ความคิดของ อาดัม ที่ใช้ไม่ได้ (จากยอห์นบทที่ 11)
1. กระวนกระวาย (ข้อ 3)
2. เสนอความคิดเห็นตามแบบมนุษย์ (ข้อ 8)
3. ไม่เข้าใจเรื่องฝ่ายวิญญาณ (ข้อ 12-13)
4. อยากทำดีเพื่อพระเจ้าด้วยกำลังของอาดัม (ข้อ 16)
5. ต่อว่าพระเจ้า ที่ไม่ทำในสิ่งที่เขาต้องการ (ข้อ 21-22)
6. พูดว่ารู้ แต่แท้ที่จริงเขาไม่รู้ (ข้อ 24)
7. ผู้ที่รักพระเจ้ามากก็ยังมีโอกาสใช้สติปัญญาความคิดอาดัม (ข้อ 32)
ขอพระเจ้าช่วยเราให้หลุดพ้นจากการเป็นคริสเตียน "อาดัม" เพื่อเราจะ...
1. ไม่กระวนกระวาย
2. ให้พระคริสต์คิดและตัดสินใจแทน
3. รับการเปิดตาฝ่ายวิญญาณ
4. ไม่ต้องทำดีเพื่อพระเจ้า แต่ให้พระคริสต์ในเราทำดีแทน
5. ไม่ต่อว่าพระเจ้า สิ่งดีมาก็รับสิ่งไม่ดีมาก็รับ ด้วยจิตนอบน้อม
6. รู้ก็ว่ารู้ ไม่รู้ก็ขอการเปิดเผย หรือถามผู้ที่มีของประทานในการเปิดตา
7. ฝึกที่จะไม่ใช้สติปัญญาความคิดของอาดัม
หัวใจสำคัญของยอห์นบทที่ 11 คือข้อที่ 25
11:25 พระเยซูตรัสกับเธอว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่เชื่อในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก
** ยิวที่ไม่เชื่อในพระเยซูและเคร่งศาสนา ถือรักษาพระบัญญัติได้ครบจะมีโอกาสได้รับชีวิตพระเจ้าในยุคพันปี และฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่เท่านั้น เขาจะไม่มีโอกาสได้รับชีวิตพระเจ้าอย่างครบในชีวิตนี้เหมือนอย่างคริสเตียน แต่เรื่องที่หน้าเศร้า ก็คือคริสเตียนมากมายไม่มีโอกาสได้รับการเปิดตา และไม่ได้รู้ว่าเขารับชีวิตพระเจ้าที่ครบแล้ว และใช้ชีวิตที่ไม่มีสันติสุขทุกเวลา และมีพลังยิ่งใหญ่ที่ได้มาจากชีวิตพระเจ้าในแต่ละวัน
ลาซารัสถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตาย
11:1 มีชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสกำลังป่วยอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็นเมืองที่มารีย์และมารธาพี่สาวของเธออยู่นั้น
11:2 (มารีย์ผู้นี้คือหญิงที่เอาน้ำมันหอมชโลมองค์พระผู้เป็นเจ้า และเอาผมของเธอเช็ดพระบาทของพระองค์ ลาซารัสน้องชายของเธอกำลังป่วยอยู่)
** พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
11:3 ดังนั้นพี่สาวทั้งสองนั้นจึงให้คนไปเฝ้าพระองค์ทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ดูเถิด ผู้ที่พระองค์ทรงรักนั้นกำลังป่วยอยู่"
11:4 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้วก็ตรัสว่า "โรคนั้นจะไม่ถึงตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูพระเกียรติของพระเจ้า เพื่อพระบุตรของพระเจ้าจะได้รับเกียรติเพราะโรคนั้น"
11:5 พระเยซูทรงรักมารธาและน้องสาวของเธอและลาซารัส
11:6 ดังนั้นครั้นพระองค์ทรงได้ยินว่าลาซารัสป่วยอยู่ พระองค์ยังทรงพักอยู่ที่ที่พระองค์ทรงอยู่นั้นอีกสองวัน
11:7 หลังจากนั้นพระองค์ก็ตรัสกับพวกสาวกว่า "ให้เราเข้าไปในแคว้นยูเดียกันอีกเถิด"
11:8 พวกสาวกทูลพระองค์ว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า เมื่อเร็วๆ นี้พวกยิวหาโอกาสเอาหินขว้างพระองค์ให้ตาย แล้วพระองค์ยังจะเสด็จไปที่นั่นอีกหรือ"
11:9 พระเยซูตรัสตอบว่า “วันหนึ่งมีสิบสองชั่วโมงมิใช่หรือ ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางวันเขาก็จะไม่สะดุด เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกนี้
** ทำไมพระเยซูพูดว่าวันหนึ่งมีสิบสองชั่วโมง
- สำหรับโลกวันหนึ่งต้องมี 24 ชั่วโมง แต่สำหรับพระเจ้าไม่นับกลางคืน หรือตะวันตกดิน (หกโมงเย็น) ก็จะหมดวันนั้น และหกโมงเช้าก็นับเป็นวันใหม่อีก
- หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าพระเยซูพูดผิด แต่คนเขียนเขียนผิด ความหมายที่แท้จริง คือ กลางวันมี 12 ชั่วโมง (in the day) ภาษาอังกฤษจะเข้าใจชัดเจนกว่า (“กลางวันมีสิบสองชั่วโมงมิใช่หรือ ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางวันเขาก็จะไม่สะดุด เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกนี้)
11:10 แต่ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางคืนเขาก็จะสะดุด เพราะไม่มีความสว่างในตัวเขา”
** "เดินในตอนกลางคืน" คือเดินในอาดัม หรือเดินในฝ่ายเนื้อหนัง ไม่ใช่กลางคืนที่เป็นเวลาที่ตามองเห็น
** "กลางคืน" ในที่นี้ จึงเป็นความหมายฝ่ายวิญญาณ
11:11 พระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงตรัสกับเขาว่า “ลาซารัสสหายของเราหลับไปแล้ว แต่เราไปเพื่อจะปลุกเขาให้ตื่น”
** สำหรับพระเจ้า "ตาย" คือหลับอยู่ (ดนล 12:2; อฟ 5:14-18)
11:12 พวกสาวกของพระองค์ทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ถ้าเขาหลับอยู่เขาก็จะสบายดี"
11:13 แต่พระเยซูตรัสถึงความตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าพระองค์ตรัสถึงการนอนหลับพักผ่อน
11:14 ฉะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเขาตรงๆว่า “ลาซารัสตายแล้ว
** แต่เมื่อสาวกไม่เข้าใจ พระเยซูจึงพูดตรงๆ ว่าเขาตายแล้ว
11:15 เพื่อเห็นแก่ท่านทั้งหลายเราจึงยินดีที่เรามิได้อยู่ที่นั่น เพื่อท่านจะได้เชื่อ แต่ให้เราไปหาเขากันเถิด"
** เพื่อเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เป็นการดีที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่น เพื่อท่านจะได้เชื่อ แต่ให้เราไปหาเขา (ลาซารัส) กันเถิด
11:16 โธมัสที่เรียกว่า ดิดุมัส จึงพูดกับเพื่อนสาวกว่า "ให้พวกเราไปด้วยเถิด เพื่อจะได้ตายด้วยกันกับพระองค์"
** โธมัส และสาวกทุกคนสับสนในสิ่งที่พระเยซูตรัส ทั้งเรื่องการตายของลาซารัสที่เรียกว่าหลับอยู่สำหรับพระเจ้า และเรื่องการกลับไปแค้วนยูดาของพระองค์
11:17 ครั้นพระเยซูเสด็จมาถึงก็ทรงทราบว่า เขาเอาลาซารัสไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพสี่วันแล้ว
11:18 หมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ห่างกันประมาณสามกิโลเมตร
11:19 พวกยิวหลายคนได้มาหามารธาและมารีย์ เพื่อจะปลอบโยนเธอเรื่องน้องชายของเธอ
11:20 ครั้นมารธารู้ข่าวว่าพระเยซูกำลังเสด็จมา เธอก็ออกไปต้อนรับพระองค์ แต่มารีย์นั่งอยู่ในเรือน
** การช่วยเหลือของพระเจ้าจะมาถึงครอบครัวนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากว่าทั้งสามเป็นสาวกที่พระองค์ทรงรักมาก แต่พระเยซูรอให้เขาตายสนิท และให้ทุกคนเห็นว่าเขาตายไปแล้ว และเลยกำหนดเวลาที่จะฟื้นขึ้นมาจากความตายอย่างแน่นอน เพื่อมนุษย์จะได้เห็นว่านี่คือการทำงานของพระเจ้า เนื่องจากว่าชาวยิวหลายคนที่ตายแล้วฟื้นภายในสามวัน และถ้าเลยสามวันจะไม่มีใครฟื้นขึ้นจากตาย
11:21 มารธาจึงทูลพระเยซูว่า "พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์คงไม่ตาย
** นี่คือความคิดของมนุษย์ที่แนะนำ หรือต่อว่าพระเยซู แต่สำหรับพระเจ้า การช่วยเหลือทุกสิ่งต้องเป็นเวลา และน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อเราจะถวายเกียรติแด่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว
11:22 แต่ถึงแม้เดี๋ยวนี้ข้าพระองค์ก็ทราบว่า สิ่งใดๆ ที่พระองค์จะทูลขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะทรงโปรดประทานแก่พระองค์"
11:23 พระเยซูตรัสกับเธอว่า "น้องชายของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีก"
11:24 มารธาทูลพระองค์ว่า "ข้าพระองค์ทราบแล้วว่า เขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในวันสุดท้ายเมื่อคนทั้งปวงจะฟื้นขึ้นมา"
** มารธาสิ้นหวังที่พระเยซูมาช้า และคิดว่าพระเยซูกล่าวถึงการฟื้นขึ้นในวันสุดท้าย แต่พระเยซูจะช่วยชุบชีวิตของมารธาเดี๋ยวนั้น
หัวใจสำคัญของยอห์นบทที่ 11 คือข้อที่ 25
11:25 พระเยซูตรัสกับเธอว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่เชื่อในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก
** สำหรับข้อนี้ คือตายไปแล้วแต่จะฟื้นขึ้นในวันสุดท้าย และเป็นอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ หรือ "มีชีวิตอันตลอดไปเป็นนิตย์"
** "และมีชีวิต" ในที่นี้ เป็นคำเดียวกับกับ บทที่ 3:15-16 แต่ภาษาไทยแปลว่า "มีชีวิตนิรันดร์" หรือ "มีชีวิตอันตลอดไปเป็นนิตย์" (ข้อ 25 นี้เป็นหัวใจสำคัญของบทที่ 11 นี้)
** สำหรับข้อนี้ คือตายไปแล้วแต่จะฟื้นขึ้นในวันสุดท้าย และเป็นอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ หรือ "มีชีวิตอันตลอดไปเป็นนิตย์" (ข้อ 25 นี้เป็นหัวใจสำคัญของบทที่ 11 นี้)
** ในโลกนี้ และจักรวาลนี้มีผู้เดียวเท่านั้นที่ช่วยให้คนตายกลับมามีชีวิต และรับชีวิตพระเจ้า (โซเอ้ zoe) ที่ครบบริบูรณ์ ที่เป็นอยู่นิรันดร์ได้
11:26 และทุกคนที่มีชีวิตและเชื่อในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม"
** คำว่า "เชื่อในเรา" ในที่นี้ คือเชื่อ และยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เชื่อว่าพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้า (ที่เท่าเทียมกับพระบิดา) และเชื่อว่าพระองค์ลงมาตายเพื่อไถ่บาปโลก และผู้ที่เชื่อจะได้รับชีวิตพระเจ้า เขาได้บังเกิดใหม่ และมีพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเขา และเขาจะฟื้นขึ้นในวันสุดท้าย
** การได้รับชีวิตพระเจ้า คือโอกาสครั้งที่สอง และครั้งสุดท้ายที่พระเจ้าจะประทานแก่มนุษย์โลกซึ่งเป็นลูกหลานของอาดัมซึ่งอาดัมและมนุษย์ไม่มีโอกาสได้รับจากพระเจ้าจากต้นไม้แห่งชีวิต
11:27 มารธาทูลพระองค์ว่า "เชื่อ พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่จะเสด็จมาในโลก"
11:28 เมื่อเธอทูลดังนี้แล้ว เธอก็กลับไปและเรียกมารีย์น้องสาวกระซิบว่า "พระอาจารย์เสด็จมาแล้ว และทรงเรียกเจ้า"
11:29 เมื่อมารีย์ได้ยินแล้ว เธอก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์
11:30 ฝ่ายพระเยซูยังไม่เสด็จเข้าไปในเมือง แต่ยังประทับอยู่ ณ ที่ซึ่งมารธาพบพระองค์นั้น
11:31 พวกยิวที่อยู่กับมารีย์ในเรือนและกำลังปลอบโยนเธออยู่ เมื่อเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นและเดินออกไปจึงตามเธอไปพูดกันว่า "เธอจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์"
11:32 ครั้นมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์ประทับอยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์คงไม่ตาย"
11:33 ฉะนั้นเมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงคร่ำครวญร้อนพระทัยและทรงเป็นทุกข์
11:34 และตรัสถามว่า "พวกเจ้าเอาศพเขาไปไว้ที่ไหน" เขาทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด"
11:35 พระเยซูทรงพระกันแสง
11:36 พวกยิวจึงกล่าวว่า "ดูเถิด พระองค์ทรงรักเขาเพียงไร"
11:37 และบางคนก็พูดว่า "ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ"
พระเยซูที่อุโมงค์ฝังศพ เพื่อน ๆ ของมารีย์ได้กลับใจเสียใหม่
11:38 พระเยซูทรงคร่ำครวญร้อนพระทัยอีก จึงเสด็จมาถึงอุโมงค์ฝังศพ อุโมงค์ฝังศพนั้นเป็นถ้ำ มีศิลาวางปิดปากถ้ำเอาไว้
** คนที่จะรอด และได้เห็นการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ คือผู้เชื่อที่ยอมรับว่า 1.พระเยซูเป็นพระคริสต์ (ผู้ที่ถูกเจิม/เลือกไว้ให้มาตายเพื่อไถ่บาปโลก) และ 2.พระบุตรของพระเจ้า (ผู้ที่มาจากพระเจ้า มีฐานะเท่าเทียมกับพระเจ้าหรือเป็นพระเจ้า)
11:39 พระเยซูตรัสว่า “จงเอาศิลาออกเสีย” มารธาพี่สาวของผู้ตายจึงทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ป่านนี้ศพมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าเขาตายมาสี่วันแล้ว”
** “จงเอาศิลาออกเสีย” คือหน้าที่ของเราผู้ที่พระเจ้าจะใช้เพื่อปลดปล่อยผู้ที่ยอมแพ้หรือยอมจำนนต่อพระเจ้า พระคริสต์สั่งเราผู้ที่ได้พบมานาที่ซ่อนไว้แล้วเพื่อช่วยเอาหินที่ปิดอุโมงค์ออก คนที่เรียนรู้หรือรับบทเรียนฝ่ายวิญญาณนี้อยู่ คือลาซารัสในเรื่องนี้
11:40 พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าก็จะได้เห็นสง่าราศีของพระเจ้า"
** เนื่องจากว่ามนุษย์ย่อมเชื่อในสิ่งที่ตามองเห็น และความเป็นไปได้ด้วยเหตุและผล แต่พระเจ้าทำในสิ่งที่เหนือเหตุและผล ขอเพียงแค่เราเชื่ออย่างตายใจ วางใจว่าพระองค์ทำได้ พระเจ้ากะทำให้
11:41 พวกเขาจึงเอาศิลาออกเสียจากที่ซึ่งผู้ตายวางอยู่นั้น พระเยซูทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า "ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงโปรดฟังข้าพระองค์
11:42 ข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงฟังข้าพระองค์อยู่เสมอ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ประชาชนที่ยืนอยู่ที่นี่ เพื่อเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา"
11:43 เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว จึงเปล่งพระสุรเสียงตรัสว่า “ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด”
** พระเจ้าไม่นำเราออกมาจากความตายฝ่ายเดียว แต่ทรงเรียกออกมาและเราเป็นคนเดินออกมาจากความเชื่อเก่าและจากชีวิตที่ตายแล้ว พระเจ้าจะไม่บังคับเรา แต่ให้สิทธิเสรีภาพเรา
** พระเยซูทรงช่วยเราจากชีวิตที่ตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมามีชีวิตใหม่ เป็นชีวิตที่จะตายไม่ได้อีก (คือชีวิตพระเจ้า ที่เข้ามาอยู่ในเรา)
** พระเยซูต้องรอให้ลาซารัสตายถึงสี่วัน เพื่อจะไม่มีใครอ้างว่าเขาฟื้นขึ้นมาเอง เนื่องจากว่าประเทศอิสราเอลในอดีตมีคนที่ตายสามวันและฟื้นได้ ทุกคนที่ได้เห็นเหตุการณ์จึงยอมรับพระเยซูทำให้เขาฟื้นขึ้นจากตายอย่างแท้จริง
** พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีชีวิตและเพื่อรับชีวิตที่ครบบริบูรณ์จากต้นไม้แห่งชีวิต แต่ความตายมาจากการไม่เชื่อฟังและออกจากแผนการงานของพระเจ้า พระเจ้านำเรากลับมามีชีวิตอีกครั้งและรับอย่างครบบริบูรณ์ในพระคริสต์ คือการเรียกเราออกมาจากความตายและทุกสิ่งที่อยู่ในความตาย คือชีวิตเก่า ชีวิตในเนื้อหนัง การกระทำ การทำดี การรับใช้ การนมัสการพระเจ้า ทุกสิ่งต้องไม่มีส่วนในชีวิตที่ตายแล้ว เมื่อเรารับการเปิดตาให้เข้าสู่ชีวิตและหลุดพ้นจากการกระทำที่ตายแล้ว เราจึงอยู่กับพี่น้องที่ยังอยู่ในความตายไม่ได้อีกต่อไป และพระวิญญาณจะนำเราให้มาถึงคริสตจักรที่มีชีวิตอยู่ไม่ช้าก็เร็ว
11:44 และผู้ตายนั้นก็ออกมา มือและเท้าถูกพันไว้ด้วยผ้าพันศพ และใบหน้าของเขาได้ถูกพันไว้ด้วยผ้าเช็ดหน้า พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงแก้ผ้าพันจากเขา และปล่อยเขาไปเถิด”
** ผู้ที่ถูกเปิดตาแล้วควรทำหน้าที่ช่วยพี่น้องที่อยากหลุดพ้นจากชีวิตที่ตายแล้ว การแก้ผ้าพันศพ คือเปิดตาเขาด้วยพระคำล้ำลึก
11:45 แล้วหลายคนในพวกยิวซึ่งมาหามารีย์ และได้เห็นสิ่งเหล่านั้นซึ่งพระเยซูทรงกระทำ ก็เชื่อในพระองค์
11:46 แต่บางคนในพวกเขาไปตามทางของตนยังพวกฟาริสี และเล่าให้คนเหล่านั้นฟังว่า พระเยซูได้ทรงกระทำสิ่งใดบ้าง
** การอัศจรรย์ คือสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าใช้เพื่อมนุษย์จะได้เห็นสง่าราศรีของพระองค์และเชื่อในพระองค์ แต่เราไม่ควรใช้การอัศจรรย์เป็นหลักในการประกาศข่าวประเสริฐและนมัสการเหมือนอย่างคริสตจักรมากมายทุกวันนี้ทำอยู่ เราไม่ควรเน้น ย้ำ พูดถึงมากจนเกินไป และสิ่งที่เราควรยึดเป็นหลักคือพระเยซู
พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกฟาริสีหาโอกาสที่จะฆ่าพระเยซูเสีย
11:47 ฉะนั้นพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วว่า "เราจะทำอย่างไรกัน เพราะว่าชายผู้นี้ทำการอัศจรรย์หลายประการ
11:48 ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ คนทั้งปวงจะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมก็จะมาริบเอาทั้งที่และชนชาติของเราไป"
11:49 แต่คนหนึ่งในพวกเขา ชื่อคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "ท่านทั้งหลายไม่รู้อะไรเสียเลย
11:50 และไม่พิจารณาด้วยว่า จะเป็นประโยชน์แก่เราทั้งหลาย ถ้าจะให้คนตายเสียคนหนึ่งเพื่อประชาชน แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ"
** เมื่อมีการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเกี่ยวกับฝ่ายศาสนาและอะไรก็ตาม ข่าวจะต้องไปถึงนายทหารโรมันอย่างแน่นอน และในที่สุดความเดือดร้อนก็จะมาถึงชาวยิว และนี้คือสิ่งที่ผู้นำชาวยิววิตกอย่างมากเมื่อพระเยซูมีผู้ติดตามมากขึ้นเนื่องจากว่าพระองค์ทรงทำการอัศจรรย์อย่างมากมาย ทำให้ผู้คนติดตามพระองค์ไปทุกแห่งหน เพราะฉนั้นการกำจัดพระเยซูคือทางออกที่ดีที่สุด การที่ผู้นำยิวกลัวว่าพระเยซูจะเป็นเหตุให้ความพินาศมาถึงชาติยิว เป็นหนึ่งในอีกหลายเหตุผล ทั้งเรื่องกลัวพระเยซูจะมาเป็นใหญ่และกำจัดพวกเขา กลัวว่าพวกตนจะสูญเสียผลประโยชน์ ฯลฯ
11:51 เขามิได้กล่าวอย่างนั้นตามใจชอบ แต่เพราะว่าเขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น จึงพยากรณ์ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์แทนชนชาตินั้น
11:52 และมิใช่แทนชนชาตินั้นอย่างเดียว แต่เพื่อจะรวบรวมบุตรทั้งหลายของพระเจ้าที่กระจัดกระจายไปนั้น ให้เข้าเป็นพวกเดียวกัน
** การวางแผนฆ่าพระเยซูแท้ที่จริงแล้ว คือแผนการงานของพระเจ้าเพื่อมาตายไถ่บาปพวกเขา และชาวยิวที่กระจัดกระจายไป และมนุษย์ทุกชาติทั่วโลก (ยอห์น 3:16)
11:53 ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาทั้งหลายจึงปรึกษากันจะฆ่าพระองค์เสีย
11:54 เหตุฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จในหมู่พวกยิวอย่างเปิดเผยอีก แต่ได้เสด็จออกจากที่นั่นไปยังถิ่นที่อยู่ใกล้ถิ่นทุรกันดาร ถึงเมืองหนึ่งชื่อเอฟราอิม และทรงพักอยู่ที่นั่นกับพวกสาวกของพระองค์
** เนื่องจากว่ายังไม่ถึงเวลาที่พระองค์จะต้องตาย และเพื่อหลบหนีจนกว่าความวุ่นวายจะสงบลง พระเยซูจึงทรงเสด็จไปอยู่ที่เมืองเอฟราอิมกับเหล่าสาวกของพระองค์
11:55 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยิวแล้ว และคนเป็นอันมากได้ออกจากหัวเมืองนั้นขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อจะชำระตัว
** เทศกาลปัสกา คือเทศกาลผ่านเลยไป ผ่านไป (Passover) เพื่อฉลองและขอบพระคุณพระเจ้าที่ไว้ชีวิตบุตรชายคนโตของชาวยิวที่อียิป
** ทุกครั้งที่ชาวยิวมาฉลองเทศกาลปัสกา พวกเขาต้องทำพิธีชำระให้ปราศจากมลทินก่อนเพื่อฉลองและกินขนมปังได้ โดยคนเลวีจะฆ่าแกะถวายแด่พระเจ้า และชำระคนทั้งหลายของพวกเขา (2 พงศาวดาร 30:17-18)
** เราขอบพระคุณพระเยซูที่เราอาศัยพระโลหิตของพระองค์เพื่อได้หลุดพ้นจากการพิพากษา และได้เข้ามาหาพระเจ้าโดยทางพระโลหิต เราผู้ที่ได้รับการเปิดตาพบว่าพระโลหิตมีค่าสี่ประการ ซึ่งมากกว่าที่เรารู้ในเมื่อก่อน
11:56 เขาทั้งหลายจึงแสวงหาพระเยซู และเมื่อเขาทั้งหลายยืนอยู่ในพระวิหารเขาก็พูดกันว่า "ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร พระองค์จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาลนี้หรือ"
11:57 ฝ่ายพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสีได้ออกคำสั่งไว้ว่า ถ้าผู้ใดรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มาบอกพวกเขาเพื่อจะได้ไปจับพระองค์