1. เสื้อที่ดีที่สุด (ลก 15:22)
2. เสื้อสำหรับงานสมรส (มธ 22:1-14)
ในพระคัมภีร์ใหม่มีเสื้ออยู่สองตัวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคริสเตียน เป็นสิ่งที่เราควรจะเรียนรู้ให้เข้าใจที่มาของเสื้อสองตัวนี้
เสื้อตัวที่หนึ่ง ก็คือเสื้อที่ดีที่สุด ซึ่งปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ลูกาบทที่ 15:22 พระคัมภีร์ข้อนี้กล่าวว่า แต่บิดาสั่งผู้รับใช้ของตนว่า ‘จงรีบไปเอาเสื้ออย่างดีที่สุดมาสวมให้เขา และเอาแหวนมาสวมนิ้วมือ กับเอารองเท้ามาสวมให้เขา ข้อที่ 23 จงเอาลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด
เนื่องจากว่าพี่น้องคริสเตียนมากมายที่ไม่เข้าใจหลักการแห่งความรอดในยุคพระคุณ ซึ่งมีความแตกต่างจากหลักการแห่งความรอดในยุคพระบัญญัติอย่างมากมายทีเดียว
หลักการแห่งความรอดในยุคพระบัญญัติ ก็คือเชื่อและรักษาพระบัญญัติให้ครบอย่างเคร่งครัด เมื่อผิดพลาดก็ต้องนำสัตว์นำเครื่องถวายบูชาไถ่บาปไปที่พระวิหารเพื่อสารภาพบาปต่อพระเจ้าและกลับมาเริ่มต้นใหม่ ถ้าทำถูก 10 ข้อและผิดข้อเดียวก็ต้องเริ่มต้นใหม่อีก การที่จะได้รับความรอดของชาวยิวก็คือรักษาพระบัญญัติอย่างเคร่งครัดไปจนตลอดชีวิตของเขา
แต่สำหรับหลักการแห่งความรอดของคริสเตียน ก็คือเชื่อเท่านั้น ด้วยความเชื่อนี้พระเจ้าทรงรับรองและพระเจ้าทรงเรียกว่ายอมรับว่าความเชื่อของเราเป็นความชอบธรรม เนื่องจากว่าเมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าก็จะทำงานในชีวิตของเรา ก็คือบันดาลให้วิญญาณของเราได้บังเกิดใหม่ และพระเยซูในสภาพของพระวิญญาณก็เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเราและเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา พระองค์จึงกลายเป็นเสื้อที่ดีที่สุดที่ให้เราสวมใส่
"เสื้อที่ดีที่สุด" ในที่นี้ หมายความว่ายังไง ก็คือเราสวมชีวิตของพระคริสต์ กาลาเทีย 3:27 ผู้ที่บัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ก็สวมชีวิตของพระคริสต์ และเมื่อเราได้สวมชีวิตของพระคริสต์แล้ว ทุกครั้งที่พระบิดามองมาที่เราก็จะไม่เห็นเราไม่เห็นชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง ไม่มองที่ชีวิตที่ผิดบาปชีวิตของอาดัมคนเดิม แต่พระเจ้าเห็นพระคริสต์ที่ครอบครองเราปกปิดเราอยู่จากความบาปสภาพของตัวเก่า และพระเจ้ายอมรับว่าเราเป็นคนชอบธรรม
ในมัทธิวบทที่ 9:16 กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าใหม่ๆ มาปะเสื้อเก่าเพราะว่าผ้าที่ปะเข้าไปนั้นเมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก
"ท่อนผ้าใหม่ๆ" ในที่นี้ ก็คือท่อนผ้าที่ยังไม่สำเร็จ ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการซัก ฟอก ต้ม ยอก ย้อม ซึ่งท่อนผ้าใหม่ๆ ในที่นี้เล็งถึงพระเยซูคริสต์ที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ยังดิบๆ อยู่ คือยังไม่ได้ผ่านกระบวนการ การซัก ฟอก ยอก ย้อม ต้ม ให้สำเร็จเป็นเสื้อที่จะมาให้เราสวมใส่ ซึ่งความหมายในที่นี้ก็คือ
เสื้อ = ก็คือ ความดี / ความชอบธรรม
เสื้อเก่า = ก็คือ ความดีความชอบธรรมของอาดัม ของตัวเก่าที่ขาดแล้ว มันขาดแล้ว เป็นชีวิตที่เสื่อมทราม เป็นชีวิตที่เสื่อมแล้ว ตกต่ำแล้ว ตกอยู่ในสภาพของการเป็นคนบาปความบาปแล้ว ความดีความชอบธรรมนี้ของอาดัมนี้เป็นความชอบธรรมที่ขาด เรียกว่าความชอบธรรมที่ตายแล้ว
ส่วนเสื้อใหม่ = ก็คือ พระเยซูเป็นเสื้อใหม่มาให้เราสวมใส่ คือเสื้อที่ดีที่สุดในพระคัมภีร์ ลูกาบทที่ 15:22 นี่เอง
พระเยซูในสภาพของท่อนผ้าใหม่ๆ ก็คือยังไม่สำเร็จรูปยังไม่ผ่านกระบวนการการย้อม ซัก ต้ม เพื่อทำให้สำเร็จรูปและทำเป็นเสื้อ ตัดเป็นเสื้อมาให้เราสวมใส่
คริสเตียนทุกวันนี้ไม่เข้าใจความหมายของหลักการแห่งความรอด คือการเชื่อเท่านั้น และเมื่อเราเชื่อเราก็ได้สวมชีวิตใหม่ สวมชีวิตของพระคริสต์ (2 คร 5:16-17)
พระคริสต์จะปกปิดเราจากสภาพของการเป็นคนบาป และเราได้กลายเป็นคนชอบธรรมเพราะว่าพระบิดามองมาที่เราทุกครั้งก็เห็นพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เห็นเรา 1 โครินธ์บทที่ 1:30 ยังกล่าวอีกว่า เพราะว่าพระเจ้าเป็นคนทำ เพราะว่าพระเจ้าท่านจึงอยู่ในพระคริสต์
ในพระคริสต์ หมายความว่า เราอยู่ในพระคริสต์ เราเข้าไปอยู่ในชีวิตของพระคริสต์ พระคริสต์ปกคลุมชีวิตของเราอยู่ ปกปิดชีวิตของเราอยู่ ก็คือการอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในพระวิญญาณ อยู่ในฝ่ายวิญญาณ อยู่ในราชอาณาจักร อยู่ในพระกายของพระคริสต์เป็นพระกายของพระคริสต์ ซึ่งพระเจ้ายอมรับแล้วว่าเราเป็นคนชอบธรรมเพราะว่าเราอยู่ในพระคริสต์
การเป็นคนชอบธรรมนี้ ก็คือ ชอบธรรมในพระคริสต์ ไม่ใช่ชอบธรรมในตัวของเราเอง เพราะว่าเรายังจะต้องผ่านกระบวนการการเปลี่ยนแปลง การชำระ ให้ได้มีชีวิตจิตใจใหม่ ให้ความชอบธรรมของพระคริสต์ปรากฏออกมาผ่านชีวิตของเรา
แต่วันนี้ เราจะพูดถึงเรื่องความชอบธรรมที่ได้มาด้วยการเชื่อก่อน ซึ่งเป็นหลักการแห่งความรอดในยุคพระคุณ เมื่อเชื่อปุ๊บเราก็ได้รับได้กลายเป็นคนชอบธรรม เนื่องจากว่าเราได้รับการชำระให้เป็นคนชอบธรรมแล้ว
และท่อนผ้าใหม่ๆ นี้ล่ะคืออะไร ท่อนผ้าใหม่ๆ นี้ก็คือพระเยซูที่ยังดิบๆ อยู่ ยังเป็นมนุษย์อยู่ พระเยซูตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าใหม่ๆ มาปะเสื้อเก่า” หมายความว่ายังไง? หมายความว่าพระเยซูตรัสว่า อย่าเลียนแบบเรา อย่าพยายามเป็นเหมือนเรา ชีวิตเก่าของเราจะไม่สามารถที่จะดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซูได้ เราจะทำดี เชื่อฟัง ทำทุกสิ่ง รักษาพระบัญญัติให้ครบเหมือนพระเยซูไม่ได้ เป็นไปไม่ได้แน่นอน
พระเยซูจึงตรัสว่า เราเป็นท่อนผ้าที่ยังใหม่ๆ ยังดิบๆ อยู่อย่าเลียนแบบเรา อย่าทำเหมือนเรา รอให้เราผ่านกระบวนการ การซัก ฟอก ยอก ย้อม ต้ม ให้สำเร็จและเอามาเย็บเป็นเสื้อและให้เราสวมใส่ กระบวนการ การซัก ฟอก ย้อม ต้ม คืออะไร ก็คือการถูกตี ถูกเฆี่ยน แบกกางเขนไป แล้วก็ถูกทิ่มแทง แล้วก็ในที่สุดก็สิ้นชีวิตบนไม้กางเขน แล้วหลังจากนั้นพระเยซูก็ถูกนำไปฝังที่อุโมงค์ และหลังจากนั้นพระเยซูก็ฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมา กลายเป็นเสื้อแล้ว กลายเป็นเสื้อใหม่ที่จะมาให้เราสวมใส่ (1 โครินธ์บทที่ 15:45-47 เรียกว่า "เสื้อที่ดีที่สุด")
เราขอบพระคุณพระเจ้าที่ทุกวันนี้เมื่อเราเชื่อพระเยซูปุ๊บ การทำงานของพระเจ้าก็เข้ามาสู่ชีวิตของเราทันที พระเจ้าประหารชีวิตเก่าของเราบนกางเขนกับพระเยซู และฝังเราไว้ที่อุโมงค์กับพระเยซู และให้เราฟื้นคืนมาเป็นขึ้นมาจากความตาย และมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์ เราได้รับชีวิตใหม่และมีพระคริสต์อีกที่เข้ามาอยู่ในเรา เพื่อให้พระเจ้ามองมาที่เราและเห็นเราเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์
อันนี้เรียกว่า ชอบธรรมต่อพระพักตร์ของพระบิดา ชอบธรรมต่อพระเจ้า แต่เรื่องการชอบธรรมต่อมนุษย์สำแดงความดีต่อมนุษย์ อันนั้นเป็นงานที่สองของพระเจ้า
ในลูกาบทที่ 15 ที่พูดถึงเรื่องเสื้อที่ดีที่สุด เป็นเรื่องคำอุปมาบุตรน้อยหลงหาย พี่น้องคริสเตียนส่วนมากมักจะเข้าใจผิดคิดว่า คำอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหายเป็นเรื่องของคริสเตียนที่เคยเชื่อพระเจ้า เคยรับใช้พระเจ้า เคยอยู่ในคริสตจักร แต่วันหนึ่งก็หลงหายไปหายไปจากความเชื่อ หายไปจากการรับใช้ หายไปจากชีวิตที่ดำเนินชีวิตอยู่ในพระเจ้าดีๆ แล้วก็อีกไม่นานต่อมาก็กลับมาหาพระเจ้า อันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด
สำหรับคำอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหาย ไม่ได้เกี่ยวกับคริสเตียน แต่เป็นเรื่องของคนที่ไม่เชื่อ และวันหนึ่งเขากลับมาพบพระเจ้าใหม่ ซึ่งมนุษย์ทุกคนออกมาจากพระเจ้า
เรามาดูกันนะรายละเอียดในคำอุปมาเรื่อง บุตรน้อยหลงหาย เพื่อเราจะได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระคัมภีร์ข้อนี้ และเป้าหมายที่พระเยซูยกคำอุปมาเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อให้ได้รู้ว่าบุตรน้อยหลงหาย คือชาวโลก คือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ซึ่งออกมาจากชีวิตของพระเจ้า และบุตรคนโตคือใคร เราจะมาดูกันนะ
ถ้าหากเราดูตั้งแต่ข้อที่ 1 เราจะพบว่าท่านมัทธิวเป็นผู้จัดงานเลี้ยง เนื่องจากว่าพระเยซูทรงเรียกมัทธิวเป็นสาวกของพระองค์ มัทธิวมีความชื่นชมยินดีมากยินดีมากๆ และก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับพระเยซู เมื่อท่านมัทธิวจัดงานเลี้ยงที่บ้านของท่าน ท่านก็เชิญเพื่อนๆ ที่เป็นคนเก็บภาษีและเป็นคนนอกรีตคนบาปมากมายมาร่วมงานนั้นด้วย และพระเยซูก็ถูกเชิญมาเพราะว่าเป็นเจ้าของงาน และสาวกทั้งหลายก็มาด้วย
แต่ฟาริสีและธรรมาจารย์ก็ติดตามมาเพื่อจะมาจับผิด ขณะที่พระเยซูรับประทานอาหารและพูดคุยกับพวกคนบาปทั้งหลาย ฟาริสีและธรรมาจารย์ก็บ่นว่าคนนี้ต้อนรับคนบาปและกินด้วยกันกับเขา พระเยซูจึงตรัสกับเขาเป็นคำอุปมาเรื่อง “แกะที่หลงหาย”
แกะที่หลงหาย (ลูกา 15:3-7) ก็ไม่ใช่คริสเตียนที่ออกจากโบสถ์ ที่ออกจากความเชื่อ ออกจากพระเจ้าไป แล้ววันหนึ่งก็กลับมา ไม่ใช่ แกะที่หลงหายคือคนที่ไม่เชื่อ พูดง่ายๆ น่ะแกะที่หลงหายก็คือคนบาปคนนอกรีตคนเก็บภาษีที่มาร่วมงานในวันนั้นนั่นเองที่พระเยซูพูดคุยกับเขา เพื่อประกาศข่าวประเสริฐ เพื่อนำเขามาถึงความรอด ให้มาหาพระเจ้าใหม่ ส่วนแกะที่ไม่ได้หลงหาย ก็คือฟาริสีและธรรมาจารย์นี่เอง
และคำอุปมาเรื่องต่อมาที่พระเยซูตรัสว่า หญิงคนหนึ่งไปหาเหรียญที่หายไปนั้นกลับมาได้ (ลูกา 15:8-10) แล้วเหรียญที่อยู่ในบ้านนั้นก็คือ ฟาริสีและธรรมาจารย์ เหรียญที่หายไปก็คือ คนบาปคนเก็บภาษีคนนอกรีตที่มากินที่มาในงานเลี้ยงในวันนั้นนั่นเอง
และเรื่องที่สาม ก็คือ เรื่องบุตรน้อยหลงหาย ซึ่งเป็นเรื่องที่พระเยซูยกเอาฟาริสีและธรรมาจารย์เป็นบุตรคนโต และเปรียบคนเก็บภาษีคนนอกรีตคนบาปที่เป็นเพื่อนของท่านมัทธิว และมาในงานในวันนั้น รับประทานอาหารร่วมกับพระเยซู และพระเยซูก็พูดคุยกับเขาประกาศข่าวประเสริฐกับเขา
ในลูกาบทที่ 15:11 พระเยซูตรัสว่า ฝ่ายพระองค์ตรัสว่า "ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน"
บุตรชายสองคน..
คนแรก ก็คือ ฟาริสีและธรรมาจารย์
คนที่สอง ก็คือ คนเก็บภาษีและคนบาปที่มาร่วมรับประทานอาหารในวันนั้น
ข้อที่ 12 บุตรคนน้อยพูดกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ขอทรัพย์ที่ตกเป็นส่วนของข้าพเจ้าเถิด’ บิดาจึงแบ่งสมบัติให้แก่บุตรทั้งสอง
ให้ทั้งสองเลยนะ ความหมายก็คือ บุตรคนน้อยได้รับชีวิตบังเกิดมาในโลกนี้ ชีวิตเขามาจากพระเจ้านะ และบุตรคนโตก็ได้รับชีวิต ได้รับทุกสิ่งเหมือนกัน
ข้อที่ 13 ต่อมาไม่กี่วัน บุตรคนน้อยนั้นก็รวบรวมทรัพย์ทั้งหมดแล้วไปเมืองไกล และได้ผลาญทรัพย์ของตนที่นั่นด้วยการเป็นนักเลง
คือเมื่อมนุษย์เกิดมา คนเก็บภาษีและคนบาปเกิดมาเป็นมนุษย์ เขามีอะไร มีร่างกายมีชีวิต มีเรี่ยวแรงกำลัง มีสติปัญญา เขาก็ใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อทำมาหากินเลี้ยงชีพเพื่อดำเนินชีวิต
"ไปยังเมืองไกล" ที่นี้ก็คือ บังเกิดอยู่ในโลกนี้ "เมืองไกล" ก็คือ ห่างไกลจากพระเจ้า ห่างไกลจากพระบิดา
ซึ่งบุตรคนโตอยู่เมืองใกล้ เมืองใกล้ก็หมายความว่าอยู่ในการครอบครองของพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า ซึ่งคนเก็บภาษีและคนบาปชีวิตของเขาไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้าเลย
ข้อที่ 14 เมื่อใช้ทรัพย์หมดแล้วก็เกิดกันดารอาหารยิ่งนักทั่วเมืองนั้น เขาจึงเริ่มขัดสน
ข้อที่ 20 แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดาของตน แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจุบเขา
ข้อที่ 21 ฝ่ายบุตรนั้นจึงกล่าวแก่บิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ทำผิดต่อสวรรค์และต่อสายตาของท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านอีกต่อไป’
ข้อที่ 22 แต่บิดาสั่งผู้รับใช้ของตนว่า ‘จงรีบไปเอาเสื้ออย่างดีที่สุดมาสวมให้เขา และเอาแหวนมาสวมนิ้วมือ กับเอารองเท้ามาสวมให้เขา
ข้อที่ 23 จงเอาลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด
ข้อที่ 24 เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก หายไปแล้ว แต่ได้พบกันอีก’ เขาทั้งหลายต่างก็เริ่มมีความรื่นเริงยินดี
เราจะเห็นนะว่า "บุตรคนน้อย" ก็คือ คนเก็บภาษีและคนบาปคนนอกรีตที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างนักเลง ก็คือขูดรีดการคดโกงโกงกิน เก็บภาษีเกินพิกัด ใช้ชีวิตที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่ใกล้พระเจ้า สิ่งนี้เล็งถึงการเป็นนักเลง
ส่วนบุตรคนโตที่ใช้ชีวิตที่ไม่ได้เป็นนักเลง ก็คือการใช้ชีวิตอยู่ใต้พระบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในบ้านในเรือน ก็คือในการครอบครองของพระเจ้านี่เอง
เราจะเห็นได้จากจุดนี้ ข้อที่ 22 ที่กล่าวว่า แต่บิดาสั่งให้ผู้รับใช้ของตนว่าจงรีบไปเอาเสื้ออย่างดีที่สุดมาสวมใส่ให้เขา
เราก็เห็นแล้วนะว่าเสื้ออย่างดีที่สุด เสื้อที่ดีที่สุด ก็คือพระเยซูคริสต์ที่เป็นพระวิญญาณที่ครอบงำปกปิดชีวิตของเราอยู่
และเอาแหวนมาสวมนิ้วมือ แหวนมาสวมนิ้วมือก็คือพระวิญญาณ พระวิญญาณเป็นมัดจำ เป็น Deposit สำหรับ Salvation หรือสำหรับความรอดของเขา
กลับเอารองเท้ามาสวมให้เขา "รองเท้า" ในที่นี้ก็คือ ฤทธิ์เดช ฤทธิ์อำนาจ กฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิตที่พระเยซูนำเข้ามา เพื่อที่จะเอาชนะกฎแห่งความบาปและกฎแห่งความตาย รองเท้าก็คือกันเปื้อน ไม่ให้เท้าเปื้อนฝุ่น และการสวมรองเท้า ก็คือการดำเนินชีวิตที่สามารถที่จะเอาชนะความผิดบาปได้ เอาชนะตัวบาปได้ในแต่ละวัน
ข้อที่ 23 กล่าวว่า จงเอาลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกันเพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด
"ลูกวัวอ้วนพี" ในที่นี้ก็คือ พระเยซูคริสต์ในสภาพของมนุษย์ที่เป็นคนที่อ้วนพี อ้วนพีหมายถึง ความชอบธรรม ความดี ความบริสุทธิ์ ครบชุดที่พระเยซูจะเป็นผู้ที่สามารถตายเพื่อไถ่บาปมนุษย์ทั้งโลกได้ ก็คือลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าก็คือ การถูกฆ่าของพระเยซูคริสต์ ถูกประหารชีวิตบนไม้กางเขน เพื่อการที่เราจะได้คืนดีกับพระบิดาและจะได้มีชีวิตที่รื่นเริงยินดีชื่นชมยินดี เพราะว่าเราได้กลับมาหาพระเจ้า กลับมาคืนดีเป็นบุตรพระเจ้าแล้ว
ถ้าเราจะตีความหมายเรื่องเกี่ยวกับบุตรน้อยหลงหายเป็นเรื่องของคริสเตียน ถ้าหากว่าคริสเตียนหลงหายไปแล้วกลับมาหาพระเจ้า แล้วพระเยซูต้องมาตายที่กางเขนเพื่อจัดงานเลี้ยงให้เราอีกครั้งหนึ่งหรือ ไม่ใช่. พระเยซูตายครั้งเดียวสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนครั้งเดียวเท่านั้น
และสิ่งนี้เล็งถึงคนที่ไม่เคยเชื่อพระเจ้า ไม่เคยมาหาพระเจ้า และวันหนึ่งเขากลับมาหาพระเจ้า มารับพระเจ้า เป็นคนชอบธรรมในพระคริสต์ ได้สวมเสื้อที่ดีที่สุด มีแหวนเป็นมัดจำแห่งความรอด มีรองเท้าพระเจ้าให้แล้ว ฤทธิ์เดชแห่งการดำเนินชีวิตที่ชนะความบาปได้อยู่ในเราแล้ว เรามีรองเท้า ก็คือกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิตในโรมบทที่ 8:1-2
มาถึงจุดที่สำคัญ ข้อที่ 25 ฝ่ายบุตรคนโตหรือบุตรคนใหญ่นั้นกำลังอยู่ที่ทุ่งนา เมื่อเขากำลังมาใกล้บ้านแล้วก็ได้ยินเสียงมโหรีและเต้นรำ
ข้อที่ 26 เขาจึงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งมาถามว่า เขาทำอะไรกัน
ข้อที่ 27 ผู้รับใช้จึงตอบเขาว่า น้องของท่านกลับมาแล้ว และบิดาได้ฆ่าลูกวัวอ้วนพี เพราะได้ลูกกลับมาโดยสวัสดิภาพ
ข้อที่ 28 ฝ่ายพี่ชายก็โกรธไม่ยอมเข้าไป บิดาจึงออกมาชักชวนเขา
ข้อที่ 29 แต่เขาบอกบิดาว่า ดูเถิดข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติท่านกี่ปีมาแล้ว และไม่ได้ละเมิดคำบัญชาของท่านสักข้อหนึ่งเลย แม้แต่เพียงลูกแพะสักตัวหนึ่ง ท่านก็ยังไม่เคยให้ข้าพเจ้า เพื่อจะเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงยินดีกับเพื่อนฝูงของข้าพเจ้า
เมื่อเขากลับมาใกล้บ้านและได้ยินเสียงมโหรี "มโหรี" ในที่นี้คือ งานเลี้ยงขณะที่ท่านมัทธิวจัดอยู่ ผู้รับใช้จึงบอกว่าน้องของท่านกลับมาแล้ว ก็คือเขาบ่นกันซุบซิบกันว่าพระเยซูมาที่งานเลี้ยงและคุยกันรื่นเริง และพูดคุยสนทนารับประทานอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาปซึ่งเป็นบุตรคนน้อยคนนี้
ข้อที่ 27 ผู้รับใช้จึงตอบเขาว่า น้องของท่านกลับมาแล้ว และบิดาได้ฆ่าลูกวัวอ้วนพี เพราะได้ลูกกลับมาโดยสวัสดิภาพ
ข้อที่ 28 ฝ่ายพี่ชายก็โกรธไม่ยอมเข้าไป บิดาจึงออกมาชักชวนเขา
ฝ่ายพี่ชายก็โกรธ ในที่นี้ ก็คือฟาริสีและธรรมาจารย์ ยืนคุยกันในลักษณะที่ขุ่นเคืองใจไม่พอใจ และพระเยซูก็ออกมาคุยกับเขา
ย้ำอีกครั้ง คำอุปมาเรื่อง บุตรน้อยหลงหาย ไม่ใช่เรื่องของคริสเตียนที่หายไป เลิกเชื่อ เลิกรับใช้ หลงทางไป แล้ววันหนึ่งกลับมาหาพระเจ้า ไม่ใช่.
เนื่องจากว่าเราเห็นนะว่าลูกวัวอ้วนพีถูกฆ่า ก็คือพระเยซูคริสต์ตายครั้งเดียวเพื่อคนบาปครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าหากใครหลงหายไปแล้วกลับมาใหม่ พระเยซูจะไม่กลับมาแล้วไปตายอีก ไม่. แล้วเราจะเห็นว่าบิดาคนนี้สวมแหวนให้ ก็คือพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ ก็คือให้ครั้งเดียว และพระวิญญาณบริสุทธิ์ใครที่บังเกิดใหม่แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เป็นหนึ่งเดียวก็อยู่ในวิญญาณของคนนั้นอยู่กับคนนั้นและจะไม่พรากจากไปไหนเลย
ยอห์นบทที่ 14:16 กล่าวว่า เราจะทูลขอพระบิดาและพระองค์จะทรงประทานผู้ปลอบประโลมอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป (จะอยู่กับท่านตลอดไป ภาษาอังกฤษก็คือ Forever) ก็ขอบพระคุณพระเจ้า
สรุป.. ก็คือคริสเตียนถ้าหากหลงหายไป พระวิญญาณก็ยังอยู่กับเขา ยังอยู่ในเขาอยู่กับเขาไม่เคยพรากจากไปไหน และพระวิญญาณก็ทำงานทุกวันๆ เพื่อที่จะนำเขากลับมาให้ได้วันหนึ่ง
แต่คำอุปมาเรื่อง บุตรน้อยหลงหาย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคริสเตียน แต่เป็นเรื่องของคนที่ไม่เชื่อ ที่ได้ออกมาจากพระเจ้า ชีวิตออกมาจากพระเจ้า และมรดกที่เขาได้มาก็คือร่างกายชีวิตนี้ แล้วก็สติปัญญา ความรู้ ความสามารถที่เขาจะใช้เพื่อดำเนินชีวิตทำมาหาเลี้ยงชีพในโลกนี้
การดำเนินชีวิตเป็นนักเลง ก็คือการดำเนินชีวิตที่ไม่ได้รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า อันนี้เรียกว่านักเลง และเรียกว่าผู้ชั่วช้า และเรียกว่าคนอธรรม
และสวมเสื้อที่ดีที่สุด อีกครั้งก็คือการได้สวมชีวิตของพระคริสต์ พระคริสต์ในสภาพของพระวิญญาณปกปิดชีวิตของเราไว้ ทุกครั้งที่พระบิดามองมาที่เราก็จะเห็นพระเยซูคริสต์ และยอมรับว่าเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว
และมัทธิวบทที่ 9:16 พระเยซูตรัสว่า ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าใหม่ๆ มาปะเสื้อเก่า ท่อนผ้าใหม่ๆ ก็คือพระเยซูที่ยังเป็นมนุษย์ดิบๆ ที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการ การซัก ฟอก ยอก ต้ม ย้อม ก็คือการถูกตีถูกเฆี่ยนแบกกางเขนไปถูกแทงด้วยหอก แล้วก็ในที่สุดก็สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกฝังจากนั้นก็ฟื้นคืนพระชนม์ นี่คือกระบวนการ ซัก ฟอก ยอก ต้ม ทำให้ทุกสิ่งสำเร็จเพื่อที่จะเป็นเสื้อและเย็บให้เราสวมใส่ เรียกว่าเสื้อที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้นเมื่อเราเชื่อพระเยซูเราจึงได้รับการชำระ ให้กลายเป็นคนชอบธรรมแล้ว (โรม 5:1)
และอีกครั้ง กาลาเทีย 3:27 ผู้ใดที่บัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็สวมชีวิตของพระคริสต์
เพราะเหตุว่าทุกคนในพวกท่านที่รับบัพติศมาเข้าร่วมในพระคริสต์แล้ว ก็ได้สวมชีวิตพระคริสต์