4:1 ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆ วิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณเหล่านั้นว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากออกเที่ยวไปในโลก
** การพิสูจน์วิญญาณ ในข้อนี้ ท่านยอห์น หมายถึง ผู้เผยพระวจนะที่มาจากพระเจ้า หรือไม่ได้มาจากพระเจ้า เนื่องจากว่ามีผู้คนมากมายต่างก็เรียกตนเองว่า อาจารย์ และอ้างตนว่ามาจากพระเจ้า พระเจ้าเลือกเขาให้เป็นผู้นำผู้รับใช้ ประกาศเทศนาสั่งสอน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่
4:2 โดยข้อนี้ท่านทั้งหลายก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้า คือวิญญาณทั้งปวงที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า
** คำสอนที่สำคัญมากกว่าทุกคำสอน ก็คือพระเยซูเป็นพระเจ้า และทรงเสด็จมาเป็นมนุษย์ ซึ่งถ้าหากใครปฏิเสธคำสอนนี้ ก็คือวิญญาณที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าอย่างแน่นอน จากนั้นพวกเขาก็สอนบิดเบือนความจริงโดยใช้ความคิดสติปัญญาของอาดัมที่มีซาตานคอยป้อนความไม่จริงให้ ทำให้เกิดมีเชื้อเต็มในคริสตจักรของพระเจ้า
4:3 และวิญญาณทั้งปวงที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า วิญญาณนั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินว่าจะมา และบัดนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว
** การงานของซาตานไม่เพียงแต่เฉพาะปิดหูบังตามนุษย์ไม่ให้รู้จักพระเจ้าและพระเยซู แต่มันยังอยู่เบื้องหลังคำสอนที่ผิดเพี้ยนเพื่อให้ผู้เชื่อทั่วโลกหลงทางไปจากความจริงแห่งพระคำ
4:4 ลูกเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้สถิตอยู่ในท่านทั้งหลายเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก
** ลูกเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย ภาษากรีกเขียนว่า “เด็ก” เล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย ไม่มีคำว่า “ลูก” และคำว่า เด็กเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย ในที่นี้ คือผู้เชื่อทั้งหลายที่ยังเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณพวกเขาได้บังเกิดใหม่ เป็นฝ่ายพระเจ้า และมีชัยชนะต่ออำนาจทุกชนิดของผีมารซาตาน คริสเตียนจึงไม่ควรกลัวผี กลัววิญญาณ อำนาจมืด ฤทธิ์เดชทั้งหลาย การอัศจรรย์ทั้งหลาย การกระทำทั้งหลายของพวกมัน
4:5 เขาเหล่านั้นเป็นฝ่ายโลก เหตุฉะนั้นเขาจึงพูดตามโลก และโลกก็ฟังเขา
** บรรดาคริสเตียนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง จะหลงเชื่อคำสอนที่ผิด หรือที่เรียกว่าคำสอนเทียมเท็จ พวกเขาจะเชื่อฟังผู้นำที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าเป็นคนพูด ส่วนบรรดาคริสเตียนศาสนาได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริงแล้วก็ตาม ถ้าหากเขาไม่ยากจนในวิญญาณ ก็จะถูกปิดหูปิดตาไม่ให้มาถึงพระคำแห่งความจริงอย่างแน่นอน
4:6 เราทั้งหลายเป็นฝ่ายพระเจ้า ผู้ที่รู้จักพระเจ้าก็ฟังเรา และผู้ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายพระเจ้าก็ไม่ฟังเรา ดังนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้จักวิญญาณแห่งความจริงและวิญญาณแห่งความเท็จ
** เป็นฝ่ายพระเจ้า ในที่นี้ คือท่านยอห์น หมายถึง ผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง พวกเขามีพระวิญญาณแห่งความจริงรักษาเขาไว้จากคำสอนเทียมเท็จ และยิ่งกว่านั้นก็ยังมีผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดตาเขาจึงพิสูจน์วิญญาณได้ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่
สรุป
- ผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่แล้วจะไม่หลงทาง และหลงเชื่อคำสอนเทียมเท็จ
- ส่วนผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดตาจะไม่หลงเชื่อคำสอนที่เป็นเชื้อยีสต์ และสามารถพิสูจน์วิญญาณได้ว่าผู้รับใช้คนไหนที่มาจากพระเจ้าหรือไม่
- ผู้เชื่อทุกคนมีชัยชนะต่ออำนาจผีมารซาตานทุกชนิดแล้วเราจึงไม่ควรกลัวมันอีกต่อไป
4:7 พวกท่านที่รัก ขอให้พวกเรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักเป็นของพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า
** เพราะว่าความรัก เป็นของพระเจ้า คำว่า รัก ในที่นี้คือ อากาเป คือความรักที่พระเจ้ามี และมนุษย์ดินไม่มี เราจึงต้องให้พระเจ้ารักผู้อื่นแทน เพราะว่าเราไม่มีอากาเป
** ทุกคนที่รักก็บังเกิดจากพระเจ้า คือทุกคนที่ได้รู้ เข้าใจ เชื่อมั่น ว่าตนได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง เนื่องจากว่าเขาได้พบพระคำล้ำลึก เขาจึงเริ่มฝึกเดิน และเอาความรักอากาเปเป็นหลักในการดำเนินชีวิตประจำวัน
4:8 ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก
** ผู้เชื่อมากมายยังไม่แน่ใจว่าเขาได้บังเกิดใหม่จริงหรือไม่และบังเกิดใหม่เมื่อไหร่ อีกทั้งยังไม่ได้รู้จักพระเจ้าแบบ รู้จัก จึงไม่แปลกใจที่พระเยซูตรัสกับพวกเขาใน มธ 7:21-23 ว่า เราไม่รู้จักเจ้า
สำหรับชาวยิวมีสอง รู้จัก คือรู้จักชื่อและหน้าตา แต่รู้จักที่สองก็คือสนิทชิดเชื้อมีความผูกพันธ์ที่ดีต่อกัน
ยกตัวอย่างภาษาฮีบรูในปฐมกาล 4:1 อาดัมได้รู้จักกับเอวาภรรยาของเขา และนางได้ตั้งครรภ์
4:9 ในสิ่งนี้ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลายก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรที่บังเกิดมาองค์เดียวของพระองค์ให้เสด็จเข้ามาในโลก เพื่อพวกเราจะได้ดำรงชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น
4:10 ในสิ่งนี้แหละเป็นความรัก มิใช่ที่พวกเราได้รักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ได้ทรงรักพวกเรา และได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้เป็นผู้ลบล้างพระอาชญาเพราะบาปทั้งหลายของพวกเรา
** พระเจ้าทรง รัก โลก พระบุตรยินยอมลงมาเพื่อตายไถ่บาปโลกเพื่อให้ความรักของพระเจ้าสำเร็จ การเสด็จมาของพระเยซูเรียกว่าพระคุณของพระเยซูที่มีต่อโลก
ส่วนพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้ความรักของพระเจ้า และพระคุณของพระเยซูมาถึงมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยไม่มีวันจบสิ้น เรียกว่าการสนิทสนมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีต่อเรา (love of God, the grace of Christ and communion of the Holy Spirit)
4:11 พวกท่านที่รัก ถ้าพระเจ้าได้ทรงรักพวกเราเช่นนี้ พวกเราก็ควรจะรักซึ่งกันและกันด้วย
** เรื่องพระเจ้ากับมนุษย์ แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องของความรัก พระเจ้าทรงเป็นอยู่เพื่อรักเพราะรัก เราจึงอยู่เพื่อรักพระเจ้าและรักทุกคนทุกสิ่ง นี่คือที่มาของคำว่า เอารักเป็นหลัก เป็นที่หนึ่ง และเป็นศูนย์กลาง เรื่องอื่นเป็นรอง
4:12 ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเคยเห็นพระเจ้าไม่ว่าเวลาใด ถ้าพวกเรารักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในพวกเรา และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในพวกเรา
** ถ้าหากเรารักกันและกันได้ เราจึงเห็นการสถิตอยู่ของพระองค์ในเรา และความรักของพระองค์สำแดงในเราอย่างครบบริบูรณ์
4:13 โดยการนี้แหละพวกเราจึงทราบว่า พวกเราดำรงอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในพวกเรา เพราะพระองค์ได้โปรดประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่พวกเรา
** ผู้เชื่อที่พระเจ้าอยู่ในเขาและเขาอยู่ในพระเจ้า เราสังเกตได้จากการสำแดงความรัก สุภาพอ่อนโยน อ่อนน้อม ถ่อมตน ต่ำถ่อม และยอมเสียเปรียบ
4:14 และพวกเราได้เห็นและเป็นพยานจริง ๆ ว่า พระบิดาได้ทรงส่งพระบุตรให้เสด็จมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก
** เมื่อเราสัมผัสความรักของพระเจ้าอย่างมากมายที่อยู่ภายในเรา เราจึงกล้าเป็นพยานถึงความรักที่พระเจ้ามีต่อโลกจนได้ประทานพระบุตรเพื่อลงมาตายไถ่บาปโลก
4:15 ผู้ใดก็ตามที่จะยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในผู้นั้น และผู้นั้นดำรงอยู่ในพระเจ้า
** ยอมรับ หรือ ประกาศ คือผู้ที่เชื่อและยอมรับ และประกาศว่า พระเยซูเป็นพระเจ้าพระภาคพระบุตร หรือพระบุตรของพระเจ้า ที่มีความเท่าเทียมกับพระเจ้าพระบิดา เขาก็ได้บังเกิดใหม่และพระเจ้าทั้งสามพระภาคก็สถิตอยู่ในผู้นั้น และเขาก็มีโอกาสสนิทในพระเจ้าได้
4:16 และพวกเราได้ทราบและเชื่อความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่ดำรงอยู่ในความรักก็ดำรงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในผู้นั้น
** สำหรับผู้เชื่อที่ดำรงอยู่ในความรัก เอารักเป็นหลัก เป็นที่หนึ่ง เป็นศูนย์กลาง เขามีความรักของพระเจ้าเต็มล้นอยู่ภายใน และการสำแดงเป็นความชอบธรรมออกมาสู่ภายนอก
4:17 ในสิ่งนี้แหละความรักของพวกเราก็ถูกทำให้สมบูรณ์ เพื่อพวกเราจะได้มีใจกล้าในวันแห่งการพิพากษา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างไร พวกเราก็เป็นอย่างนั้นในโลกนี้
** คำว่า “ในสิ่งนี้แหละความรักของพวกเราก็ถูกทำให้สมบูรณ์” ความหมายคือ..
- “ในสิ่งนี้” คือการดำเนินชีวิตที่สนิทในพระเยซูและพระเยซูสนิทในเรา
- “ความรักของพวกเราก็ถูกทำให้สมบูรณ์” คือเพราะว่าพระองค์เป็นความรักและความรักของพระองค์ก็เต็มล้นในเรา เราจึงรักพระเจ้าสุดจิตสุดใจและรักเพื่อนบ้าน รักศัตรู รักทุกคนได้โดยไม่มีเงื่อนไข
** เมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยเอารักเป็นหลัก เป็นที่หนึ่ง เป็นศูนย์กลาง เราจึงไม่กลัวจะถูกปฎิเสธเมื่อพระเยซูกลับมาพิพากษาผู้เชื่อทั้งหลาย
4:18 ไม่มีความกลัวในความรัก แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ขจัดความกลัวออกไปเสีย เพราะว่าความกลัวมีความทุกข์ทรมาน ผู้ที่กลัวก็ยังไม่ถูกทำให้สมบูรณ์ในความรัก
** เรารู้ดีว่า คริสเตียนศาสนามีแต่ความกลัว เนื่องจากว่าเขายังสับสนเรื่องจะรอดหรือไม่รอด เขายังทำบาปมากมายพระเจ้าจะยกโทษหรือไม่ยกโทษ เขาไม่ได้รักพระเจ้าสุดจิตสุดใจและไม่รักใครด้วยอากาเปเลยเพราะว่าเขาไม่มี ผู้เชื่อทุกวันนี้จึงอยู่ด้วยความกลัว และทนทุกข์ทรมานเพราะว่าพวกเขาไม่พบทางออกของชีวิต
4:19 พวกเรารักพระองค์ ก็เพราะพระองค์ได้ทรงรักพวกเราก่อน
** ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าทุกวันนี้ ได้มาจากความรักที่พระองค์ประทานให้เราในเรา เมื่อพระคริสต์ทรงสถิตอยู่ภายในเรา พระองค์เป็นความรัก พระองค์รักเราในเรา และให้ความรักนี้เกิดผลและทำกิจภายในเรา สุดท้ายสิ่งที่เราได้รับ ก็คือความรัก และความรักก็เต็มล้นในเรา เราจึง รัก (อากาเป) พระเจ้าและทุกคนได้
4:20 ถ้าผู้ใดกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” และยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่เขาแลเห็นแล้ว เขาจะรักพระเจ้าที่เขาไม่เคยเห็นอย่างไรได้
** ผู้เชื่อที่กล่าวว่า ข้าพเจ้ารักพระเจ้า แต่ยังเกลียดชังพี่น้อง คือผู้เชื่อที่ไม่ได้สนิทในพระเยซูจริงๆ เขายังไม่มาถึงพระคำล้ำลึก ยังไม่พบความสว่างของพระเยซู (ยอห์น 2:9) ถ้าหากเขาสนิทในพระเยซูและพระเยซูสนิทในเขา เขาก็จะต่ำถ่อมยอมเสียเปรียบและรักทุกคนได้ และยิ่งไปกว่านั้นเขาจะรักพระเจ้าที่ตามองไม่เห็นได้
4:21 และพระบัญญัตินี้พวกเราได้มาจากพระองค์ คือให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย
** “พระบัญญัตินี้” ในที่นี้ คือพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู (ยอห์น 13:34 / 1 ยน 2:7-11)