เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์นำเรามาสู่ยุคพระคุณและใช้ชีวิตอย่างเบาสบาย เราขอบพระคุณพระเจ้าที่เมื่อก่อนเรายังมาไม่ถึง พระเจ้าเริ่มยุคพระคุณ แต่คริสเตียนอย่างตกค้างยังอยู่ในยุคพระบัญญัติ เรานึกภาพออกไหมครับ เราอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ เรารักษาพระบัญญัติ เรายังรักเคารพพระบัญญัติ 10 ประการ ทั้งๆ ที่พระเยซูยกเลิกทุกสิ่งให้เหลือแค่ 2 ประการ 2 ข้อ
และการใช้ชีวิตที่ชอบธรรมบริสุทธิ์อยู่ด้วยความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และอยู่บนพื้นฐานของชีวิตและนิสัยของพระเยซู คือมันจะครอบงำพระบัญญัติกฎเกณฑ์ทั้งหมด เป็นชีวิตที่เบาสบายมาก แต่น่าเสียดายที่ผู้เชื่ออีกมากมายยังมาไม่ถึง คือยังช้า ยังช้าอยู่ ยังเดินยังใช้ชีวิตอยู่ในยุคพระบัญญัติ
เราสรรเสริญพระเจ้าเราขอบพระคุณพระเยซูที่พระองค์เมตตาเราทั้งหลายให้มาถึงจุดนี้ เราเป็นหนึ่งในผู้เชื่อไม่มากที่พระองค์เลือก เพื่อให้เข้าสู่สง่าราศี เข้าสู่ชีวิตที่บริสุทธิ์ชอบธรรมโดยพระคริสต์ พระคริสต์นะครับไม่ใช่โดยเรา เราสรรเสริญพระเจ้าเราขอบคุณพระเยซูเรารักพระเยซู
สำหรับเรื่องการรับพระคำล้ำลึก การรับอาหารผู้ใหญ่ ข้อแรกนะครับไม่ใช่บังเอิญ ไม่ใช่บังเอิญ และไม่ใช่ทุกคนที่พอได้ยินได้อ่านได้ฟังแล้วจะรับได้ เรารู้ดีนะครับ ต้นเหตุคือพระวิญญาณบริสุทธิ์พระเจ้าเป็นผู้เลือกสรร สรรเสริญพระเยซู
เราเป็นหนึ่งในผู้ที่พระเจ้าเลือกสรร เพื่อให้เกิดผลไม่มากก็น้อย จุดประสงค์พระประสงค์ของพระเจ้าก็คือเพื่อนำเราเข้าสู่กระบวนการทั้งหลาย จนสุดท้ายเรามาถึงผู้ชนะ ไม่ใช่ผู้ชนะวันหนึ่ง ก็เป็นผู้ชนะสิบปี ไม่ใช่ผู้ชนะเล็กน้อย ก็เป็นผู้ชนะผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก็ต้องเป็นผู้ชนะเพื่อเข้าในอาณาจักรของพระองค์ และร่วมครอบครองกับพระเยซู พระองค์ต้องการรัฐบาลชุดหนึ่งเพื่อปกครองครอบครองอาณาจักรของพระองค์ชั่วนิรันดร์ คุณเป็นหนึ่งในนั้นนะครับ
เรื่องความเข้าใจผิด เรื่องความไม่เข้าใจ เรื่องการรับได้ รับไม่ได้ มารับดีใจตื่นเต้นบอกว่าโอ้..ได้รับการเปิดตาแล้ว จริงๆ แล้วเนี่ยถ้าเขาออกไปถ้าเขากลับไป ถ้าเขาแว้งกลับมา แล้วก็มาทำร้ายทำลาย หรือพูดในแง่ลบเกี่ยวกับเรื่องพระคำล้ำลึกของพระเจ้า โดยที่เขาอาจจะมีเหตุผล อันแรกก็คือ รับการเปิดตาไม่หมด อาจจะรับการเปิดตาเล็กน้อย แล้วก็ดีใจมากได้เห็นความรู้ใหม่ๆ เห็นสิ่งที่ช่วยให้เขาได้อยู่ในความสงบสุขของพระเจ้า ไม่กลัวพระเจ้า ไม่กลัวว่าพระเจ้าจะไม่ยกโทษให้ และได้เห็นบทเรียนที่ดีมีค่ามากมาย
แต่มาถึงจุดที่เขาสะดุด เห็นกลุ่มพวกเราอาจจะมีความรักมีการช่วยเหลือที่ไม่เหมือนโบสถ์ทั่วๆ ไป เขาก็สะดุดเพราะว่าเขาเคยอยู่ในสังคมเคยอยู่ในประสบการณ์ชีวิตคริสเตียนแบบนั้น
สำหรับกลุ่มมานาพวกเราไม่มีการช่วยเหลือที่เป็นในลักษณะที่ต้องใช้เงินเยอะ เราไม่มีทุนนะครับ เราไม่มีการช่วยเหลือในที่ที่ทำได้ตามรูปแบบนั้น คือเราทำตามขนาดของความเชื่อของแต่ละคนในกลุ่มพวกเรา และเราทุกคนตอนนี้อยู่ในกระบวนการ อยู่ในการก่อขึ้นของพระเจ้า ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มารับมานาแล้วจะดำเนินชีวิตที่เพอร์เฟค
เพราะฉะนั้นคริสเตียนเหล่านี้จึงเข้ามาค้นหาความพร้อม ดีพร้อม ความเพอร์เฟคของพวกเรา การช่วยเหลือก็ต้องทำดีมากๆ ต้องช่วยได้ทุกคน ต้องไปเสนอว่าอยากช่วยคนนู้นคนนี้
คือเราไม่ได้ทำในลักษณะแบบนี้เป้าหมายของเรานะครับ พระเจ้าก่อตั้งพวกเราให้มีการช่วยเหลือบ้าง ก็พอได้ตามขนาดของความเชื่อ และให้ดำเนินชีวิตและนิสัยของพวกเราที่สำแดงพระคริสต์ ก็ตามขนาดของความเชื่อ
เพราะฉะนั้นเราทำได้เท่าที่เราทำได้ และพี่น้องที่จะสะดุดนะครับขอให้คิดก่อนนะครับ อย่าสะดุดส่วนบุคคล อย่าสะดุดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เมื่อพระคำล้ำลึกของพระเจ้าที่พระเจ้าถ่ายทอดผ่านเปาโลมาถึงผู้เชื่อ ผู้นำ ผู้รับใช้มากมายหลายคน แน่นอนครับเขาทั้งหลายก็อยู่ในกระบวนการ การก่อขึ้นของพระเยซู ยังไม่มีใครเพอร์เฟค จนถึงวันที่เพอร์เฟคก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตของแต่ละคน และเราเองก็ขอบคุณพระเจ้าที่เรามาไกลแล้ว
เราได้เห็นแล้ว เราเห็นสันติสุขทุกวันเวลา เรามีความสงบสุขของหัวใจของจิตใจของเรา เรามี peace แล้ว รักพระเจ้ามากแล้ว เข้าใกล้พระเจ้าได้มากแล้ว สนิทในพระเยซูมากแล้ว
คือจริงๆ ผมอยากจะบอกพวกเรา คำสอนที่เป็นอาหารผู้ใหญ่ ที่เรียกว่าพระคำล้ำลึกหรือที่เรียกว่ามานาที่ซ่อนไว้ เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ เป็นความรู้ที่พอใครได้เรียนรู้ ได้สะสมมามากมาย ก็จะพบว่าเขามีความรู้มากกว่าผู้นำในคริสตจักรทั้งหลายทุกวันนี้ ผู้นำมากมายไม่สามารถตอบคำถามที่เราจะถามเขาได้ ไม่สามารถตอบคำถาม ไม่สามารถเข้าใจ มีความเข้าใจไม่ถึงพระคำของพระเจ้าในหลายๆ ที่หลายแห่งหลายข้อ อันนี้ผมไม่ต้องถามว่าผมพูดถูกมั้ย เรารู้กันดี
พอเรามาถึงมานา คือความรู้ทั้งหลายที่ผมได้เรียนรู้มา 5 ปีที่มหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้ดูถูกนะครับ แต่คือสิ่งเหล่านั้นเป็นเนื้อหนัง สิ่งเหล่านั้นเป็นความรู้ความคิดที่มาจากความคิดของมนุษย์ สติปัญญาของมนุษย์ และความเข้าใจผิดโดยรับเชื้อยีสต์ และปรุงแต่งเป็นอาหารเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และนำไปแบ่งปัน ไปป้อนคริสตจักรทั้งหลาย จนทำให้กลายเป็นศาสนาคริสต์โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขาบอกว่าเขาอยู่ใต้พระคุณ แต่เขาอยู่ใต้พระบัญญัติ เขาบอกว่าเขาอยู่ในความรักความดูแลของพระเจ้า แต่จริงๆ แล้วเขาอยู่นอกพระคุณของพระเจ้า เป็นชีวิตที่น่าสงสาร
และมีพี่น้องบางคนก็เพิ่งจะเข้าสู่มานา หรือถ้าจะเรียกว่าเพิ่งจะเข้าก็ได้ 2-3 ปี 4 ปี พอรับก็ดีใจ ก็ชันสูตร ก็พิจารณา ค้นหาจุดบกพร่อง แทนที่จะรับเอาสิ่งที่ดีๆ แล้วก็เอาไปฝึกใช้ฝึกเดินให้เข้าสู่ชีวิตผู้ชนะ แต่เขากลับมาหาสิ่งที่เป็นจุดบกพร่อง แล้วก็เข้าๆ ออกๆ ก็คือเข้ามาแล้วก็เห็นว่าไม่ดีก็ออกไปแล้วก็โจมตี แล้วปรากฏว่าต่อมาไม่นานน่าจะเป็นการดลบันดาลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็สำนึกก็กลับเข้ามาใหม่ กลับเข้ามาใหม่ ขอโทษแล้วก็กลับเข้ามาใหม่ อยู่กับพวกเราได้ไม่นานเขาก็ค้นหาอีกว่ามีจุดบกพร่องอะไรบ้าง คือมองใช้ตาที่เป็นด้านลบ ไม่มองบวกนะครับ สุดท้ายก็ออกไปอีก
แต่สำหรับเรา สำหรับพี่น้องที่เข้าๆ ออกๆ และมีอาการแบบนี้ คือเราไม่ได้ลงโทษนะครับ เราก็ต้องหักห้ามก่อน เราก็ต้องให้อยู่ข้างนอกไปก่อน อยู่ไปก่อนไม่ต้องเข้ามา คือเรารักเขาเราอธิษฐานเผื่อเขา แต่จนถึงวันเวลาที่เขายอมจำนนต่อพระเจ้า ยอมจำนนต่อพระเจ้า แล้วยอมรับว่าโอเคอันนี้คือสิ่งที่ดีที่มาจากพระเจ้าจริงๆ เราจึงต้อนรับเข้าใหม่ แต่ตอนนี้ถ้าเขาขอเข้ามาอีกเราไม่ต้อนรับแล้วนะครับ จนกว่าจะถึงเวลาของพระเจ้า
แล้วบางคนก็พูดถึงเรื่องกฎเกณฑ์ ทำไมกลุ่มมานาฯ หลุดพ้นจากกฎเกณฑ์ หลุดพ้นจากพระบัญญัติแล้ว แต่ทำไมยังมีกฎเกณฑ์อีกเยอะ นี่คือความเข้าใจผิดอีกเรื่องหนึ่งนะครับ เรื่องการอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์หรือไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ อยู่ภายใต้พระบัญญัติหรือไม่ได้อยู่ภายใต้พระบัญญัติ ขอให้เราเข้าใจตรงนี้นะครับ
เรื่องการอยู่ใต้พระบัญญัติ เราขอบพระคุณพระเจ้าที่ทุกวันนี้เราอยู่เหนือพระบัญญัติแล้ว เราไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติ แต่เราอยู่เหนือพระบัญญัติ มันคืออะไร คำว่าอยู่เหนือพระบัญญัติ
ขอบคุณพระเจ้าเราได้รับการเปิดเผย เราได้รับการเปิดตาแล้วว่าทุกวันนี้ ตัวเก่าเนื้อหนังมนุษย์อาดัมของเราตายแล้วที่กางเขน ขอบคุณพระเยซู
จากนั้นตอนนี้เราเป็นคนใหม่แล้ว และเราคนใหม่คนนี้ ไม่ได้มีชีวิตอยู่โดยตัวเราเอง โดยเราเองที่เป็นคนมีชีวิตอยู่ แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในเรา ขอบคุณพระเยซูสำหรับการเปิดตานี้มีคุณค่ามากสำหรับชีวิตคริสเตียน เป็นหลักการ การดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเรา ก็คือข้าพเจ้าตายแล้วข้าพเจ้าถูกตรึงกับพระเยซูที่กางเขนแล้ว ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตประจำวันของเราจะอยู่บนพื้นฐานหลักการ การดำเนินชีวิตตามหนังสือกาลาเทียบทที่ 2 ข้อที่ 20
และเปาโลพูดโดยพระวิญญาณ เราไม่ถือวัน เดือน ปี หรือถือกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้นที่มนุษย์ตั้งขึ้น และมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่เรายังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นั้น ก็คือกฎเกณฑ์ของพระวิญญาณ อย่าลืมนะครับเราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของเนื้อหนังของมนุษย์ของความคิดสติปัญญาของมนุษย์ที่ก่อขึ้นตั้งขึ้น และอยู่ภายใต้พระบัญญัติเดิมอีกต่อไปแล้ว
แต่เราอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ปลุกเราให้ลุกขึ้น ตื่นนอนอธิษฐานวันไหนเราสะดวกเราไม่เหนื่อยตามขนาดของความเชื่อของเรา เราทำ เราชวนพี่น้อง (ถ้ามีใครจะเห็นด้วยกับผมไหมอยากร่วมกับผมไหม เราจะอธิษฐานเผื่อพี่น้องตอนนี้มีปัญหา เราตื่นนอน 5:00 น.) ถ้ามีพี่น้องบางคนเห็นบอกว่าเห็นด้วยอยากร่วมก็ร่วมนะครับ ถ้าพี่น้องบอกว่าไม่เห็นด้วยไม่อยากร่วมไม่สะดวก ก็ไม่ร่วมนะครับ คือเราทำตามขนาดของความเชื่อ นี่คือกฎแห่งพระวิญญาณ
เพราะว่าหลายคนที่เข้าสู่มานาฯ แล้วก็คิดว่าชีวิตอิสระมากๆ สบาย จะทำบาปก็ทำได้ อันนั้นไม่ใช่แล้วเป็นความเข้าใจผิดแล้วนะครับ
คือเมื่อเรามาถึงการเปิดตา เรามาเข้าสู่พระคำล้ำลึกของพระเจ้า แน่นอนครับเรามีพระคริสต์ทำแทนเรา พระบัญญัติต่างๆ เรียกว่าพระบัญญัติใหม่ ชีวิตของเราเบาสบายเพราะว่าพระเยซูเป็นคนทำให้ แต่การเกิดผลการสำแดงชีวิตและนิสัย แน่นอนครับจะเหนือกว่าฟาริสีและจารย์ และเหนือกว่าคริสเตียนศาสนาทั่วๆ ไปทุกวันนี้
พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสผ่านเปาโล เป็นไปได้หรอ ที่เมื่อพวกท่านเข้าสู่พระคริสต์แล้วจะใช้ชีวิตในบาปตามสบาย เป็นไปไม่ได้ ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายเข้าสู่บัพติสมาของพระเยซู ท่านทั้งหลายก็เข้าสู่การตายร่วมกับพระเยซูแล้ว และเมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย ฟื้นขึ้นมาจากความตาย ท่านทั้งหลายก็เข้าสู่ชีวิตใหม่ และเพื่อสำแดงชีวิตใหม่ ซึ่งชีวิตใหม่นี้ ชีวิตและนิสัยของพระเยซูยากกว่าชีวิตเก่า หนักกว่าชีวิตเก่า แต่มันเบาเพราะว่าพระเยซูเป็นคนทำไม่ใช่เราเป็นคนทำ สรรเสริญพระเยซู
เมื่อเรามีความเข้าใจตรงนี้ เราจะรู้ว่า อ๋อ เรายังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ แต่ไม่ใช่กฎเกณฑ์ของมนุษย์ ไม่ใช่กฎเกณฑ์ของอาจารย์.. หรือใครคนใดคนหนึ่งที่บอกว่าวันนี้ต้องอธิษฐาน พรุ่งนี้ต้องอ่าน ต้องอ่านพร้อมกัน ต้องไปโบสถ์ ต้องๆๆๆๆ นะครับ เมื่อมีคำว่าต้อง ก็คือไม่ใช่กฎเกณฑ์ของพระวิญญาณ ไม่ใช่แล้ว
คือพระวิญญาณบริสุทธิ์บอกเรานะครับว่า เราทำ เรารัก เราให้ เราอภัย เราแจกจ่าย เราช่วยเหลือ เมื่อเรามองดูความเชื่อของเรามีขนาดความเชื่อได้เท่าไหร่ เราก็ทำตามขนาดของความเชื่อของเราเท่านั้น
ขอบคุณพระเยซูสำหรับความเข้าใจ ขอบคุณพระเยซูสำหรับพระคำล้ำลึกและอาหารผู้ใหญ่ที่พระองค์เปิดตา เราได้พบการแปลที่ถูกต้อง เราดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างถูกวิธี เรานมัสการอย่างถูกวิธี เราอธิษฐาน เราอ่านพระคัมภีร์อย่างถูกวิธี เราทำทุกสิ่งตอนนี้ถูกวิธี ขอบพระคุณพระเจ้าเป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้อง และขอบพระคุณพระเจ้าที่รักษาเราไว้อยู่ในพระคำล้ำลึกนี้ และไม่ให้เราหนีไปไหน และไม่ให้เรามองลบ ไม่ให้เรามองหาจุดบกพร่องของบุคคล ของคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เราสรรเสริญพระเยซูชีวิตของเราจะมาถึงผู้ชนะอีกไม่ช้านี้
และพี่น้องคริสเตียนส่วนมากทุกวันนี้ศาสนาคริสต์ไม่เข้าใจเรื่องพระบัญญัติเป็นครู และพระบัญญัติพระเจ้าประทานให้ชนชาติอิสราเอลชั่วคราว ขอให้เข้าใจตรงนี้นะครับคำว่าชั่วคราว ชั่วคราวคือนานเท่าไหร่ ขอบพระคุณพระเจ้าที่หนังสือกาลาเทียบทที่ 3 พูดถึงคำว่าชั่วคราว คือ 430 ปี
นี่นะครับผมเมื่อก่อนก็เป็นผู้นำคริสตจักรคนหนึ่ง และผมก็เรียนรู้ชอบอ่านพระคัมภีร์ แต่ปรากฏว่าผมพลาดจนได้ และมีผู้นำอีกมากมาย คริสเตียนอีกมากมายที่พอมาอ่านถึงกาลาเทียบทที่ 3 และพบคำว่าพระเจ้าประทานพระบัญญัติเป็นเหมือนครู และพระบัญญัตินี้อยู่กับเรา 430 ปี และเมื่อพระเยซูเสด็จมาเราก็หลุดพ้นจากพระบัญญัติแล้ว เราไม่เข้าใจตรงนี้และไม่มีใครเข้าใจ จนกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดตาเราให้เข้าสู่อาหารผู้ใหญ่หรือพระคำล้ำลึกนี้
เราจึงรู้ว่า อ๋อ พระบัญญัติมาเป็นครู ก็คือมาเพื่อบอกเรา เพื่อสอนเรา เพื่อให้เราได้รู้ว่าพระบัญญัติพระเจ้าประทานเพื่อเป็นสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งที่สอนเราให้รู้ว่าไม่มีใครในโลกนี้ ไม่มีชีวิตอาดัมเนื้อหนัง ไม่มีคนใดคนหนึ่ง ไม่มีสักคนเดียวที่เป็นคนชอบธรรม ที่ดำเนินชีวิตในลักษณะชีวิตและนิสัยของพระเยซูของพระเจ้า ไม่มีใครเลยที่ทำได้ ไม่มี. นี่คือหน้าที่ของครู หน้าที่ของพระบัญญัติ
เรารู้กันดีนะครับไม่ต้องถามใครนะครับว่าพระบัญญัติยากหรือง่าย เราถามตัวเราเองสิ ตอนที่เราเป็นคริสเตียน ตลอดชีวิตที่เราเป็นคริสเตียนศาสนา เรารักษาพระบัญญัติได้มั้ย หรือแค่ใส่หน้ากาก หรือแค่แสดงละคร เราถามตัวเราเอง เราจะรู้ดี
เรารักพระเจ้าสุดจิตสุดใจหมดหัวใจหมดความคิด เราพูดได้นะครับ เราร้องเพลงได้ เราพูดกันในคริสตจักรของพระเจ้าได้ใช่มั้ย อาจารย์ก็เทศนาได้ สั่งสอนได้ พูดได้ รักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ แต่งเพลงร้องเพลงรักพระเจ้าหมดหัวใจให้พระเจ้าทั้งหมด แต่คุณทำได้มั้ย? ทำไม่ได้
ข้อที่สอง รักมนุษย์ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ขอบคุณพระเจ้าเราต้องรักกันและกันนะ รักซึ่งกันและกัน รักคนนู้นรักคนนี้ ต้องยกโทษให้เขานะ ต้องอภัย ต้องยกโทษ ต้องเห็นใจกันและกัน เข้าใจกัน ไม่ถือสา ไม่มีศัตรู จริงๆ แล้วเราทำได้มั้ย? ทำไม่ได้
แค่สองข้อก็บอกแล้วว่าไม่มีมนุษย์เนื้อหนังอาดัมคนไหนที่รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า หรือใช้ชีวิตและนิสัยที่สำแดงพระเจ้าได้ ไม่มี.
เพราะฉะนั้นเราขอบพระคุณพระเจ้ากาลาเทียบทที่ 3 เปิดเผยว่า พระบัญญัติเป็นเหมือนครู เป็นแค่ครู ไม่ใช่สิ่งที่จะมาเพื่อช่วยเรา เป็นครูสอนว่าคุณอ่อนแอนะ คุณตกต่ำ คุณเป็นเนื้อหนัง คุณถูกสาปแช่งแล้ว คุณทำอะไรไม่ได้เพื่อพระเจ้า ชีวิตของคุณยังไม่ครบบริบูรณ์ ไม่ครบถ้วน คุณยังไม่ได้รับชีวิต (Zoe โซเอ้) จากพระเจ้า คุณรักอากาเป้ไม่ได้ นี่นะครับคือหน้าที่ของพระบัญญัติ
พระบัญญัติอยู่กับชนชาติอิสราเอล และ 430 ปี ก็คือตั้งแต่พระสัญญาของพระเจ้าที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมใช้เวลา 430 ปี
จนมาถึงพระเยซูคริสต์ พระองค์นำพระสัญญาของพระเจ้าให้มาถึงผู้เชื่อทั้งหลาย และพระบัญญัติก็หมดหน้าที่ ครูคนนั้นก็หมดหน้าที่ไม่มีอีกแล้ว
และทุกวันนี้เราเข้าสู่ยุคพระคุณของพระเจ้า ขอบคุณพระเยซูที่ทุกวันนี้เราไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติ แต่เราอยู่เหนือพระบัญญัติ ขอบคุณพระเยซูที่เราไม่ต้องทำอะไร แต่พระองค์เป็นคนกระทำให้ เรายอมให้พระองค์ใช้อวัยวะของเรา อวัยวะที่เป็นขึ้นมาจากความตายนี้ ไม่ใช่อวัยวะตัวเก่า โรม 6:11
จงถวายอวัยวะของท่านให้ความชอบธรรมเป็นคนใช้ท่าน เหมือนคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ก็คือพูดง่ายๆ คำที่ผมใช้บ่อยๆ ก็คือถวายตัวใหม่ ก็มาจากโรมบทที่ 6:11-13
ขอย้ำอีกครั้งว่าหนังสือกาลาเทีย และโดยเฉพาะหนังสือกาลาเทียบทที่ 3 มีคุณค่ามากสำหรับเราทั้งหลายเกี่ยวกับเรื่องพระบัญญัติ พระบัญญัติเป็นสิ่งชั่วคราวที่เป็นเหมือนครู เพื่อให้ชาวยิวเข้าใจว่าเนื้อหนังอ่อนแอตกต่ำ ไม่อาจดำเนินชีวิตตามแบบของพระเจ้าที่มาในรูปแบบของพระบัญญัติได้ พวกเขาต้องยอมรับและยอมจำนนต่อพระเจ้าและหันมาพึ่งพระเจ้าเพื่อการรักษาพระบัญญัติ เราไปดูที่กาลาเทียบทที่ 3:24 ที่พูดถึงเรื่องพระบัญญัติเป็นเหมือนครู
ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาต่ออับราฮัม คือมนุษย์ได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ คือเชื่อในพระเยซู ที่พระองค์ตายแทนเรา และเชื่อพระเยซูที่พระองค์อยู่แทนเรา พระเยซูตายแทนบาปเรา และพระองค์อยู่แทนความชอบธรรมของเรา Christ died for our sins and Christ lives for our righteousness สรรเสริญพระเยซู ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์ตายแทนบาปของเราทั้งหลายในอดีต และขอบคุณและสรรเสริญพระเยซูที่พระองค์มีชีวิตอยู่ในเราเพื่อความชอบธรรมของเรา สำหรับเรื่องนี้จะอยู่กาลาเทีย 3:24 ,17/กท 2:20
การรักษาพระบัญญัตินะครับไม่มีคำว่าเชื่อวางใจในพระเยซู ขอให้เราเข้าใจตรงนี้นะครับ การรักษาพระบัญญัติ และการเชื่อในพระเยซู เป็นคนละเรื่อง และไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวกันเลย ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง ถ้าจะรักษาพระบัญญัติก็คือต้องรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้รับพระพรและรับความรอด และถ้าการจะเชื่อพระเยซูก็คือเชื่อเท่านั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการรักษาพระบัญญัติด้วยเนื้อหนัง ด้วยเนื้อหนังนะครับ ให้เราเลือก เลือกเอาว่าจะเอาทางไหน
อันแรกคือจะรอดหรือได้รับพระพรจากพระเจ้าโดยการรักษาพระบัญญัติ คุณก็เป็นเนื้อหนัง และคุณก็ต้องทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้ครบ เพื่อให้พระบัญญัติครบ รักษาให้ครบ และรับพระพรรับความรอด แต่ปัญหาก็คือพระเจ้ายกเลิกแล้ว ใครที่ทำอยู่เรียกว่าถูกสาปแช่ง ก็เลือกเอานะครับ
แต่ทุกวันนี้ศาสนาคริสต์ คริสเตียนศาสนาทุกวันนี้ก็ยังเลือกทางนี้เพราะว่าเขาไม่รู้ หน้าที่ของเราก็คือต้องไปช่วยเขา ต้องอธิษฐานเผื่อเขา ต้องประกาศพระคำล้ำลึกให้เขา เอาอาหารผู้ใหญ่ไปป้อนให้เขา
และถ้าเลือกอีกทางหนึ่งก็คือเลือกเป็นมนุษย์วิญญาณ เลือกเป็นคนใหม่ที่มีพระคริสต์อยู่ในคนนั้น และให้พระคริสต์สำแดงชีวิตผ่านคนใหม่คนนี้ เป็นชีวิตที่เบาสบาย เรียกว่าเชื่อเอา อยากมีสันติสุขเชื่อเอา อยากชนะความบาปทั้งหลายก็เชื่อเอา เมื่อเราเชื่อเอา เชื่อเอา เชื่อเอาทั้งหมด พระสัญญาของพระเจ้าก็มาปรากฏกับชีวิตของเรา เราจึงเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตใหม่ในพระคริสต์โดยที่ฤทธิ์เดชฤทธิ์อำนาจพลังของพระเจ้าเป็นคนกระทำภายในเรา
ฟีลิปปี 2:13 ผู้ที่กระทำทุกสิ่ง ก็คือพระเจ้าทั้งความปรารถนาและการกระทำ ที่กระทำอยู่ในเรา พระเจ้าเป็นคนกระทำกิจ ไม่ใช่เราเป็นคนกระทำ สรรเสริญพระเจ้า
ทีนี้เรามาดูข้อที่ 14 "เพื่อพระพรของอับราฮัมจะได้มาถึงคนต่างชาติทั้งหลายเพราะพระเยซูคริสต์" เพราะพระเยซูคริสต์ พระพรของอับราฮัมจึงได้มาถึงคนต่างชาติทั้งหลาย ก็คือเราคริสเตียนทุกวันนี้ "เพื่อเราจะได้รับพระสัญญาแห่งพระวิญญาณโดยทางความเชื่อ" เอเมนขอบคุณพระเจ้าอิสราเอลต้องรักษาพระบัญญัติเพื่อที่จะเข้าสู่พระพรได้รับความรอด แต่เราพระเจ้าสัญญาจะให้เป็นบุตรลูกหลานของอับราฮัมฝ่ายวิญญาณ เข้าสู่พระพรทุกประการแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแค่เชื่อเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูนำพระพรมาสู่เราโดยความเชื่อ
เราได้รับสันติสุขโดยทางความเชื่อ เราได้รับพลังยิ่งใหญ่โดยทางความเชื่อ เราได้รับความรอดโดยทางความเชื่อ เราได้คืนดีกับพระเจ้าโดยทางความเชื่อ เราได้กลายเป็นบุตรพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่โดยทางความเชื่อ เราบังเกิดใหม่โดยทางความเชื่อ เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วโดยทางความเชื่อ
ขอบพระคุณพระเจ้าเราได้รับทุกสิ่งโดยทางความเชื่อ สรรเสริญพระเจ้า เพราะพระเยซูไม่ใช่เพราะเรา ไม่ใช่เพราะการกระทำ ไม่ใช่เพราะเราน่ารักหรือน่าชัง เราดีหรือไม่ดี เราชอบธรรมหรือเราเป็นคนบาปไม่เกี่ยว แต่เพราะพระเยซู
ทีนี้นะครับเมื่อเรามาถึงจุดนี้ เราสังเกตได้ใช่มั้ย และผมเองก็เป็นคนที่ไม่กล้าที่จะอวด ซึ่งเมื่อก่อนผมเป็นคนที่ขี้อวด ทำอะไรได้ทำอะไรดีก็คืออวดให้คริสตจักรทั้งหลายได้รู้ แต่ตอนนี้คือขอบพระคุณพระเจ้า ขอเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก ขอเป็นคนที่เป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง เพราะว่าผมมาเข้าใจพระคำพระเจ้าในข้อนี้ คือเพราะพระเยซู
สรุปเราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับกาลาเทียบทที่ 3 ที่สอนเราที่เปิดเผยให้เราได้เข้าใจว่าพระบัญญัตินั้นเป็นสิ่งชั่วคราว เป็นสิ่งชั่วคราว แต่ทุกวันนี้ผู้เชื่อมากมายยึดถือพระบัญญัติเป็นสิ่งชั่วนิรันดร์ คือความเข้าใจผิดนะครับ
และทุกวันนี้เราอยู่ใต้พระคุณไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติอีกต่อไป แต่ผู้เชื่อมากมายก็ยังอยู่ใต้พระบัญญัติ
เราขอบพระคุณพระเยซูที่เรามีพระคริสต์เป็นคนทำแทนดำเนินชีวิตแทนเรา เป็นสันติสุขของเรา ขณะที่ผู้เชื่อมากมายตอนนี้ยังต้องพยายามรักษาพระบัญญัติ พยายามดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับพระบัญญัติ เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย เพื่อรับพระพรและรับความรอด
และอีกครั้งผมขอย้ำพระเจ้าประทานพระสัญญาแก่อับราฮัม จนมาถึงพระเยซูคริสต์ใช้เวลา 430 ปี และอยู่เป็นสิ่งที่กลั้นกลางระหว่างพระสัญญาของพระเจ้าเรียกว่าพระบัญญัติ และพระบัญญัตินี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพระสัญญา พระบัญญัตินี้มาชั่วคราว มาเพื่อสอนเพื่อสั่งสอน เพื่อเตือนชนชาติอิสราเอลว่านี่นะเป็นสิ่งที่พระเจ้าให้คุณเพื่อรักษา เพื่อเรียนรู้ว่าคุณทำไม่ได้ คุณตกต่ำ คุณอ่อนแอ คุณต้องพึ่งพระสัญญาของพระเจ้าที่จะมาในอีกไม่ช้านี้
และเมื่อพระเยซูนำพระสัญญาของพระเจ้ามา ปรากฏว่าชนชาติอิสราเอลไม่เข้าใจไม่รู้ไม่รับ และเมื่อพระสัญญาของพระเจ้ามาถึงคริสเตียน คริสเตียนมากมายก็ไม่รู้ไม่เข้าใจและไม่รับ ก็ยังดำเนินชีวิตใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ทั้งหลายอยู่ใต้พระบัญญัติอยู่ในยุคพระบัญญัติและเป็นคนยิว ทุกวันนี้คริสเตียนทำตัวเหมือนคนยิวนะครับ คือใช้ชีวิตที่อยู่ภายใต้พระบัญญัติของยิว แต่ขอบคุณพระเยซูเราอยู่ใต้พระคุณและอยู่เหนือพระบัญญัติแล้ว
และอีกครั้งนะครับถ้าหากพี่น้องที่มาถึงการเป็นผู้นำแล้ว หรือมีบทบาทที่จะช่วยเหลือพี่น้อง เรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ เรา ให้เรายกเว้นหรือหลีกคำว่า "ต้อง" หรือชวนเขา ให้ทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ คืออะไร
คือถ้าเขาบอกว่ายังไม่พร้อม เราก็ไม่ต้องไปเคี่ยวเข็ญเขา หรือเขาบอกว่าให้ได้เท่านี้ เราก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเท่านี้
คือการเคี่ยวเข็ญ การที่พยายาม คือปลุกเขา หนุนใจเขา ทำให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่สะดวกไม่ทำ ก็คือกฎเกณฑ์แล้ว เราอาจจะชวนได้ เราแนะนำ เราเตือน เราหนุนใจได้ และถ้าหากเขาทำได้ก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ช่วยเขาตามขนาดของความเชื่อของเขา
สำหรับชีวิตฝ่ายวิญญาณเราสังเกตเราดูชีวิตของเรามากกว่าไปมองชีวิตของผู้อื่น เราดูนะครับว่าจุดบกพร่องของเราตรงไหน เมื่อเรามีจุดบกพร่อง เราอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อยู่ภายใต้พระบัญญัติหรือไม่ หรือถ้ายังอยู่ก็ขอพระเจ้าชำระเรา เพื่อให้พี่น้องได้เห็นว่ากลุ่มมานาพวกเราไม่ได้อยู่ภายใต้พระบัญญัติ ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์หรือคำสั่งหรือข้อกำหนดของมนุษย์คนใดคนหนึ่ง เอเมน.
สิ่งที่สำคัญกาลาเทียบทที่ 3 เราขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์สอนเราว่า พระบัญญัติเดิมมีผลต่อชาวยิวเท่านั้นและเป็นสิ่งที่มาชั่วคราว เพื่อพระสัญญาของพระเจ้าจะสำเร็จ พระสัญญาของพระเจ้าที่ประทานแก่อับราฮัม มาถึงพวกเราทุกวันนี้แล้วโดยพระเยซูคริสต์ "เพราะพระเยซูคริสต์" เราจึงมีชีวิตที่เต็มด้วยสันติสุข ได้รับความรอด ได้กลายเป็นบุตรพระเจ้า อยู่เหนือพระบัญญัติ ก็คือพระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเราในเรา ไม่มีอะไรที่จะยากเมื่อพระเจ้าเป็นคนกระทำในชีวิตของเราตั้งแต่แรกจนสุดท้าย สรรเสริญพระเยซูพวกเรารักพระองค์