มัทธิวบทที่ 15 พระเยซูเลี้ยงคน 4,000 คน ตอนบทที่ 14 พระเยซูเลี้ยง 5,000 คน แล้วเหตุการณ์ต่อมาพระเยซูเลี้ยง 4,000 คนอีก ถ้าจะพูดแล้วขอให้เราเข้าใจตรงนี้ว่าพระคัมภีร์บันทึกบางส่วนบางเรื่องเท่านั้น ไม่ได้บันทึกการทำงานของพระเยซูทั้งหมด 3 ปีกว่า เขาเลือกบันทึกบางเรื่องบางส่วนเท่านั้น
การเลี้ยงคน พระเยซูเลี้ยงตลอด เลี้ยงหลายครั้งด้วย มากกว่า 2 แต่ในพระคัมภีร์บันทึกแค่ 2 ครั้ง แล้วพระเยซูรักษาโรค ไม่ได้รักษาโรคแค่สองร้อยครั้ง คือมากกว่านั้น พระเยซูไล่ผีไม่ใช่แค่สามร้อยตัว พระเยซูไล่เยอะกว่านั้น แล้วการทำงานของพระเยซู พระเยซูเดินทางไปหลายที่หลายแห่ง พระเยซูไปเยอะมากภายในเวลา 3 ปีกว่า แต่พระคัมภีร์เลือกบันทึกไว้เฉพาะที่สำคัญๆ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้บันทึก ขอให้เราเข้าใจตรงนี้ เพราะว่ายอห์นพูดว่า " ยังมีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคาดว่าแม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่จะเขียนนั้น เอเมน" ยอห์น 21:25
เห็นไหมว่า 3 ปีครึ่งพระเยซูทำงานตลอด พระเยซูขยันมาก แล้วพระเยซูตื่นแต่เช้า แล้วก็เดินทางไปเรื่อยๆ พระเยซูทำ 3 ปีครึ่ง พระเยซูทำทั้งวันทุกวันไม่เคยละเว้น นานทีหนึ่งเหนื่อยก็มานั่งพักที่สวน ที่ใต้ต้นไม้ แล้วก็คุยกับสาวก แล้วก็ไปต่อ
และในมัทธิวบทที่ 15 พระเยซูเลี้ยงอาหาร 4,000 คน (มธ 15:32-39) ก่อนหน้าบทที่ 14 พระเยซูเลี้ยงคน 5,000 คนไม่นับผู้หญิงกับเด็ก ฉะนั้นถ้าจะนับรวมก็จะได้ 7,000-8,000 หรือน่าจะถึงหมื่นเราไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้บทที่ 15 พูดถึงพระเยซูเลี้ยงอาหาร 4,000 คน ก็แสดงว่าคนดูเหมือนว่าน้อยกว่าบทที่ 14 บทที่ 15 มีขนมปัง 7 ก้อนกับปลา 2-3 ตัว ก็จะเป็นเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันอันนี้ไม่มีการแปลอะไร
...
มัทธิว 15:32 ฝ่ายพระเยซูทรงเรียกพวกสาวกของพระองค์มาตรัสว่า "เราสงสารคนเหล่านี้ เพราะเขาค้างอยู่กับเราได้สามวันแล้ว และไม่มีอาหารจะกิน เราไม่อยากให้เขาไปเมื่อยังอดอาหารอยู่ กลัวว่าเขาจะหิวโหยสิ้นแรงลงตามทาง"
15:33 พวกสาวกทูลพระองค์ว่า "ในถิ่นทุรกันดารนี้ เราจะหาอาหารที่ไหนพอเลี้ยงคนเป็นอันมากนี้ให้อิ่มได้"
...
ถาม.
ในข้อนี้ได้อ่านแล้วก็เห็นอยู่ว่า พระเยซูบอกว่าให้เลี้ยงอาหารคน แต่ว่าพวกสาวกทูลพระองค์ว่าในถิ่นทุรกันดารนี้เราจะหาอาหารที่ไหนพอเลี้ยงคนมากมายเท่านี้ให้อิ่มได้ เหมือนกับว่าพวกสาวกเคยเห็นการอัศจรรย์แล้ว แต่ว่าเขายังไม่เชื่อว่าพระเยซูเลี้ยงได้
ตอบ.
อย่าลืมน่ะครับ สาวกของพระเยซูโดยปกติเวลาเขาเดินทางไปกับพระเยซู คุณเคยจำได้ไหมว่าประเทศอิสราเอลต้องการกษัตริย์ ต้องการผู้ไถ่ ต้องการผู้นำที่จะนำชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาสของอาณาจักรโรมัน และสาวกของพระเยซูเดินตามพระเยซูไป เขาต้องการหวังว่าพระเยซูจะเป็นกษัตริย์ แล้วจะโคนล้มรัฐบาลชุดเก่าแล้วจะปลดปล่อยอิสราเอลออกจากอาณาจักรโรมันจากการเป็นทาส
แล้วสาวกเหล่านี้เห็นการอัศจรรย์ แต่เขาก็ยังใจแข็งกระด้าง อย่าลืมนะมนุษย์เราจะเห็นการอัศจรรย์กี่ครั้งก็ตาม เห็นฤทธิ์เดชของพระเจ้ากี่ครั้งก็ตาม แต่หัวใจมันแข็งกระด้างได้ เพราะฉะนั้นสาวกเห็นอยู่ว่าพระเยซูช่วย เห็นอยู่ว่าพระเยซูแจกอาหาร เห็นอยู่ แต่ต่อมาก็บอกว่ามันถิ่นกันดาร ถิ่นแห้งแล้งจะเอาอะไรไปเลี้ยงคนมากมาย อีกกี่ครั้งเขาก็จะพูดเหมือนเดิมเขาจะเป็นเหมือนเดิม
ไม่ต่างไปจากพวกเรานี่แหละ ที่เห็นความรักของพระเจ้า เห็นการอัศจรรย์แล้วกลับใจไหม? วางใจในพระเจ้าไหม เราเห็นพระเจ้าเลี้ยงดูเราบ่อยครั้งมาก แต่วันหนึ่งเราขัดสน พอเราขัดสนปุ๊บเรากระวนกระวาย เราไม่วางใจในพระเจ้าใช่ไหมล่ะ
นี่คือสิ่งที่สอนให้พวกเราเข้าใจว่า มนุษย์จิตใจแข็งกระด้าง มนุษย์กระวนกระวาย มนุษย์ไม่ไว้วางใจในพระเจ้า นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เรากำจัดมันออกไป จงวางใจในพระเจ้า อย่าห่วงว่าเราจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารมากน้อยแค่ไหนก็ตาม เราจะอยู่ในสภาวะขัดสนแค่ไหน เรียกว่ากันดารมากแค่ไหน พระเจ้าจะดูแลเรา พระเจ้าจะมีทางออกให้เราได้ พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งเราเป็นอันขาดขอให้เชื่อ
สำหรับผมประสบการณ์ชีวิต 30 ปีที่มาเชื่อพระเจ้า ผมรู้ว่าพระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งผมไม่เคย ถึงขนาดว่ามันมาถึงทางตันแล้ว วินาทีสุดท้ายแล้ว ก็มีทางออกมาเลยผมเจอบ่อยมาก
เราคริสเตียนพอถึงเวลาที่มันตัน ถึงเวลาที่จะโดนใครทำร้าย ถึงเวลาที่ยากจนขัดสน ถึงเวลาที่มันจนหนทางจริงๆ การช่วยเหลือของพระเจ้ามาทันทีน่ะครับ ขอให้เราไว้ใจเชื่อใจในพระเจ้า
อันนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ควรเอาแบบอย่างคือสาวกทั้งหลายบอกว่าที่นี่ถิ่นทุรกันดาร เราจะเอาอะไรมาเลี้ยงเขาคน 4,000 คน 5,000 คน
พระเยซูบอกว่ายังไง ใครมีอะไรเอามา เอามา เราจะหักเราจะทำ เราเอามาอยู่ที่มือของพระเจ้า อย่าลืมน่ะครับมือของพระเจ้าทำให้สิ่งที่มีน้อยกลายเป็นเยอะได้ สิ่งที่ไม่มีกลายเป็นมีขึ้นมาได้ ธุรกิจเหมือนกันยื่นให้พระเจ้าแล้วบอกว่าพระเยซูอันนี้เป็นของพระองค์ พระเยซูพระองค์มีหุ้นส่วน พระเยซูพระองค์เป็นเจ้าของ (รับรองมือพระเยซูมา เกิดผลได้)
...
ถาม.
ปกติพวกเราบางครั้งไม่มีความเชื่อถึงขั้นนั้น เพราะเราอาศัยความเชื่อของเราเอง แต่ถ้าสมมุติเราอาศัยความเชื่อของพระเยซูให้พระเยซูเชื่อแทนเราจะเห็นการยิ่งใหญ่ของพระเจ้าใช่ไหมครับ
ตอบ.
ใช่ครับ ในพระคัมภีร์สอนเราอย่างหนึ่งก็คือให้เราขอให้พระเยซูเชื่อแทน ทุกวันนี้ความเชื่อของเรามันไขว้เขว ความเชื่อของเรามันสงสัย ความเชื่อของเรามันไม่ถึงขนาดของเมล็ดมัสตาร์ด ไม่ถึง ความเชื่อของมนุษย์เป็นความเชื่อที่ใช้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นใน "กาลาเทีย 2:20 บอกว่าเราทุกวันนี้ดำเนินชีวิตอยู่โดยความเชื่อของพระเยซู" อย่าเชื่อเองแต่ให้พระเยซูเชื่อให้
บอกว่าพระเยซูเชื่อแทนลูกด้วย ลูกเชื่อแต่บางครั้งลูกก็สงสัย
พระเยซูเชื่อแทนลูกด้วย บางครั้งลูกก็อ่อนแอ ลูกหวั่นไหวไม่วางใจในพระองค์
ถ้าพระเยซูเชื่อแทนเราได้ เราจะวางใจในพระเจ้าได้ เราจะไม่หวั่นไหวได้ เราจะสู้ต่อไปได้ เราจะไม่ท้อ ความเชื่อของพระเยซูสุดยอดเลย
...
ถาม.
ทำไมพระเยซูทำในสิ่งที่เกินความเข้าใจหรือว่าเหนือมนุษย์คาดหมายได้
ตอบ.
เพราะว่าพระเจ้าต้องการให้เรารู้ว่า เมื่อเราหมดหนทางแล้ว ทางตันแล้ว ไม่มีทางแล้ว เป็นไปไม่ได้แล้ว พระเจ้าจึงเริ่มทำเพื่อให้มนุษย์เห็นว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ คือสำหรับเราถ้าเรายังทำอะไรได้อยู่ ถ้าเราพอไปได้อยู่ ถ้าเราพอแก้ไขตัวเองได้อยู่ พระเจ้าจะไม่ยื่นมือเข้ามา แต่เมื่อไหร่ตอนไหนที่เราบอกว่าลูกยอมแล้ว ยอมจำนนแล้ว ไม่ไหวแล้วยอมจริงๆยกมือยอมพระเจ้า การช่วยเหลือของพระเจ้าจะเริ่มขึ้นสิ่งนี้เป็นกฎของพระเจ้า