4:1 บรรดาการสงครามและการทะเลาะวิวาทกันในท่ามกลางพวกท่านมาจากไหน พวกมันมาจากราคะตัณหาทั้งหลายของพวกท่านที่ทำสงครามกันในบรรดาอวัยวะของพวกท่านมิใช่หรือ
** พวกท่าน ในที่นี้ คือชาวยิวสิบสองตระกูลที่กลับใจเป็นคริสเตียน พวกเขายังเป็นเด็กในความเชื่อ และเป็นศาสนาจึงไม่เข้าใจการเดินในวิญญาณ และเติบโตสู่ชีวิต และนิสัยของพระเยซูซึ่งเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับผู้เชื่อทุกคน พวกเขาจึงทะเลาะวิวาทจนเกิดสงครามท่ามกลางพวกเขาเอง
4:2 พวกท่านเกิดใจกำหนัด และไม่มี พวกท่านฆ่ากัน และปรารถนาที่จะมีและไม่อาจได้รับ พวกท่านทะเลาะวิวาทกันและทำสงครามกัน ถึงอย่างนั้นพวกท่านก็ไม่มี เพราะพวกท่านไม่ได้ขอ
4:3 พวกท่านขอและไม่ได้รับ เพราะว่าพวกท่านขอผิด เพื่อพวกท่านจะใช้สิ่งนั้นเพื่อสนองบรรดาราคะตัณหาของพวกท่าน
** ปัญหาของผู้เชื่อที่ไม่ได้รับจากพระเจ้าก็เพราะว่า 1. ไม่ได้ขอ 2. ขอผิด ซึ่งก็คือขอตามใจเพื่อสนองความต้องการของเนื้อหนัง ไม่ใช่ขอตามน้ำพระทัย
4:4 พวกท่าน บรรดาผู้เล่นชู้ชายและหญิงเอ๋ย พวกท่านไม่ทราบหรือว่า การเป็นมิตรกับโลกนั้นคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า เหตุฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ประสงค์เป็นมิตรกับโลก ก็เป็นศัตรูของพระเจ้า
** สำหรับพระเจ้า การปักใจไปที่ฝ่ายเนื้อหนังก็ได้เข้าสู่ความบาป และความตาย และกลายเป็นศัตรูของพระเจ้า และเป็นฝ่ายเดียวกันกับโลก โรม 8:5-7 ส่วนผู้ที่ปักใจไปที่ฝ่ายวิญญาณ หรือพระวิญญาณ หรือในพระคริสต์ เราสนิทบอกรักสะสมพระคำที่เป็นความจริงก็คือชีวิตและสันติสุข
4:5 พวกท่านคิดว่าพระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างเปล่าประโยชน์หรือที่ว่า ‘พระวิญญาณที่สถิตอยู่ในพวกเรามีความรู้สึกหึงหวงอย่างรุนแรง’
** พระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในเราเป็นเจ้าของชีวิตเรา ทรงซื้อเราแล้ว ทรงเป็นเจ้าของทุกส่วนไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ จิต และร่างกายที่ตามองเห็น พระองค์ทรงทำงานในเราเพื่อให้เราเติบโตสู่การเป็นผู้ใหญ่เพื่อเราจะพูด และกระทำทุกสิ่งให้เป็นที่พอพระทัยของพระบิดา จึงไม่ประสงค์ที่จะให้เราดำเนินชีวิตในเนื้อหนัง และในพระคริสต์ในเวลาเดียวกัน ทรงรักและหวงแหนเรามาก ทุกครั้งที่เราปักใจไปที่เนื้อหนังพระวิญญาณก็เสียพระทัย
4:6 แต่พระองค์ก็ประทานพระคุณเพิ่มขึ้นอีก เหตุฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่า ‘พระเจ้าทรงต่อต้านคนที่หยิ่งทะนง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมตัวลง’
** เมื่อผู้เชื่อเอาชนะบาปไม่ได้และไม่โต แต่เขามีความปรารถนาที่จะปักใจไปที่พระวิญญาณ อยากสนิทบอกรักแต่ยังอ่อนแอ พระเจ้าก็ประทานพระคุณเพิ่มขึ้นอีกเพื่อพระคุณจะทำงานในเรามากยิ่งขึ้น พระคุณก็คือการทำกิจของพระคริสต์ในเราเพื่อการเติบโตนั่นเอง
4:7 เหตุฉะนั้น จงยอมจำนนตัวเองต่อพระเจ้า จงต่อต้านมาร และมันจะหนีไปจากพวกท่าน
** การยอมจำนน คือการบอกพระเจ้าว่าเรายอมแพ้ อ่อนแอ และไม่สามารถทำในสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยได้
** การต่อต้านมาร และมันจะหนีไปได้ก็คือการสนิทบอกรัก และตายต่อตัวเก่าทุกวัน ด้วยการบอกพระเจ้า และบอกตัวเราเองทุกเวลาว่าเราตายแล้ว เนื่องจากว่ามารมันบังคับควบคุมเราได้ เมื่อเราอยู่ในอาดัมเนื้อหนังหรือตัวเก่า
4:8 จงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะทรงเข้าใกล้พวกท่าน จงชำระมือของพวกท่านให้สะอาด พวกท่าน คนบาปทั้งหลายเอ๋ย (ที่ทำบาปอยู่) และจงชำระใจของพวกท่านให้บริสุทธิ์ พวกท่าน คนสองจิตสองใจเอ๋ย
** เข้าใกล้ draw near ก็คือการเฝ้าระวังในการสนิท บอกรัก อยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลาในแต่ละวัน
** ชำระมือ cleanse hands และชำระใจ purify คือการชำระที่เป็นมาโดยพระวิญญาณ ไม่ใช่เราชำระเองได้
** คนสองจิตสองใจ double minded คือเป็นคนสองคนในเวลาและสถานที่ที่ต่างกัน อยู่ต่อหน้าพี่น้องผู้เชื่อก็แสดงตนว่าเป็นคนดีแต่เมื่ออยู่กับชาวโลกหรือกับครอบครัวเราเองกลับเป็นตัวจริง มันคือการเป็นสองคน ปักใจไปที่ฝ่ายเนื้อหนังบ้างและที่พระวิญญาณบ้างในแต่ละวัน
4:9 จงเป็นทุกข์ และโศกเศร้า และร้องไห้ จงให้การหัวเราะของพวกท่านกลับกลายเป็นการคร่ำครวญ และความปีติยินดีของพวกท่านให้เป็นความหนักใจ
** ท่านยากอบเตือนผู้เชื่อชาวยิว และพวกเราด้วยให้กลับใจ ถ้าหากเรายังถือเบาต่อการบาปทั้งหลายในบทที่ 2-4 เพราะไม่ใช่เรื่องเล่นอีกต่อไป
4:10 พวกท่านจงถ่อมตัวในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะทรงยกชูพวกท่านขึ้น
** พระเจ้ารักคนที่ถ่อมใจ พระองค์จะยกโทษและยกชูเราขึ้นให้ถึงชีวิตที่มีชัยชนะได้ เพียงแต่เรายอมรับในความอ่อนแอและกลับใจ ใส่ใจกับการฝึกเดินในแต่ละวันในฝ่ายวิญญาณของเรา และไม่นานเราจะมาถึงเส้นชัยอย่างแน่นอน
4:11 อย่าใส่ร้ายซึ่งกันและกัน พี่น้องทั้งหลาย ผู้ใดที่พูดใส่ร้ายพี่น้องของตนและตัดสินพี่น้องของตน ก็กล่าวร้ายต่อพระบัญญัติ และตัดสินพระบัญญัติ แต่ถ้าท่านตัดสินพระบัญญัติ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ที่กระทำตามพระบัญญัติ แต่เป็นผู้ตัดสิน
** พระบัญญัติ ในที่นี้ คือพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู
** การใส่ร้ายหรือตัดสินพี่น้องเรื่องคำสอนที่เราว่าเขาผิด และการกระทำที่เราเห็นว่าเขาผิดเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้ผู้เชื่อมากมายชอบตัดสินพี่น้องในคริสตจักรหรือกลุ่มอื่นว่าผิด และสอนคนอื่นให้เชื่อผิด เป็นความผิดที่ร้ายแรงมากสำหรับพระเจ้าในยุคพระคุณ พระเยซูตรัสในมัทธิวบทที่เจ็ดว่าอย่าตัดสินใครถ้าหากไม่แน่ใจ และไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปตัดสินพี่น้อง
4:12 มีผู้ทรงตั้งพระบัญญัติแต่เพียงองค์เดียว ผู้ทรงสามารถช่วยให้รอดได้ และทรงสามารถทำลายเสียได้ ท่านเป็นผู้ใดเล่าที่ตัดสินผู้อื่น
** ผู้เดียว ในที่นี้ คือพระเยซูคริสต์ พระองค์ตั้งพระบัญญัติในมัทธิวบทที่ ห้า หก และเจ็ด
** ท่านเป็นผู้ใดเล่า คือการย้ำของพระวิญญาณผ่านท่านยากอบว่า เราไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปตัดสินพี่น้อง ถ้าหากพระเจ้าไม่มอบหน้าที่ให้เรา
4:13 บัดนี้ พวกท่านที่กล่าวว่า “วันนี้หรือพรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปในเมืองดังกล่าว และจะอาศัยอยู่ที่นั่นปีหนึ่ง และซื้อขายและได้กำไร”
4:14 ขณะที่พวกท่านไม่ทราบว่าจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เพราะชีวิตของพวกท่านคืออะไรเล่า มันก็เป็นแต่หมอกที่ปรากฏอยู่แต่ประเดี๋ยวหนึ่ง และจากนั้นจางหายไป
4:15 ด้วยว่าพวกท่านควรจะกล่าวว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรด เราจะมีชีวิตอยู่ และจะกระทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น”
4:16 แต่บัดนี้พวกท่านปีติยินดีในบรรดาการโอ้อวดของพวกท่าน บรรดาความปีติยินดีอย่างนี้ก็ชั่วร้าย
** เมื่อเราเชื่อ และต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ฆ่าคนเก่าทิ้งที่กางเขน และประทานชีวิตใหม่ คนใหม่คนนี้ให้แก่เรา และทรงเริ่มวางแผนว่าจะทำอะไรอย่างไรกับเราในแต่ละวัน เพราะฉะนั้น การวางแผน คิด กระทำ จึงควรให้เป็นตามน้ำพระทัยไม่ใช่ทำตามใจของเราเอง เนื่องจากว่าเราไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับวันพรุ่งนี้ของเรา
4:17 เหตุฉะนั้น คนใดที่ทราบว่าจะต้องกระทำการดี และไม่ได้กระทำ สำหรับคนนั้นก็เป็นบาป
** การดี ในที่นี้ ก็คือการให้พระคริสต์คิดแทน ทำแทน ด้วยการเริ่มเชื่อเอาว่าทรงคิดแทน ทำแทนในแต่ละวัน ไม่นานเราจะเห็นการคิดแทน ทำแทนดังกล่าวมากขึ้น
สรุป
การกระทำบาป คือการไม่เดินในวิญญาณ ไม่ให้พระคริสต์คิดแทนทำแทน ถ้าหากผู้เชื่อไม่ได้ทำสิ่งนี้ในแต่ละวันเรียกว่า เป็นบาป