9:1 ข้าพเจ้ามิได้เป็นอัครสาวกหรือ ข้าพเจ้ามิได้มีเสรีภาพหรือ ข้าพเจ้ามิได้เห็นพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือ ท่านทั้งหลายมิได้เป็นผลงานของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ
** มีเสรีภาพ เปาโลไม่ได้เป็นทาสของใคร ไม่ได้เป็นหนี้ใคร ไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับหรือบงการของใคร ไม่ต้องกลัวเรื่องการกินดื่มเหมือนชาวยิว ซึ่งนี่คือสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนควรจะเป็น
(เปาโลไม่ได้สังกัดคณะไหนไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครแต่ขึ้นตรงต่อพระเยซู)
** การได้เห็นพระเยซู ได้กินอยู่ไปมากับพระเยซูเป็นเวลาสามปีกว่า และมีของประทานในการประกาศข่าวประเสริฐ ท่านจึงมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเป็นอัครสาวกของพระเยซูได้
** ผู้เชื่อมากมายในเมืองโครินธ์ได้รับข่าวประเสริฐจากท่านและรู้จักท่านดี
(มีบางคนตั้งข้อสงสัยว่าเปาโลเป็นอัครทูตหรือไม่)
เปาโลเป็นอัครสาวก ไม่ได้เป็นทาสใครแต่มีเสรีภาพ เคยเห็นพระเยซูคริสต์ คริสตจักรที่เมืองโครินธ์เป็นผลงานของท่าน
9:2 ถ้าข้าพเจ้ามิได้เป็นอัครสาวกในสายตาของคนอื่น ข้าพเจ้าก็ยังคงเป็นอัครสาวกในสายตาของท่านอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะพวกท่านคือตราตำแหน่งอัครสาวกของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า
** พวกท่านคือตราตำแหน่ง คือผลงานการประกาศต่อชาวเมืองนี้ คือตราเพื่อยืนยันตำแหน่งอัครสาวกของเปาโล
** หนึ่งในคุณสมบัติของการเป็นอัครทูตของเปาโล คือเป็นผู้บุกเบิก และก่อตั้งคริสตจักรที่เมืองโครินธ์
9:3 ถ้าผู้ใดสอบสวนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะบอกว่า
9:4 เราไม่มีสิทธิ์ที่จะกินและดื่มหรือ
** เปาโลมีสิทธิ์ที่จะดื่มและกินโดยรับจากคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ ที่น่าคิดก็คือคริสตจักรแห่งนี้ไม่ได้ยากจน แต่ทำไมเปาโลไม่รับทำไมต้องเย็บเต็นท์เอง
9:5 เราไม่มีสิทธิ์ที่จะพาพี่น้องซึ่งเป็นภรรยาไปไหนๆ ด้วยกัน เหมือนอย่างอัครสาวกอื่นๆ และบรรดาน้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเคฟาสหรือ
** 1 คร 7:8 ยืนยันว่าขณะที่เปาโลเขียนหนังสือเล่มนี้ ท่านไม่มีภรรยา
แต่ข้อนี้ท่านกล่าวในฐานะเป็นตัวแทนให้กับพี่น้องชายที่มีภรรยา และสามารถพาภรรยาของตนเดินทางไปไหนมาไหนด้วยได้ในฐานะพี่น้องหญิงเพื่อรับใช้ร่วมกัน
** เปาโลมีสิทธิ์ที่จะแต่งงาน และมีครอบครัว
แต่ท่านเลือกที่จะไม่แต่งงาน เพราะมีของประทานในการอยู่เป็นโสดและไม่อยากมีใจสองฝักสองฝ่าย (*ผู้รับใช้พระเจ้าแต่งงานได้*)
9:6 เฉพาะข้าพเจ้าและบารนาบัสเท่านั้นหรือที่ไม่มีสิทธิ์จะเลิกทำงานหาเลี้ยงชีพ
** อีกข้อหนึ่งยืนยันว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะรับการเลี้ยงดูจากคริสตจักร แต่ท่านไม่รับเอง
** อีกเหตุผลหนึ่ง คือท่านไม่อยากให้ใครมีข้อมาตำหนิเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในการรับใช้พระเจ้าว่าทำเพื่อเงิน
** เรื่องการเงินของคริสตจักรจึงจำเป็นต้องทำให้ชัดเจนไม่ให้ขึ้นกับคนหนึ่งคนใดทำบัญชีเอง ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งการล่อลวงหรือการกล่าวหาจากผู้อื่นได้
9:7 ใครบ้างที่เป็นทหารไปในการศึกสงคราม และต้องกินเสบียงของตัวเอง หรือใครบ้างที่ทำสวนปลูกต้นองุ่น และมิได้กินผลองุ่นในสวนนั้น หรือใครบ้างที่เลี้ยงสัตว์และมิได้กินน้ำนมของฝูงสัตว์นั้น
** สิทธิ์ของทหาร คือกินเสบียงของกองทัพ
เช่นเดียวกับคนที่ทำสวนองุ่นก็สามารถกินผลองุ่นในส่วนนั้นได้
คนที่เลี้ยงสัตว์ก็สามารถกินน้ำนมของฝูงสัตว์นั้นได้
เปาโลยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะรับการเลี้ยงดูจากคริสตจักร
9:8 ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนี้ตามอย่างมนุษย์หรือ พระราชบัญญัติมิได้กล่าวอย่างนี้เหมือนกันหรือ
** ในพระบัญญัติเดิมก็สนับสนุนการเลี้ยงดูผู้ปรนนิบัติพระเจ้าจากการถวายของพี่น้อง
9:9 เพราะว่าในพระราชบัญญัติของโมเสสเขียนไว้ว่า `อย่าเอาตะกร้าครอบปากวัว เมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่' พระเจ้าทรงเป็นห่วงวัวหรือ
** เหมือนกับวัวเมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่มันก็สามารถกินข้าวตรงนั้นไปพร้อมกันได้ ขณะที่กำลังทำงานอยู่
9:10 หรือพระองค์ได้ตรัสเพื่อประโยชน์ของเราทั้งหลาย แท้จริงคำนั้นท่านเขียนไว้เพื่อประโยชน์ของเราทั้งหลาย ให้คนที่ไถนาไถด้วยความหวังใจ และให้คนที่นวดข้าวนวดด้วยความหวังใจว่าจะได้ประโยชน์ตามที่เขาหวัง
** ไม่ผิดที่จะคาดหวังการเลี้ยงดู การดูแลจากผู้ที่เราปรนนิบัติเขา แต่เปาโลไม่รับเพราะว่าไม่อยากให้ใครมาคิดว่าท่านประกาศข่าวประเสริฐ หรือรับใช้เพื่อเงิน หรือเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
** เหตุผลของการที่เรามาคริสตจักรเพื่ออะไร ก็เพื่อมาสามัคคีธรรมกับพี่น้อง ประกาศเสริมสร้างฝ่ายวิญญาณ เพื่อนมัสการพระเจ้า และเพื่อปรนนิบัติสนับสนุนงานของพระเจ้าให้เจริญก้าวหน้าต่อไปด้วยทรัพย์ของเรา
** การถวายทรัพย์ไม่ใช่หน้าที่หรือภาระที่ต้องทำ แต่เราถวายเพราะสำนึกในพระคุณของพระเจ้า รักมากก็ให้มาก
9:11 ถ้าเราได้หว่านของสำหรับจิตวิญญาณให้แก่ท่าน แล้วจะมากไปหรือที่เราจะเกี่ยวของสำหรับเนื้อหนังจากท่าน
** ผู้รับใช้ก็ดูแลเรื่องฝ่ายวิญญาณของพี่น้อง ดังนั้นพี่น้องก็ควรดูแลเรื่องฝ่ายกายสำหรับผู้รับใช้พระเจ้า
9:12 ถ้าคนอื่นมีสิทธิ์ที่จะได้รับประโยชน์จากท่าน เราไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับยิ่งกว่าเขาอีกหรือ ถึงกระนั้นเราก็มิได้ใช้สิทธิ์นี้เลย แต่ยอมทนทุกข์ยากสารพัด เพื่อเราจะไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางข่าวประเสริฐของพระคริสต์
** หลังจากเปาโลประกาศ และก่อตั้งคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ ต่อมาก็ได้ตั้งผู้รับใช้ที่จะดูแลคริสตจักรแห่งนี้ และคริสตจักรแห่งนี้ก็ได้เลี้ยงดูเรื่องฝ่ายกายให้แก่ผู้รับใช้ในคริสตจักร
เปาโลซึ่งเป็นผู้บุกเบิกจึงมีสิทธิ์มากกว่าผู้รับใช้เหล่านั้นเสียอีกที่จะได้รับการเลี้ยงดูจากคริสตจักรแห่งนี้
แต่ท่านก็ไม่รับเพื่อให้คริสตจักรดูแลผู้รับใช้เหล่านั้นให้ดี ดีกว่าที่จะมารับภาระเพิ่มจากท่าน
แต่เปาโลต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากในการทำมาหาเลี้ยงชีพเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐด้วยการทำมาหาเลี้ยงชีพเอง
นี่เป็นทัศนคติของผู้รับใช้ที่มีจิตใจเสียสละ
เปาโลไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดว่าศาสนาคริสต์ คือเรื่องของ “ผลประโยชน์”
แต่เป็นเรื่องของ “การให้โดยรัก” เขายอมลำบากเองเพื่อเห็นแก่ความรอดของผู้อื่น
9:13 ท่านไม่รู้หรือว่าคนที่ปรนนิบัติเรื่องสิ่งบริสุทธิ์ ก็กินอาหารของพระวิหาร และคนปรนนิบัติที่แท่นบูชาก็รับส่วนแบ่งจากแท่นบูชานั้น
** ในพระบัญญัติเดิมผู้รับใช้พระเจ้าในพระวิหารรับการเลี้ยงดูจากรายได้ที่เกิดจากพระวิหาร
9:14 ทำนองเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ว่า คนที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับการเลี้ยงชีพด้วยข่าวประเสริฐนั้น
** เป็นสิทธิโดยชอบธรรมที่ผู้รับใช้จะต้องได้รับการเลี้ยงดูจากผลผลิตของข่าวประเสริฐหรือคริสตจักร
9:15 แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ใช้สิทธิ์เหล่านี้เลย ที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ ก็มิใช่เพื่อจะให้เขากระทำอย่างนั้นแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายอมตายเสียดีกว่าที่จะให้ผู้ใดทำลายเกียรติอันนี้ของข้าพเจ้า
** ในฐานะของอัครสาวกที่ต้องทำงานหนักในการเดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐของเปาโลและบารนาบัส ท่านมีสิทธ์ที่จะเรียกร้องขอความช่วยเหลือเรื่องการเป็นอยู่จากพี่น้อง
แต่ท่านก็ไม่ทำ ท่านยอมลำบากทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ และไม่สนับสนุนให้ผู้รับใช้ขอความช่วยเหลือ หรือรับเป็นค่าจ้างจากพี่น้องพระกาย
ถึงแม้ว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น เปาโลเน้นที่ผู้รับใช้ควรทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ และขอการช่วยเหลือจากพี่น้องเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ
และพี่น้องก็ให้ตามขนาดของความเชื่อไม่ใช่ตั้งเป็นค่าจ้างหรือเงินเดือน
** เราพบว่าผู้นำมากมายทุกวันนี้สอนว่าผู้รับใช้ควรได้รับค่าจ้างหรือเงินเดือน แต่เขาลืมมองที่หัวใจของเปาโลที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณที่กล่าวว่า (*ข้าพเจ้าก็ไม่ใช้สิทธิ์เหล่านี้เลย*)
แต่เปาโลเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิ์ที่ท่านมีเรื่องรับการเลี้ยงดูจากคริสตจักร
เพราะไม่อยากเพิ่มภาระให้คริสตจักร คริสตจักรจะได้นำไปใช้ด้านอื่นโดยไม่ลำบากพี่น้องมากเกินไป
ความเชื่อของเปาโลซึ่งเป็นเกียรติ และศักดิ์ศรีของท่าน คือพระเจ้าจะทรงเป็นผู้เลี้ยงดูท่านเอง
ท่านจึงไม่อยากทำลายความเชื่อของท่านนี้ด้วยการรบกวนพี่น้อง
เปาโลยืนยันว่า แม้เขามีสิทธินั้น แต่เขาไม่ใช้สิทธิเลย เขายอมสละสิทธิ์ เพื่อจะได้ไม่ให้ใคร “ลบล้างเหตุผลในการประกาศข่าวประเสริฐของเขา”
นี่คือหัวใจของการรับใช้แบบพระคริสต์
- ยอมละสิทธิ์ส่วนตัวเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ฝ่ายวิญญาณของผู้อื่น
- เปาโลเห็นว่าการเสียสละนี้ทำให้เขามีอิสระแท้ในพระคริสต์ และเป็นแบบอย่างของผู้นำฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง
อีกเหตุผลหนึ่งคือถ้าเรารับเงินจากใครเราก็ไม่เป็นอิสระจากคนนั้น ก็ต้องมีการเกรงใจกัน เหมือนเป็นลูกจ้าง
1. ผู้รับใช้พระเจ้ามีสิทธิ์ได้รับการดูแล แต่ไม่ควรยึดสิทธินั้นเป็นเป้าหมาย ซึ่งบางคนใช้เป็นช่องสำหรับการหาเลี้ยงชีพ ไม่ใช่เพราะความรักพระเจ้าหรือผู้อื่นเป็นหลักในการรับใช้
2. การเสียสละสิทธิ์เพื่อประโยชน์ฝ่ายวิญญาณของผู้อื่น เป็นการถวายเกียรติแด่พระคริสต์
3. อิสระในพระคริสต์ คืออิสระที่จะเลือก “รักและรับใช้” มากกว่ารับผลประโยชน์ จากใครแล้วไปติดหนี้บุญคุณ ต้องไปอยู่ใต้อิทธิพลเขาแทนที่อยู่ใต้อิทธิพลของพระเจ้า
4. ผู้ทำงานฝ่ายวิญญาณย่อมสมควรได้รับการสนับสนุน แต่ใจของทั้งผู้ให้และผู้รับควรอยู่ที่ “ข่าวประเสริฐ” ไม่ใช่เรื่องวัตถุ ผู้ให้ก็ไม่ควรคิดว่ามีหนี้บุญคุณกับคนที่เขาให้ไป
การให้ของเราเพราะเราเป็นผู้อารักขาของพระเจ้า เราไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์ของเราเอง 100% ของเราเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่แค่ 10% เหมือนในสมัยพระบัญญัติเดิมอีกต่อไป
5. พระเจ้าทรงบริสุทธิ์เราควรบริสุทธิ์ใจและการกระทำในท่าทีของการรับใช้ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ ไม่ใช่ด้วยวิญญาณแห่งความโลภ เห็นแก่ได้ ไม่ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นการล่อลวงที่มาจากมาร
คำถาม.
เราจะชนะการล่อลวงจากวิญญาณชั่วต่างๆ ซึ่งเป็นสมุนของมารได้อย่างไร
ไม่ใช่การขับผี เพราะผีสิงคริสเตียนไม่ได้ แต่มันล่อลวงได้ ถ้าเราไม่สนิทไม่อยู่ในพระคริสต์แต่ไปรักโลกหลงโลกอยู่ในเนื้อหนัง
คำตอบ.
การชนะการหลอกลวงจากวิญญาณชั่ว ก็คือให้อยู่ในพระคริสต์ พึ่งพาอาศัยความชอบธรรมของพระคริสต์ ไม่ใช่อาศัยความชอบธรรมของตนเอง
9:16 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะความจำเป็นถูกวางไว้บนข้าพเจ้า ใช่แล้ว วิบัติจะเกิดแก่ข้าพเจ้าถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐ
** เปาโลจำเป็นต้องประกาศ เพราะนี่คือภาระหน้าที่ที่พระเจ้าทรงวางบนท่าน และถ้าหากท่านไม่ทำหน้าที่ หรือใช้ของประทานการประกาศ และของประทานอัครสาวกท่านจะถูกตีสอนอย่างหนัก
** ข้อที่ 16 นี้ไม่ใช่พระบัญญัติใหม่เพื่อทุกคนทำตามดังที่ผู้เชื่อทุกวันนี้เข้าใจ แต่เป็นคำสั่งสำหรับเปาโลเท่านั้น ส่วนผู้เชื่อทั้งหลายก็รับใช้ตามหน้าที่ของประทานที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานให้
9:17 เพราะถ้าข้าพเจ้ากระทำสิ่งนี้อย่างเต็มใจ ข้าพเจ้าก็ได้รับบำเหน็จ แต่ถ้ากระทำอย่างฝืนใจ หน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐก็ถูกมอบไว้แก่ข้าพเจ้าแล้ว
** การใช้ของประทานในการประกาศ และอัครสาวกต้องทำด้วยรักพระเจ้าและมนุษย์ ทั้งด้วยพอใจเต็มใจและไม่ฝืนใจ ซึ่งก็คือทำด้วยตัวใหม่และกำลังของพระคริสต์ในเราทำ เราจึงจะไม่ขาดบำเหน็จ
9:18 แล้วอะไรเล่าเป็นบำเหน็จของข้าพเจ้า จริง ๆ แล้ว เมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าก็ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์โดยไม่คิดค่า เพื่อข้าพเจ้าจะไม่ใช้อำนาจของข้าพเจ้าอย่างผิด ๆ ในข่าวประเสริฐนั้น
** ผู้ประกาศไม่ควรคิดค่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด คือเราต้องการช่วยคนให้มาถึงพระเจ้า และรับพระคุณความรอด อย่ารับค่าตอบแทนใดๆ ในลักษณะค่าจ้าง แต่ถ้าหากผู้คนให้ด้วยรักและซาบซึ้งก็จงรับ
9:19 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเป็นไทจากมนุษย์ทุกคน แต่ข้าพเจ้าก็ยังทำให้ตัวเองเป็นผู้รับใช้ของทุกคน เพื่อข้าพเจ้าจะได้พวกเขามากยิ่งขึ้น
9:20 และต่อพวกยิว ข้าพเจ้าได้กลายเป็นเหมือนคนยิว เพื่อข้าพเจ้าจะได้พวกยิว ต่อคนทั้งหลายที่อยู่ใต้พระราชบัญญัติ ก็เป็นเหมือนอยู่ใต้พระราชบัญญัติ เพื่อข้าพเจ้าจะได้คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้พระราชบัญญัติ
** เปาโลเป็นไทจากมนุษย์ ผีมาร ประเพณี พระบัญญัติ การถือวันเดือนปี สะบาโต การเข้าร่วมทางศาสนากับยิวหรือชาติอื่น แต่ท่านยอมทำหลายสิ่งเพื่อเอาชนะพวกเขาหรือเพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐ และแน่นอนนี่คือการนำพาของพระวิญญาณไม่ใช่ตามใจท่านเองในแต่ละครั้ง
** ท่านไปธรรมศาลา ไปพระวิหาร ไปกินดื่มกับยิว และวางตัวเหมือนพวกเขา ทั้งพวกชาวต่างชาติด้วย สิ่งที่ท่านหลีกเลี่ยง ก็คือการไม่เข้าร่วมพิธี-กราบไหว้รูปเคารพ และกินดื่มอาหารที่ถวายแก่พระอื่นแล้ว
9:21 ต่อคนทั้งหลายที่ไม่มีพระราชบัญญัติ ก็เป็นเหมือนคนที่ไม่มีพระราชบัญญัติ (โดยไม่ได้อยู่อย่างปราศจากพระราชบัญญัติต่อพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระราชบัญญัติต่อพระคริสต์) เพื่อข้าพเจ้าจะได้คนเหล่านั้นที่ไม่มีพระราชบัญญัติ
** ข้อ 21 นี้พูดถึงพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู ขณะที่ท่านอยู่กับยิวหรือต่างชาติ แน่นอนท่านก็รักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูอยู่เสมอ
9:22 ต่อคนอ่อนแอ ข้าพเจ้าก็กลายเป็นเหมือนคนอ่อนแอ เพื่อข้าพเจ้าจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อโดยทุกวิถีทางข้าพเจ้าจะช่วยบางคนให้รอด
** เมื่อมีคนอ่อนแอ ทนทุกข์ โศกเศร้า ร้องไห้ ท่านจะร่วมกับพวกเขา ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่ทำตัวแข็งแรงเข้มแข็งและมีความสุขต่อหน้าพวกเขา และนี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้าต่อผู้เชื่อทุกคน
9:23 และสิ่งนี้ข้าพเจ้ากระทำเพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐ เพื่อข้าพเจ้าจะได้เป็นผู้เข้าส่วนกับพวกท่านในข่าวประเสริฐนั้น
** เพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐ เราอลุ่มอล่วย ไปร่วม ไปเยี่ยม ไปหา ไปกินดื่ม เพื่อสร้างความผูกพันที่ดีกับทุกคน เพื่อเราจะมีโอกาสประกาศกับคนเหล่านั้น
** เราไม่ควรทำตัวเหมือนผู้บริสุทธิ์จนคนที่ไม่เชื่อเรียกเราว่า พวกคริสเตียน ผู้บริสุทธิ์ พวกไม่กินหมู พวกไม่ทานเลือด พวกไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกเรา พวกที่แยกออกไปเพราะมองเราต่ำ ฯลฯ ซึ่งเราได้เห็นได้ยินอยู่เสมอ
1. การประกาศไม่ใช่ของประทานของผู้เชื่อทุกคน พระวิญญาณให้บางคนเท่านั้น
2. เราประกาศรับใช้โดยไม่คิดค่าตอบแทน ไม่คาดหวังอะไรจากใคร เพราะว่าเรารู้ดีว่าพระเยซูเป็นผู้เลี้ยงที่ดีของเราและทรงใช้เราให้ออกไป พระองค์จะไม่ปล่อยให้เราขัดสนแน่นอน
3. เรายอมไปร่วมกับคนที่ไม่เชื่อและคริสเตียนศาสนาเพื่อสร้างความผูกพันเพื่อเอาชนะใจพวกเขาเพื่อข่าวประเสริฐจะไปถึงเขา
4. เราผู้รับใช้ควรวางตัวให้เหมาะสม ไม่พยายามทำตัวให้พี่น้องยกย่องหรือมองว่าเป็นผู้นำ ครู อาจารย์ที่เหนือกว่าสูงกว่าพวกเขา แต่เราทำตัวเป็นผู้เล็กน้อย ไร้ตัวตน แล้วพระองค์จะยกเราขึ้นเมื่อถึงเวลา
5. เรายิ้ม ยินดีเมื่อเขายินดี เราร้องให้โศกเศร้าเมื่อเขาโศกเศร้า เราเป็นเพื่อกับคนที่อยู่ข้างถนน และเป็นสหายกับคนยากจนได้ไม่ถือตัว เราไม่เข้าหาเฉพาะคนที่มีฐานะหรือช่วยเราหรือให้ประโยชน์แก่เราได้เท่านั้น เราเป็นเกลือที่มีรสเค็มและแสงสว่างเพื่อสำแดงพระคริสต์ ไม่ใช่สำแดงตัวเราเอง นี่คือบุตรที่รักของพระบิดาในสวรรค์
9:24 ท่านไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกัน ก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีคนเดียว เหตุฉะนั้นจงวิ่งเพื่อชิงรางวัลให้ได้
** สำหรับคริสเตียนศาสนา พวกเขาคิดแค่เพียงว่าเขาเป็นสมาชิกโบสถ์ แต่สำหรับพระเจ้า ผู้เชื่อเป็นชาวนา คนต้นเรือน สาวก คนงานในสวนองุ่น ปุโลหิตหลวง และในข้อนี้ผู้เชื่อเป็นนักกีฬาหรือนักวิ่งแข่งเพื่อแข่งขันเข้าเส้นชัย
** วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีคนเดียว คือผู้เชื่อทุกคนแข่งกันเดินในพระวิญญาณ เดินด้วยคนใหม่และให้พระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเราเพื่อเกิดผลของพระวิญญาณในเราแทนเราผ่านเรา ผู้ที่ได้รับชัยชนะได้รับรางวัลก็คือพระคริสต์ในเราทุกคนที่เป็นผู้ชนะ เราไม่มีใครที่ได้ชัยชนะแต่พระคริสต์ต่างหาก หน้าที่ของเราคือถวายตัวเป็นอวัยวะเพื่อให้พระคริสต์วิ่งแทนทำแทนทุกสิ่งทุกเรื่อง
9:25 ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบทุกอย่าง แล้วเขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย
** เคร่งครัด คือผู้เชื่อที่สุกงอม เติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณแล้ว จึงเลิกทำบาปและชีวิตติดสนิทในพระคริสต์ในแต่ละวัน ไม่ใช่เราเองที่เคร่งครัดด้วยฝืนใจบังคับใจ เมื่อเราสนิทมากอาการเคร่งครัดของพระคริสต์ก็เกิดมีขึ้นภายในเรา
** นักกีฬาฝ่ายโลกนี้ได้รับรางวัลที่มีวันร่วงโรย แต่นักกีฬาของพระคริสต์จะได้รับตำแหน่งเพื่อเป็นบำเหน็จของพวกเราเพื่อที่จะมีส่วนครอบครองกับพระองค์ไปจนชั่วนิรันดร์
9:26 ดังนั้นส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งอย่างนี้โดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนักมวยที่ชกลม
** คริสเตียนศาสนาเมื่อมีใจ ขยัน ไม่พบปัญหา ก็ทำ แต่พอเจอะเจอปัญหาและอุปสรรคมากมายก็หนีหรือไม่เดินไปกับพระเจ้าหรือละทิ้งพระเจ้า ไม่ถือว่าการเดินในความเชื่อและการรับใช้คือสิ่งที่ต้องใส่ใจและเป็นสิ่งที่พระเจ้านำเรามาสู่พระคริสต์ ผู้เชื่อฝ่ายวิญญาณจะยึดหลักในการดำเนินชีวิตและการรับใช้ การฝึกเดินในแต่ละวันเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นสำหรับพวกเรา เราจึงควรใส่ใจจริงจังกับชีวิตในพระคริสต์การฝึกเดิน การวิ่งแข่งและการสนิทในพระองค์
9:27 แต่ข้าพเจ้าระงับความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนังให้อยู่ใต้บังคับ เพราะเกรงว่าโดยทางหนึ่งทางใดเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
** เปาโลเดินในพระวิญญาณ ท่านสนิทในพระคริสต์จนสามารถทำให้เนื้อหนังและตัวบาปอ่อนกำลังและอยู่ใต้บังคับของท่าน ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่คือผลของพระวิญญาณที่กระทำกิจในท่าน ผู้ที่ประกาศมานาหรือประกาศ (ตัวตน-ชีวิตของ) พระคริสต์จึงเป็นผู้ที่สำแดงชีวิตพระคริสต์ เกิดผลพระวิญญาณได้ไม่มากก็น้อย ถ้าไม่มีผลอะไรเลยที่เป็นของคนใหม่และพระคริสต์ทำแทนก็เท่ากับใช้การไม่ได้
**คำถาม**
1. มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรย คือบำเหน็จรางวัลที่จะได้รับในยุคหน้าและสืบไปชั่วนิรันดร์ใช่หรือไม่ครับ?
คำตอบ:
- คือตำแหน่งของคนที่รักและอยู่ใกล้พระเยซูมากที่สุด สนิทมากที่สุดในชีวิตนี้ เขาจะได้รับสิทธิอำนาจมากน้อยตามการได้สนิทในพระคริสต์บอกรักพระคริสต์ ตำแหน่งนี้จะเป็นของเขาในยุคพันปีและแผ่นดินโลกใหม่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงครับ
**คำถาม**
2. นักกีฬาก็ต้องเคร่งครัดในการฝึกเพื่อจะประสบผลสำเร็จในกีฬาของเขาฉะนั้นสมัยเป็นคริสเตียนศาสนาผู้เชื่อเราก็เคร่งครัดในการฝึกเดินในเรื่องของฝ่ายวิญญาณคือพยายามรับใช้พยายามทำดีเชื่อฟังพยายามเลิกบาปและพยายามใส่ใจการติดสนิทแต่ทำด้วยตัวเก่าเพราะไม่รู้เรื่องการทำด้วยตัวใหม่ แต่ไม่มีคำว่าให้พระคริสต์ทำผ่านตัวใหม่เหมือนผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดตาแล้ว
คำถามคืออะไรคือความแตกต่างหรือข้อแตกต่างของคำว่าเคร่งครัดระหว่างคริสเตียนศาสนากับคริสเตียนฝ่ายวิญญาณครับ?
คำตอบ:
- เคร่งครัด ในที่นี้ คือพระคริสต์เคร่งครัดในเรา บังคับตนก็คือพระคริสต์เป็นคนทำในเรา เป็นผลที่ได้มาจากการสนิทฝึกเดินในพระวิญญาณ
- นางมารีย์ไม่ได้พยายาม ขยันทำอาหาร กังวลว่าจะไม่พอกิน แต่นางนั่งนิ่งใกล้พระบาทของพระเยซู แต่ต่อมานางเป็นผู้ที่เกิดผลมากด้วยคนใหม่ที่มีพระคริสต์รักษาชีวิตให้เคร่งครัดและกระทำกิจทุกด้านในชีวิตของนาง
**คำถาม**
3. คริสเตียนฝ่ายวิญญาณเราต้องเคร่งครัดอย่างไรบ้างครับ?
คำตอบ:
- เราปล่อย วาง ไม่ต้องเคร่ง แต่เน้นที่การฝึกสนิท บอกรัก และเดินด้วยความเชื่อที่เป็นความจริงของพระเจ้าที่ทำสำเร็จแล้วในพระคริสต์ อาการเคร่งครัดของพระคริสต์ก็จะเกิดขึ้นภายในเราโดยเรารู้สึกว่าเราบังคับตนได้ง่ายมากๆ
1 คร 9:26 ดังนั้นส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งอย่างนี้โดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนักมวยที่ชกลม
** เป้าหมายของผู้ชนะ คืออาณาจักร คริสเตียนศาสนาไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นนักมวยหรือนักกีฬาที่ต้องวิ่งแข่ง เขาไม่พบอาณาจักร และคิดว่าไปสวรรค์คือเป้าหมายของเขา ทั้งบางครั้งก็กลัวว่าจะไม่รอด เขาจึงเป็นเหมือนนักมวยที่ชกลม
**คำถาม**
4. เป้าหมายของเปาโลในการวิ่งแข่ง ก็คือการเป็นผู้ชนะหรือการมีชีวิตที่พระคริสต์ทำแทนในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และเพื่อเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์เพื่อไปรับรางวัลในยุคหน้าใช่ไหมครับ?
คำตอบ:
- ใช่ครับ
**คำถาม**
5. การต่อสู้และการวิ่งแข่งของเปาโล ในที่นี้ คือการฝึกเดินในวิญญาณตามแบบที่ท่านได้สอนไว้ใช่หรือไม่ครับ
คำตอบ:
- ใช่ครับ
1 คร 9:27 แต่ข้าพเจ้าระงับความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนังให้อยู่ใต้บังคับ เพราะเกรงว่าโดยทางหนึ่งทางใดเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
**คำถาม**
6. ผมเชื่อว่าคริสเตียนศาสนาเขาก็พยายามวิ่งแข่งเหมือนกัน ส่วนคริสเตียนฝ่ายวิญญาณเราต้องทำอย่างไรเพื่อจะไม่เหมือนการวิ่งแข่งเหมือนกับคริสเตียนศาสนาครับ
ขอบเขตของการวิ่งแข่งของคริสเตียนฝ่ายวิญญาณเราควรทำอย่างไรในเชิงปฏิบัติเพื่อจะไม่เป็นแบบคริสเตียนศาสนาครับ?
คำตอบ:
- คริสเตียนศาสนาชกลมไม่ได้ชกให้โดนหน้าคู่ต่อสู้ เขาพลาดเป้าในการดำเนินชีวิตในความเชื่อเพราะว่าเขาตาบอดฝ่ายวิญญาณ หลงทาง เขาจึงเดินด้วยตัวเก่า ใช้กำลังของอาดัม หวังเพียงว่าจะได้รอดไปสวรรค์ เกลียดชังพี่น้อง ไม่ได้รักและสนิทในพระคริสต์อย่างแท้จริง
- ส่วนคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ เราชกโดนหน้าคู่ต่อสู้ เพราะว่าเป้าหมายของเราคืออาณาจักร เราได้พบอาณาจักรแล้ว เรารู้ว่าพระคริสต์อยู่ในเราและรู้วิธีการสริทในพระคริสต์เป็นอย่างดี เราเดินด้วยเอารักเป็นหลักเป็นที่หนึ่งและพระคริสต์เป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนเรา เราต่ำถ่อมยอมเสียเปรียบได้จริงๆ ในโลกที่เป็นเงาหรือชั่วคราวใบนี้
พลาดเป้า
เข้าเป้า
เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความรอด (จากบึงไฟ) ซึ่งเราได้รับโดยพระคุณพระเจ้าทางความเชื่อของเรา
ความรอดดังกล่าวเป็นของขัวญที่พระเจ้าประทานให้เราฟรีโดยไม่คิดค่าอะไร เพื่อที่จะไม่มีใครอวดได้
เนื่องจากว่าเป็นผลที่มาจากการกระทำของพระคริสต์เพื่อไถ่หนี้บาปเรา
จากนั้นของแถมก็ยังตามมาคือสันติสุขที่เป็นเหมือนแม่น้ำแห่งชีวิตซึ่งเราจะไม่กระหายอีกเลยถ้าหากเรารู้วิธีดื่มกิน สิ่งนี้เรียกว่าพระคุณพระเจ้า
แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าประทานให้เราทั้งหลาย นั่นก็คือมงกุฎ หรือตำแหน่งในยุคหน้าและแผ่นดินโลกใหม่
มงกุฎหรือตำแหน่งของเราขึ้นอยู่กับการทำงานของเราอย่างสัตย์ซื่อ ขยัน อดทน เคร่งครัด รู้จักบังคับตน รักพระเจ้า รักเพื่อนบ้าน รักศัตรู กระทำคุณให้ เป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ไม่ช่างจดจำความผิด อภัยเจ็ดสิบคูณเจ็ดได้
มธ 19:21-26
19:21 พระเยซูตรัสแก่เขาว่า “ถ้าท่านปรารถนาจะเป็นคนดีพร้อม จงไปและขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่ และแจกจ่ายให้คนยากจน และท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ และจงมาและตามเราไป”
19:22 แต่เมื่อคนหนุ่มนั้นได้ยินถ้อยคำนั้น เขาก็จากไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก
19:23 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ด้วยความยากลำบาก
19:24 และอีกครั้ง เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”
19:25 เมื่อพวกสาวกของพระองค์ได้ยินดังนั้น พวกเขาก็ประหลาดใจยิ่งนัก โดยทูลว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้”
19:26 แต่พระเยซูทอดพระเนตรดูพวกเขา และตรัสกับพวกเขาว่า “สำหรับมนุษย์สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าสิ่งสารพัดก็เป็นไปได้”
ในหนังสือมัทธิวพระเยซูประทานพระบัญญัติ แต่ในหนังสือยอห์น พระเยซูประทานพระวิญญาณของพระองค์เองเป็นตัวแทนพระเจ้าทั้งสาม เป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนเรา (the life liver )
- พระบัญญัติใหม่ของพระเยซูไม่อนุญาตให้ตัวเก่ามารักษา
- พระบัญญัติใหม่ คือพระบิดาให้พระคริสต์ต้องทำแทน เรียกว่าอยู่ใต้พระคุณ
- คริสเตียนมากมายอยู่ใต้พระบัญญัติเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเดินด้วยตัวใหม่แบบไหนอย่างไร พอเชื่อก็ดีใจตื่นเต้นอยากรับใช้ทั้งที่ไม่ได้เรียนรู้เรื่องคนใหม่คนเก่า อยู่ใต้พระบัญญัติและใต้พระคุณคืออะไรทำอย่างไร
- เมื่อเขาอยู่ใต้พระบัญญัติ เสื้อเก่าก็ขาดกว้างกว่าเดิม ถุงหนังก็ขาด
- เราพบว่าผู้ที่เชื่อยังหน้าซื่อใจคดมากกว่าคนที่ไม่เชื่อเสียอีก
- คนที่เชื่อหย่าร้างมากกว่าคนที่ไม่เชื่อ
- คนที่เชื่อเกลียดชัง อิจฉากันชอบนินทากัน มากกว่าคนที่ไม่เชื่อเสียอีก
- ทันทีที่เราได้เข้าสู่พระคำแห่งความจริง เราจึงมีพระคริสต์ก่อร่างขึ้นภายในเราและเปลี่ยนเราได้ จากชีวิตที่แบกภาระหนักแอกหนักกางเขนหนักการงานหนักกลายเป็นแอกเบากางเขนเบาภาระเบา อยู่ในการพักผ่อน
การเคร่งครัด การร้อนรน วิ่งแข่งเข้าอาณาจักร คือการกระทำของพระเจ้าในเรา กท 5:22-23 / ฟป 2:13 เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ทั้งให้ท่านมีใจปรารถนาและให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์ (For it is God which worketh in you both to will and to do of his good pleasure.)