5:1 เหตุฉะนั้นท่านจงเป็นผู้ประพฤติตามแบบของพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก
** คือพระคริสต์ดำเนินชีวิตในเราเพื่อสำแดงพระบิดา เราไม่สามารถดำเนินชีวิตตามแบบพระเจ้าได้อย่างแน่นอน
5:2 และจงดำเนินชีวิตในความรักเหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเรา และทรงประทานพระองค์เองเพื่อเราให้เป็นเครื่องถวาย และเครื่องบูชาแด่พระเจ้า เพื่อเป็นกลิ่นสุคนธรสอันหอมหวาน
** พระคริสต์ทรงถวายพระองค์เป็นเครื่องบูชาแด่พระบิดา เราจึงดำเนินชีวิตโดยเอาความรักอะกาเปเป็นหลัก อย่าทำสิ่งใดที่ปราศจากรัก เพราะว่าพระเจ้าจะไม่นับ (1 คร 13:1-3)
5:3 แต่การเอ่ยถึงการล่วงประเวณี การลามกต่าง ๆ และความโลภ อย่าให้มีขึ้นในพวกท่านเลยจะได้สมกับที่ท่านเป็นวิสุทธิชน
5:4 ทั้งอย่าพูดหยาบคาย พูดเล่นไม่เป็นเรื่อง และพูดตลกหยาบโลนเกเร ซึ่งเป็นการไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณดีกว่า
5:5 เพราะท่านรู้แน่ว่า คนล่วงประเวณี คนโสโครก คนโลภ ที่เป็นคนไหว้รูปเคารพ จะได้อาณาจักรของพระคริสต์ และของพระเจ้าเป็นมรดกก็หามิได้
** อาณาจักรเป็นของทุกคนที่พบพระคำล้ำลึก และข้อลึกลับในพระคัมภีร์ และฝึกเดินในวิญญาณ ฝึกชีวิตในแต่ละวัน คนที่ไม่พบมานาที่ซ่อนไว้อย่างแท้จริง และไม่ฝึกก็จะไม่ยอมเลิกทำบาป และเลิกไม่ได้ไปจนตาย เขาเหล่านั้นจึงไม่มีโอกาสได้เข้าไปในอาณาจักรเป็นมรดกที่กำลังจะมา
** พระเจ้าไม่ต้องการให้เรามีหุ้นส่วนกับคนที่ไม่เชื่อ เนื่องจากว่า 1. ความเชื่อ พระ ไม่เหมือนเรา 2. จิตใจที่มีความอิจฉา โลภ ฉ้อโกงได้ง่ายๆ ไม่เหมือนเราเหล่าบุตรพระเจ้า
5:6 อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยคำที่ไม่มีสาระ เพราะการกระทำเหล่านั้นเอง พระเจ้าจึงทรงลงพระอาชญาแก่บุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง
** คำที่ไม่มีสาระ หรือคำที่จะทำให้เราสูญเสียประโยชน์
** บุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง คือบรรดาคนที่ไม่เชื่อ
5:7 เหตุฉะนั้นท่านอย่าคบหาสมาคมกับคนเหล่านั้นเลย
** คบหาสมาคม ในที่นี้ คือไม่สนิทชิดเชื้อ ไม่ใกล้ชิด ไม่ร่วมมีหุ้นส่วนอะไรกับเขา เพราะเราถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อการดี เพื่อถวายเกียรติแด่พระบิดา ขณะที่ชาวโลกมีเป้าหมายการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมือนผู้เชื่อ
5:8 เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง
** "เป็นความมืด" หรืออยู่ในความมืด คือเป็นและอยู่ในอาดัม ไม่ว่าเราจะทำดีมากมายแค่ไหน สำหรับพระเจ้า ทรงเรียกว่าฝ่ายความมืด
** "เป็นความสว่าง" คือการอยู่ในวิญญาณ อยู่ในพระคริสต์ และอยู่ในความจริงของพระเจ้า (ในพระคริสต์) อย่างเช่น เราตายต่อตัวเก่าแล้ว เป็นคนใหม่แล้ว ชอบธรรมแล้ว อยู่ในอาณาจักรของพระบุตรแล้ว ฯลฯ
5:9 (ด้วยว่าผลของพระวิญญาณคือ ความดีทุกอย่าง และความชอบธรรมทั้งมวล และความจริงทั้งสิ้น)
** ผลของพระวิญญาณ คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการเก็บเกี่ยวจากเราผ่านเรา ซึ่งเป็นผลแห่งความสว่าง ไม่ใช่ผลของอาดัมหรือผลดี / ชอบธรรม / บริสุทธิ์แห่งความมืด
5:10 ท่านจงพิสูจน์ดูว่า ทำประการใดจึงจะเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า
** พิสูจน์ ในที่นี้ คือเมื่อสะสมมานาที่ซ่อนไว้อย่างมากมายเราจึงสามารถพิสูจน์ได้ว่าน้ำพระทัยของพระบิดาคืออะไร
5:11 และอย่าเข้าส่วนกับกิจการของความมืดอันไร้ผล แต่จงติเตียนกิจการเหล่านั้นดีกว่า
** กิจการของความมืด คืออะไรก็ตามไม่ว่าดีหรือไม่ดีที่เป็นศาสนา อยู่ในอาดัม ที่คริสเตียนศาสนามากมายทำดีกันอยู่ทุกวันนี้ พระเจ้ามองว่า ไร้ผล คือไม่มีพระพร บำเหน็จและผ่านไฟแห่งการทดลองในวันสุดท้ายไม่ได้ (1 คร 3:12-15)
5:12 เพราะว่าแม้แต่จะพูดถึงการเหล่านั้น ซึ่งพวกเขากระทำในที่ลับก็ยังเป็นที่น่าละอาย
** คือการพูดและกระทำที่อยู่ในเนื้อหนัง ในอาดัม หรือในความมืด เราผู้เชื่อบังเกิดใหม่เพื่อพูดและกระทำในสิ่งที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเท่านั้น
5:13 แต่สิ่งสารพัดที่ถูกติเตียนแล้ว ก็จะปรากฏแจ้งโดยความสว่าง เพราะว่าทุก ๆ สิ่งที่ให้ปรากฏแจ้งก็คือความสว่าง
** บุตรพระเจ้ารักที่จะฟังคำตำหนิติเตือนจากผู้อื่นถึงแม้ว่าเราจะรู้มากกว่าเขาก็ตาม
5:14 เหตุฉะนั้นพระองค์ตรัสแล้วว่า ‘คนที่หลับอยู่จงตื่นขึ้น และจงฟื้นขึ้นมาจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน’
** หลับอยู่ / ตายแล้ว / อยู่ในความมืด / ปักใจอยู่ในความบาปและความตาย คือการดำเนินชีวิตอยู่ในเนื้อหนังในอาดัม คือการไม่นับว่าตายแล้วและเป็นคนใหม่ และสนิทในพระคริสต์ด้วยการพูดคุยสนทนากับพระองค์
5:15 เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา
** "ไร้ปัญญา" คือเดินด้วยตัวเก่า มีปัญญาคือนับและสนิทในพระเยซูทุกวันทุกเวลา
5:16 จงฉวยโอกาสเพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว
** ฉวยโอกาส เพื่อเดินในความสว่างหรือเดินในพระคริสต์ในคนใหม่คนนี้
** ทุกวันนี้คือการชั่วช้า (the days evil) คือมนุษย์ไร้คุณธรรมความดีงามความรักความชอบธรรมยุติธรรม ไม่มีเมตตา ซึ่งเป็นผลที่ได้มาจากการอยู่ในความมืด หรือเป็นความมืดนั่นเอง
5:17 เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร
** น้ำพระทัยพระเจ้า คือการดำเนินชีวิต และการรับใช้ในพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์ และเพื่อพระคริสต์ (เท่านั้น)
- เราจะอยู่ในพระคริสต์ไม่ได้ ถ้าหากเราไม่รู้ว่าตัวเก่าเราตาย ตัวใหม่เราเป็นอยู่ และนับทุกวัน
- เราจะอยู่ร่วมกับพระคริสต์ไม่ได้ ถ้าหากเราไม่รู้ว่าตัวเก่าเราตาย ตัวใหม่เราเป็นอยู่ และนับทุกวัน
- เราจะอยู่เพื่อพระคริสต์เท่านั้นไม่ได้ ถ้าหากเราไม่รู้ว่าตัวเก่าเราตาย ตัวใหม่เราเป็นอยู่ และนับทุกวัน
5:18 และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ
** เนื่องจากว่าประเทศอิสราเอลแห้งแล้ง เขาดื่มเหง้าองุ่นต่างน้ำหลังอาหาร แต่เหล้าองุ่นของชาวยิวจะมีแอลกอฮอล์น้อยมาก คือไม่ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ ชาวยิวมีโอกาสที่จะดื่มจนเมาเพราะลืมตัว เปาโลหนุนใจผู้เชื่ออย่าเมา แต่จงเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ
** การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณมีสองแบบ คือเต็มล้นภายในและเต็มล้นภายนอก
- เต็มล้นภายใน คือเต็มล้นด้วยชีวิตพระคริสต์ เพื่อชีวิตส่วนตัวจะมีพลัง มีกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิตเพื่อเอาชนะตัวบาป (กฎแห่งความบาปและกฎแห่งความตาย) ที่อยู่ในเนื้อหนังเรา และมีสันติสุขมากมายเพื่อเผชิญกับปัญหาทุกชนิดที่เข้ามาได้
- เต็มล้นภายนอก คือเต็มล้นด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อคริสตจักร เพื่อการรับใช้ เพื่อการใช้ของประทาน
5:19 จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการและเพลงฝ่ายวิญญาณ คือร้องเพลงสรรเสริญและสดุดีจากใจของท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
** จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการและเพลงฝ่ายวิญญาณ คือพูดตามบทเพลงที่ร้อง จะหลังร้องหรือก่อนร้องก็ได้ตามสะดวก
** เพลงฝ่ายวิญญาณ คือเน้นที่ยกย่องสรรเสริญขอบพระคุณพระเจ้า และการสนิทบอกรักอยู่ในสภาพของคนใหม่และอยู่ในพระคริสต์ (นี่คือเพลง..ฝ่าย..วิญญาณ)
5:20 จงขอบพระคุณพระเจ้าคือพระบิดาสำหรับสิ่งสารพัดเสมอ ในพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
** ผู้เชื่อมากมายขอบพระคุณพระเจ้าเมื่อได้รับสิ่งดีๆเข้ามา แต่ไม่ขอบพระคุณเมื่อไม่ได้รับสิ่งดีๆเข้ามา แต่เราผู้เชื่อที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เรารู้ดีว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งดีและไม่ดี ก็เพื่อการก่อขึ้นของพระเจ้าในเราจะสำเร็จ เราจึงขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่ง
5:21 จงยอมฟังกันและกันด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า
** ผู้ชนะควรยอม รับฟัง หรือให้เวลา เพื่อรับฟังผู้อื่นที่ต้องการจะพูด หรือหนุนใจ แนะนำออกความคิดเห็น เราไม่ปิดประตู คิดว่ารู้แล้ว ดีแล้ว ได้แล้ว ครบแล้ว
5:22 ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตนเหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า
5:23 เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของกายนั้น
5:24 เหตุฉะนั้นคริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาก็ควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น
5:25 ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร
** พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรมากฉันใด สามีจึงควรรักภรรยาของตนมากฉันนั้น และภรรยาควรยอมฟังสามี เหมือนสามีฟังพระคริสต์ฉันนั้น
** ถ้าหากสามีไม่โตในชีวิตฝ่ายวิญญาณ ภรรยาที่โตก็ต้องยอมฟังสามี เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ หรือถ้าหากภรรยายังเด็กในความเชื่อ สามีก็ต้องเห็นใจเธอ
5:26 เพื่อพระองค์จะได้ทรงแยกตั้งไว้ และชำระคริสตจักรนั้นให้บริสุทธิ์ โดยการล้างด้วยน้ำโดยพระวจนะ
** การชำระด้วยพระคำของพระเจ้ามากขึ้นๆ จะช่วยให้ผู้เชื่อเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลง มากยิ่งขึ้น เมื่อเราฝึกเดินในความสว่าง (ความจริงของพระเจ้า-ในพระคริสต์) การฝึกเดินในความสว่าง คือเชื่อว่าเราเต็มล้นภายในแล้ว เราใหม่แล้ว และอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเรายอมฟังกันและกันได้ ยอมฟังสามีภรรยาได้
5:27 เพื่อพระองค์จะได้ทรงมอบคริสตจักรที่มีสง่าราศีแด่พระองค์เอง ไม่มีจุดด่างพร้อย ริ้วรอย หรือมลทินใด ๆ เลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ
** คริสตจักรที่มีสง่าราศี คือคริสตจักรผู้ชนะที่แสวงหาชีวิต เน้นชีวิตทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตการนมัสการและการรับใช้ร่วมกัน
5:28 เช่นนั้นแหละ สามีจึงควรจะรักภรรยาของตนเหมือนรักกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตนเอง
** สำหรับพระเจ้า สามีและภรรยาเป็นคนเดียว ไม่ใช่สอง เพราะเขาเป็นหนึ่งเดียว
5:29 เพราะว่าไม่มีผู้ใดเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอม เหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำแก่คริสตจักร
** ผู้เชื่อมากมายคิดไม่ถึงว่าพระเยซูรักคริสตจักรของพระองค์มากมายแค่ไหน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคริสตจักร คนน้อย ปัญหาสารพัด แต่พระองค์ก็รักมากและเตรียมแผนงานของพระองค์เพื่อช่วยคริสตจักร แต่ปัญหาคือเราเองไม่รู้และละทิ้งคริสตจักรไป
5:30 เพราะว่าเราเป็นอวัยวะแห่งพระกายของพระองค์ แห่งเนื้อหนังของพระองค์ และแห่งกระดูกของพระองค์
5:31 ‘เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะจากบิดามารดาของเขา และจะไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน’
5:32 ข้อนี้เป็นข้อลึกลับที่สำคัญมาก แต่ว่าข้าพเจ้าพูดถึงพระคริสต์กับคริสตจักร
** ถึงแม้ว่าเปาโลจะยกตัวอย่างและสั่งสอนเรื่องสามี-ภรรยา ก็ตามแต่แท้ที่จริงท่านต้องการเน้นเรื่องพระคริสต์และคริสตจักร ผู้เชื่อมากมายจึงใช้พระคำบทนี้เพื่อสั่งสอนสามีภรรยาแต่ไม่เน้นที่พระคริสต์และคริสตจักร
5:33 ถึงอย่างไรก็ดี ท่านทุกคนจงต่างก็รักภรรยาของตนเหมือนรักตนเอง และภรรยาก็จงยำเกรงสามีของตน