เรื่องหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับชีวิตคริสเตียนพวกเราที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ คือเรื่องไม่กระวนกระวาย ไม่กังวล ไม่คิดห่วง ไม่กดดัน เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เพราะว่าทุกวันนี้คริสเตียนชอบกระวนกระวาย ชอบกังวล ชอบกดดัน ชอบคิดนี่คิดนั่นคิดเยอะ ในมัทธิวบทที่ 5 บทที่ 6 บทที่ 7 คือพระบัญญัติใหม่ คือคำสอนของพระเยซู ที่พระองค์สั่งสอนไว้ พระองค์บอกเราหลายเรื่องหลายอย่าง ให้ปฏิบัติต่อตนเองแบบนี้ ให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบนี้ ปฏิบัติต่อพระเจ้าแบบนั้น
แล้วมาถึงบทที่ 6 พระองค์บอกตอนหนึ่งที่สำคัญมาก ก็คืออย่ากระวนกระวายๆๆ พระเยซูพูด 3 ครั้งในมัทธิวบทที่ 6:19-34 พระองค์พูดว่า อย่ากระวนกระวาย พระองค์พูดไปหน่อยนึงแล้วก็บอกว่า อย่ากระวนกระวาย แล้วพระองค์ก็พูดต่อไปอีกว่า อย่ากระวนกระวาย เพราะว่าพระองค์รู้ว่าเรากระวนกระวาย แล้วพระองค์ก็ซีเรียส พระองค์บอกว่าเจ้าอยู่ภายใต้การดูแลการคุ้มครองของเรา เพราะฉะนั้นเราซีเรียส เราพูด 3 ครั้ง ให้เจ้าตั้งใจว่าไม่ต้องกระวนกระวาย
แล้วพระองค์บอกว่าอย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ หมายความว่ายังไง? หมายความว่าเรามีชีวิตอยู่ให้รับผิดชอบชีวิตของเรา การงาน ทุกสิ่ง วันเดียว วันเดียวเท่านั้น ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Believe Day By Day หรือว่า One Day At the time / Believe Day By Day แปลว่า เรามีชีวิตอยู่วันต่อวัน / One Day and the time แต่ว่า วันละครั้ง นี่คือการจัดการกับชีวิต การบริหารชีวิตของคริสเตียน
คือเรามีชีวิตอยู่ได้วันเดียว เราเทคแคร์ เราจัดการ เราบริหารชีวิตของเราวันเดียว วันอื่นเป็นเรื่องของอีกวันนึง แล้วสำหรับสิ่งที่เป็นเมื่อวาน ก็เป็นสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว ไม่ให้คิดถึงมัน ไม่ให้เอามือไปคว้าไปกำไปจับ ไปถ่วงไปดึงไปห่วงมันอยู่ ยังคิดหามันอยู่ สิ่งที่มันผ่านไปแล้วก็แล้วไป สิ่งไหนที่มันดีขอบคุณพระเยซู สิ่งไหนที่มันไม่ดีอภัยให้คนที่อยู่รอบข้าง อภัยให้ตัวเอง อภัยให้ทุกสิ่ง ลืมทุกสิ่งให้ปล่อยมันไป แล้วกลับมาตั้งใหม่ในวันใหม่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้บอกตัวเองตลอดเวลาว่าขอบคุณพระองค์ที่ให้มีชีวิตอยู่อีกวันหนึ่ง เมื่อวานนี้มันตายมันผ่านไปแล้วมันจบไปแล้ว แล้ววันนี้มาตั้งใหม่
เราจะไม่จดจำสิ่งที่มันเป็นเมื่อวาน ถ้าจดจำ ถ้าเราจดจำ ถ้าเราคิดถึงมัน มันหนักอกเฉยๆ มันผ่านไปแล้ว ช่วยอะไรไม่ได้ สิ่งที่เราเอามันมาเป็นบทเรียนก็คือความผิดพลาด คือการทำบาป คือสิ่งที่เราได้ล้มเหลว แล้วเอามาปรับปรุงแก้ไขในวันนี้ ทำให้มันดีขึ้น ถ้าวันนี้ล้มเหลวอีก วันพรุ่งนี้เริ่มใหม่ได้ วันต่อไปเริ่มใหม่ๆๆ ถ้าเราทำได้แบบนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์พอพระทัย ในเมื่อพระเจ้าพอพระทัย ในเมื่อเราทำถูกวิธีพระวิญญาณก็ทำงาน
สำคัญที่สุดมันไม่ใช่อะไรหรอก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือทำให้มันถูกแล้วพระเจ้าทำงาน ถ้าเราทำไม่ถูกวันหนึ่งเราก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ถ้าพระวิญญาณทำงานเราจะไม่ได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
เพราะฉะนั้นมีชีวิตอยู่วันต่อวันเป็นคำสอนของพระเยซู เปาโลพูดใน 1 โครินธ์ 15:31 "ข้าพเจ้าขอยืนยันโดยอ้างความภูมิใจซึ่งข้าพเจ้ามีอยู่ในท่านทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า ข้าพเจ้าตายทุกวัน" เปาโลบอกว่าข้าพเจ้าตายทุกวัน คำว่าข้าพเจ้าตายทุกวัน ก็แปลว่าตายจากอดีต ตายจากสิ่งที่กระทำ ตายจากความผิดบาป ตายจากทุกสิ่ง ไม่จดจำมันตายแล้ว ตายทุกวัน ตายก็คือไม่ได้จำอะไร ไม่ได้เห็นอะไร ไม่ได้คิดอะไรปล่อยมันไป แล้วมีชีวิตอยู่อีกวันหนึ่งวันใหม่
พระเยซูพูด ไม่ใช่แต่เพียงเปาโลพูดโดยพระวิญญาณ พระเยซูก็ยังพูดในลูกา 9:23 "พระองค์จึงตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า “ถ้าผู้ใดใคร่จะตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา แบกกางเขนตามพระเยซูทุกวันก็คือ ตายทุกวัน เพราะว่าไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ของความตาย คือเราต้องตายทุกวัน
คริสเตียนทุกวันนี้จำได้ถึงเรื่องเมื่อวาน จำได้เมื่อก่อนนี้ จำได้อาทิตย์ที่แล้ว จำๆๆๆๆๆ ความผิดของคนอื่นจำตั้งแต่เขาทำผิดตั้งแต่ปีที่แล้ว 10 ปีก่อนก็ยังจำได้ไม่เคยลืม ในเมื่อไม่เคยลืมมันฝังในสมอง เมื่อฝังในสมองมันเกิดมีอารมณ์ความรู้สึก ความเสียใจ ความเจ็บใจที่มันหายไปไม่ได้ มันเป็นบาดแผล นี่คือการหลุดพ้นจากบาดแผลจากความเจ็บปวดจากความทุกข์ใจที่มันมีอยู่กับตัวเองหรือกับคนอื่น เพราะฉะนั้นพระเจ้าของเราไม่ใช่พระเจ้าของอดีต พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าของปัจจุบันและอนาคต เพราะฉะนั้นเราใช้ชีวิตอยู่วันต่อวัน พระเยซูสั่งใน มัทธิวบทที่ 6:19-34 อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ อย่าสนใจพรุ่งนี้ วันนี้ให้ดูแลให้ดีที่สุด แล้วให้ตายต่อเมื่อวาน มันผ่านไปแล้ว ลูกา 9:23 / 1 โครินธ์ 15:31 เรามีชีวิตอยู่วันต่อวัน เราต้องได้ฝึกตรงนี้ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยให้เราเห็นชัดขึ้น ชัดขึ้นๆๆๆ แล้วในที่สุดชีวิตเราไม่ได้กระวนกระวาย เราปล่อย ปลง วาง เราสบาย และเราจะมีปัญหากับคนอื่นที่ไม่เชื่อเหมือนเราแต่อย่าไปสนใจ
วันหนึ่งพระเจ้าเปิดตาเขา เขาก็จะมาเป็นแบบเรา ถ้าพระเจ้าไม่เปิดตาเขา เขาก็จะทุกข์เหมือนเดิม
สำหรับพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระองค์เข้าใจสภาพความป่วย ความตกต่ำความเสื่อมทรามของจิตมนุษย์ทุกๆ คน คนเราไม่ป่วยเยอะก็ป่วยน้อย ไม่ป่วยด้านใดก็ด้านหนึ่ง เราดีกว่าคนอื่นด้านหนึ่ง แต่เราก็เลวกว่าคนอื่นอีกด้านหนึ่ง คือมนุษย์เราไม่มีอะไรแน่นอน
พระเจ้าเข้าใจ ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้ารักเราแล้วพระองค์ทำงานกับเราตลอดเวลาพระองค์ไม่เคยท้อ แล้วสำหรับพระเจ้าพระองค์ได้ตั้งสิ่งหนึ่งที่มีค่าที่สุดไว้สำหรับเรา สิ่งนี้สามารถทำให้เรามีชีวิตอยู่ วันต่อวันได้ สิ่งนั้นก็คือพระโลหิต คือเลือดของพระเยซู
เลือดของพระเยซูไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระเจ้ามีไว้สำหรับยกโทษให้เราเท่านั้น แต่มีไว้สำหรับพระเจ้าไม่จดจำสิ่งที่มันเป็นเมื่อวาน ไม่จดจำสิ่งที่เราทำอยู่ เมื่อเราสารภาพ พระเจ้ายกโทษเราแล้วพระเจ้าจะลืม การลืมคือการลบล้าง คือการไม่จดจำในสิ่งไหนที่เราได้ทำไปหรือคนอื่นทำกับเรา
เพราะฉะนั้นการที่จะอยู่ วันต่อวันได้ ก็คือการไม่จดจำ สิ่งนี้มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระโลหิต พระเจ้ายกโทษให้เรา และลืมความผิดความบาปความไม่ดีของเรา ลืมเมื่อวานของเราเพราะพระโลหิต เรามีพระโลหิตตั้งอยู่ในพระวิหาร ตั้งอยู่บนสวรรค์ทุกๆ วัน
ให้เราลืม ให้เราไม่จดจำ ให้เรายกโทษให้ตัวเอง ให้ยกโทษให้คนอื่นที่เขาทำผิดกับเรา แล้วเราจะเกิดสันติสุขเต็มล้นอยู่ในเราอยู่ตลอดเวลา
ใจเรามันจะไม่แบกภาระ ไม่แบกอะไร เราจะปล่อย ปลง วางได้
สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า เราต้องเข้าใจคนที่ไม่ได้เรียน ไม่ได้เข้าใจเหมือนเรา ยังมาไม่ถึงเราที่เข้าใจสิ่งนี้ เราต้องอะลุ่มอล่วยเขา เราต้องเห็นใจเขา ไม่ใช่เราจะไปสั่งเขาว่า ต้องอยู่วันต่อวัน ต้องทำให้มันได้ ไม่.
แต่ละคนพระเจ้าทำงานต่างกัน เราทำได้แล้วก็ขอบคุณพระเจ้า ใครที่ยังทำไม่ได้ก็อธิษฐานเผื่อเขา รอเวลาเขาทำได้ คือปกติทั่วไปในทุกวันนี้เราเห็นกันก็คือ คนหนึ่งทำได้ คนหนึ่งทำไม่ได้ อยู่ใกล้กันแล้วก็เกิดปัญหา แต่คนที่ทำได้ต้องเข้าใจคนที่ยังทำไม่ได้ทุกอย่างมันจะดีเอง
ถาม.
ถ้าสมมุติว่าเราทำผิดเราขอโทษแล้ว เราเริ่มต้นใหม่วันใหม่ แต่เรากลับทำสิ่งเก่าๆ นั้นคืนอีกทำผิดต่อเขาในสิ่งที่เราเคยทำผิดที่ผ่านมา เขาจะคิดยังไงเขาจะสะดุดไหมหรือว่ามันเป็นยังไง
ตอบ.
สำหรับมนุษย์สำหรับคนที่เราทำผิดกับเขาแน่นอนเขาต้องสะดุดไม่มากก็น้อย เนื่องจากว่าเขาไม่เข้าใจว่าเราเป็นมนุษย์เรากำลังอยู่ในการพัฒนา อยู่ในการก่อขึ้นของพระคริสต์ มนุษย์แต่ละคนจะไม่เหมือนกันบางคนขอโทษแล้วก็กลับไปทำ ขอโทษแล้วก็กลับไปทำ ทำให้เขาเเหนงหน่าย ทำให้เขาเบื่อ ทำให้เขาแบบยอม ยอมกับเรา เพราะเขาไม่เข้าใจเรา คริสเตียนคนไหนที่เป็นผู้ใหญ่พอเขาจะเข้าใจว่าเธอทำมาฉันอภัยให้ ทำผิดมาฉันอภัยให้
จำได้ไหมทำไมพระเยซูจึงบอกเปโตรว่าให้ยกโทษให้ 70 × 7 พระเยซูบอกเปโตร พระเยซูรู้ว่ามนุษย์เราจะทำผิดแล้วทำผิดอีก ทำผิดแล้วทำผิดอีก ก่อนคนเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เป็นผู้ที่สุกงอมเป็นผู้ชนะจะผิดจะล้มเหลวจนนับครั้งไม่ได้
1. ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้คริสเตียนเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้วยังทำบาปซ้ำแล้วซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะว่าพระเจ้าอยากสอนเขาว่าถ้าปราศจากพระเจ้าปราศจากการช่วยจากพระเจ้ามนุษย์จะทำบาปไม่มีหยุด
2. มนุษย์จะคิดถึงพระคุณของพระเจ้าและขอการช่วยเหลือมาพึ่งพระเจ้า จำได้นะว่าเปาโลร้องหาผู้ช่วยเปาโลหมดหวังในตัวเอง เปาโลบอกว่าข้าพเจ้าเข็ญใจน่าสมเพช ข้าพเจ้าไม่สามารถพ้นจากตัวบาป ใครจะมาช่วยข้าพเจ้าได้ เปาโลร้องหาคำว่า "ใคร" แล้วเปาโลเจอคำตอบอยู่ในข้อต่อมา เปาโลบอกว่า โอ้ขอบคุณพระเจ้าโดยทางพระเยซู ในโรมบทที่ 7 ข้อที่ 24 เปาโลบอกว่าใครจะมาช่วย และในข้อต่อมาข้อที่ 25 เปาโลบอกว่าขอบคุณพระเจ้าเจอแล้วใครคนนั้นคือพระเยซู
เพราะฉะนั้นพระเจ้าปล่อยเราทำบาปทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเราเบื่อตัวเองแล้วคนอื่นก็เบื่อเรา เพื่ออยากให้เรายอมแพ้และให้เรายอมรับว่าตัวเองชั่วบาปไม่ดี ไม่มีปัญญาจะทำให้ตัวเองดีได้และเราต้องมาพึ่งพระเจ้าและให้เราขอบคุณพระเจ้าและคิดเห็น เห็นถึงคุณค่าของพระคุณของพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าปล่อยให้ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก
แต่สำหรับมนุษย์ที่อยู่รอบข้างเรา คนใกล้ชิดเรา ครอบครัวเรา คนรักเรา สามีภรรยาเรา ถ้าเขาเข้าใจเขาจะยกโทษ เขาจะไม่ถือสา แล้วเขาจะให้อภัย 70×7 เหมือนเปโตร แต่ถ้าว่าเขาไม่เข้าใจมันก็จำเป็นช่วยไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าสำหรับเรา เราสารภาพเราขอโทษเขาเราเสียใจ เราไม่ได้หัวเราะไม่ได้ยิ้มแต่ว่าเราเสียใจ เราแสดงอาการโศกเศร้าเราไม่ได้ตั้งใจเราเสียใจจริงๆ เราไม่ได้อยากทำซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่มันเป็นนิสัยมันเป็นสิ่งที่เราทำมาบ่อย
ในกรณีที่มีคนมาทำผิดกับเราซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกๆๆ คือถ้าเราทนไม่ได้แสดงว่าเราเป็นผู้เชื่อที่ยังมาไม่ถึงผู้ชนะ เรายังเป็นคริสเตียนศาสนาเรายังเป็นเด็กน้อยฝ่ายวิญญาณ ในกรณีนี้ก็คือ คริสเตียนเด็กน้อยฝ่ายวิญญาณทำยังไงเราก็จำเป็นต้องทำแบบนั้น ก็คือถอยหนี ก็คือไม่ให้อภัย แต่การไม่อภัยให้ พระเจ้าก็ตีสอนเราเพราะว่าเราได้ละเมิดกฎหมายใหม่ของพระเจ้า พระเยซูสั่งให้ยกโทษให้ 70×7 ครั้ง ถ้าเราทำไม่ได้แสดงว่าพระเจ้าก็ตีเรา แล้วพระเจ้าก็ตีคนนั้นด้วย เพราะว่าเขาทำผิดและถ้าทั้งสองสารภาพบาปพระเจ้าก็ทำให้โทษเบาลงทั้งสอง แล้วคนนั้นผิดเพราะเขาทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เราผิดเพราะเราไม่ยกโทษให้เขา
และสำหรับคนไหนที่เมื่อคนอื่นมาทำผิดกับเราซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วเราสามารถทนได้ เรายกโทษให้ได้ เราไม่ถือสาได้ เราได้เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คนนั้น พระเจ้าก็ทำงานกับคนนั้นแล้วพระเจ้าก็ทำงานกับเรา บำเหน็จมีให้เราเยอะ
คริสเตียนคนไหนที่ทนต่อคนที่มาทำผิดกับเราซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ เราทนไม่ได้แสดงว่าเราไม่ใช่ผู้ใหญ่แล้วก็เราไม่ใช่คนหนุ่ม เรายังเป็นคริสเตียนเด็กน้อย เรียกว่าลูกน้อย ยังไม่ได้เข้าสู่การพัฒนาการเติบโต ชีวิตของพระคริสต์ยังไม่ได้ก่อขึ้นในเรา เขาทำผิดมาครั้งหนึ่งเรายกโทษให้ได้ ครั้งที่สองก็โอเคอยู่ ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า มันเริ่มแบบ เริ่มคิดแล้ว เริ่มหนักใจ เริ่มเจ็บปวด เริ่มคิดในด้านลบออกมาแล้ว ฉะนั้นพูดง่ายๆ คริสเตียนเด็กน้อยมันจะเกิดกดดัน เกิดดึงด้านลบขึ้นมาเมื่อถูกคนทำผิดซ้ำซากกับเรา (ถ้าครั้งสองครั้งไม่เป็นอะไรหรอก)
แต่คริสเตียนผู้ใหญ่เขาจะอยู่ในด้านบวกเสมอคิดบวกเสมอ มีความรักเสมอ มีความเมตตายกโทษให้ แล้วคำสอนของพระเยซูอยู่ในมัทธิว 18:21-22 "ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องของข้าพระองค์จะกระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ข้าพระองค์ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด”
เขาสามารถทำได้เพราะว่าพระคริสต์อยู่ในเขาก่อร่างขึ้นได้แล้ว และพระคริสต์สามารถยกโทษผ่านเขาได้ จะไม่จดจำความผิดอีก ไม่เจ็บปวด
อย่าลืมนะการที่เราเป็นคริสเตียนเด็กน้อยมันจะเสียเปรียบเยอะคือ
1. ไม่สามารถยกโทษให้ได้ พระเจ้าก็ตีเราเพราะเราละเมิดกฎพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู พระเยซูบอกว่าต้องยกโทษ
2. ก็คือเราเจ็บปวด เราขมขืน เราทรมาน เราแบกภาระ เขาเอาภาระให้เราแบกและเราก็ยังได้แบกภาระกับเขา ถ้าเราไม่ยกโทษให้เขาทั้งสองก็มีโทษเหมือนกัน
ถาม.
แล้วเราจะเป็นคริสเตียนผู้ใหญ่ได้ยังไง
ตอบ.
จะเป็นคริสเตียนผู้ใหญ่ได้ยังไง?
1. ให้ตั้งใจพูดคุยกับพระเยซู ตั้งใจสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเยซูด้วยการพูดคุยกับพระเยซู ภาษากรีกในพระคัมภีร์ใหม่ไม่ใช้คำว่าอธิษฐาน แต่ภาษากรีกใช้คำว่า พูดคุยสนทนา ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Pray ภาษาลาวใช้คำว่าอธิษฐานที่จริงแล้วไม่ควรใช้ ควรใช้ให้มันตรงให้คริสเตียนเข้าใจเลย และในพระคัมภีร์ใหม่หลายตอนบอกว่าให้สนทนาให้พูดคุยกับพระเยซูอย่างไม่มีขาดตอน พูดคุยอย่างสม่ำเสมอ (1 ธส 5:17)
พระเยซูก็ยังสั่งว่าจงสนิท (ยน 15:1-5) การสนิทนี้ทำยังไงจึงได้สนิทกัน ก็คือการพูดคุยกันบ่อยๆ สนทนากันบ่อยๆ ตั้งแต่เช้าจนค่ำ พยายามพูดคุยให้เยอะเท่าที่จะเยอะได้ และพระเจ้าพระองค์ก็ไม่เคย ไม่เคยปิดประตูเราอีก เมื่อก่อนคริสเตียนอธิษฐานแล้วก็จบคำอธิษฐานแล้วก็ไปทำทางอื่น ลืมพระเยซูไปเพราะว่าเป็นสมัยเก่า แต่สมัยยุคใหม่นี้คือพระเจ้าต้องการให้เราสร้างความคุ้นเคยสร้างความรัก ให้เรารู้จักพระเยซูแบบ รู้จักรู้จัก เชื่อไหมพระเยซูปฏิเสธว่าเราไม่รู้จักเจ้าเพราะเราไม่พูดคุยกับพระองค์ไม่สนิทกับพระองค์ (มธ 7:21-23)
อยากเป็นคริสเตียนผู้ใหญ่ทำยังไง? สรุปก็คือ
1.พูดคุยสนทนากับพระเยซูเพื่อสร้างความผูกพันสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์
2.ก็คือบอกรักพระเยซูเยอะๆ การบอกรักพระเยซูเพราะอะไร? เพราะว่าพระเจ้าต้องการความรักจากเรา บอกรักพระเยซูเยอะๆ คือการเอาความรักให้พระเจ้า เวลาที่บอกรักเราเอาความรู้สึกเอาอารมณ์ของเราใส่ในคำพูดของเรา ไม่ใช่ออกจากปากว่า ลูกรักพระองค์ๆๆ แต่ไม่เกิดอารมณ์ความรู้สึก ตอนแรกๆเราพูดไปอาจจะไม่เกิดอารมณ์ความรู้สึก แต่ว่าเราต้องพัฒนาให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเราจนวันหนึ่งเราจะเกิดมีอารมณ์มีความรู้สึกที่แบบว่าอยากบอกรักพระเยซู อยากรักพระเยซู มันเกิดความรักที่ไฟแห่งความรักมันเริ่มเผาขึ้นในชีวิตของเรา แล้วเราก็บอกรักต่อไป ต่อไป
ข้อที่ 1. คือสนิทสร้างความผูกพัน พูดคุยสนทนากับพระเยซูเป็นระยะๆ ในแต่ละวัน ไม่ว่าอยู่ไหน ไม่ว่าจะทำอะไร
ข้อที่ 2. ก็คือบอกรักพระเยซู บอกรักเพราะว่าพระเจ้าต้องการความรักจากเรา เมื่อเราบอกรักพระองค์ พระองค์จะเอาความรักมาใส่ในใจเรา เราจะสามารถรักพระองค์มากขึ้นได้ แล้วเราจะสามารถเริ่มรักมนุษย์ได้ ไม่เพียงแต่มนุษย์ เราจะรักศัตรูได้ รักคนที่ไม่น่ารักได้
ข้อที่ 3. คือสะสมพระคำที่เป็นพระคำล้ำลึก พระคำที่เป็นอาหารผู้ใหญ่สะสมไว้เยอะๆ การสะสมพระคำนี้ สำคัญมากเท่ากับข้อที่ 1. คือสนิท และข้อที่ 2. คือการบอกรัก ข้อที่ 3. ก็สำคัญเท่าๆ กัน
เพราะว่าพระเยซูพูดในยอห์นบทที่ 17:17 "ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริงของพระองค์พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง" เราได้รับการชำระด้วยพระคำหมายความว่ายังไง? การชำระด้วยพระคำนี้ก็คือเราได้ถูกเปิดตา ได้รู้ความจริง ได้เข้าใจพระคำที่แปลถูก
การแปลพระคำภีร์ผิดคือการได้กินเชื้อยีสต์ (มธ 13:33-35) เมื่อกินเชื้อยีสต์เข้าไปเราโตไม่ได้ ซาตานมันฉลาดมันให้อาจารย์ให้ผู้นำให้คริสเตียนทั่วไปทุกวันนี้สะสมพระคำที่แปลไม่ถูกกินเข้าไปเป็นเชื้อยีสต์เราไม่โต
แต่เปาโลบอกว่าพวกเจ้าจงกินอาหารที่เป็นอาหารผู้ใหญ่ อาหารผู้ใหญ่ คือมานาที่ซ่อนไว้ ที่เป็นพระคำล้ำลึก ที่ไม่เปิดให้หลายคนที่ไม่ถ่อมตัว ฉะนั้นเราสามารถค้นหาพระคำล้ำลึกนี้ พระคำที่แปลถูกนี้ได้โดย มานาที่ซ่อนไว้
....
สำหรับข้าพเจ้าแล้วเรื่องการดำเนินชีวิตอยู่วันต่อวัน มันช่วยชีวิตข้าพเจ้าได้มาก แล้วข้าพเจ้าก็เชื่อว่ามันจะช่วยชีวิตของพี่น้องอีกหลายคน ที่มีปม ปมด้อย ที่มีอดีตที่ไม่สวยงาม มีอดีตที่ชอกช้ำที่เจ็บปวดที่ไม่สามารถลืมมันได้ แต่เมื่อเรามาพบบทเรียน มีชีวิตอยู่วันต่อวัน
มันจะปลดปล่อยเลย ปลดปล่อยทุกอย่างออกไปเลย และเมื่อเราเรียนรู้แล้ว เราเชื่อแล้ว เรารับเอาสิ่งนี้ว่าเป็นคำสอนของพระเยซู เป็นคำสั่งของพระเยซู เป็นพระบัญญัติใหม่ แล้วเราเอเมนกับสิ่งนี้ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้ปลดปล่อยเรา จะทำให้เราสบายใจเกิดมีความชื่นชมยินดี ปลดทุกข์ที่อยู่ในใจเราที่มีมาตั้งแต่นาน
อันนี้เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าที่ตัวเองได้ประสบการณ์กับมัน และหลายคนที่ได้พบมานาที่ซ่อนไว้ ที่พบบทเรียนนี้แล้วเอาไปปฏิบัติใช้ หลายคนก็ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตเขาได้มาก
สำหรับบทเรียนเรื่องการใช้ชีวิตอยู่วันต่อวัน การมีชีวิตอยู่แต่ละวัน เป็นบทเรียนที่ช่วยชีวิตข้าพเจ้าได้มาก ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าเพราะว่าข้าพเจ้าได้ผ่านชีวิตมาอย่าง โชกโชน ที่เจ็บปวด ที่ไม่ราบรื่น ไม่สวยงามเหมือนหลายคน เป็นทั้งความผิดของข้าพเจ้าบ้าง เป็นความผิดของคนที่อยู่รอบข้างบ้าง คือไม่เกี่ยวกับความผิดของใคร แต่ว่าที่ผ่านมาข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นคนที่เจอหลายสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเจอก็ได้เจอ
แต่ความเจ็บปวดเหล่านี้ ความทรงจำไม่ดีเหล่านี้ มันถูกปลด มันถูกยกออกไปหมดเลย เมื่อข้าพเจ้าได้ฝึก ได้เรียน ได้นำมาใช้ การมีชีวิตอยู่วันต่อวัน ทำให้เราไม่จดจำความผิดของใคร ไม่จดจำอดีตที่ไม่สวยงาม อดีตที่เจ็บปวดของเรา
แล้วก็ขอบคุณพระเจ้าที่มันได้ช่วยชีวิตพี่น้องคริสเตียนหลายคน ที่เขาก็เป็นพยานกันว่าเมื่อได้เรียนบทเรียนนี้แล้ว เขาก็ได้หลุดพ้นจากภาระหนัก ความเจ็บช้ำใจ ความเจ็บปวดใจ การแบกเอาสิ่งที่เป็นอดีตของตัวเองแล้วก็ของคนอื่นเอามาไว้ มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร แท้ที่จริง
แต่ก็เป็นสิ่งที่พระเยซูได้เมตตาและได้ให้พวกเราหลายคนได้มาพบความจริงอันนี้ และเรานำมาใช้แล้วมันก็เกิดผล เอเมน