3:1 จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลาย ก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์
** คำว่า ไม่รู้จัก ในที่นี้ ก็คือไม่เห็น ไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ ไม่ยอมรับ ด้วยปากและด้วยใจ โลกเพียงแค่รู้จักพระเจ้า และพระเยซูในฐานะพระเจ้าของศาสนายิว และคริสเตียนเท่านั้น
อีกทั้งยังมองว่าคริสเตียน คือกลุ่มผู้เชื่อศาสนาคริสต์เท่านั้น แต่เขาไม่รู้ว่าพระเจ้า และพระเยซู และการดำเนินชีวิตของคริสเตียนไม่ใช่ศาสนาดั่งที่เขาเข้าใจ
ขอบพระคุณพระเจ้าที่เราไม่ใช่ศาสนาคริสต์ และพระเจ้าทรงรักเรามาก และเลือกเราให้ได้กลายเป็นบุตรของพระองค์
3:2 ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า และยังไม่ปรากฏว่าต่อไปเบื้องหน้าเราจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์เสด็จมาปรากฎนั้น เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น
** เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระองค์ ในที่นี้ ก็คือเราจะมีร่างกายทิพย์เหมือนพระเยซูที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย สภาพร่างกายทั้งภายนอก และภายในของผู้เชื่อที่รักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ (ผู้ชนะ) จะไม่รู้จักเปื่อยเน่า
3:3 และทุกคนที่มีความหวังเช่นนี้ในพระองค์ ก็ย่อมชำระตนให้บริสุทธิ์เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์
** ชำระตนให้บริสุทธิ์ ในที่นี้ คือการดำเนินชีวิตผู้ชนะที่มีพระคริสต์ทำแทนในแต่ละวันได้แล้ว
3:4 ผู้ใดที่กระทำบาปก็ละเมิดพระราชบัญญัติด้วย เพราะความบาปเป็นสิ่งที่ละเมิดพระราชบัญญัติ
** ผู้เชื่อถูกตรึงชีวิตเก่าที่กางเขนแล้ว เขาจึงตายจากพระบัญญัติทั้งเดิม และใหม่แล้ว และเราทุกวันนี้ คือคนใหม่ที่ไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติแต่อยู่ใต้พระคุณ อยู่ใต้พระคุณไม่ใช่เราจะเดินในการบาปได้ แต่ก็คือยอมให้พระเยซูใช้ร่างกายจิตใจนี้ เพื่อจะสำแดงชีวิตความชอบธรรมของพระองค์ผ่านเรา จึงเรียกได้ว่าเราไม่ได้ทำบาป หรือละเมิดพระบัญญัติอีกต่อไปแล้ว
3:5 ท่านทั้งหลายก็รู้อยู่แล้วว่า พระองค์ได้ทรงปรากฏเพื่อนำบาปทั้งหลายของเราไปเสีย และบาปในพระองค์ไม่มีเลย
** พระเยซูเสด็จมาไม่ใช่เพื่อไถ่เราจากความตาย และการพิพากษาเท่านั้น แต่พระองค์ต้องการที่จะกำจัดตัวบาปในเราเพื่อเราจะทำบาปไม่ได้ในแต่ละวัน และฝ่ายพระองค์ก็ทำสำเร็จแล้วในพระคริสต์ในพระวิญญาณ ชีวิตในพระคริสต์จึงมีทุกสิ่งพร้อมที่จะช่วยเราให้ไปถึงหลักชัย หรือการดำเนินชีวิตผู้ชนะเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าในแต่ละวัน
พระคริสต์เสด็จเข้ามาอยู่ในเรา พระองค์เป็นทนายความ เป็นน้ำแห่งชีวิตให้เราได้ดื่มกิน พระองค์นำกฏแห่งพระวิญญาณ และกฏแห่งชีวิตเพื่อทำลายกฏแห่งความบาป และกฏแห่งความตาย ตัวเก่าของเราก็ถูกทำลายเพื่อตัวบาปจะไม่มีที่อาศัย และบังคับเราให้ทำบาปไม่ได้ สรรเสริญพระเยซู เมื่อบาปไม่มีในพระองค์ฉันใด บาปก็ไม่มีในเราผู้ชนะฉันนั้น
3:6 คนใดที่อาศัยอยู่ในพระองค์ คนนั้นไม่กระทำบาป ผู้ใดที่กระทำบาป ผู้นั้นยังไม่ได้เห็นพระองค์ และยังไม่ได้รู้จักพระองค์
** คนใดที่อาศัยอยู่ในพระองค์ คำว่า อาศัย ก็คือ เข้าไปอยู่ใน… สนิทใน… สถิตใน… คือการมีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณ และเดินในพระวิญญาณ และสนิทในพระคริสต์อย่างสม่ำเสมอทุกๆ วัน เขาจึงทำบาปไม่ได้
ผู้ใดที่กระทำบาปผู้นั้นยังไม่ได้เห็นพระองค์ และยังไม่ได้รู้จักพระองค์ ความหมายก็คือผู้เชื่อที่ยังไม่ได้ถูกเปิดตา ยังไม่ได้พบพระคำแห่งความจริง เขาไม่อาจมองเห็น และรู้จักพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง นี่คือปัญหาที่คริสเตียนศาสนาเผชิญอยู่ คือพวกเขาใช้ชีวิตในรูปแนวศาสนาเน้นที่การปฏิบัติพยายามเลิกทำบาปให้ได้ด้วยกำลังของตน
แต่เขาไม่เคยมองเห็นความสำคัญของความรักการอาศัยอยู่ในพระคริสต์การสนิทในพระองค์ และพระองค์สนิทในเขา จึงทำให้เขาพยายามเลิกทำบาปด้วยตัวเก่า และล้มเหลวไปจนตลอดชีวิต เนื่องจากว่าเขายังไม่เห็น และไม่รู้จักพระองค์นั่นเอง
3:7 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติการชอบธรรมก็เป็นผู้ชอบธรรม เหมือนอย่างพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม
** ผู้ที่ประพฤติการชอบธรรมก็เป็นผู้ชอบธรรม ในที่นี้ ก็คือชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ เนื่องจากว่าผู้เชื่อทันทีที่ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็ได้กลายเป็นคนชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้าแล้ว
ท่านยอห์นเตือนผู้เชื่อที่ยังเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณอย่าไปหลงติดตามคำสอนที่สอนว่า คริสเตียนดำเนินชีวิตตามอย่างชาวโลกได้ ทำบาปได้ อยู่ร่วมกับโลกได้ แต่เราควรประพฤติการชอบธรรมเนื่องจากว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ชอบธรรม
พระเจ้าสร้างเราขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ดำเนินชีวิตส่องสว่าง ก็คือประพฤติการชอบธรรมของพระคริสต์ให้โลกได้เห็นพระคริสต์ผ่านเรา
3:8 ผู้ที่กระทำบาปก็มาจากพญามาราร เพราะว่าพญามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทรงทำลายกิจการของพญามารเสีย
3:9 ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะเมล็ดของพระองค์ดำรงอยู่ในผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า
** ผู้เชื่อทุกคนย่อมบังเกิดจากพระเจ้า แต่เนื่องจากว่าเขายังไม่รู้ และยังไม่เห็นพระเจ้า หรือยังไม่ได้ถูกเปิดตา การสนิทบอกรัก และตายังบอดอยู่
การทำงานของพระเจ้า และเมล็ดของพระองค์จึงยังไม่เติบโตในเขา และเมื่อไหร่ที่เขาได้รับการเปิดตา เขาเริ่มสนิท บอกรัก สร้างความผู้พันที่ดีกับพระเยซู สะสมพระคำแห่งความจริง ฝึกมีชีวิต และเดินในพระวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ สุดท้ายเมล็ดของพระเจ้าก็เกิดผล และเติบโตในเขา และเขาก็ทำบาปไม่ได้
3:10 ในสิ่งนี้ลูกทั้งหลายของพระเจ้าก็ปรากฏชัด และลูกทั้งหลายของพญามาร ผู้ใดก็ตามที่ไม่กระทำความชอบธรรมก็มิได้มาจากพระเจ้า เช่นเดียวกับคนที่ไม่รักพี่น้องของตน
** ความชอบธรรม (Righteousness) เป็นหนึ่งในสี่คุณสมบัติใหญ่ของพระเจ้า หรือเป็นธรรมชาติ (Nature) ของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรัก พระองค์จึงกระทำในสิ่งที่ชอบธรรม
- ความรัก คือสิ่งที่อยู่ภายใน
- ส่วน ความชอบธรรม คือการสำแดงภายนอก
สรุป ก็คือพระเจ้าเป็นผู้ที่มีความรักอย่างมากมายอยู่ภายใน และทรงสำแดงออกมาซึ่งความชอบธรรม
การดำเนินชีวิตของชาวสวรรค์ที่อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ ความรักจึงเป็นสิ่งที่เราต้องมีในทุกความคิด ทุกการกระทำ และทุกคำพูด เราไม่เพียงแต่รักพระเจ้าหมดหัวใจ แต่เรารักเพื่อนบ้าน รักพี่น้องในพระกาย และรักคนที่ไม่เชื่อด้วย
ความรักนั้นก็อดทนนาน และกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ความรักไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่ประพฤติตัวอย่างไม่เหมาะสม ไม่แสวงหาประโยชน์ของตนเอง ไม่ถูกยั่วยุอย่างง่ายดาย ไม่คิดความชั่วร้าย ไม่ปิติยินดีในความชั่วช้า แต่ปิติยินดีในความจริง ไม่แคะไค้คุ้ยเขี่ยความผิดของเขา เชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ มีความหวังอยู่เสมอ อดทนสิ่งสารพัด ความรักจะไม่มีวันล้มเหลว ฯลฯ (1 คร 13:4-8)
3:11 เพราะว่านี่เป็นข่าวสารที่พวกท่านได้ยินตั้งแต่เริ่มแรก ว่าพวกเราควรรักซึ่งกันและกัน
** ข่าวสาร ในที่นี้ คือคำสั่งของพระเยซูในยอห์นบทที่ 13:34 นั่นเอง ภาษากรีกใช้คำว่า “อะกาเป” หรือ “อะกาปาโอ” ซึ่งเป็นความรักของพระเจ้า มาจากพระเจ้า และพระเจ้าเป็นคนกระทำผ่านผู้เชื่อ เนื่องจากว่าภายในมนุษย์โดยทั่วไปจะไม่มีความรักอะกาเปเลย
3:12 ไม่เหมือนคาอิน ผู้ที่เป็นของมารร้ายนั้น และได้ฆ่าน้องชายของตน และเพราะเหตุใดเขาจึงฆ่าน้องชายเล่า ก็เพราะว่าบรรดาการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย และของน้องชายของเขานั้นชอบธรรม
** คาอิน ได้กระทำในสิ่งที่ไม่มีความรักจากภายใน เขาจึงกระทำในสิ่งที่ไม่ชอบธรรม และถูกนับว่าเป็นของมาร หรือลูกมาร
** ส่วน อาเบล ถูกนับว่ามาจากพระเจ้า เป็นของพระเจ้า เนื่องจากว่าเขาได้กระทำในสิ่งที่ชอบธรรม
3:13 อย่าประหลาดใจเลย พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย ถ้าโลกเกลียดชังพวกท่าน
** เป็นเรื่องปกติที่โลกที่ไม่มีความรักของพระเจ้าที่อยู่ภายใน ย่อมกระทำในสิ่งที่ไม่ชอบธรรม และเกลียดชังผู้ที่เป็นของพระเจ้า หรือประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า คนที่เป็นของมารจึงเกลียดชัง ข่มเหง ฆ่า ทำร้าย ทำลายคนที่เป็นของพระเจ้า
3:14 พวกเราทราบว่า พวกเราได้ผ่านพ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว เพราะว่าพวกเรารักพี่น้อง ผู้ใดที่ไม่รักพี่น้องของตน ก็ยังดำรงอยู่ในความตาย
** ผู้ที่รัก (อะกาเป/อะกาปาโอ) พี่น้องได้ ก็คือผู้ที่ถูกเปิดตา และเติบโตสู่ชีวิต และนิสัยของพระเจ้าไม่มากก็น้อย พวกเขาผ่านความตาย/ความบาป ไปสู่ชีวิต (โซเอะ – ชีวิตพระเจ้า) คือรูปแนวชีวิต เต็มล้นด้วยชีวิต เขาจึงมีประสบการณ์แห่งชีวิตที่ครบบริบูรณ์ของพระเจ้าภายในเขา (ยอห์น 10:10)
3:15 ผู้ใดก็ตามที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็เป็นฆาตกร และพวกท่านทราบว่า ไม่มีฆาตกรคนใดที่มีชีวิตนิรันดร์ดำรงอยู่ในเขาเลย
** ผู้เชื่อทุกคนเป็นบุตรพระเจ้า แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มาถึงชีวิตหรือรูปแนวชีวิต และเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตอย่างครบบริบูรณ์ได้ เนื่องจากว่าพวกเขาเหล่านั้นยังไม่ได้รับการเปิดตา จึงเกลียดชังพี่น้องของตนได้ และพระเจ้าทรงนับว่าพวกเขาเป็นฆาตกร
3:16 โดยสิ่งนี้พวกเราจึงรับรู้ความรักของพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงยอมวางชีวิตของพระองค์เพื่อพวกเรา และพวกเราก็ควรจะวางชีวิตของพวกเราเพื่อพี่น้อง
** พระเยซูทรงรักเรา พระองค์สำแดงความชอบธรรมแก่เรา พระองค์จึงยอมตายเพื่อไถ่บาปเราทั้งหลาย และเมื่อเราได้รับความรักของพระเจ้า ชีวิตของพระเจ้า เราจึงต้องสำแดงความชอบธรรมต่อพี่น้อง และทุกคนด้วย
3:17 แต่ผู้ใดก็ตามที่มีทรัพย์สมบัติของโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนมีความต้องการ และปิดใจไม่กรุณาเขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้
** เมื่อผู้เชื่อมีชีวิต และความรักของพระเจ้าในเขา และเขามีทรัพย์สมบัติที่พอจะช่วยเหลือผู้อื่นได้ เขาย่อมจะไม่ปิดใจต่อคนที่ขัดสนยากจนอย่างแน่นอน
3:18 ลูกเล็ก ๆ ทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย อย่าให้เรารักในคำพูดและในลิ้น แต่ให้เรารักในการกระทำและในความจริง
** นี่คือความรักของพระเจ้า ถ้าหากผู้ใดมาถึงชีวิต และความรักของพระเจ้า เขาย่อมจะสำแดงความชอบธรรมต่อผู้อื่น และไม่ใช่เพียงแต่คำพูดเท่านั้น
3:19 และโดยสิ่งนี้พวกเราจึงทราบว่าพวกเราอยู่ฝ่ายความจริง และจะมีความมั่นใจต่อพระพักตร์พระองค์
** อยู่ฝ่ายความจริง ก็คือผู้ที่ได้รับการเปิดตาให้เข้าใจถึงพระคำแห่งความจริง โดยพระวิญญาณแห่งความจริง เขาจึงใช้ชีวิตอยู่ในความจริงที่เขาได้รับรู้ และเข้าใจด้วยความมั่นใจ
เนื่องจากว่าความจริงของพระเจ้าจะนำผู้เชื่อเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตแห่งการเต็มล้นภายใน และภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม่กลัวพระเจ้า สันติสุขทุกวันเวลา กฎแห่งพระวิญญาณ และกฎแห่งชีวิต ด้วยการสนิทบอกรัก
3:20 เพราะว่าถ้าใจของพวกเรากล่าวโทษพวกเรา พระเจ้าก็ทรงเป็นใหญ่กว่าใจของพวกเรา และทรงทราบทุกสิ่ง
** สำหรับผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดตา และเติบโตสู่ชีวิต และนิสัยของพระเยซูเขาจะไม่กล่าวโทษใคร หรือตัดสินใคร และมองผู้อื่นในฝ่ายเนื้อหนังแต่เขาจะคิดพูด และกระทำทุกสิ่งโดยเอาความรักเป็นหลัก และแน่นอนที่สุดการกระทำของเราไม่ว่าจะเป็นคำพูด ความคิด การกระทำ ย่อมเป็นที่รู้จักของพระเจ้า ไม่มีอะไรที่ซ่อนเร้นต่อพระเจ้าได้
3:21 พวกท่านที่รัก ถ้าใจของพวกเราไม่กล่าวโทษพวกเรา พวกเราก็มีความไว้เนื้อเชื่อใจจำเพาะพระเจ้า
** การดำเนินชีวิตที่ไว้เนื้อเชื่อใจ หรือวางใจในพระเจ้า เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับการชอบกล่าวโทษ หรือตัดสินผู้อื่น คนที่ชอบตัดสิน หรือกล่าวโทษผู้อื่น คือคนที่ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ หรือวางใจในพระเจ้า เมื่อเราวางใจในพระเจ้า เราจะไม่บ่น เราจะไม่ท้อ เราจะไม่ใส่ร้ายกล่าวโทษ หรือตัดสินผู้อื่น เนื่องจากว่าเรารู้ดีว่าพระเจ้าเป็นผู้ดูแลทุกสิ่ง และเห็นทุกสิ่ง และจะตอบแทนการกระทำของเราทั้งหมด
3:22 และสิ่งใดก็ตามที่พวกเราทูลขอ พวกเราก็จะได้รับจากพระองค์ เพราะว่าพวกเรารักษาบรรดาพระบัญญัติของพระองค์ และกระทำตามสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์
** สำหรับผู้เชื่อที่ถูกเปิดตาเข้าสู่ความจริงของพระเจ้า เขาย่อมรู้ดีว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญที่สุด เขาจึงไม่อธิษฐานทูลขอตามอำเภอใจของตน แต่ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และพระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานของเขา
** ผู้ที่ได้รับการเปิดตาย่อมจะรักษาพระบัญญัติของพระเยซูโดยมีพระคริสต์เยซูที่อยู่ภายในเขาเป็นผู้รักษาให้ เขาจึงเป็นที่ชอบต่อพระพักตร์ของพระบิดา
3:23 และนี่เป็นพระบัญญัติของพระองค์ คือให้พวกเราเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และให้รักซึ่งกันและกัน ตามที่พระองค์ได้ทรงมอบพระบัญญัติไว้แก่พวกเราแล้ว
** สำหรับพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูมีมากมายหลายข้อ แต่มี 2 ข้อใหญ่ ซึ่งก็คือ..
- ข้อแรก เชื่อและวางใจในพระเยซู (โรม 16:26)
- ข้อที่ 2 ก็คือรักซึ่งกันและกัน (1 ยน 3:23)
3:24 และผู้ใดที่รักษาพระบัญญัติทั้งหลายของพระองค์ก็ดำรงอยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในผู้นั้น และโดยเหตุนี้พวกเราจึงทราบว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในพวกเราโดยพระวิญญาณซึ่งพระองค์ได้โปรดประทานแก่พวกเราแล้ว
** ผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดตา และฝึกชีวิตในการเดินในพระวิญญาณในแต่ละวัน คือผู้ที่สนิทบอกรักในพระเยซู เขาจึงมีพระเยซูเป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนเขาในแต่ละวันได้ ก็คือรักษาพระบัญญัติแทนเขานั่นเองเขาจึงมีประสบการณ์ชีวิตในพระคริสต์ หรือได้สัมผัสการทรงสถิตอยู่ของพระคริสต์ที่อยู่ภายในเขา
** เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าผู้เชื่อทุกคนมีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเขา แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ได้เข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตในพระคริสต์ คือการเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายใน การเต็มล้นด้วยสันติสุข การเต็มล้นด้วยกฎแห่งพระวิญญาณ และกฎแห่งชีวิต ฯลฯ