า รักมากก็ให้มาก
9:11 ถ้าเราได้หว่านของสำหรับจิตวิญญาณให้แก่ท่าน แล้วจะมากไปหรือที่เราจะเกี่ยวของสำหรับเนื้อหนังจากท่าน
** ผู้รับใช้ก็ดูแลเรื่องฝ่ายวิญญาณของพี่น้อง ดังนั้นพี่น้องก็ควรดูแลเรื่องฝ่ายกายสำหรับผู้รับใช้พระเจ้า
9:12 ถ้าคนอื่นมีสิทธิ์ที่จะได้รับประโยชน์จากท่าน เราไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับยิ่งกว่าเขาอีกหรือ ถึงกระนั้นเราก็มิได้ใช้สิทธิ์นี้เลย แต่ยอมทนทุกข์ยากสารพัด เพื่อเราจะไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางข่าวประเสริฐของพระคริสต์
** หลังจากเปาโลประกาศ และก่อตั้งคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ ต่อมาก็ได้ตั้งผู้รับใช้ที่จะดูแลคริสตจักรแห่งนี้ และคริสตจักรแห่งนี้ก็ได้เลี้ยงดูเรื่องฝ่ายกายให้แก่ผู้รับใช้ในคริสตจักร
เปาโลซึ่งเป็นผู้บุกเบิกจึงมีสิทธิ์มากกว่าผู้รับใช้เหล่านั้นเสียอีกที่จะได้รับการเลี้ยงดูจากคริสตจักรแห่งนี้
แต่ท่านก็ไม่รับเพื่อให้คริสตจักรดูแลผู้รับใช้เหล่านั้นให้ดี ดีกว่าที่จะมารับภาระเพิ่มจากท่าน
แต่เปาโลต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากในการทำมาหาเลี้ยงชีพเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐด้วยการทำมาหาเลี้ยงชีพเอง
นี่เป็นทัศนคติของผู้รับใช้ที่มีจิตใจเสียสละ
เปาโลไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดว่าศาสนาคริสต์ คือเรื่องของ “ผลประโยชน์”
แต่เป็นเรื่องของ “การให้โดยรัก” เขายอมลำบากเองเพื่อเห็นแก่ความรอดของผู้อื่น
9:13 ท่านไม่รู้หรือว่าคนที่ปรนนิบัติเรื่องสิ่งบริสุทธิ์ ก็กินอาหารของพระวิหาร และคนปรนนิบัติที่แท่นบูชาก็รับส่วนแบ่งจากแท่นบูชานั้น
** ในพระบัญญัติเดิมผู้รับใช้พระเจ้าในพระวิหารรับการเลี้ยงดูจากรายได้ที่เกิดจากพระวิหาร
9:14 ทำนองเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ว่า คนที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับการเลี้ยงชีพด้วยข่าวประเสริฐนั้น
** เป็นสิทธิโดยชอบธรรมที่ผู้รับใช้จะต้องได้รับการเลี้ยงดูจากผลผลิตของข่าวประเสริฐหรือคริสตจักร
9:15 แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ใช้สิทธิ์เหล่านี้เลย ที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ ก็มิใช่เพื่อจะให้เขากระทำอย่างนั้นแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายอมตายเสียดีกว่าที่จะให้ผู้ใดทำลายเกียรติอันนี้ของข้าพเจ้า
** ในฐานะของอัครสาวกที่ต้องทำงานหนักในการเดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐของเปาโลและบารนาบัส ท่านมีสิทธ์ที่จะเรียกร้องขอความช่วยเหลือเรื่องการเป็นอยู่จากพี่น้อง
แต่ท่านก็ไม่ทำ ท่านยอมลำบากทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ และไม่สนับสนุนให้ผู้รับใช้ขอความช่วยเหลือ หรือรับเป็นค่าจ้างจากพี่น้องพระกาย
ถึงแม้ว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น เปาโลเน้นที่ผู้รับใช้ควรทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ และขอการช่วยเหลือจากพี่น้องเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ
และพี่น้องก็ให้ตามขนาดของความเชื่อไม่ใช่ตั้งเป็นค่าจ้างหรือเงินเดือน
** เราพบว่าผู้นำมากมายทุกวันนี้สอนว่าผู้รับใช้ควรได้รับค่าจ้างหรือเงินเดือน แต่เขาลืมมองที่หัวใจของเปาโลที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณที่กล่าวว่า (*ข้าพเจ้าก็ไม่ใช้สิทธิ์เหล่านี้เลย*)
แต่เปาโลเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิ์ที่ท่านมีเรื่องรับการเลี้ยงดูจากคริสตจักร
เพราะไม่อยากเพิ่มภาระให้คริสตจักร คริสตจักรจะได้นำไปใช้ด้านอื่นโดยไม่ลำบากพี่น้องมากเกินไป
ความเชื่อของเปาโลซึ่งเป็นเกียรติ และศักดิ์ศรีของท่าน คือพระเจ้าจะทรงเป็นผู้เลี้ยงดูท่านเอง
ท่านจึงไม่อยากทำลายความเชื่อของท่านนี้ด้วยการรบกวนพี่น้อง
เปาโลยืนยันว่า แม้เขามีสิทธินั้น แต่เขาไม่ใช้สิทธิเลย เขายอมสละสิทธิ์ เพื่อจะได้ไม่ให้ใคร “ลบล้างเหตุผลในการประกาศข่าวประเสริฐของเขา”
นี่คือหัวใจของการรับใช้แบบพระคริสต์
- ยอมละสิทธิ์ส่วนตัวเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ฝ่ายวิญญาณของผู้อื่น
- เปาโลเห็นว่าการเสียสละนี้ทำให้เขามีอิสระแท้ในพระคริสต์ และเป็นแบบอย่างของผู้นำฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง
อีกเหตุผลหนึ่งคือถ้าเรารับเงินจากใครเราก็ไม่เป็นอิสระจากคนนั้น ก็ต้องมีการเกรงใจกัน เหมือนเป็นลูกจ้าง
1. ผู้รับใช้พระเจ้ามีสิทธิ์ได้รับการดูแล แต่ไม่ควรยึดสิทธินั้นเป็นเป้าหมาย ซึ่งบางคนใช้เป็นช่องสำหรับการหาเลี้ยงชีพ ไม่ใช่เพราะความรักพระเจ้าหรือผู้อื่นเป็นหลักในการรับใช้
2. การเสียสละสิทธิ์เพื่อประโยชน์ฝ่ายวิญญาณของผู้อื่น เป็นการถวายเกียรติแด่พระคริสต์
3. อิสระในพระคริสต์ คืออิสระที่จะเลือก “รักและรับใช้” มากกว่ารับผลประโยชน์ จากใครแล้วไปติดหนี้บุญคุณ ต้องไปอยู่ใต้อิทธิพลเขาแทนที่อยู่ใต้อิทธิพลของพระเจ้า
4. ผู้ทำงานฝ่ายวิญญาณย่อมสมควรได้รับการสนับสนุน แต่ใจของทั้งผู้ให้และผู้รับควรอยู่ที่ “ข่าวประเสริฐ” ไม่ใช่เรื่องวัตถุ ผู้ให้ก็ไม่ควรคิดว่ามีหนี้บุญคุณกับคนที่เขาให้ไป
การให้ของเราเพราะเราเป็นผู้อารักขาของพระเจ้า เราไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์ของเราเอง 100% ของเราเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่แค่ 10% เหมือนในสมัยพระบัญญัติเดิมอีกต่อไป
5. พระเจ้าทรงบริสุทธิ์เราควรบริสุทธิ์ใจและการกระทำในท่าทีของการรับใช้ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ ไม่ใช่ด้วยวิญญาณแห่งความโลภ เห็นแก่ได้ ไม่ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นการล่อลวงที่มาจากมาร
คำถาม.
เราจะชนะการล่อลวงจากวิญญาณชั่วต่างๆ ซึ่งเป็นสมุนของมารได้อย่างไร
ไม่ใช่การขับผี เพราะผีสิงคริสเตียนไม่ได้ แต่มันล่อลวงได้ ถ้าเราไม่สนิทไม่อยู่ในพระคริสต์แต่ไปรักโลกหลงโลกอยู่ในเนื้อหนัง
คำตอบ.
การชนะการหลอกลวงจากวิญญาณชั่ว ก็คือให้อยู่ในพระคริสต์ พึ่งพาอาศัยความชอบธรรมของพระคริสต์ ไม่ใช่อาศัยความชอบธรรมของตนเอง
<<< บทที่ 8