"หยิ่ง คือคุณสมบัติที่พระเจ้าเกลียดชังมากที่สุด"
ขอบคุณพระเยซูในความรักของพระองค์ที่เป็นบุตรหัวปีแห่งคริสตจักร และเป็นคริสตจักรที่พระเจ้าทรงก่อตั้งด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง
ขอบพระคุณที่พระองค์ยังไม่เพียงแต่เป็นบุตรหัวปี แต่พระองค์เป็นพี่ชายของพวกเรา นำเราในการที่จะนมัสการพระบิดา นำเครื่องถวายบรรณาการทั้งหลายมาถวายแด่พระองค์ เพื่อเป็นที่ชอบพระทัยของพระองค์
พระเยซูพวกเรารักพระองค์
ขอบพระคุณพระองค์ที่นำเรามาถึงความสว่างที่แท้จริง สรรเสริญพระเยซู และขอบคุณพระเยซูสำหรับยอห์นบทที่ 12 บทนี้ ซึ่งเปิดเผยมากมายหลายสิ่งให้เราเข้าใจเรียนรู้ รับรู้ และกิน เป็นอาหารที่มาจากสวรรค์ ซึ่งเราได้รับอย่างล้นเหลือ สรรเสริญพระเจ้า
...
สำหรับยอห์นบทที่ 12 ตั้งแต่ข้อที่ 37 จนถึง 41 เราจะพบสิ่งหนึ่ง ก็คือเราเห็นว่านานมาแล้ว คือซาตานมีนิสัย มีคุณสมบัติหนึ่งที่พระเจ้าเกลียดชังมากที่สุด ก็คือหยิ่ง ผยอง พองตัว เนื่องจากว่าอาการเหล่านี้คุณสมบัตินี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่ชอบ และไม่พอพระทัย ซึ่งพระเจ้าต้องขับไล่มันออกจากตำแหน่งและอำนาจ
เราจะพบว่ามีมนุษย์หลายคนที่ได้รับคุณสมบัติหรือนิสัยนี้ ก็คืออาการหยิ่ง ผยอง พองตัว และยิ่งแย่ไปกว่านั้นอีก ก็คือถึงแม้ว่าผู้เชื่อมากมายต้อนรับพระเยซู เชื่อพระเยซู ได้รับชีวิตของพระเจ้า
แต่เนื่องจากว่ามีคุณสมบัตินี้อยู่ภายในจิตใจของเขา ก็คือหยิ่ง ผยอง พองตัว เขาจึงไม่มีโอกาสได้รับการเปิดตา และมนุษย์ไม่มีโอกาสได้ต้อนรับพระเยซูไม่มีโอกาสเชื่อ เนื่องจากว่าคุณสมบัตินี้นิสัยนี้เป็นสิ่งที่กีดขวางขัดขวางเขาอยู่ พระเจ้าจึงปิดหูปิดตาเขา คือไม่เปิดให้ ไม่ให้สิ่งดี ไม่ให้ของดีแก่เขา เป็นเรื่องที่น่าเศร้า
แต่สำหรับเราที่เป็นไม้อ้อที่ช้ำแล้ว พระเจ้าไม่หัก และพระเจ้านำมา และพระเจ้าเปิดหูเปิดตาให้เรามาถึงความสว่าง แต่สิ่งที่พระเจ้าต้องการกำจัดในเรา ก็คืออาการหยิ่ง ผยอง พองตัว
หยิ่ง ผยอง พองตัว คืออะไร?
หยิ่ง ผยอง พองตัว คือการอวดดี อวดรู้ อวดฉลาด อวดเก่ง คือทุกสิ่งดีหมด รู้หมด เก่งหมด ฉลาดหมด ใครสอนไม่ได้ ใครบอกไม่ได้ ใครแนะนำไม่ได้ ไม่ยอมฟังใคร นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเกลียดชังมากที่สุด
อย่างน้อย ถ้าใครสอนถูกสอนผิด ไม่เป็นไรเราให้โอกาสเขาพูด เราให้โอกาสเราเองที่จะฟังเขา คือรับเข้ามา แต่ไม่ได้หมายความว่ารับเอาไว้.. คือเรารับเข้ามาฟัง พิจารณา อธิษฐาน ขอพระเจ้าเป็นสติปัญญาของเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรียกว่าการถ่อมใจ
เราขอบคุณพระเจ้าซึ่งเมื่อก่อนเราอาจจะไม่มาถึงการถ่อมใจที่แท้จริง แต่พระเจ้าต้องตีเราก่อนใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราหลายคนที่รับมานาฯ ก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ อาการหยิ่ง ผยอง พองตัวเมื่อก่อนเรามี แต่พระเจ้าต้องทุบตีก่อน จนสุดท้ายขอบพระคุณพระเยซูที่เราถ่อมใจได้ และเราได้รับบทเรียนสิ่งที่พระเจ้าสอนเราทุกวันนี้ ก็คืออาการต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ
ซึ่งพระเยซูเป็นคนแรกที่สำแดงชีวิตของพระองค์เป็นแบบอย่างเป็นตัวอย่างให้เราได้เห็น เพราะฉะนั้นศิษย์ย่อมไม่เหนือกว่าครู พระเยซูต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ เราก็ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ เพื่ออะไร? เพื่อทำลายเพื่อฆ่าเพื่อกำจัดอาการหยิ่ง ผยอง พองตัวในเรา
และอย่างที่ได้พูดมา ไม่ว่าเขาจะเห็นการอัศจรรย์ เห็นพระเจ้าทำกิจ ทำงาน ทำอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ยังไงก็แล้วแต่ แต่เนื่องด้วยจิตใจที่แข็งกระด้างซึ่งมาจากอาการหยิ่ง ผยอง พองตัว พระเจ้าจึงไม่ให้โอกาสเขาได้เชื่อ ซึ่งพระเจ้ารู้ พระเจ้ารู้ว่าเขาจะไม่เชื่อ ยังไงเขาก็จะไม่เชื่อ พระเจ้าก็เลยปิดหูปิดตาไว้เลย
...
สำหรับข้อที่ 42 จนถึงข้อที่ 43 เราจะพบว่าในที่นี้มีผู้นำ คำว่า *ผู้นำ* ตรงนี้ไม่ใช่ข้าราชการ ไม่ใช่นายทหารโรมัน แต่เป็นผู้นำยิวเป็นฟาริสีในสภาสภาแซนเฮดริน ซึ่งคนเหล่านี้มีหลายคน ขอบคุณพระเยซู คือเขาเลือกเชื่อ เขาเห็นการอัศจรรย์ แล้วก็เขาเห็นข่าวลือเรื่องพระเยซูโด่งดังไปทั่ว แล้วเขาพบว่าน่าคิดนะ น่าเชื่อนะ คือเป็นไปได้นะ เขาจึงต้อนรับพระเยซู แต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอก เนื่องจากว่ากลัวที่จะเสียตำแหน่ง สูญเสียอำนาจที่เขามีอยู่
เพราะฉะนั้นเราพบว่ามีหลายคนน่ะ
คือมีหลายคนที่ได้ยินข่าวคราว ได้ยินข่าวดีเรื่องพระเยซู แต่ไม่รับเนื่องจากว่ามีเหตุผลทางเนื้อหนังทางฝ่ายร่างกาย
และยิ่งแย่ไปกว่านั้นอีก เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน มีหลายคนเป็นผู้นำเป็นศิษยาภิบาลเป็นศาสนาจารย์ เป็นตำแหน่งใหญ่โต แต่พอได้พบมานาที่ซ่อนไว้ ก็รับ มีหลายคนรับ ผมรู้ แล้วก็ได้มีโอกาสได้เห็นเขาแนะนำเขาประกาศเรื่องมานาฯ แต่ไม่เอ่ยชื่อผู้ที่นำมาแบ่งปัน แล้วก็ไม่แนะนำเกี่ยวกับคำว่าชื่อมานาที่ซ่อนไว้ เขาไม่พูด แต่เขาจะสอนเรื่องเกี่ยวกับแบบลักษณะนี้ จนในที่สุดหลายคนที่รับมากขึ้นมากขึ้น เขาก็จะบอกชื่อ แล้วก็จะบอกชื่อช่องในยูทูปมานาที่ซ่อนไว้
แต่ตัวเขาเองไม่กล้า ถามว่าทำไม คืออันนี้เราก็เข้าใจเขา คือชีวิตครอบครัวต้องอาศัยเงินเดือนที่มาจากการเป็นศิษยาภิบาลการเป็นผู้นำผู้รับใช้ในคริสตจักรนั้นๆ ถ้าหากเขาเปิดเผยก็จะถูกไล่ออก หรืออาจจะกระทบกระเทือนถึงชีวิตของเขา และการรับใช้ของเขา เพราะฉะนั้นมีมากมายหลายคนที่รับมานาที่ซ่อนไว้ แต่ไม่เปิดเผยไม่เปิดตัว ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็โอเค เราก็เอเมนกับเขา อย่างน้อยพระเจ้าเปิดตาเขา แล้วเขานำไปใช้ให้เกิดผลในชีวิตของเขาและคริสตจักรของเขา
...
คำพยาน:
สำหรับผมนะครับ พบว่าถึงแม้ว่าเขาจะพยายามปิดบัง ไม่ยอมเปิดเผย แต่วันหนึ่งถ้าถึงเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดตาเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วสุดท้ายเขาก็จะอยู่ที่นั่นไม่ได้ แล้วก็ต้องออกมา แล้วก็มาร่วมกับพวกเราแน่นอน อย่างไรก็ตามขอให้เป็นเวลาของพระเจ้า และเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ เอเมน
...
ในข้อที่ 45 พระเยซูตรัสว่า ผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา
พระเยซูร่างกายของผู้ชายชื่อเยซูเดินไปมาบนโลกนี้ แต่มีพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ อยู่ในร่างกายผู้ชายคนนี้ เพราะฉะนั้นทุกคนที่เห็นคุณสมบัติ นิสัย ความรัก ความบริสุทธิ์ ความชอบธรรม ความสว่าง ของพระเยซู ก็คือได้สัมผัสได้เห็นพระบิดาแล้ว และเมื่อเราสำแดงนิสัยชีวิตของพระเจ้า มนุษย์เห็นเราก็จะเห็นพระบิดาผ่านเรา (แต่ไม่ใช่เราที่เป็นพระเจ้าน่ะ)
เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้หลายคนเข้าสู่การชำระด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และมาถึงการเปลี่ยนนิสัย คุณสมบัติ การพูดช้าลง ถ่อมใจ พูดน้อยลง แต่มีคุณค่า แล้วก็น้ำเสียงพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสผ่าน เราไม่ได้ยินเสียงของคนที่พูด แต่ได้ยินเสียงของพระวิญญาณ โดยวิญญาณของเราได้สัมผัสได้อิ่ม ได้กินอิ่ม เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ใช้ท่ามกลางพวกเราทั้งหลายสรรเสริญพระเยซู
...
ในข้อที่ 46 พระเยซูตรัสว่า เราเป็นความสว่าง เราเข้ามาเป็นความสว่างในโลกแล้ว เพื่อผู้ใดก็ตามที่เชื่อในเราจะมิได้อาศัยอยู่ในความมืด
พระเยซูเป็นคนแรกที่นำความสว่าง "ความสว่าง" ก็คือความเป็นจริง God’s light / God’s reality / reality ก็คือความเป็นจริง ซึ่งทุกวันนี้มันไม่ใช่ความจริงแล้ว มันเป็นแค่เงา โลกนี้เป็นแค่เงาเป็นสิ่งชั่วคราว เป็นสิ่งที่จะดับสูญ เสื่อมสลาย แล้วก็สูญสิ้นไปได้ เนื่องจากว่าอาดัมทำให้โลกนี้อยู่ในความมืดแล้ว
แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระเจ้าให้โอกาสโลกอีกครั้งหนึ่ง ก็คือให้พระเยซูนำความจริงของพระเจ้า นำความสว่างนี้มาสู่โลก และผู้ที่ต้อนรับพระเยซูมีโอกาสมากๆ ที่จะได้เดินในความสว่าง แต่น่าเสียดายที่คริสเตียนศาสนา หรือศาสนาคริสต์มากมายนับพันล้านคนที่ยังมาไม่ถึงความสว่างนี้
ความสว่างคืออะไร
- ความสว่าง คือการเดินในความสว่าง คือการเดินด้วยความเชื่อตามความรู้ และความจริงที่ได้รับมา
การเดินในความสว่างคืออะไร
- การเดินในความสว่าง คือการใช้ความเชื่อตามความรู้ และความจริงที่ได้รับมา โดยการเปิดตาของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ซึ่งเดินในความมืดคืออะไร
- เดินในความมืด คือใช้อารมณ์ใช้ความรู้สึก และตามองเห็น สิ่งเหล่านี้ศาสนาคริสต์เข้าทำกันอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งเราจะเห็นน่ะว่า เมื่อเขารู้สึกเหนื่อยเขาก็จะขอพลังจากพระเจ้าให้หายเหนื่อย ถ้าขาดสันติสุขเขาก็จะขอสันติสุขจากพระเจ้า ถ้าขาดอะไรเขาก็จะขอสิ่งนั้นจากพระเจ้า ชีวิตเขามีแต่ขอ ขอๆๆๆ
แต่การเดินในความสว่างที่แท้จริง เราพบว่าพระเจ้าประทานทุกสิ่งให้แก่เราแล้วในพระคริสต์ เพราะฉะนั้นเมื่อเราตื่นนอนตอนเช้าเรารู้สึกเหนื่อย รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงไม่มีกำลัง เรายิ้มเลยเราบอกว่าขอบพระคุณพระเยซู ตอนนี้ข้าพระองค์อยู่ในพระคริสต์ ขอบคุณพระเยซูในพระคริสต์มีแต่พลังมีแต่สันติสุข แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะให้สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นอยู่ภายในเรา นั่นก็คือพลัง สันติสุข และทุกสิ่งที่พระเจ้าเตรียมประทานให้เราแล้วในพระคริสต์ เพียงแต่เราใช้ความเชื่อ
สรุป การเดินในความมืด ก็คือใช้อารมณ์ความรู้สึก และตามองเห็น ส่วนการเดินในความสว่าง ก็คือใช้ความเชื่อ แตกต่างกันไหม ในอาดัมมีแต่ความสิ้นหวัง แต่ในพระคริสต์ทุกสิ่งพระเจ้าทำสำเร็จแล้ว เป็นชีวิตที่สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นเรามีโอกาสที่จะเดินในความสว่าง
และอธิษฐานเผื่อพี่น้องอีกมากมายที่อยู่ในศาสนาคริสต์ที่ยังเดินอยู่ในความมืด ยังรู้สึกเหนื่อย ท้อ อ่อนแอ ไม่มีกำลัง ไม่มีพลัง ไม่มีสันติสุข ไม่มีความสุข ซึ่งสิ่งเหล่านี้พระเยซูให้เราแล้ว และอยู่ภายในเราตอนนี้แล้ว อยากได้หรอ.. ก็ใช้ความเชื่อ ขอบคุณพระเยซูข้าพระองค์มีสันติสุขมาก มีมากเหลือเกินมีเต็มล้นไม่กระหายอีกเลย
ขอบคุณพระเยซูข้าพระองค์เชื่อ เชื่อๆๆๆๆ เรายืนยันความเชื่อ เราพูดอกมา สุดท้ายเราจะเห็นการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เราได้รับสิ่งนั้น สรรเสริญพระเยซู
อย่างที่เคยพูด..คือโลกนี้เป็นนรกสำหรับมนุษย์ และสำหรับคริสเตียนหลายคน แต่ถ้าใครที่มาถึงความสว่างที่แท้จริง โลกนี้ที่กำลังแย่ๆ เรียกว่าสวรรค์บนดินสำหรับพวกเรา
...
ในข้อที่ 47 และถ้าผู้ใดได้ยินบรรดาถ้อยคำของเราและไม่เชื่อ เราก็ไม่พิพากษาผู้นั้น เพราะว่าเรามิได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่เพื่อจะช่วยโลกให้รอด
นี่คือการพูดของพระเยซู ณ ตอนนั้น คือตอนนั้นพระเยซูมายังไม่ได้ตัดสิน ไม่ได้พิพากษาใคร คือมาช่วยก่อน มาช่วยก่อน แต่อีกไม่นานพอสิ้นยุคการพิพากษาก็จะเริ่มขึ้น แต่จะเป็นการพิพากษาผู้เชื่อก่อน และหลังจากนั้นก็จะพิพากษาคนที่ไม่เชื่อทั้งหลาย
...
ข้อที่ 48 ผู้ใดที่ปฏิเสธเราและไม่รับคำทั้งหลายของเรา ก็มีสิ่งหนึ่งที่พิพากษาเขา คือคำที่เราได้กล่าวไว้แล้ว คำนั้นเองจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย
หลักการพิพากษา ก็คือการรับถ้อยคำของพระเยซู ก็คือการประกาศของพระเยซู
ประกาศเรื่องอะไร
- ประกาศเรื่องข่าวดีของพระเยซูเองที่มาตายเพื่อไถ่โลกที่มาช่วยไถ่บาปของเราทั้งหลาย นี่คือหลักการ ไม่ใช่ว่าต้องรักพระเจ้าหมดหัวใจ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ต้องไม่ทำบาป ต้องไม่โกรธโมโห อันนี้ไม่ใช่.. หลักการพิพากษาโลกมีสิ่งเดียวเท่านั้น ก็คือต้อนรับถ้อยคำของพระเยซู ก็คือเชื่อในพระเยซู
มันง่ายกว่ายุคเดิมใช่ไหม แล้วก็ง่ายกว่าทุกๆ ศาสนาด้วย ศาสนาไหนก็ตาม แม้แต่ศาสนายิว ก่อนที่จะได้รับความรอด ต้องปฏิบัติ ต้องรักษาพระบัญญัติ ต้องเคร่งครัด แต่เราสรรเสริญพระเจ้าจนไม่รู้จะเอาอะไรมาพูด ก็คือพระเจ้าให้เราฟรีๆ เป็นพระคุณของพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์ พระเยซูเป็นคนทำ เราเป็นคนรับ พระเยซูเป็นคนตายแทนเรา เราเป็นคนหลุดพ้นจากการถูกพิพากษา พระเยซูเป็นคนกระทำทุกสิ่ง และคนที่เก็บเกี่ยวก็คือเรา สรรเสริญพระเจ้า
คือมันง่าย มันง่ายแล้วก็คือจะพูดออกมาเป็นคำพูดมันไม่รู้จะพูดยังไง คือคนหนึ่งทำ แล้วคนหนึ่งมารับ คนหนึ่งทำบาปทำชั่ว คนหนึ่งรับเอาสิ่งที่เป็นความผิดบาปความชั่วทั้งหลายที่เรากระทำ แล้วเมื่อพระองค์ทำดี เรากลับได้รับสิ่งที่ดีของพระองค์ เห็นไหม เมื่อเราทำชั่ว พระเยซูรับเอาสิ่งที่เป็นความชั่วความผิดความบาปของเรา พระองค์สะสมเอาไว้แล้วก็ไปตายให้เรา และเมื่อพระองค์ทำดีเพื่อเรา คนที่รับผลดีกับเป็นเรา เห็นไหม นี่คือความรักของพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์
ถาม.
''นรกเล็กๆ'' ก็คือแต่ก่อนเราอยู่ในคริสเตียนศาสนา เราไม่พบอาณาจักร เราก็เหมือนนรกเล็กๆ แล้วก็สมมุติเรามาพบอาณาจักรแล้ว แต่ว่าถ้าเราไม่เดินในวิญญาณ เดินด้วยตัวใหม่ เราก็อยู่นรกเล็กๆ เหมือนกันใช่ไหมคะ นอกจากว่าเราเดินในวิญญาณแล้วก็สนิทกับพระเจ้าใช่ไหมคะเราจึงได้พบสวรรค์บนดิน
ตอบ.
นรกบนดินเป็นของคนที่ไม่เชื่อ และเป็นของคริสเตียนศาสนา และเป็นของคริสเตียนที่รับมานาฯ แล้วแต่ยังไม่โต ชีวิตยังขึ้น ลง สุข ทุกข์ ดี บาป เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยเรายังมีโอกาส ซึ่งชาวโลกไม่มีโอกาสและคริสเตียนศาสนาไม่มีโอกาส
แต่ผู้ที่รับมานาฯ ขอบคุณพระเจ้าที่เรามีโอกาสที่จะโต หลายคนที่รับมานาฯ แล้วยังอยู่ในนรกเล็กๆ แต่อีกไม่นานต่อมาพระเจ้าเปิดตามากขึ้น ฝึกมากขึ้น สนิทในพระเยซูมากขึ้น ได้รับชีวิตและนิสัยของพระเยซูมากขึ้น สุดท้ายสวรรค์บนดินก็มาถึงเขา นรกเล็กๆ ก็หายไป เอเมน
...
ถาม.
อยากให้อาจารย์ขยายความเมื่อกี้ เมื่อที่อาจารย์บอกว่าไม้อ้อช้ำแล้วพระองค์จะไม่หัก ตะเกียงที่ริบหรี่จวนจะดับลง ช้ำแล้ว ก็คือความบอบช้ำความเจ็บปวดบาดแผลในอดีตใช่ไหมคะ
ตอบ.
ถูกแล้วครับ ไม้อ้อที่ช้ำแล้ว ก็คือชีวิตที่มันใช้ไม่ได้แล้ว โลกนี้มันน่าเบื่อมาก มันไม่น่าอยู่ มีแต่ความทุกข์ มีแต่มรสุมชีวิตเข้ามา ปัญหาเยอะแยะ คือคำที่เราน่าจะใช้ก็คืออยากตาย คนที่มาถึงจุดนี้แล้วมีเยอะมากทุกวันนี้ในโลกนี้ โดนหลอก โดนต้ม ถูกหลอก ถูกทำร้ายจิตใจ ทำร้ายร่างกาย มากมายหลายสิ่ง ทำให้เราไม่อยากอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป โลกนี้มันน่าเบื่อมากใช่ไหมสำหรับหลายคน
และสำหรับเราเมื่อก่อนก็เป็น คือเราเคยคิดอยากฆ่าตัวตายบ้าง เบื่อโลกบ้าง เบื่อทุกคนที่อยู่รอบข้างเรา แม้แต่ครอบครัวเราเองก็มี บางคนก็เบื่อสามี เบื่อภรรยา ทุกวันนี้บางคนก็เบื่ออยู่ใช่ไหม...
เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรียกว่าไม้อ้อที่ช้ำแล้ว คือชีวิตเรามันใช้ไม่ได้ เป็นชีวิตเก่าเป็นชีวิตอาดัมที่ใช้ไม่ได้ แล้วพระองค์จะนำมันกลับมาใช้ น้ำมันกลับมาใช้ ก็คือพระองค์ก็จะประหารชีวิตเก่าทิ้ง แล้วประทานสิ่งใหม่ชีวิตใหม่ เป็นไม้อ้อที่ไม่ช้ำอีก
สำหรับตะเกียงที่จวนจะดับ ก็คือการที่เราฉายแสงหรือสำแดงชีวิตของพระเจ้านิสัยของพระเจ้าออกมาผ่านเราไม่ได้ เราไม่มีแสงสว่าง ไม่มีความจริง ไม่มีความชอบธรรมของพระเจ้า เรามีแต่ความมืด ทุกสิ่งที่เราทำอย่างน้อยถ้าเป็นคริสเตียนก็จะเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ หน้าซื่อใจคด หลอกลวงชาวบ้าน หลอกลวงพี่น้องคริสตจักร ว่าเราเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม เป็นคนน่ารัก เป็นผู้รับใช้ที่ดี เป็นคริสเตียนที่ดี เป็นพ่อเป็นลูกเป็นภรรยาที่ดี แต่จริงๆ แล้วคนในบ้านเราตอบเราได้ว่าเราเป็นคนยังไง
และในที่สุดตะเกียงที่จวนจะดับ ก็คือพระเจ้านำมาและใส่น้ำมันให้เต็ม คือการเต็นล้นด้วยพระวิญญาณ และเรามีโอกาส มีโอกาสกระตือรือร้น ร้อนรน มีชีวิตและนิสัยของพระเจ้าสำแดงออกมาได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากว่าพระวิญญาณก็อยู่ในเราแล้ว พระคริสต์ก็อยู่ในเราแล้ว พระบิดาก็อยู่ในเราแล้ว เอเมน
...
เอเมนเราสรรเสริญพระเยซูที่พระองค์ได้รับเกียรติ และรับเสียงเพลงถวายจากพวกเราทุกคนที่ร้องในวิญญาณ แล้วเราขอบพระคุณที่เรานำความรักมาถวายเป็นเครื่องบูชา และนำตัวใหม่ชีวิตใหม่มาถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระองค์แล้ว และเรายกย่องสรรเสริญพระองค์แล้ว และเรานมัสการพระบิดาด้วยใจรัก
และขอบพระคุณที่พระองค์เลี้ยงพวกเราด้วยถ้อยคำที่มาจากสวรรค์ ซึ่งเป็นชีวิตของพระองค์ที่เข้ามาอยู่ในพวกเราจนเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนำไปใช้เพื่อเกิดผลดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างและอยู่ในพระคริสต์ สร้างความผูกพันและสนิทในพระองค์ในแต่ละวัน เราสรรเสริญเราขอบคุณและเรารักพระเยซู
เราขอบคุณพระเจ้าที่โลกนี้ยังมีสถานที่หนึ่ง ที่ ให้เราอยู่อย่างมีความสุข ขณะที่โลกมีแต่ความทุกข์ โลกสับสนวุ่นวาย แต่ในพระองค์มีแต่ความสงบสุข ก็คือในพระคริสต์ สรรเสริญพระเจ้า และการเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ก็คือพวกเราได้เข้าไปอยู่แล้ว เพียงแต่เราเชื่อ และยืนยันความจริงนี้โดยการพูดของเราต่อพระองค์ เอเมน