เราขอบพระคุณพระเจ้าสมัยก่อนชาวยิวการที่เขาจะรักษาชีวิตให้อยู่ในความชอบธรรม เป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าทุกวันทุกเวลา ก็คือเขาพยายามที่จะไม่ทำบาปพยายามอย่างมาก แล้วเป็นภาระที่เขาแบกหนักมาก และเมื่อไหร่เขาพลาดเผลอพลั้งไปทำบาป เขาจะนำสัตว์หรือสิ่งของที่มีมูลค่าเท่ากับความบาปที่จะต้องไถ่ ก็จะนำไปที่พระวิหารแล้วก็ให้ปุโรหิตทั้งหลายทำพิธีเพื่อการชำระบาป การสารภาพบาป แล้วก็กลับมาตั้งใหม่
แต่เดี๋ยวนี้เราขอบคุณพระเจ้า ยุคนี้เป็นยุคพระคุณ และพระคริสต์ตายเพื่อไถ่บาปพวกเรา และก่อตั้ง ตั้งพระบัญญัติใหม่ พันธสัญญาใหม่ การสารภาพแบบใหม่ การถวายเครื่องบูชาแบบใหม่ ก็คือการสารภาพนี่เอง
ทุกครั้งเรารักษาชีวิตในแต่ละวันให้เป็นคนชอบธรรมได้ขณะที่เรายังทำบาปอยู่ คืออะไร
เมื่อไหร่ที่เราเผลอพลั้งไปทำบาป เรารีบสารภาพ แล้วก็ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ชำระแล้ว เราได้ถวายเครื่องบูชาไถ่บาปแล้วตอนนั้นเดี๋ยวนั้น และเรากลับมายืนอยู่ในฐานะของคนชอบธรรมอีกครั้งหนึ่ง
แล้วถ้าหากเราทำบาปอีกละ สัก 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมงผ่านไปเราทำ กลับมาทำบาปอีก เราก็สารภาพอีก อย่าลืมว่าการยกโทษของพระเจ้าในยุคพระคุณ ก็คือ 70×7 ฮาเลลูยาสรรเสริญพระเจ้า พระเจ้ามีพระเมตตาความรักของพระองค์สูงส่งมาก
เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เราทำบาป แล้ววันไหนที่เราทำบาปไม่ว่าจะกี่ครั้ง บาปเล็ก บาปน้อย บาปใหญ่ บาปมาก บาปอะไรก็ตาม บาปที่ตั้งใจทำหรือไม่ตั้งใจ พระโลหิตก็พร้อมที่จะชำระเราให้กลับมาอยู่ในความบริสุทธิ์และชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า เอเมน
เปโตรถามใช่ไหมว่า มีคนมาทำผิดต่อข้าพเจ้าต่อข้าพระองค์ แล้วจะยกโทษให้เขากี่ครั้ง น่าจะ 7 ครั้งก็พอมั้งใช่ไหมพระเยซู แล้วพระองค์ก็ตอบเขานะครับว่าไม่ ท่านเดาผิดแระ เธอคิดผิดแระ ก็คือ 70×7 เมื่อพระเยซูยืนยันว่า 70×7 ก็คือ 490 ครั้ง แต่ความหมายฝ่ายวิญญาณ 7 หมายเลข 7 ก็คือเลขที่ครบบริบูรณ์ คือหมายเลขที่ครบ ครบถ้วนครบบริบูรณ์เป็นหมายเลขของพระเจ้า It's the number of God is seven
(มัทธิว 18:21-22 ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องของข้าพระองค์จะกระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ข้าพระองค์ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ”
22 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด)
เพราะฉะนั้นความหมาย ก็คือไม่มีกำหนด ไม่มีข้อแม้ ไม่มีเหตุผล ไม่มีอะไรทั้งนั้น เมื่อสารภาพปุ๊บพระเจ้าจะไม่คิดว่า เออ ทำผิดมากไหม ทำผิดตั้งใจไหม ทำผิดแบบไหน ลักษณะไหน ไม่มีครับไม่มีการพิสูจน์ไม่มีการพิจารณาคดีอะไรทั้งนั้น ก็คือยกโทษก็คือยกโทษแล้วชำระด้วย เรากลับมายืนอยู่ในฐานะของคนชอบธรรมอีกครั้งหนึ่ง 70×7 ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการยกโทษของพระองค์
ซึ่งคริสเตียนทุกวันนี้เขาไม่รู้ความจริงอันนี้ เขาอ่านเห็นนะครับ เขาอ่านเจอว่า 70×7 แต่เขากลัวว่าพระเจ้าจะไม่ยกโทษ เขาไม่กล้าสารภาพ ถ้าวันไหนทำบาป ก็คือวันนั้น ก็คือพัง ชีวิตคริสเตียนพัง กลับมาเริ่มใหม่วันพรุ่งนี้เพราะว่า อารมณ์ดี จิตใจที่รู้สึกว่าดีขึ้น พระเจ้าน่าจะลืมแล้วล่ะ ใช่ไหมเราเคยคิดใช่ไหม
แต่ตอนนี้ ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์เปิดตาพวกเราให้ได้พบความจริงที่ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำบาป เราทำบาปกี่ครั้งก็ตาม พระเจ้าพร้อมที่จะยกโทษให้เรา ไม่ใช่เพราะเห็นแก่เรา แต่เห็นแก่พระเยซูที่พระองค์ตายบนกางเขนเพื่อไถ่บาปเรา เอเมน
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ที่พระองค์นำเรามาถึง 2 หัวข้อ 2 เรื่องใหญ่
ก็คือ เรื่องที่ 1. การดลใจของพระเจ้า
ส่วน เรื่องที่ 2. เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ สำหรับชีวิตคริสเตียนพวกเรา
ผมจะพาเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์นะครับ แล้วก็พระประสงค์ของพระเจ้าที่พระองค์สร้างอาดัมเอวา
พระองค์สร้างมนุษย์เพื่ออะไร
ผมอยากถามพวกเรานะครับว่าพระเจ้าเป็นวิญญาณใช่ไหม เอเมน พระเจ้ามีตัวตนไหม ไม่มีนะครับ เอเมน
และเมื่อพระเจ้าต้องการที่จะปรากฏให้โลกฝ่ายตาที่มองเห็นให้ทุกสิ่งทุกคนให้อะไรทั้งนั้นได้เห็นพระเจ้า พระองค์ต้องทำยังไง ก็คือสร้างมนุษย์ แล้วเมื่อสร้างมนุษย์ เป้าหมายของพระเจ้าพระประสงค์ของพระเจ้าที่สร้างมนุษย์ ก็คือให้มนุษย์เป็นคู่ของพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะเข้าไปสิงสถิตอยู่และเพื่อสำแดงชีวิตและนิสัยของพระองค์ให้โลกได้เห็นพระองค์ผ่านมนุษย์ เอเมน
เพราะฉะนั้นเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ depend on God ความหมายก็คือเพื่อให้พึ่งพาพระเจ้าอยู่เสมอ เพื่อเป็นภรรยาของพระเจ้า เพื่อเป็นเจ้าสาวของพระเจ้า เพื่อเป็นอวัยวะของพระเจ้าที่พระองค์จะใช้ร่างกายนี้ ให้สัตว์โลกมนุษย์ทุกสิ่งเห็นพระองค์ นี่คือเป้าหมายของการสร้างมนุษย์
เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการบังคับ หรือสร้างมนุษย์ในลักษณะแบบการสร้างหุ่นยนต์ พระเจ้าให้อิสระ ให้ freewill แก่มนุษย์ ชีวิตของมนุษย์ที่จะครบบริบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อว่าเขาเดินไปกินผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิต ต้นไม้แห่งชีวิตก็คือชีวิตของพระเจ้าที่วางไว้ในต้นไม้นั้น และเมื่อมนุษย์กินเข้าไปเมื่อไหร่รับเข้าไปเมื่อไหร่ ชีวิตของมนุษย์ก็จะครบบริบูรณ์
เรารู้นะครับว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว มนุษย์พลาดใช่ไหมไม่เชื่อฟังพระเจ้า ต่อมานะครับก็คือชีวิตของมนุษย์เนี่ยถูกเรียกว่าไม่เต็ม ไม่พอ ไม่ครบบริบูรณ์
และเมื่อพระเยซูเสด็จมา มีตอนหนึ่งที่พระเยซูตรัสในยอห์นบทที่ 10 ข้อที่ 10 บอกว่า เรามาเพื่อให้พวกท่านได้รับชีวิต และได้รับชีวิตอย่างครบบริบูรณ์ (ยอห์น 10:10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์) เอเมนพระเยซู
เพราะฉะนั้นผู้เชื่อทุกคน ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนศาสนา หรือไม่คริสเตียนศาสนาก็ตาม ทุกคนนะครับได้รับชีวิตที่ครบบริบูรณ์แล้ว แต่เขาไม่รู้ ทุกวันนี้เขายังขอพลัง ขอพระเยซูมาสถิต ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิต เมื่อเขาทำบาปเขาก็คิดว่าพระเจ้าเสด็จออกไปจากเขา แล้วก็ตั้งใหม่พระเจ้าก็จะกลับเข้ามาใหม่ มันจะเป็นแบบนี้วนไปใช่ไหม
แต่เราขอบคุณพระเจ้า เรารู้ว่าทุกวันนี้พระเยซูสถิตอยู่ในเรา พระบิดาสถิตอยู่ในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา และอยู่ในวิญญาณของเรา พระองค์ไปไหนไม่ได้ออกไปไม่ได้เพราะว่าเป็นหนึ่งเดียวกับเราแล้ว เมื่อเราทำบาปจิตเราเป็นคนทำร่างกายเป็นคนทำ แต่วิญญาณไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้นพระเจ้าสถิตอยู่ในวิญญาณของเรา เราจึงมีพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 7 วัน สรรเสริญพระเยซู
และพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเรา เพื่ออะไร
เพื่อที่จะใช้ร่างกายของเรา ใช้ชีวิตของเราให้สำแดงชีวิตและนิสัยของพระเจ้า นี่คือเป้าหมาย พระองค์นำคริสเตียนกลับมาไม่ใช่เพื่อว่าจะให้เรามีความสุข มีบ้านหลังใหญ่ มีรถเก๋ง มีทรัพย์สินสิ่งของอวยพรให้เรามีชีวิตที่มีความสุขอย่างมาก แล้วอยู่อย่างเย็นสุขสบายเป็นสุขสบาย ไม่น่ะ เราคิดผิดแล้วนะครับ
เป้าหมายของพระเจ้าที่นำเรากลับมาเป็นคริสเตียนเป็นบุตรของพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์ ก็เพื่อที่จะนำเรากลับมาให้ทำหน้าที่เหมือนที่อาดัมเอวาพลาด อาดัมเอวาและลูกหลานพลาดในเรื่องการสำแดงชีวิตและนิสัยของพระเจ้า ไปสำแดงชีวิตและนิสัยของมารแทนที่ ทุกวันนี้พระเจ้าจึงต้องการเราที่เป็นคริสเตียน เกิดใหม่เพื่อสำแดงชีวิตของพระคริสต์
“ข้าพเจ้าถูกตรึงแล้วกับพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า กท 2:20”
ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์นำเรามา กลับมาสู่พระประสงค์ของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง แล้วขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์แก่เราแล้ว “ในพระคริสต์” สรรเสริญพระเยซู
พระเจ้าน่ารักนะครับ เราได้โอกาสใหม่อีกครั้งหนึ่ง ที่จะอยู่เพื่อสำแดงชีวิตของพระเจ้า เราแสวงหาอาณาจักรและความชอบธรรมของพระเจ้า เราได้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์
เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องการดำเนินชีวิต การอยู่กิน การทำมาค้าขาย การทำงาน เรื่องการที่จะซื้อขาย บ้าน รถ ที่อยู่อาศัย อาหาร ทุกสิ่งพระเจ้าจะเป็นคนดูแลเอง ไม่ต้องห่วง สรรเสริญพระเยซู
และมาถึงจุดนี้ก็คือ สรุปก็คือ เรามีชีวิตอยู่ด้วยการนำพาของพระคริสต์ คือสำแดงชีวิตของพระองค์ และภายนอกก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นคนบอกเราเป็นระยะๆ ในแต่ละวันว่าอย่าทำ อย่าไป อันนี้ทำได้ อันนี้ไปได้ พระองค์จะเป็นคนสะกิดเรา เป็นคนเร้าใจเรา “เราจะรู้เองนะครับเมื่อเราสนิทมากเท่าไหร่ เราจะรู้การนำพาของพระวิญญาณมากเท่านั้น” มันจะชัดเจนมาก เอเมน
ทำไมโลกเราจึงวุ่นวาย ทำไมโลกเราจึงล้มเหลวที่จะกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า และสุดท้ายโลกก็ถูกครอบครองด้วยมาร และสงครามก็เกิด กันดารอาหารก็มี ภัยธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันไม่ดีมันเกิดขึ้น ทำให้โลกมองเห็นพระเจ้าในลักษณะที่แบบพระเจ้าโหดร้ายพระเจ้าใจดำพระเจ้าไม่ช่วยพระเจ้าไม่ทำทิ้งมนุษย์โลก ไม่ใช่นะครับ
พระเจ้ากำลังช่วยอยู่พระเจ้าพยายามช่วยอยู่และกู้สถานการณ์กู้โลกนี้ให้กลับคืนมาสู่พระหัตถ์ของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งจากมาร เพราะว่ามารยึดครองแล้ว
เราเห็นว่าอาดัมเอวาพลาดนะครับ พระเจ้าให้กินผลจากต้นไม้ทุกต้นกินได้ และทั้งต้นไม้แห่งชีวิตควรจะกิน พระเจ้ารอให้มนุษย์ไปกิน แต่พระองค์ห้ามใช่ไหมว่าไม่ให้กินผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้ดีชั่ว เพราะว่ามันคือการมีชีวิตอยู่เพื่ออาศัยความรู้ดีชั่ว อันไหนดีก็ทำ อันไหนชั่วก็ไม่ทำ นี่คือหลักการดำเนินชีวิตของมนุษย์
ถ้าหากมนุษย์กินผลไม้จากต้นไม้ต้นนี้ ก็คือเดินด้วย independence ก็คือเดินด้วยการอาศัยตัวเราเอง ความคิดของเราเอง สติปัญญาของเราเอง ไม่พึ่งใคร ก็คือ independence เป็นอิสระ พระเจ้าไม่ต้องการให้เราใช้ชีวิตแบบนี้ มันอันตราย
(หนังสือปฐมกาล 2:9 แล้วพระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงให้บรรดาต้นไม้ที่งามน่าดูและที่เหมาะสำหรับเป็นอาหารงอกขึ้นบนแผ่นดินโลก มีต้นไม้แห่งชีวิตอยู่ท่ามกลางสวนด้วย และมีต้นไม้แห่งความรู้ดีและรู้ชั่ว
หนังสือปฐมกาล 2:16-17 พระเยโฮวาห์พระเจ้าจึงทรงมีพระดำรัสสั่งมนุษย์นั้นนว่า “บรรดาต้นไม้ทุกอย่างในสวนเจ้ากินได้ทั้งหมด แต่ต้นไม้แห่งความรู้ดีและรู้ชั่วเจ้าอย่ากินผลจากต้นนั้นเป็นอันขาด เพราะว่าเจ้ากินในวันใด เจ้าจะตายแน่ในวันนั้น”)
เพราะว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้พึ่งพระเจ้าอยู่เสมอ เราต้องพึ่งพระเจ้านะครับ เราอยู่โดยที่ไม่มีพระเจ้าไม่ได้ เห็นไหมครับว่าโลกทุกวันนี้ คนที่ไม่มีพระเจ้าเขาเป็นยังไง ไปพึ่งพระไหนก็ตามก็จะมีทุกข์ ก็จะมีโศกเศร้า ก็จะมีเสียใจ แล้วสุดท้ายก็ตาย และสุดท้ายก็ไปอยู่ในที่ที่ไม่ควรจะไป ใช่ไหม ความผิดหวังมันเต็มอยู่ในหัวใจของมนุษย์ โลกนี้เป็นนรกบนดิน แล้วสุดท้ายก็จะไปจบที่บึงไฟ
แต่ขอบคุณพระเจ้า เมื่อเราอาศัยพระเจ้า ก็คือ depend on God อาศัยพระเจ้าพึ่งพาพระเจ้า อยู่เพื่อให้พระเจ้าใช้ชีวิตของเรา นำพาเรา บอกเราสะกิดเราให้ไปให้ทำ ให้ไม่ไปให้ไม่ทำ เราทำตามที่พระองค์ต้องการ สุดท้ายชีวิตของเราจะอยู่ในการดูแลของพระองค์อย่างสม่ำเสมอในแต่ละวัน เราจะไม่ปวดหัว เอเมน
จากอาดัมเอวาที่กระทำผิด ไม่เชื่อฟังพระเจ้า สุดท้ายก็ล้มเหลว
และเรามาดูชีวิตอีกคนหนึ่งก็คือ กษัตริย์ซาอูล กษัตริย์ซาอูลพระเจ้าสั่งให้ไปนำกองทัพไปทำลายเมืองศัตรู ปรากฏว่าพระเจ้าสั่งห้ามว่า “ถ้าหากท่านไปทำลายเมืองนี้ อย่านำอะไรกลับมา” สัตว์ทรัพย์สินสิ่งของอะไร อย่านำกลับมาเป็นอันขาดเพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาถวาย หรือเตรียมที่จะถวายให้พระอื่น เพราะฉะนั้นห้ามนำกลับมาเป็นอันขาดเพราะว่ามันเป็นมลทิน แต่กษัตริย์ซาอูลไม่เชื่อฟัง แล้วก็แอบเอามา ก็คือสัตว์ทั้งหลายเยอะมาก สุดท้ายพระเจ้าก็ลงโทษเขา
แล้วเราดูอีกคนหนึ่ง ก็คือโมเสส โมเสสนะครับพระเจ้าบอกว่าให้ไปพูดดีๆ ไปพูดกับก้อนหิน สั่งมันให้มันเปิดออกเพื่อน้ำจะไหลออกมาให้ชนชาติอิสราเอลได้ดื่มได้กิน แต่พี่น้องทราบไหมโมเสสโกรธโมโหมาก แล้วก็เอาไม้เท้าไปทุบมัน ความโกรธของเขานะครับเป็นการไม่เชื่อฟังพระเจ้าและไม่ให้เกียรติพระเจ้าต่อหน้าชนชาติอิสราเอล โมเสสจึงไม่มีโอกาสได้เข้าไปในดินแดนคานาอันที่พระเจ้าสัญญา ให้ลูกหลานของเขาเข้าไปแทน เสียดายมากนะครับ
แล้วอีกคนหนึ่งที่เราเห็นในพระคัมภีร์ เรื่องการไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าไม่นำเราไม่ทำเนี่ย ก็คือมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นภรรยาของโลทใช่ไหมที่พระเจ้าทำลายเมืองโสโดม คือตอนที่พระเจ้าทำลายเมืองโสโดม แล้วก็พระเจ้าให้โลทและภรรยาออกมาจากเมืองนั้น แต่ปรากฏว่า แล้วพระเจ้าก็สั่งนะครับว่าห้ามหันกลับไปมอง ถ้ากลับไปมองจะมีอันตรายเกิดขึ้นมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น สุดท้ายภรรยาของโลทไม่เชื่อฟัง ก็หันกลับไป ร่างกายของนางก็กลายเป็นเสาเกลือนะครับ
แล้วอีกคนหนึ่งก็คือ โยนาห์ พระเจ้าสั่งให้โยนาห์ไปประกาศกับชาวเมืองนีนะเวห์ แต่โยนาห์รู้ดีว่าชาวเมืองนี้เป็นคนที่มีใจแข็งกระด้างเป็นคนที่หัวดื้อ แล้วโยนาห์คิดว่าถ้าไปเนี่ยก็เสียเวลาเปล่า เขาไม่กลับใจหรอก แล้วโยนาห์ก็ไม่ไป ท่านก็เดินทางไปยังเมืองอื่นทางทะเล แล้วพระเจ้าก็ให้เขาไปอยู่ในท้องปลา 3 วัน 3 คืน สุดท้ายเมื่อโยนาห์กลับใจแล้วก็กลับไปประกาศ ปรากฏว่าชาวเมืองนั้นกลับใจ คือพระเจ้ารู้ดีกว่าเรา ไม่ใช่เรารู้ดีกว่าพระเจ้า
นี่คือตัวอย่างนะครับที่มนุษย์ล้มเหลวเพราะว่าไม่เชื่อฟังพระเจ้า คิดว่าอันนี้น่าจะดี อันนี้น่าจะไม่ดี อันนี้ควรจะทำ อันนี้ควรจะไม่ทำ แต่พี่น้องทราบไหมคนที่รู้ดีกว่าเราคือใคร “พระเจ้า” แน่นอน
เพราะฉะนั้น พระเจ้ารู้ดี พระเจ้าเห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้น อะไรจะเป็นสิ่งที่ดีและไม่ดี ผลที่ตามมามันจะใช้ได้ไหมหรือใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังพระเจ้า มากกว่าเชื่อฟังสติปัญญาของเรา สติปัญญาของเรามันใช้ได้ตอนนี้ก็คือ 20% เท่านั้นในสมองของเรา แต่พระเจ้าเต็มร้อย แล้วพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่อัศจรรย์ แล้วพระเจ้าเป็น intelligence ก็คือเป็นพระเจ้าที่ฉลาดที่สุดในจักรวาล ไม่มีใครฉลาดเท่าพระเจ้าอีกแล้ว
แล้วผู้ชายอีกคนหนึ่งที่เราพบในพระคัมภีร์ที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายก็คือ อับราฮัม อับราฮัมพระเจ้าสั่งท่านในปฐมกาลบอกว่า จงเดินทางไปยังดินแดนคานาอัน เราจะมอบดินแดนนี้ให้แก่เจ้าและลูกหลานเพื่อที่จะได้อาศัยอยู่ แต่พี่น้องทราบไหมอับราฮัมไม่ไป อับราฮัมเดินทางไปเมืองนี้เมืองโน้นไปหลายๆ เมือง
สุดท้ายลูกหลานของอับราฮัมไปจบชีวิตอยู่ที่ประเทศในอียิปต์ อยู่ที่อียิปต์ก็เป็นทาสหลายปีใช่ไหม นี่คือผลที่ได้รับจากการไม่เชื่อฟังพระเจ้า และสุดท้ายพระเจ้าก็นำโมเสสให้พาชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ แล้วไปยังดินแดนคานาอันที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัม แล้วสุดท้ายก็ได้ดินแดนนี้
และอีกคนหนึ่งก็คือ ซาร่า ที่เป็นภรรยาของอับราฮัม ซึ่งพระเจ้าบอกเขานะครับว่าเขาจะมีบุตร แต่ 70 ปีผ่านไปยังไม่มี แล้วนางซาร่าก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าซาร่าเป็นหมัน แล้วซาร่าก็ไปหานางฮาการ์ที่เป็นทาสของครอบครัวของเขา ให้ไปเป็นภรรยาคนที่ 2 กับอับราฮัมเพื่อที่จะมีบุตรให้ท่าน
ปรากฏว่าการไม่เชื่อฟังครั้งนี้ ทำให้บุตรของนางฮาการ์เป็นบรรพบุรุษของคนอาหรับในทุกวันนี้ที่เป็นหอกข้างแคร่ของชาวยิว ทุกวันนี้อิสราเอลต่อสู้กับชนชาติหลายชนชาติที่อยู่รอบข้างเขา ชนชาติหลายชนชาติเหล่านั้นหลายประเทศ ก็คือลูกหลานของฮาการ์ที่เป็นลูกทาสนั่นเอง นี่คือผลที่อับราฮัมและซาร่าไม่เชื่อฟังพระเจ้า
สำหรับเราที่เป็นคริสเตียน เมื่อเราได้พบความรักของพระเยซู เราได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์กระทำ พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเรา เห็นความรักผ่านการไถ่ของพระองค์ที่เราอ่านในพระคัมภีร์ เราทั้งหลายก็รีบถวายตัวรับใช้ รีบไปทำๆๆๆๆ เพื่อพระเจ้า สุดท้ายมันก็หนักใช่ไหม แล้วสุดท้ายหลายสิ่งหลายอย่างเราก็ทำไม่ได้ เราเองก็บ่น เราก็ท้อ สุดท้ายอารมณ์ดีเราก็ทำ อารมณ์ไม่ดีก็ไม่ทำ หรือคนพูดใส่เราเราก็หนี หรือถอย คนยกย่องยกยอเราก็กลับมาทำใหม่ อันนี้เราเป็นกันใช่ไหม
นี่นะครับคือการรีบ รีบเกินไป โดยที่เราไม่คิดนะครับว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าคือ ให้เรารอ เมื่อเรากลับใจเชื่อพระเยซูเราเรียนรู้ก่อน อย่าเพิ่งรีบทำ อย่าเพิ่งรีบรับใช้ อย่าเพิ่งรีบประกาศข่าวประเสริฐ รอก่อน เราเรียนรู้ที่จะรอ
อับราฮัมรอ 70 ปีกว่าจะได้บุตรชาย และเราควรจะรอกี่ปีเพื่อจะได้กระทำตามสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย กี่ปีก็ช่างไม่สำคัญนะครับ พระเจ้าสั่งเราครั้งเดียวให้เราไปทำ ดีกว่าเราทำโดยที่พระเจ้าไม่สั่งร้อยครั้งพันครั้ง
อีกครั้งขอย้ำ วันนี้เป็นวันที่สำคัญมาก พระเจ้าย้ำครั้งที่ 2 ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว ก็คือ “เมื่อพระเจ้าไม่นำ เมื่อพระวิญญาณไม่นำ เราไม่ทำ” เอเมนขอบคุณพระเยซู
วันนี้นะครับเราจะอธิษฐานเผื่อเพื่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราต่อ สอนเราต่อ ว่าต้องทำยังไง ต้องเรียนรู้อะไร ต้องรอแบบไหน ไม่ทำแบบไหน และทำแบบไหน การดลใจการเร้าใจของพระเจ้าอยู่ภายในเราเป็นลักษณะแบบไหน เรียนรู้ขอพระเจ้าเปิดเผยมากยิ่งขึ้น แล้วเราอาจจะมีโอกาสที่จะได้เข้ามาสามัคคีธรรมเรื่องนี้ต่ออีกสัปดาห์หน้า เราไม่รู้นะครับแล้วแต่พระวิญญาณจะนำ ถ้าพระวิญญาณไม่นำ เราไม่เรียน เอเมน
อีกครั้ง เมื่อก่อนเรารีบทำเพราะว่าเราเห็นว่าพระเจ้ารักเรา เราตื่นเต้นเราดีใจเป็นคริสเตียนมันมีเรื่องอะไรที่น่าตื่นเต้นมากมันดีมากเลย เรารีบรับใช้พระเจ้าเพราะว่าเห็นแก่เพราะว่าพระคุณของพระเจ้ามีมากมายต่อชีวิตเรา อันนั้นผิดนะครับผิด คือเราเรียนรู้ต่อไป เรารอจังหวะ รอโอกาส
สุดท้ายเมื่อเราพบว่า อ๋อ ชีวิตของเราไม่ใช่ทำๆๆๆ แต่ชีวิตของเราก็คือรักๆๆๆ เราอยู่เพื่อรักพระเยซู เราอยู่เพื่อรักพี่น้อง เราอยู่เพื่อรักทุกคน เราอยู่เพื่อรักตัวเราเอง รักเป็นหลักรักเป็นที่หนึ่งของชีวิตคริสเตียน คริสเตียนอยู่เพื่อรัก แล้วจากนั้นเราก็สนิทในพระเยซู รักพระเยซูสนิทในพระเยซู สุดท้ายพระเจ้าจะนำเรา สุดท้ายพระเจ้าจะทำแทนเรา สุดท้ายพระเจ้าจะคิดแทนเรา สุดท้ายพระองค์จะเป็นทุกสิ่งของเราที่เราต้องการ
และเราขอบคุณพระเจ้าเมื่อเรามาถึงชีวิตที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่นำ เราไม่ทำ เราก็ได้ก่อชีวิตของเราและการรับใช้ของเราขึ้นด้วยทองคำ เงิน และเพชรพลอย
ทองคำเงินและเพชรพลอย จะนำมาถึงซึ่งมงกุฎที่พระองค์จะเอากลับมาเพื่อสวมใส่ให้เราในวันพิพากษาที่พระที่นั่งของพระคริสต์ ที่ใกล้จะมาถึงแล้ว สรรเสริญพระเยซูพวกเรารักพระองค์
สำหรับบทเรียนวันนี้ผมขอย้ำนะครับ สิ่งที่สำคัญที่พระเจ้าต้องการย้ำกับเราตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วจนถึงวันนี้ ก็คือถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่นำ เราจะไม่ทำ มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากเท่าชีวิตของเรา เพราะว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียน ไม่ใช่อยู่เพื่อทำๆๆๆ แต่เราอยู่เพื่อรักๆๆๆ สรรเสริญพระเยซู
ง่ายไหมครับชีวิตคริสเตียน แอกเบาไหมครับ
แต่ก่อนสมัยที่ผมเริ่มกลับใจเป็นคริสเตียนอายุประมาณ 17-18 เท่าที่จำได้เริ่มไปโบสถ์อาจารย์ที่โบสถ์ก็เริ่มสอนว่า ตั้งแต่นี้ไปเลิกทำบาป เลิกทุกอย่างที่ไม่ดี เลิกหมด แล้วถวายตัวรับใช้ไปประกาศกับกลุ่มพวกเรา ผมก็ทำนะครับ แต่อยู่มาไม่นานนะครับ ไม่นานก็พบว่า โอ้ ทำไมชีวิตคริสเตียนมันหนักขนาดนี้ คือต้องถวายสิบลดด้วยหรอ อุ๊ยตายแล้วเงินก็ไม่เยอะ แล้วก็คือมันมีสิ่งที่เป็นภาระที่หนัก แอกหนัก กางเขนหนักมาก ต้องถวายชีวิตต้องอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด สุดท้ายก็ไม่ไหว
ตอนนั้นเขาก็บังคับนะครับให้ตื่นแต่เช้าตี 4 ตี 5 เพื่ออธิษฐาน ก็เห็นว่า อืม ถ้าเป็นคริสเตียนแล้วเจอแบบนี้เนี่ยจะไหวไหม แต่ก็อยู่ไปเรื่อยๆ นะครับก็อยู่ไปเรื่อยๆ เพราะว่ากลัวจะไม่รอด เราก็เป็นใช่ไหม กลัวจะไม่รอดหนีก็ไม่ได้น่ะ หนีพระเจ้าก็กลัวจะไม่รอด ถ้าอยู่ก็อยู่แบบฝืนใจ ถูกบังคับให้อยู่ เหมือนประมาณว่าต้องทำ ต้องรักษาพระบัญญัติ ต้องเชื่อฟัง ต้องไปประกาศ ถ้าไม่ ประกาศจะพินาศ โอ้ มันเป็นภาระอะไรที่หนักมากนะครับ
แต่สุดท้าย มาพบมานาที่ซ่อนไว้ ก็ขอบพระคุณพระเยซูที่เจอคำสอนของพระเยซูที่บอกว่า ใครที่แบกภาระหนัก แอกหนักจงมาหาเราและจะได้พักผ่อน แอกก็เบากางเขนก็เบา
“มัทธิว 11:28-30
28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข
29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลง และท่านทั้งหลายจะพบที่สงบสุขในใจของตน
30ด้วยว่าแอกของเราก็แบกง่าย และภาระของเราก็เบา”
ขอบคุณพระเจ้าวันนี้ความฝันเป็นจริง แล้วขอบคุณพระเจ้าสำหรับพวกเราที่ความฝันของพวกเราทุกคนเป็นจริง ก็คือมาพบพระคำล้ำลึก แล้วชีวิตเบาสบาย สันติสุขเต็มล้นได้ ชีวิตเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น เมื่อเรายิ่งสนิทมากเท่าไหร่ เราก็เห็นการนำพาของพระวิญญาณ การทำแทนของพระเยซูคริสต์ในเรามากยิ่งขึ้น พระเยซูพวกเรารักพระองค์ สรรเสริญพระองค์เอเมน
สำหรับพี่น้องที่ยังอยู่ในคริสตจักรในโบสถ์ศาสนา ถ้าไปถามศิษยาภิบาลนะครับว่าคำนี้มันดีไหม “พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่นำเราไม่ทำ” หลายคนจะขัดแย้งนะครับหลายคนจะคัดค้านบอกว่า ไม่หรอกอะไรที่ดีก็ทำไปหมด อะไรที่ดีก็ทำ ทำเถิด อันนี้เป็นความเข้าใจของคริสเตียนศาสนาทั่วไปทุกวันนี้
แล้วถามว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่า คืออันไหนที่พระวิญญาณนำ หรือไม่นำ
ถ้าสมมุติว่า เราไม่ได้สัมผัสการนำพาของพระวิญญาณ ไม่ได้รับการสะกิดหรือดลใจของพระวิญญาณ เราทำด้วยตัวใหม่นะครับ เราทำด้วยตัวใหม่ บอกว่า “ตอนนี้พระคริสต์กำลังทำแทนข้าพระองค์ ตอนนี้ข้าพระองค์ทำด้วยตัวใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์” ทุกสิ่งที่เราทำอยู่ถ้าเราไม่มั่นใจว่าพระองค์นำอยู่ สะกิดเราอยู่ เร้าใจอยู่ ก็คือเราเชื่อก่อนเลยว่า “ตอนนี้ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตด้วยตัวใหม่ คนใหม่ แล้วพระคริสต์เป็นคนทำแทนอยู่”
ถาม.
อาจารย์ค่ะอย่างแบ๊บติสเนี่ยคือพี่มีลูกสะใภ้อ่ะค่ะเขาเป็นแบ๊บติส แล้วเขาก็ไปสอนพี่น้องค่ะ แล้วทีนี้เวลาเราพูด เขาจะไม่ฟังเลยอ่ะ เขาบอกว่าเขาได้ยินเสียงพระวิญญาณทุกวันเลย ใช่ไหมค่ะอาจารย์
ตอบ.
สำหรับคนที่อ้างว่าเขาได้ยินเสียงของพระวิญญาณทุกวัน โดยเฉพาะถ้าอยู่ในแบ๊บติส อย่าเชื่อ หรือแม้แต่กลุ่ม เพนเทคอส หรือกลุ่มที่เขาเรียกว่ากลุ่มพระวิญญาณ กลุ่มไฟ เขาบอกว่าได้สัมผัสพระเจ้าตลอดเวลา อันนี้อย่าเชื่อ อย่าเชื่อนะครับ เป็นความคิดของเขาเอง เป็นการอ้างอิงอ้างเขาเองนะครับว่าพระเจ้านำ เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเขาบริสุทธิ์
ความเป็นจริงนะครับสำหรับพระคัมภีร์ การนำของพระเจ้า พระเจ้าจะไม่นำทุกวัน จะไม่พูดกับเราทุกวัน ทุกเวลา ไม่นะครับ
คือจะมีการสัมผัสการเร้าใจการสะกิด การพูดกับเราสั้นๆ จะมีอยู่ภายในวันหนึ่งก็มีบางครั้งบางครั้งบางครั้งเหมือนเปาโล แล้วก็เหมือนพี่น้องคริสเตียนอีกหลายคนที่ฝึกในเรื่องฝ่ายวิญญาณนี้
แต่ถ้าจะบอกว่า มีพระวิญญาณบริสุทธิ์พูดกับเราตลอดเวลา อันนี้อย่าเชื่อ เขาคิดไปเอง
มีปัญหาหนึ่งสำหรับคริสเตียนพวกเราโดยเฉพาะคริสเตียนศาสนา เขามักอ้างว่าเป็นเสียงของพระวิญญาณ เขาอ้างว่าเป็นเสียงของพระวิญญาณ คือจริงๆ แล้วมันเป็นความคิดของเขา เป็นสมองของเขาที่คิดออกมา แล้วเขาก็บอกว่าโอ้ขอบคุณพระเจ้า โอ้อันนี้เหรอ โอ้ขอบคุณพระเยซู จริงๆ แล้วไม่ใช่เสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเสียงของพระเจ้า แต่เป็นเสียงของภายในเกิดขึ้นในสมองของเขาเอง
อันนี้ผมก็เคยเป็นสมัยที่เป็นศิษยาภิบาล เป็นคริสเตียน ตอนนั้นก็คือฝึกเดินก็คืออยู่ในความเชื่อ แต่ยังไม่ได้พบมานานะครับ หลายครั้งที่เราโกหกตัวเราเองว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์พูด แต่จริงๆ แล้วสมองของเราเป็นคนพูด เคยไหมเราเคยมีประสบการณ์นี้ไหม
คือสำหรับมนุษย์นะครับ โดยเฉพาะคริสเตียน จะมี 3 แหล่ง ที่มีเสียงออกมาสู่เรา
อันแรกก็คือมาร ก็คือซาตาน และทูตสวรรค์ชั่วที่จะมากระซิบหูเราผ่านสมองของเราให้เราได้ยิน
อันที่สองก็คือ ความคิดของเราเอง ที่คิดบอกว่าอย่าไป อย่ามา แล้วเหมือนกับว่าเราคิดว่า เอ๊ จะใช้เสียงพระเจ้าหรือเปล่า แม้แต่มารซาตานที่พูดกับเรา แล้วบอกว่า เรานี่แหละคือเยซู อันนี้เราอย่าเพิ่งเชื่อ ต้องดูก่อนว่าเขาสั่งอะไร คำสั่งคำพูดตรงกับพระคำพระเจ้าหรือไม่ แล้วเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ ไม่ใช่ว่าเสียงสั่งอะไรเราก็ไปทำ ไปยืมเงินจากคนนี้ ไปเดี๋ยวนี้ แล้วสั่งว่าพระเยซูสั่งให้มาเอามายืม อันนี้ไม่ใช่นะครับ อย่าเข้าใจผิดนะครับ เราต้องรู้จักแยกแยะ
แต่ที่สำคัญ เมื่อพระวิญญาณสั่งจะเกิดมีอาการเร้าใจที่หนักมาก แรงมาก ร้องไห้หนักมาก มีความเมตตาสงสารที่สูงมาก มีการสะกิดที่บ่อยมากๆ แล้วเมื่อไปทำก็เกิดผล แล้วทำในสิ่งที่เหมาะสม สิ่งที่มีเหตุผล เป็นสิ่งที่ดี สำหรับเราเองและสำหรับผู้อื่นด้วย
แหล่งสุดท้ายก็คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคนพูดเอง เสียงจะสั้นๆ อาจจะเป็นคำสองคำก็ได้ และการสะกิดการเร้าใจ เหมือนอย่างที่ผมพูดก็คือมีอาการความรักมากมาย มีความสงสารเมตตามากมาย อะไรที่มันดูเหมือนจะมีคำว่ามากมายเกิดขึ้น ก็คือมันไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่ใช่แหล่งอื่น ก็คือเป็นมาโดยพระเจ้า
รู้ได้ยังไง เราจะเรียนรู้ สังเกตแบบนี้ได้ยังไง
เคล็ดลับอยู่ตรงนี้ สนิทให้มาก สนิทในพระเยซูให้มาก แค่นี้ เมื่อเราสนิทในพระองค์มาก เราจะเกิดผลมาก เกิดผลทั้งภายในเกิดผลทั้งภายนอก เกิดผลทั้งการเร้าใจ เกิดผลในทุกสิ่งในการฝ่ายวิญญาณ เคล็ดลับสิ่งเดียวในชีวิตของเราก็คือ สนิทในพระเยซู แล้วพระองค์จะให้ความรู้ความกระจ่างความชัดเจนทุกสิ่งให้เราได้เข้าใจ
แล้ววันนี้กลับมาถามเราดูว่า ที่ผ่านมาเราสนิทมากพอไหม ถามเราทุกวันว่าสนิทมากพอไหม ถ้าไม่สนิท ง่ายๆ นะครับ มันง่ายมากสำหรับเราที่จะออกจากปัญหาต่างๆ ออกจากเนื้อหนัง ร้องเรียกพระนามพระเยซู เริ่มง่ายๆ
“พระเยซู เอเมนพระเยซูข้าพระองค์กลับมาแล้ว เอเมนเมื่อกี้หลุดไปหลงไปอยู่ในเนื้อหนังในอาดัม ตอนนี้อยู่ในพระคริสต์แล้ว เอเมน”
แค่นั้นเอง เราก็กลับมาแล้ว ฮีบรู 10:19 ท่านทั้งหลายจงเข้ามาหาพระเจ้าโดยทางพระโลหิต เห็นไหมครับเราไม่ต้องทำดีทำชั่วไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องอาศัยอารมณ์ความรู้สึก ความคิดอะไรก็แล้วแต่ ทันทีที่เราอยากจะพูดว่าเอเมน หรือร้องเรียกพระนามพระเยซู ข้าพระองค์รักพระองค์ ข้าพระองค์กลับมาแล้ว เรามาในลักษณะนี้นะครับก็คือมาทางพระโลหิต พระเจ้าก็ต้อนรับเรา
ถาม.
อาจารย์ค่ะไม่ทราบว่า คือเราเตือนแล้วเขาก็ไม่ฟังอ่ะค่ะ เราจะทำยังไงดี เราต้องอธิษฐานหรือเปล่าค่ะ ว่ามันไม่ใช่เสียงพระวิญญาณนะมันทั้งวันน่ะ แต่ว่าเราก็เฉยๆ เพราะว่าเราอ่ะเพิ่งจะรับเชื่อไม่นานแล้วเขาเชื่ออยู่นานแล้วอ่ะค่ะ เรื่องที่เขาบอกว่าเขาได้ยินพระวิญญาณทุกวันนะคะ
ตอบ.
อันนี้เราเตือนเขาไม่ได้นะครับ เราใหม่กว่าเขา เขาเก่าแล้ว อีกอย่างเขาจะเข้าใจว่าเขาคิดนะครับว่าเขามีประสบการณ์เขาเป็นคริสเตียนนานกว่าเธอ มีอะไรดีมาเตือนฉัน นี่คือความคิดของคริสเตียนศาสนา คนเก่าต้องดีกว่าคนใหม่ เพราะว่าคนเก่าเนี่ยโอ้เรียนรู้เยอะ มีความรู้เยอะกว่า เป็นคริสเตียนมานานกว่า อย่าไปแตะเขานะครับ
ที่เราช่วยได้ก็คือสิ่งเดียว ก็คือขอพระวิญญาณขอพระเจ้าช่วยเขา ขอพระองค์เมตตาช่วยเขาให้เขากลับใจให้เขาได้รู้ว่า เรื่องการทรงนำ เรื่องการพูดตรัสของพระเจ้ากับมนุษย์กับคริสเตียน มันไม่ใช่แบบนั้น และอีกไม่นานนะครับถ้าพระเจ้าเมตตาเขา แล้วเขาเปิดใจ ถ้าเขาเปิดใจ สุดท้ายพระเจ้าก็ให้เขาได้เห็นความจริงได้รู้ความจริงเหมือนพวกเรา เอเมน
อันนี้คริสเตียนที่มีลักษณะแบบนี้ เราเห็นกันบ่อยใช่ไหม หลายๆ คริสตจักรมีนะครับทุกคริสตจักรมี จะมีคนที่แอบอ้างว่าได้ยินเสียงของพระเจ้า พระเจ้าอยู่กับเราทั้งวัน พูดกับเราทั้งวัน สัมผัสพระเจ้าตลอดเวลา คือชีวิตมันอยู่ในพระนิเวศน์ของพระองค์ คืออันนี้เป็นการแอบอ้างอีกครั้งนะครับเขาแอบอ้าง เขาอยากให้ทุกคนยกย่องเขาว่าเขาเป็นคนชอบธรรมบริสุทธิ์ อยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้าตลอดเวลา
แสดงอาการแบบเป็นคนสุภาพเรียบร้อย พูดดี ในคริสตจักรนะครับในคริสตจักร แต่ออกไปข้างนอกรับรองอย่าไปเชื่อนะครับ ออกไปข้างนอกถ้ามีใครแอบไปดูเขาติดตามเขาจะรู้ว่าชีวิตจริงเป็นยังไง พระเจ้าอยู่กับเขาทุกวันจริงหรือเปล่า อันนี้สมัยก่อนเราก็เป็นกันใช่ไหม หลายคนก็เป็น แอบอ้างว่าเราบริสุทธิ์
ถาม.
เอเมนค่ะอาจารย์พอดีนึกถึงตรงนี้ตรงที่อาจารย์แบ่งปันสอนตรงเรื่องเนี้ยก็คือ การแยกแยะเสียง ดิฉันขอบคุณพระเจ้าเลยเพราะว่าเคยอยากให้อาจารย์เน้นในกลุ่มของเราหน่อยค่ะว่าให้เรารู้จักแยกแยะเสียงของพระเจ้า ของตัวเอง ของมารซาตาน เพราะว่าเคยมีพี่น้องมาเล่าความฝันให้ฟัง แต่ความฝันอันนั้นน่ะมันเป็นความฝันที่ขัดแย้งกับความจริงของพระเจ้า แล้วได้เคยเตือนเขาแล้ว แต่เขาท่าทางจะเอาเป็นเนื้อหนังขึ้นมาเป็นที่หนึ่ง ที่นี่ก็เลยผิดใจกันไปอ่ะค่ะ ขอบคุณพระเจ้าค่ะ
ตอบ.
สำหรับเรื่องการอธิบายนะครับ เราล้างเท้าพี่น้อง เราทำตามที่พระเยซูกระทำ ก็คือไม่เกิน 3 ครั้ง
เมื่อเราสามัคคีธรรมกับใคร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ในห้องใหญ่ห้องมานาฯ ก็ตาม ห้องเล็กก็ตาม หรืออยู่ข้างนอกหรืออยู่ที่คริสตจักรก็ตาม
เราพูดไป เขาเถียงมา เราพูดไปอีก ให้โอกาสล้างเท้าเขาอีกครั้งนึง สาดน้ำไปเลยนะครับไปที่เท้าเขา แล้วเขาไม่ยอมรับเขาเถียงกลับมา เขาก็สาดน้ำเข้ามาใส่เท้าเราเพื่อจะล้างกันและกัน แต่จริงๆ แล้วเอาน้ำสกปรกมาล้าง
3 ครั้งนะครับ เมื่อไม่มีใครตกลงได้ ตกลงกันไม่ได้ ไม่มีใครฟังใคร เราหยุด เอเมน ไม่จำเป็นต้องอธิบาย
บางครั้ง บางครั้งเรานะครับอันนี้ผมจะไม่พูดถึงชื่อไม่พูดถึงใคร คือการพูดในลักษณะที่ว่าสมมุติว่าเรา เป็นคนที่สาดน้ำสะอาดไปล้างเท้าเขา แล้วเขาสาดน้ำที่สกปรกมาใส่เท้าเรา เราให้โอกาสสาดไปอีก 3 ครั้ง ถ้าครั้งที่ 3 เขายังไม่ฟัง เราหยุด
ทีนี้เมื่อเราเป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณแล้ว และความรู้ของเราอาจจะยังไม่ถึง อาจจะเข้าลึกไม่ได้ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาสาดมาใส่เราเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์น้ำสะอาด แต่เราปรากฏว่าเราคิดว่ามันไม่สะอาด เรากลับไปแก้ไขความผิดของเขา เราก็สาดน้ำของเราไปให้เขา แต่จริงๆ แล้วน้ำของเรามันสกปรก อันนี้ก็เป็นได้นะครับระมัดระวังหน่อย อันนี้ก็เป็นได้
เมื่อเราสาดไปใส่เขาเนี่ยมันสกปรก แต่ยังไงก็ตามวิธีของพระเจ้าก็คือ เมื่อถึง 3 ครั้งตกลงลงเอยกันไม่ได้ เราหยุด แล้วไปอธิษฐาน อธิษฐานเผื่อเขาและอธิษฐานเผื่อเรา
“เอ้ พระเยซูข้าพระองค์สาดไปล้างเท้าเขา เขาไม่รับ ข้าพระองค์ก็หวังดีกับเขาก็รักเขา แต่ทำไมเขาไม่รับ ข้าพระองค์ผิดหรือเปล่า”
เราเป็นคริสเตียนที่เป็นมนุษย์วิญญาณ เป็นบุตรที่รักของพระเจ้า เราจะคิดถึงสิ่งนี้ “เอ๊ะ ข้าพระองค์มีผิดอะไรไหม เชื่อผิดอะไรไหม รับคำสอนอาจจะแปลผิดอะไรไหม” นี่คือการถ่อมใจนะครับ เพราะว่าหลายครั้งที่เราอาจจะคิดว่าเราถูกๆๆ แล้วก็สาดไปใส่เขา ล้างเท้าให้เขา พยายามล้างให้เขาให้สะอาด แต่จริงๆ แล้วเราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังสาดน้ำที่อาจจะไม่สะอาดก็ได้
เราถามเราอยู่เสมอนะครับ “พระวิญญาณขอเปิดตาข้าพระองค์ ข้าพระองค์เห็นชัดหรือเปล่า” เพราะฉะนั้นเมื่อมีผงฝุ่นที่ตาของเรา ก็ยังดีกว่ามีไม้ทั้งท่อน เอเมน
สรุปก็คือ 3 ครั้งพอ ห้ามถกเถียง ไม่ถกเถียงกัน ไม่พยายามแก้เขา คือมันไม่จำเป็นนะครับ เขาเชื่อผิด ตอนนี้อยู่ เขาอาจจะเชื่อถูกในอนาคตก็ได้ ใช่ไหม ไม่เป็นไรไม่ต้องรีบร้อนไม่ต้องรีบร้อนไปแก้ไขความผิดของเขา พยายามยัดเยียดสิ่งที่ดีให้เขา เขาอาจจะยังไม่พร้อมที่จะรับก็ได้ ก็คืออะลุ่มอล่วยเห็นใจกัน อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขดีกว่า สร้างสันตินะครับ
เราหวังดี แต่ความหวังดีของเราอาจจะเป็นร้ายก็ได้ ใช่ไหม คือมันมีการถกเถียงกันพี่น้องก็สะดุด แล้วหลายคนในกลุ่มพวกเรามีคนที่เข้ามาใหม่ เขาเห็นว่า เออ ไหนบอกว่าเป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ ไหนบอกว่าเป็นบุตรที่รักพระเจ้า มีแต่คนเติบโตแล้ว ทำไมเถียงกันไปเถียงกันมา ทำไมแบบทะเลาะกัน ทำไมคิดคนละแบบเชื่อคนละอย่าง คือลงเอยกันไม่ได้ โอ๊ย หนีดีกว่า
ก็มีบางคนนะครับที่ออกไป ที่ผ่านมานะครับเท่าที่ผ่านมา มีพี่น้องบางคนที่สะดุดแล้วก็ออกไป เพราะฉะนั้นเราทำยังไงก็ได้อย่าให้พี่น้องสะดุดเรา เพราะว่ามันอาจเป็นสิ่งที่อาจจะหนักก็คือการตีสอนของพระเจ้าอาจจะเท่ากับหินก้อนใหญ่ที่จะถ่วงเราลงทะเล ก็คือการอยู่ในชีวิตที่ ไม่สงบสุขเท่าไหร่ เอเมนขอบคุณพระเยซู
เรากลับใจนะครับ เราตองไตร่ตรองว่าสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราคอมเมนท์กับพี่น้อง เราต้องการหวังดีกับพี่น้องและช่วยเหลือพี่น้องเนี่ยมันดีไหมมันดีจริงไหม “พระเยซูข้าพระองค์พูดถูกไหม สิ่งที่ข้าพระองค์เชื่ออยู่เนี่ย มันถูกไหม” นี่คือการถ่อมใจ คือการเปิดใจให้เราเองกับพระเจ้าเพื่อแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด
ถ้าถูกนะครับ เราก็ขอบคุณพระเยซู เราก็ถ่อมใจ เราก็อธิษฐานเผื่อคนนั้น เอเมน
แล้วอย่าลืมนะครับมีอยู่คลิปหนึ่งที่ผมทำ (https://youtu.be/GCRZjUeo1rc?feature=shared 0001 คริสตจักรของพระเยซู) เรื่องสัมมนาที่กรุงเทพฯ จำกันได้ไหม มีเด็กหลายคนเล่นด้วยกัน แล้วปรากฏว่าเด็กสองคนเล่นใกล้ๆ กัน ก็คือมีเด็กคนหนึ่งเอาทรายขว้างไปใส่ตา ปรากฏว่าเด็กมันก็ตีกัน เด็กมันตีกันทะเลาะกัน ร้องไห้
แล้วถามว่าอีก 4-5 นาทีผ่านไป มันกลับมาเล่นด้วยกันได้ไหม? แล้วอีก 5 นาทีต่อมามันกลับมาโยนขว้างทรายใส่กันอีก เข้าตา แล้วก็มาตีกันแล้วก็ทะเลาะ ร้องไห้ คราบน้ำตายังอยู่ที่แก้มเลย อีก 5 นาทีมันกลับมาเล่นด้วยกันได้ไหม?
มัทธิวบทที่ 18 พระเยซูตรัสว่า จงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ เหล่านี้ แล้วอาณาจักรสวรรค์จะเป็นของพวกท่าน
ต้องเอาความถ่อมใจมา ต้องเอาการลืมความผิดของผู้อื่นไม่จดจำความผิดของผู้อื่นมาแลก ห้ามคิดถึงอดีตทุกอย่างมันจบไปแล้ว ทุกสิ่งของเราทุกวันนี้มีแต่สิ่งใหม่ๆ ทั้งนั้น ใน 2 โครินธ์บทที่ 5:16-17 เป็นคำพูดของพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสผ่านเปาโลให้ใช้ชีวิตอยู่ทุกวันแบบนี้ก็คือ บุคคลที่อยู่ในพระคริสต์ วันนี้และพรุ่งนี้ด้วย บุคคลที่อยู่ในพระคริสต์ก็คือสิ่งเก่าๆ ร่วงไปหมดแล้ว มีแต่สิ่งใหม่ๆ ทั้งนั้น ดูเถิด มีแต่สิ่งใหม่ๆ ทั้งนั้น
มันคืออะไรสิ่งใหม่ๆ ทั้งนั้น
ก็ไม่มีสิ่งเก่าสิครับ ใช่ไหม สิ่งเก่าๆ ก็ร่วงไปหมดแล้ว สิ่งเก่าก็คือเมื่อวาน เมื่อวานนี้มันตายแล้วมันจบแล้ว วันนี้เรามีชีวิตใหม่อีกวันหนึ่ง ฮาเลลูยาสรรเสริญพระเจ้าเป็นชีวิตที่สบายมาก ไม่ต้องจดจำความผิดของใคร ใครจะทำอะไรผิด ทำให้เราเจ็บใจ แค้นใจ ขมขื่นใจ เสียใจ เจ็บใจเข้าไปข้างในเจาะลึกเข้าไปให้มันเจ็บมากๆ มาแทงใจเรา เราจำจนไม่ลืมจนทุกวันนี้
แต่เมื่อเรารับมานาฯ พระคำพระเจ้าเราพบความจริงที่ว่าสิ่งเก่าๆ ก็ร่วงไปหมดแล้วผ่านไปหมดแล้ว คนที่อยู่ในพระคริสต์มีแต่สิ่งใหม่ๆ ทั้งนั้น
ถ้าเราทำไม่ได้ ไม่เป็นเหมือนเด็กเล็กๆ เราจะเข้าในอาณาจักรไม่ได้ ต้องเอาความขมขื่น รากขมขื่นของเรามาแลกกับอาณาจักร ก็คือโยนมันทิ้งไป ลืมทุกสิ่งอภัยให้ทุกคน ไม่เจ็บ ไม่จำ อะไรที่มันแทงเนี่ย ก็คือพระเยซูเอาไปแล้ว ไม่แทงแล้ว
แล้วอย่าลืม เราต้องแลกกับอาณาจักรด้วยตัวเก่า เอาตัวเก่าไปขายเพื่อที่จะได้ตัวใหม่มาใช้ แล้วก็เพื่อที่จะได้เข้าไปในอาณาจักร เราต้องเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ
สำหรับผมผมขอบคุณพระเจ้าน่ะ คือจำเพื่ออะไร จำไปทำไม สิ่งที่เขาทำให้เราเจ็บ ขมขื่น มันร้ายแรง มันโหดร้ายมาก ที่มันถ้าธรรมดาเนี่ยก็คือมันต้องแค้น มันต้องมีอะไรที่แบบแก้แค้น หรือไม่แก้แค้นก็แบบคือเป็นศัตรูไม่มองหน้าไม่คิดถึงเกลียดชัง
แต่ แล้วกลับมาคิดดูพระเยซูสอนพระองค์มีเหตุผล คือถ้าเราเอามือไปคว้าไปจับ เอาความคิดของเราไปคว้าไปจับไปเก็บอดีตไปเก็บความขมขื่นไว้มันจะไม่มีที่ว่างเพื่อที่จะรับสิ่งใหม่ๆ มาจากพระเจ้า คือพระพร การดูแล ความรัก ความเมตตา การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาไม่ได้เพราะว่าเรามีแต่ความขมขื่น เรามีแต่สิ่งที่ไม่ดีมันเต็มอยู่ในแก้วของเรา เราต้องเททิ้งหมด เอเมน
ถาม.
อาจารย์แล้วเวลาที่เรา คือเราเป็นฝ่ายถูกอยู่แล้วละ แต่ทีนี้ว่าเราได้ล้างเท้าเขา ถึงเขาจะตอบโต้มายังไงแต่ในใจเรามีสันติสุขตลอดเวลา แล้วเราก็ตอบเขาไปด้วยมีสันติสุข แล้วก็ยิ้มของเราในใจ ก็สัมผัสได้ถึงพระวิญญาณ ก็มีความสุขตลอดเลยค่ะ แล้วก็ขอบคุณพระเจ้าที่แม้กระทั่งที่เขาใส่ร้ายเราหรือว่าเรา เราก็มีความสุข ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานสันติสุขให้กับเรา เอเมนค่ะ
ตอบ.
เป็นสิ่งที่ดีนะครับ ที่เราไม่ตอบโต้ เรามีสันติสุขที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ครอบครองจิตใจเรา
เพียงแต่ว่าถ้าหากเราอาจจะเขียน คอมเมนท์ หรือพูดอะไร สิ่งที่ผมจะระมัดระวังมากที่สุดก็คือพยายามที่จะไม่เขียนเพื่อไปแตะความคิดของเขา ลักษณะความหมายก็คือเราเป็นฝ่ายถูก ใช่ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ให้สันติสุขเรา ใช่
แต่สิ่งสำคัญอย่าลืมคืออย่าพูดอย่าเขียนในสิ่งที่แตะอารมณ์ความรู้สึกของเขา ซึ่งตอนนั้นเขาอาจจะรู้สึกไม่ดี อาจจะรู้สึกน้อยใจ หรืออาจจะรู้สึกว่าเขาผิด หรือไม่ผิดก็ตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่แตะความรู้สึกของกันและกัน เข้าใจความหมายไหมครับ
คือแตะก็คืออาจจะเป็นโดยที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม สิ่งนี้คือสิ่งที่เราควรหลีกเลี่ยง ไม่ใช่ว่าเราเป็นฝ่ายถูกและพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าข้างเรา เป็นฝ่ายเรา เราถูกต้อง แล้วปรากฏว่าเราก็พูดแทงเขาไปเลย อันนี้ก็ไม่เหมาะนะครับ อันนี้ผมไม่ได้หมายความว่าพูดหรือไม่พูดเป็นหรือไม่เป็นนะครับ คือเสริมให้พวกเราได้เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ฝ่ายที่ถูกก็คือฝ่ายที่เห็นใจ ฝ่ายที่ถูกก็คือฝ่ายที่เมตตา
ผมไม่รู้ว่าพวกเราที่อยู่เอเชียมองประเทศอเมริกาเป็นประเทศยังไง แต่สำหรับผมนะครับอยู่อเมริกา 25 ปี สิ่งหนึ่งนะครับเขามีสิ่งดีสิ่งหนึ่ง เมื่อเขาไปทำสงครามกับประเทศไหน แล้วเมื่อประเทศนั้นถูกเขาถล่มทำลาย จากนั้นเขาเองก็จะกลับไปสร้างเมืองนั้นให้ประเทศนั้น เชื่อไหมครับ อันนี้เป็นความจริงนะครับเป็นสิ่งที่ผมเห็น
คือเมื่อเขาไปทำลายประเทศไหนประเทศใด แล้วเมื่อสงครามสิ้นสุด จบ แล้วเขาชนะ เขาก็จะกลับไปแล้วก็สร้างบ้านเมืองให้ประเทศนั้น คือเห็นใจ คือผมมาทำลายคุณเนี่ยเพราะว่าคุณมาสร้างมาทำสงครามกับผม แล้วมาก่อวิวาทกับผม แล้วเมื่อผมไปทำลายคุณ เมื่อคุณยอมแพ้ ผมชนะ ผมก็กลับไปแล้วก็สร้างบ้านเมืองให้คุณ อันนี้เป็นสิ่งที่เขาทำกันมาหลายปีแล้ว แต่หลังจากที่ทรัมป์เป็นนายกอันนี้ผมไม่ทราบนะครับ ผมไม่ทราบ
ความหมายคือเราได้อะไรจากเรื่องนี้ จากตัวอย่างนี้
ก็คือเมื่อเราเป็นฝ่ายชนะ เมื่อเราเป็นฝ่ายถูก เมื่อเรารู้ได้รับการเปิดตามากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เราเห็นมากกว่าเขา เราก็ขอบคุณพระเจ้า เราก็อธิษฐานเผื่อเขาสิ
การอธิษฐานเผื่อ คืออะไร
คือการกลับไปสร้างเขา แล้วก็เป็นมิตรกับเขา ก็คือการไม่ทำลายเขาอีก ไม่ไปแทงเขาด้วยคำพูดที่บอกว่า พระเจ้าเข้าข้างข้าพระองค์ ขอบคุณพระเยซูที่ข้าพระองค์มีสันติสุขน่ะ เหมือนคล้ายๆ กับว่าถ้าเขาเป็นฝ่ายที่อีกฝ่ายหนึ่ง เขาจะคิดว่า พูดใส่เราหรือเปล่าเนี่ย แล้วเราไม่มีความสุขเหรอไม่มีสันติสุขหรอ ใช่ไหม
เราป้องกันนะครับป้องกันไม่ให้พี่น้องที่เป็นอีกฝ่ายที่ขัดแย้งกับเรา คิดผิด คิดลบกับเรา
เมื่อผมชนะใคร เมื่อผมมีสันติสุขอยู่กับพระเจ้า ผมไม่เคยบอกไม่เคยพูดเก็บไว้ในใจ แล้วก็แสดงความเห็นใจเขา พูดดีกับเขา เท่านั้น เอเมน
คือถ้าหากเราไม่ลืมชื่อเขา และเรายังจำความผิดสิ่งที่เขาทำกับเรา แล้วเขาอ้างว่าเขาถูก จะเป็นอะไรจะมีอะไรจะยังไงก็ตาม เรามองไปที่พระเยซูโฟกัสที่พระเยซู โลกนี้มีแต่เราสองคนคือเรากับพระเยซู ทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างเรามันเกิดขึ้นเพื่อพระเยซูจะชำระเราและให้เราเติบโต อย่าไปมองอย่าไปจดจำความผิด เอเมน
อย่าโฟกัสน่ะว่าคนนี้เข้าข้างคนนี้ คนนั้นเข้าข้างคนนั้น คนนี้ถูกคนนั้นผิดอะไร อันนี้มันเป็นสิ่งที่เราไม่ควรจะใส่ใจ สิ่งที่เราควรใส่ใจก็คือเรามีสันติสุขไหม เรามีรากขมขื่นไหม เราอภัยให้ตัวเราเองและอภัยให้พี่น้องไหม อภัยหรือยัง การอภัยก็คือการลืม ถ้าเรายังไม่อภัยเราเข้าในอาณาจักรไม่ได้ เอเมน
และสำหรับผมนะครับไม่เข้าข้างใคร ไม่เข้าข้างใคร คือรักทุกคน และเข้าข้างทุกคนนั่นแหละ แล้วเราผิดเราก็ล้างเท้ากันและกัน เราไม่ผิดเราก็สรรเสริญพระเยซู ขอบพระคุณพระเจ้าที่เราเติบโตไปด้วยกัน
เราขอบคุณพระเจ้าที่ไม้อ้อที่กำลังจะหัก แต่พระองค์ไม่หัก ตะเกียงที่กำลังจะดับจวนจะดับ แต่พระองค์ไม่ดับ นี่คือเคล็ดลับของพระเจ้าสำหรับการช่วยเหลือ พวกเราที่กำลังเจอทางตัน ชีวิตไปไหนไม่ได้แล้วคิดสั้นแล้ว หรือเจอมรสุมที่หนักมากๆ แล้วไม่ไหวแล้ว คำว่าไม่ไหวแล้ว ก็คือ การช่วยเหลือของพระเจ้าจะมา
เพราะฉะนั้นเราขอบคุณพี่น้องที่มีภาระใจและอธิษฐานเผื่อเท่าที่ผ่านมา แล้วคนที่ทำงานคนที่รักพี่น้องคนที่อยู่เบื้องหลังของการช่วยเหลือช่วยกู้ชีวิตของพี่น้องครั้งนี้ ก็คือ พระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราขอบคุณพระบิดา
ก็ดีใจด้วยนะครับ ที่ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้จากพวกเราไป แล้วเป็นสิ่งที่พวกเราไม่ต้องการ คืออยู่ด้วยกันสู้ไปด้วยกัน รับการเปิดตามากมายขึ้น เข้าสู่ชีวิตที่เต็มด้วยสันติสุขทุกวันเวลา และเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เอเมน
เรารักพี่น้องนะครับ อย่าน้อยใจอะไรอีกถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็คุยกัน ส่งข้อความเข้ามาในกลุ่ม ให้พี่น้องอธิษฐานเผื่อ เราพร้อมที่จะช่วยเท่าที่ช่วยได้ เอเมน
คือเมื่อก่อนเราเป็นคริสตศาสนา เรามักจะเป็นเขาเรียกว่าเป็นคริสเตียนตำรวจ
คริสเตียนตำรวจ คืออะไร
คือชอบเข้ามาที่โบสถ์ปุ๊บเนี่ยก็คือชอบจับผิด จ้องหาความผิดของผู้อื่น อันนี้เป็นสิ่งที่คริสเตียนฝ่ายวิญญาณเราไม่ทำ เขาจับผิดเรา เราจะผิดเขา เขาจะพูดอะไรใส่เราไหม เขาจะประชดเราไหม เขาจะมองเราในแง่ลบไหม
คือสิ่งเหล่านี้ถ้าเรามาถึงการเป็นบุตรพระเจ้า เราเป็นมนุษย์วิญญาณ เราจะไม่คิดถึงสิ่งนี้ ใครจะพูดอะไรให้เรา ใครจะมองว่าเขาดีกว่าเรา เราเป็นฝ่ายผิดเขาเป็นฝ่ายถูก ทุกคนมองเราต่ำ มองเราไม่ดี มองเราอะไรก็ตาม เราไม่สนใจเราไม่ไปใส่ใจ
สิ่งที่เราควรจะใส่ใจ ก็คือเรามองไปที่พระเยซู โฟกัสที่พระเยซู แล้วมองว่าเราเป็นคนใหม่ แล้วเรามองว่าเรายังเป็นเด็กเล็กๆ ที่ไม่ถือสาความผิดของใครเลย เขาทำอะไรเขาพูดอะไรเขาแทงเราให้เจ็บใจเสียใจมากเท่าไหร่ก็ตาม มันเป็นอดีตมันผ่านไปแล้ว เราอยู่ด้วยตัวใหม่
ตัวเก่าของเราถ้าเราไม่ขาย เราไม่เอาไปทิ้ง ให้พระเยซูยกให้พระเยซูไป เราจะใช้ตัวใหม่ไม่ได้ ถ้าเรายังน้อยใจยังเสียใจอยู่ เราจะใช้ตัวใหม่ไม่ได้ และปัญหาก็คือเราไม่มีโอกาสจะเข้าไปในอาณาจักร
เพราะฉะนั้นใครจะเข้าข้างใคร ใครจะรักชอบใคร แล้วรักชอบเราน้อยกว่า เราเป็นคนผิด ยังไงก็ตามใครมองเรามันไม่สำคัญ แต่พระบิดามองเราเป็นคนดีเป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรมและเป็นบุตรที่รักของพระองค์แค่นั้นก็พอ แค่นั้นก็พอ ใครจะพูด ใครจะทำ ใครจะประชด ใครจะอะไรก็แล้วแต่ เราด้อยค่ากว่าใคร เราไม่มีค่าสำหรับใคร ต่อหน้าใครมันไม่ได้สำคัญเลย
ถ้าถามว่าผมอยากจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ไหม เป็นนักศาสนาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ไหม เป็นผู้มีชื่อเสียงมากมายได้ไหม ได้นะครับถ้าผมจะทำผมทำได้ แต่ทำไมผมเลือกเป็นผู้เล็กน้อยเป็นผู้ที่ไม่มีใครรู้และไม่ปรารถนาที่จะมีชื่อเสียง เพราะว่าสิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงการที่เรายอมเป็นคนเล็กน้อย เพื่อเราจะมีโอกาสได้เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ในอาณาจักร
เราแพ้ตอนนี้ เราจะเป็นผู้ชนะเมื่อพระเยซูเสด็จมา
ถาม.
แล้วในกรณีที่เรายังเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณอยู่ เรายังไม่ถูกเปิดตาและเข้าใจเรื่อง พระวิญญาณไม่นำเราไม่ทำ เราควรจะเริ่มทำอะไรยังไงค่ะ
ตอบ.
ขณะที่เรายังใหม่ในการฝึกนะครับ และยังมาไม่ถึงระดับหนุ่ม ทุกสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้นะครับ เชื่อว่าคนใหม่คนนี้ทำอยู่ และพระคริสต์ที่อยู่ในเราเป็นคนทำแทน เข้าใจนะครับ
สิ่งที่เราทำอยู่ เป็นคนใหม่ทำ และคนที่ทำจริงๆ ก็คือพระคริสต์เป็นคนทำแทน เราเชื่อว่านะครับ ตอนนี้เนี่ยคือเราไม่เห็นการสัมผัส ไม่เห็นการเร้าใจ ไม่เห็นการสะกิด ไม่เห็นการบอกของพระวิญญาณ ไม่มีเสียง แต่เมื่อเราให้คนยากจน มีคนยากจนเดินมาแล้วปรากฏว่าเราสงสารเขา เราจะทำยังไง เราให้ตามขนาดของความเชื่ออยู่แล้วนะครับก็คือให้แล้วมันไม่หนักเกินไปหรือมันไม่มากเกินไป หรือให้แล้วสบายใจ
ทีนี้เราก็บอกว่า “ข้าพระองค์คนใหม่คนนี้เป็นคนทำ และพระองค์กำลังเป็นคนยื่นให้ เป็นคนควักกระเป๋าให้ เป็นคนเอาเงินนี้ให้เขา เอเมนพระเยซู” ฝึกแบบนี้นะครับ
สำหรับเรื่องการนำของพระวิญญาณ อย่าเข้าใจผิดนะครับว่าพระวิญญาณแค่ตรัสกับเราผ่านทางเสียงพูดคำพูด ไม่ใช่นะครับ คือการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือ การดลใจ การเร้าใจ การสร้างอารมณ์ที่มีอารมณ์ความเมตตาสงสาร ร้องไห้ เห็นใจ มีความรักมากมายภายในจิตใจของเรา นี่คือทุกสิ่งที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งนั้นนะครับ อย่าเข้าใจผิดว่า มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือ มีแต่คำพูด ไม่ใช่นะครับ เอเมน
อย่าลืมนะครับ การบอก การสั่ง การนำพา เป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ส่วนเรื่องการทำดี เกิดผลของพระวิญญาณ การทำแทนก็คือพระเยซูเป็นคนทำ
เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้ความรู้ ความเข้าใจที่นับว่ามากพอ สำหรับผมเนี่ยคือมันมากมายเยอะแยะเหลือเกิน สำหรับมานาที่ซ่อนไว้ แม้แต่ว่าจะอยู่ในคลิป หรืออยู่ในเว็บไซต์ ถ้าพี่น้องสะดวกนะครับก็ส่งลิงค์ให้พวกเราทุกคนในกลุ่มใหญ่ให้เขาไปอ่าน คือมันมีความรู้ที่เต็มไปหมดเลย เป็นความรู้ที่มากพอที่จะทำให้เราโตได้
และที่สำคัญ ที่สำคัญเวลาอ่านก็คือ “พระเยซูเปิดตาข้าพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดตาข้าพระองค์ด้วย ข้าพระองค์ไม่อยากเห็นเป็นแค่ความรู้ แต่อยากเข้าถึงการฝ่ายวิญญาณตาฝ่ายวิญญาณถูกเปิด เอเมน”
สำหรับผม ขอบคุณพระเจ้าที่เข้าสู่ประสบการณ์ที่มันอัศจรรย์ เดินบนการอัศจรรย์ของพระเจ้าในแต่ละวัน ก็คือเมื่อไม่นานมานี้นะครับ เมื่อไม่นานมานี้ผมอยู่ใกล้ๆ แถวหนองคาย ก็คิดจะไปเยี่ยมพี่น้องที่มาเชื่อใหม่ แล้วปรากฏว่าฝนตกหนักมาก อยู่ใกล้หนองคายนะครับฟังดีๆ นะครับ แล้วปรากฏว่าฝนตกหนักมาก แล้วผมก็เลยบอกว่าโอเค คือเราหยุดฝนไม่ได้ แล้วพระเจ้าอาจจะไม่อนุญาตให้ฝนหยุด ก็ไม่เป็นไรเราไปด้วยตัวใหม่ เปียกก็เปียกก็ตัวใหม่เปียก พระเยซูก็เปียกด้วย ก็คิดแบบนี้นะครับแล้วก็ไป
พอออกจากบ้านไปปุ๊บ คือออกจากบ้านเนี่ยก็แค่ออกจากบ้านเท่านั้นเอง คือฝนหยุด แล้วก็ไปถึงที่หมาย คือฝนหยุด ก็ขอบคุณพระเจ้า คือฝนหยุดนะครับ ก็หยุดตก พอไปถึงก็ได้อธิษฐาน ก็บัพติศมาให้เขา ทุกอย่างจบสิ้นเรียบร้อย ก็กลับมาบ้านก็ไม่มีอะไร คือฝนหยุดนะครับ
มันเป็นการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่มาก ก็ขอบคุณพระเยซู และอีกอย่างหนึ่งก็คือผมไม่ได้เดือดร้อน ไม่ได้ดิ้นรน เรื่องปัญหา เมื่อปัญหาเข้ามา ผมเอเมนอย่างเดียว คือเอเมนพระเยซู เอเมนพระเยซู เอเมนพระเยซู จากนั้นคือสิ่งที่ผมมีปัญหา ก็คือตามจำนวนที่เสียไป ที่เสียไปต้องจ่ายไป แต่ปรากฏว่าพระเยซูก็ให้คืนมาเท่าเดิมเท่าที่เสียไป แล้วได้เพิ่มมาอีกร้อยหนึ่งร้อยบาท เพื่อที่จะมีใช้บ้าง ก็ขอบคุณพระเยซู
แล้วยังไม่พอนะครับ ยังไม่พอ ก็คือด้วยคำที่ว่าเอเมน ด้วยความวางใจในพระเจ้า เชื่อใจในพระเจ้า สงบนิ่งไม่เดือดร้อนอะไร คือทุกวันก็เอเมน ก็มีของขวัญมาให้จากทางไกล ก็สรรเสริญพระเยซู
ความรักที่เรามีต่อพระเยซู มันเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มาก เรามีหน้าที่รักพระเยซู การเป็นคริสเตียนไม่ต้องทำอะไรมาก หน้าที่รัก รักๆๆๆๆ พระเยซูทุกวัน รักแต่ละวัน สร้างความผูกพันที่ดีกับพระองค์ในแต่ละวัน แล้วสิ่งที่พระเจ้าทำเหนือกว่าเราคาดคิดก็จะเข้ามา พระเยซูทำแทน พระพรเต็มล้น การนำพาเรื่องการงาน ธุรกิจ ค้าขาย ทำอะไรก็แล้วแต่เยอะแยะเต็มไปหมด อาจจะมีปัญหาบ้าง อาจจะมีเรื่องราวนิดๆ หน่อยๆ เข้ามาบ้าง อันนั้นเป็นธรรมดา แต่เปรียบเทียบกับพระพรที่เข้ามามันห่างไกลกันมาก สรรเสริญพระเยซู
อีกครั้ง ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่นำ เราไม่ทำ
ขอบพระคุณพระเยซูสำหรับวันนี้ที่พระองค์รักพวกเรา และเปิดเผยเรื่องการดำเนินชีวิต ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่นำ เราจะไม่ทำ และขอพระองค์เป็นผู้ที่จะสอนต่อจากนี้ไป เพื่อความเข้าใจกระจ่างและการฝึกเดินจะชัดเจนมากขึ้น เพื่อเราจะเป็นบุตรที่รักที่ดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระองค์ตลอดเวลาทั้งวัน