...
ในพระคริสต์ไม่อนุญาตให้ทุกสิ่งที่เป็นลบ ไม่อนุญาตให้ทุกสิ่งที่เป็นเนื้อหนัง ที่เป็นโลกของอาดัมเข้ามาได้
...
ถาม.
โรม 4:22-25 อยากเข้าใจตรงข้อที่ 24 ค่ะ ที่บอกว่า แต่สำหรับพวกเราด้วยจะทรงถือว่าเป็นคนชอบธรรม คือเราที่เชื่อวางใจในพระองค์ (ผู้ทรงให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราฟื้นขึ้นมาจากความตาย)
ในที่นี้ คือหมายถึงพระบิดาใช่ไหมคะ ที่ทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายหรือเป็นพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่แล้วค่ะ ตรงนี้ค่ะขอบคุณค่ะ
ตอบ.
เราพบว่าในโรมบทที่ 6 ผู้ที่ชุบชีวิตพระเยซูคริสต์ให้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย จริงๆ แล้วใช่ครับพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค แต่ในด้านของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ชุบชีวิตพระเยซู
และที่เปาโลพูดว่าท่านทั้งหลายได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ ท่านทั้งหลายในที่นี้ ก็คือคริสตจักรชาวโรม คริสตจักรในกรุงโรมชาวโรมัน และพวกเราด้วย ก็คือเปาโล และสาวก และคริสเตียนทั่วไปครับ คือสำหรับเมื่อก่อนซึ่งตอนที่พระเยซูยังไม่เสด็จมา และการงานของพระองค์ไม่สำเร็จ ช่วงนั้นเป็นเวลาที่ชาวยิวจะกลายเป็นคนชอบธรรมได้ ก็เนื่องด้วยการปฏิบัติ ต้องรักษาพระบัญญัติอย่างเคร่งครัด ต้องนำแกะมาถวายเพื่อไถ่บาป เมื่อเขาละเมิดกฎบัญญัติของพระเจ้า เขาจึงได้กลายเป็นคนชอบธรรม พระเจ้าจึงมองว่าเขาเป็นคนชอบธรรมในแต่ละวัน
ที่นี้มาถึงยุคพระคุณ ก็คือพระเยซูทำงานสำเร็จแล้ว การไถ่สำเร็จแล้ว เรานะครับที่เป็นคริสเตียนเรายังทำบาปอยู่ เรายังมีกิเลส ตัณหา โลภ โกรธ หลง ปรากฏว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซู เราต้อนรับพระเยซู ยอมรับว่าพระเยซูเป็นผู้ไถ่บาปเรา เป็นพระเจ้าเท่านั้นแหละเราก็ได้กลายเป็นคนชอบธรรม
เนื่องจากว่าพระเจ้าพอใจ ไม่ใช่เราเป็นคนดีนะ แต่พระเจ้าพอใจที่เราเชื่อในพระบุตรของพระองค์ พระเจ้าพอใจที่เราต้อนรับพระเยซู พระเจ้าพอใจที่เรายอมรับการตายเพื่อไถ่บาปของพระเยซู พระเจ้าพอใจ
อีกครั้งนะครับ ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนดีหรือไม่ดีหรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ พระเจ้าไม่ได้มองตรงนั้น พระเจ้าพอใจที่เราเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับพระองค์ ใครที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าพอใจคนนั้น และให้คนนั้นนับเขาว่าเป็นคนชอบธรรมเท่ากับคนอยู่ที่ปฏิบัติศาสนาอย่างเคร่งครัด สรรเสริญพระเยซู
พระเจ้าพอใจเรา เราแค่เชื่อในพระบุตรในพระเยซู เราก็ได้กลายเป็นคนชอบธรรม เป็นคนดีมากๆ และก็เป็นคนที่ไม่มีบาปเลย จากสีแดงเข้มกลายเป็นสีขาวล้วนๆ ซึ่งพระเจ้าไม่ได้มองมาที่เรา อีกครั้งนะครับพระเจ้ายังไม่มองมาที่เรา แต่พระเจ้าเปลี่ยนสถานการณ์ เปลี่ยนสภาพ เปลี่ยนชีวิตของเรา จากคนบาปกลายเป็นคนชอบธรรม เนื่องจากว่าเราเชื่อในพระเยซู
ถ้าจะแปลจากพระคัมภีร์ทั่วๆ ไป ก็คือเราได้รับการชำระให้กลายเป็นคนชอบทำโดยทางความเชื่อ แต่จริงๆ แล้วนะครับ คำว่า Justified แปลว่าพอใจ คือเราเป็นเหตุให้พระเจ้าพอใจ และทำให้เรากลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ
...
ถาม.
ถามต่อเนื่องจากเมื่อกี้ครับผม ก็คือเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว พระเจ้าชำระเรา เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว ตัวบาปก็ถูกทำลายแล้วใช่ไหมครับ แต่ว่าเรายังทำบาปอยู่ ตัวบาปยังอยู่กับเรา ประมาณว่าตัวบาปมันตายไปแล้วแต่เรายังทำบาปอยู่ คือตัวบาปมันก็ยังอยู่กับเราใช่ไหมครับหรือยังไงครับ ตรงนี้ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ครับ เอเมนครับ
ตอบ.
สำหรับการทำงานของพระเจ้า "สำเร็จแล้วในพระคริสต์" อย่าลืมนะครับขอให้เราจำตรงนี้ "คำว่าในพระคริสต์" คือทุกสิ่งสำเร็จแล้ว ตัวบาปเราตายแล้ว กายแห่งความบาป กายแห่งกิเลสตัณหาต่างๆ นะครับ คือตายไปแล้ว "ในพระคริสต์" นะครับ "ในพระคริสต์" โดยทางความเชื่อ
เพราะฉะนั้นคนที่เชื่อแต่ยังไม่ได้ถูกเปิดตา ยังไม่รู้ความจริง ยังไม่เข้าใจพระคำของพระเจ้าอย่างครบ เขาจะยังต่อสู้กับบาป เนื่องจากว่าเขายังไม่รู้ว่าเขาตายต่อตัวบาป ตายต่อชีวิตเก่าแล้ว เมื่อเขาพยายามทำดี ก็คือเขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ได้อยู่ "ในพระคริสต์" ทุกวันนี้หลายคนผู้เชื่อหลายคน พยายามที่จะอยู่ในพระคริสต์ให้ได้ เขาคิดว่าการเลิกทำบาป ก็คือการเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ จริงๆ แล้วไม่ใช่
การเข้าไป "อยู่ในพระคริสต์" ก็คือเชื่อว่าได้เข้าไปอยู่ในความจริงของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในความสำเร็จที่พระเยซูกระทำทั้งหมดแล้ว ก็คือเชื่อเอา
ซึ่งการที่จะให้ตัวบาปตาย ตัวเก่าตาย ชีวิตเก่าตาย ตัณหาตาย ทุกสิ่งตาย โลกเก่าโลกอาดัมตายจากเรา และเราเกิดผลแห่งชีวิตใหม่ได้อย่างสม่ำเสมอ ก็คือเราต้องรู้ และต้องเชื่อ เพราะว่าชีวิตคริสเตียนอาศัยความเชื่อเป็นหลัก อาศัยความเชื่อเป็นใหญ่ ถ้าหากไม่เชื่อเอา ทุกสิ่งที่อยู่ "ในพระคริสต์" ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเรา
เราจำกันได้นะครับ โรม 1:17 ชีวิตคริสเตียนเริ่มต้นก็ด้วยความเชื่อและจบลงด้วยความเชื่อ ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากความเชื่อ เราอยากได้อะไร อยากเห็นอะไร อยากสัมผัสอะไร เราเชื่อเอา และสิ่งที่พระเจ้าทำสำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์ ก็จะมาปรากฏมาเกิดขึ้นมาให้เราสัมผัสมีประสบการณ์ในชีวิตของเรา
ทุกวันนี้ตัวเก่าเราตายแล้ว เอเมนเราขอบพระคุณพระเยซูตอนนี้เรารู้แล้ว เมื่อก่อนเราไม่รู้ใช่ไหม และทุกวันนี้ตัวบาปมันไม่มีกำลัง ไม่มีอำนาจ ไม่มีอะไร มันใกล้เราไม่ได้เพราะว่าเราเชื่อว่าเราเป็นตัวใหม่ ตัวบาปจะมาแตะตัวใหม่จะมาอยู่ในตัวใหม่จะมาสิงอยู่จะมาบังคับตัวใหม่ไม่ได้ เพราะว่าตัวใหม่เป็นตัวที่อยู่ "ในพระคริสต์"
ในพระคริสต์ไม่อนุญาตให้ทุกสิ่งที่เป็นลบ ไม่อนุญาตให้ทุกสิ่งที่เป็นเนื้อหนัง ที่เป็นโลกของอาดัมเข้ามาได้
เพราะฉะนั้นตัวบาปมันเป็นตัวที่อยู่ในโลกเก่า จะมาอยู่ในโลกใหม่ของพระคริสต์ อยู่ในพระคริสต์ไม่ได้
เพราะฉะนั้นขอบพระคุณพระเยซู เมื่อเราเชื่อว่าเราอยู่ "ในพระคริสต์" อยู่ในโลกใหม่ของพระองค์ อยู่ในความสว่าง โลกแห่งความสว่าง ตัวบาปจะแตะเราไม่ได้ และเมื่อไหร่ที่เกิดมีการล่อลวงเกิดขึ้น เราจะพูดว่า "ไม่" คือมันง่ายมาก
แต่เมื่อไหร่ที่เราอยู่ในอาดัม การล่อลวงการทดลองเกิดขึ้นปุ๊บ เราจะบอกว่า ไม่. ไม่. แต่เราก็ไปทำใช่ไหม เนื่องจากว่าตัวบาปมันมีอำนาจเหนือเรา
เพราะฉะนั้นอยู่ที่ความรู้ เมื่อรู้แล้ว ต้องเชื่อ เมื่อเชื่อ ทุกสิ่งที่อยู่ "ในพระคริสต์" การตายต่อตัวเก่า การตายต่อตัวบาป ทุกสิ่งก็จะเกิดขึ้นกับเรา เอเมนชัดเจนนะครับ
...
อีกครั้งนะครับผมขอย้ำ อยากเห็นสันติสุขไหม อยู่ในพระคริสต์
อยากเห็นการทำงานของพระเจ้าไหม อยู่ในพระคริสต์
อยากเห็นพระพรเกิดขึ้นมากมายในชีวิตของเราไหม อยู่ในพระคริสต์
** แล้วอยู่ในพระคริสต์จะอยู่ได้ยังไง? เลิกทำบาปหรอ? ไม่ใช่!!
เชื่อว่าอยู่ในพระคริสต์แล้ว 1 คร 1:30 บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้เราทั้งหลายอยู่ในพระคริสต์ เป็นพิกัดใหม่ของชีวิตคริสเตียน เป็นพิกัดที่เราจะต้องอยู่ในนั้น อยู่ตรงนั้นตลอดเวลา เพื่อพระเจ้าจะดูแล ปกป้อง ปกปักรักษา ช่วยเหลือ นำพา สั่งสอน เลี้ยงดู เปิดตา ทำงานทุกสิ่งจนเรากลายเป็นผู้ชนะในที่สุด สรรเสริญพระเยซู
** แล้วพี่น้องล่ะครับ ตอนนี้อยู่ไหน อยู่ในพระคริสต์หรืออยู่ในอาดัม (อยู่ในพระคริสต์ แสดงว่าตัวบาปไม่มีอำนาจเหนือเราแล้วเอเมน)
สำหรับพี่น้องที่พบมานาแล้วก็ฝึกนะครับ อาจจะมีบางครั้งบ้างที่พลาดพลั้ง ที่เผลอ และช่วงที่ฝึกใหม่ๆ ปีแรก 2-3 ปีแรก เราจะเจอปัญหามากเกี่ยวกับตัวบาปที่ยังเอาชนะเราได้ เนื่องจากว่าความเชื่อของเรา ความเชื่อของเรายังไม่มีมากพอ สำหรับพระเจ้ามองมาที่เรา พระเจ้าเห็นว่าความเชื่อของใครอยู่ในระดับไหน
เพราะฉะนั้นเราจะรู้นะครับว่าความเชื่อมีหลายระดับ พระเยซูยังพูดเลยใช่ไหม ถ้าหากใครมีความเชื่อเท่ากับเมล็ดมัสตาร์ด ก็คือเป็นความเชื่อที่เล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ น้อยนิด และต่อมาก็จะมีความเชื่อที่ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นๆ และเรามีความเชื่อที่มากขึ้น มากขึ้นๆๆ สุดท้ายเราก็จะเห็นปรากฏการณ์ เห็นการอัศจรรย์ เห็นการทำงาน ได้ยินเสียงพระเจ้า คือมันมีทุกสิ่งที่เป็นโลกเป็นสวรรค์บนดิน เป็นโลกแห่งความสว่างที่อยู่ "ในพระคริสต์" มาปรากฏกับเรา
การใช้ชีวิตคือเบาสบาย มีความสุขมากๆ อยู่ในสวรรค์ของพระเจ้าตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นอาณาจักรลอยลงมา ก็ขอบพระคุณพระเยซู
...
แต่ผมก็เชื่อนะว่าตอนนี้หลายคนได้เห็นแล้ว ได้สัมผัสแล้ว และบางคนที่มาใหม่ก็ได้ชิมแล้วใช่ไหม อย่างที่ผมพูดไป
พบมานาก็คือได้รู้มากขึ้น จากรู้น้อย ได้รู้ถูก จากเคยรู้ผิด
และยิ่งเราสนิทในพระเยซู จากรักน้อย ก็กลายเป็นรักมาก