1. ยิวไม่มีสิทธิ์ประหารชีวิตใครจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองแห่งอาณาจักรโรมัน ความเกลียดชังเกิดขึ้นกับผู้ที่รักความชอบธรรมและยุติธรรม จนต้องสาบาน หาวิธีเพื่อฆ่า ข่มเหง ทำร้าย ทำลายผู้อื่น เป็นสิ่งที่มาจากอาดัม ไม่ได้มาจากพระเจ้า บุตรพระเจ้าจะไม่เอาเรื่องใครไม่ต่อสู้ใครเพราะว่าการสู้รบและการตอบแทนแก้แค้นเป็นของพระเจ้า
2. ยิวมองเห็นว่าพระเยซูและสาวกทั้งหลายทั้งเปาโลคือครูสอนเทียมเท็จที่ขัดแย้งและต่อต้านศาสนายิว จึงพยายามขัดขวางไล่ล่าฆ่าฟันเพื่อที่จะทำลายลัทธินิกายพวกนาซาเร็ธ แต่ขอบพระคุณพระเจ้ายิ่งฆ่าก็ยิ่งโตจนกลายเป็นนิกายที่มีผู้เชื่อมากมายเต็มแผ่นดิน
- ความผิดใหญ่ๆ ของพระเยซู สาวก และเปาโล สำหรับพวกยิวก็คือการไม่ให้ความสำคัญต่อพระบัญญัติเดิม ไม่แนะนำผู้เชื่อให้รักษาพระบัญญัติเดิม และไม่ไปร่วมกับยิวที่พระวิหารอีกต่อไป เนื่องจากว่าพวกยิวไม่เข้าใจระบบใหม่ พันธสัญญาใหม่ พระบัญญัติใหม่และยุคใหม่ (ยุคพระคุณ) ของพระเจ้านั่นเอง และการถกเถียงขัดแย้งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวก็มีอยู่ท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลาย
- ท่ามกลางนิกายพวกนาซาเร็ธ (คริสเตียน) ก็มีคณะนิกายเป็นพันนิกายที่มีหลักความเชื่อที่แตกต่างกันขณะที่มีบางนิกายใหญ่ๆ ที่ขัดแย้งกันเรื่องเชื่อเท่านั้นก็รอดและเชื่อไม่พอยังต้องเลิกทำบาปรักษาพระบัญญัติถึงจะรอด บัพติศมาจุ่มให้มิดและแค่พรมก็ได้ ถือวันสะบาโตของยิวและถือสะบาโตใหม่ของพระเยซู ฯลฯ
สำหรับชีวิตคริสเตียนเราส่วนมากมักจะมีประสบการณ์คล้ายๆ กันเรื่องเกี่ยวกับการเข้ามาอยู่ในคริสตจักร ไปโบสถ์ เชื่อแล้วก็ไม่เข้าใจพระคำพระเจ้า ไม่เข้าใจพระคัมภีร์ ถึงแม้ว่าหลายคนจะอ้างว่าอ่านมาหลายรอบแต่ความเข้าใจจริงๆ มันไม่มี
เพราะฉะนั้นเราขอบคุณพระเยซูที่พระคำล้ำลึกหรือมานาที่ซ่อนไว้มีคำตอบ เราแต่ก่อนสับสนในความเชื่อเห็นมีการถกเถียงขัดแย้งแบ่งแยกแตกแยกออกเป็นหลายคณะนิกายจนเป็นร้อยเป็นพัน บ้างก็เชื่อว่าเชื่อเท่านั้นก็พอ ความรอดก็มาถึงเราเพราะว่าความรอดเป็นของขวัญจากพระเจ้า แต่บางคณะนิกายกลับบอกว่าไม่ได้ เชื่อเท่านั้นไม่พอยังต้องรักษาพระบัญญัติ ต้องเลิกทำบาป ต้องไม่มีความผิดบาปโดยสิ้นเชิง รักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ทุกๆ วัน
วันไหนทำบาปปุ๊บถ้าวันนั้นเป็นวันที่พระเยซูเสด็จมา ก็คือไม่รอด แล้ววันไหนที่รักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ ไม่ทำบาปได้ วันนั้นก็สบายใจก็ดีใจ วันไหนทำบาปอีกก็กลัว กลัวว่าจะไม่รอด เพราะฉะนั้นพี่น้องเหล่านี้ก็พยายามรักษาพระบัญญัติ แต่สิ่งที่เราได้รู้ก็คือ ไม่มีใครที่รักษาพระบัญญัติได้จริงๆ เปาโลเปิดเผยในโรมบทที่ 7 ไม่มีใครเป็นคนชอบธรรม ไม่มีใครรักษาพระบัญญัติได้แม้แต่คนเดียว ไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นเราสรุปได้ก็คือพี่น้องมากมายก็คือใส่หน้ากากไว้ก่อน อันนี้มันเป็นอาการของคริสเตียนทั่วไปโดยส่วนมากที่ใช้คำนี้ ก็คือใส่หน้ากากไว้ก่อน เพื่อรอการถอดหน้ากาก ความหมายคืออะไร เราเชื่อปุ๊บเราไปโบสถ์เห็นพี่น้องยิ้มแย้ม ดูดี น่ารักกันทุกคน แล้วก็แสดงตนว่าเป็นผู้ชอบธรรมไม่ทำบาป แต่แท้ที่จริงไม่ใช่มันคือการแสดง แล้วเราเองก็แสดงร่วมกับเขา อันนี้เรียกว่าใส่หน้ากากไว้เพื่อรอการเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงมันไม่มาสักที อันนี้น่าสมเพชมากใช่ไหม
ผมเอง พวกเราเอง แล้วก็พี่น้องคริสเตียนทั่วไปทุกวันนี้ก็เจอในลักษณะนี้ ก็คือการใส่หน้ากากที่รอวันถอดหน้ากากแต่มันไม่มาถึงสักทีที่จะถอดได้
แต่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับมานาฯ เราฝึกเราเดินเราสนิทเราบอกรัก มีความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น ซึ่งหลายคนอาจจะเจอปัญหา หลายคนอาจจะยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเรื่องการทำผิดทำบาป แต่ขอบคุณพระเจ้าที่อย่างน้อยก็ยังมีผลที่เกิดขึ้น อย่างน้อยเรียกว่ามีความก้าวหน้า เอเมนพระเยซู
ซึ้งซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนใช่ไหมที่มันไม่มีความก้าวหน้า มันไม่ไปถึงไหน ชีวิตก็ขึ้นลงขึ้นลงสุขทุกข์ดีบาปไปจนตาย ถ้าหากไม่เจอมานาฯ ไม่พบมานาฯ เพราะฉะนั้นเราขอบคุณพระเยซูสำหรับมานาที่ซ่อนไว้ เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคำล้ำลึกที่นำเรามาถึงตาสว่าง ความสว่างของตา มันได้เห็นครบถ้วน ยิ่งเห็นมากเท่าไหร่การเดินก็ยิ่งชัดเจนมากเท่านั้น
เราลองนึกดูว่าคนที่เดินในความมืด คนที่ตาบอดไม่เห็นอะไร มันจะเป็นชีวิตที่น่าสงสารมาก เพราะว่าทุกวันนี้ชีวิตของเรานะครับจริงๆ แล้วตามปกติเราต้องเดินด้วยตา คือถ้ามองเห็นถ้าตาสว่าง เราเดินไปไหนเราทำอะไร ก็ทำได้ง่ายๆ แต่ถ้าหากตาบอด ก็คือเดินไปไหนก็ยาก มองอะไรก็ไม่เห็น ทำอะไรก็ยาก ยากไปหมด สับสนยุ่งวุ่นวายไปหมด
แต่ขอบคุณพระเยซูเรามารู้แล้วว่าสำหรับชีวิตคริสเตียนแท้ที่จริงไม่ได้เดินด้วยเท้า แต่เราเดินด้วยตา เราเอาตาเดินไม่ได้เอาเท้าเดินเหมือนคนทั่วไป
มันคืออะไร เอาตาเดิน?
ก็คือตาที่ถูกเปิด เราเห็นความจริง เราก็เดินในความสว่างของพระเจ้าได้ ถ้าตาบอดไม่ถูกเปิด เราไม่เห็นความจริงของพระเจ้า เราก็ยังทำผิดๆ ถูกๆ ชีวิตขึ้นลงสุขทุกข์ดีบาปเหมือนที่พี่น้องคริสเตียนทั่วไปทุกวันนี้กำลังเป็นอยู่กำลังทำอยู่ เพราะฉะนั้นเราขอบคุณพระเยซูที่เราได้มาพบว่าความรักของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา เรากล้าพูดเราได้สัมผัสเรามีประสบการณ์ในความรักของพระเจ้า เพราะว่าเราได้มาพบมานาที่ซ่อนไว้ สรรเสริญพระเยซู
เรื่องความเชื่อหลักคำสอนนะครับที่เป็นประเด็นใหญ่ที่มีการถกเถียงขัดแย้งเต็มโลกและโดยเฉพาะตอนที่ผมได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์คริสตจักรในอเมริกา ก็คือจนเกิดมีสงครามนะครับระหว่างภาคใต้และภาคเหนือ เกี่ยวกับเรื่องการรับบัพติศมา กลุ่มนึงบอกว่าต้องรับบัพติศมาต้องจุ่มให้มิด แต่อีกกลุ่มบอกว่าแค่พรมก็พอ มันยุ่งยากเพราะว่าทำเป็นแค่พิธี แต่จริงๆ แล้วเราพบว่าการรับบัพติศมาเล็งถึงการตายการถูกฝัง นี่คือความจริงของพระเจ้า เพราะฉะนั้นการรับบัพติศมาโดยการจุ่มให้มิด ก็คือสิ่งที่เราควรจะทำนะครับ แต่พี่น้องคริสเตียนอีกฝ่ายไม่ยอมรับ ก็เกิดมีสงครามกลางเมืองที่อเมริกา
แล้วก็เรื่องหลักความเชื่อเกี่ยวกับ เชื่อเท่านั้นก็พอไม่ต้องรักษาพระบัญญัติ ไม่ต้องเชื่อฟังชีวิตไม่ต้องดีเพอร์เฟกต์ ยังทำบาปอยู่แต่เชื่อในพระเยซู พระโลหิตของพระเยซูก็ชำระเราให้บริสุทธิ์เท่ากับพระเจ้าและความบริสุทธิ์นั้นเป็นความบริสุทธิ์ของพระเยซูที่ให้เรา ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ของเรา สรรเสริญพระเยซูในความจริงนี้
แต่ข่าวร้ายก็คือ ยังมีพี่น้องกลุ่มผู้เชื่ออีกมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มที่ใหญ่ๆ ทุกวันนี้ที่เราเห็น ก็คือกลุ่มเพนเทคอส หรือกลุ่มที่เน้นพระวิญญาณ เน้นกลุ่มไฟ กลุ่มเหล่านี้พี่น้องเหล่านี้จะบอกว่า คุณเชื่อยังไม่พอนะ พระเยซูช่วยให้คุณได้รอด การตายของพระเยซูบนกางเขน ยังไม่พอ คุณเองก็ต้องรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ต้องเลิกทำบาปทั้งหมดให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็คือไม่รอด วันนี้คุณทำดี พระเยซูมาคุณรอด พรุ่งนี้คุณทำบาป พระเยซูมาตอนที่คุณทำบาปอยู่คุณไม่รอด นี่คือความเชื่อของพี่น้องเพนเทคอสหรือกลุ่มไฟ
เพราะฉะนั้นเขาจึงกลัวนะครับ เขาจึงกลัวและพยายามรักษาพระบัญญัติให้ได้ โดยการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ ไปเจิมไฟไปรับไฟที่คริสตจักรทุกๆ วันอาทิตย์ แต่ปรากฏว่าชีวิตแท้ที่จริง อันนี้ผมเคยอยู่ในกลุ่มเพนเทคอส เคยอยู่นะครับ แล้วขอบอกความจริงเลยมันมีการแสดงละครมันมีการสวมหน้ากากมันมีการหน้าซื่อใจคดเต็มไปหมด ชีวิตอยู่ในคริสตจักรดูดีมากน่ารักมาก ทุกคนดูชอบธรรมเข้มแข็ง แต่อยู่ภายนอกคริสตจักรเป็นอีกคนละคน
เราไม่ได้ตัดสินใครเราไม่ได้ใส่ร้ายใครเราไม่กล่าวหาใคร แต่นี่คือการศึกษาการเรียนรู้การเปิดเผยความจริงที่มีท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลาย เพื่ออะไรครับ เพื่อเราจะกลับใจ ถ้าหากพี่น้องคริสตจักรกลุ่มเพนเทคอสฟังอยู่นะครับ กลับใจ หรือพวกเราที่ยังต้องการการเจิมด้วยไฟ รับไฟเพื่อให้ได้เป็นผู้ชอบธรรมเป็นผู้ชนะ มันไม่มีครับไม่มี ผมลองมาแล้วลองมาหลายปีแล้วสุดท้ายก็ยอม ยอมแพ้
เราขอบคุณพระเจ้าที่เราพบความจริงว่า เชื่อเท่านั้นก็พอ เพราะว่าความรอดเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ โดยไม่ต้องพึ่งการปฏิบัติ โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำ เพราะว่าถ้าหากเราจะต้องพึ่งการกระทำความรอดหรือพระคุณก็ไม่ใช่พระคุณอีกต่อไป เปาโลพูดโดยพระวิญญาณใน เอเฟซัส 2:8-9 ขอบคุณพระเยซู
ซึ่งผมเข้าใจนะครับว่าพี่น้องหลายกลุ่มที่อ้างว่าเชื่อยังไม่พอต้องรักษาพระบัญญัติ ต้องเชื่อฟัง ถ้าไม่อย่างนั้นไม่รอด เพราะว่าตาที่มองเห็นความผิดบาป ยังมองดูความผิดบาปอยู่ สิ่งที่ผิดบาปอยู่ ต้องควักมันออก แล้วมือข้างไหนที่ทำผิดต้องตัดมันทิ้ง นี่คือคำสอนที่เขาใช้เพื่อยืนยันว่า เชื่อยังไม่พอต้องรักษาพระบัญญัติ ต้องรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์
แต่เราพบความจริงว่า ในคำสอนของพระเยซูที่บอกว่า ควักตาออก ตัดมือทิ้ง แท้ที่จริงแล้วก็คือตัดใจ แล้วการตัดใจได้ คือใครต้องเป็นคนตัดใจให้เรา ก็คือพระเยซู เพราะฉะนั้นการตัดใจการควักตาแท้ที่จริงแล้วก็คือการรับการชำระโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยพระคำพระเจ้าเพื่อเดินในความจริง สนิทในพระเยซู บอกรักพระเยซู สุดท้ายเราก็กลายเป็นผู้ชอบธรรม ตาที่เคยอยากมองในสิ่งที่ไม่ดี เรากลับอยากมองที่พระคำพระเจ้าอยากอ่านพระคัมภีร์ มือที่เราเคยคิดที่จะชอบรักชอบในการทำบาป แต่กลับไปเปิดอ่านพระคำพระเจ้าและไปทำในสิ่งที่ดีที่ชอบธรรมที่บริสุทธิ์ เพื่อให้สำเร็จตามน้ำพระทัยของพระองค์ ทุกสิ่งเหล่านี้คือการตัดใจ
ใจเราคือปัญหา ปัญหาของเราอยู่ที่ใจ ถ้าใจดีทุกอย่างก็ดี ถ้าใจไม่ดีก็ไปทำบาป เพราะฉะนั้นเราขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้เรามาถึงการชำระจิตของเรา โดยเชื่อว่าพระคริสต์ครอบครองจิตของเราแล้วทุกส่วน เราเชื่อแบบนี้ทุกวัน และเชื่อว่าเราเป็นผู้ชนะแล้ว ไม่นานเราจะเห็นผลและมีประสบการณ์ในการมีชีวิตผู้ชนะได้ เอเมนพระเยซู
และยังมีอีกคำสอนมากมายซึ่งขัดแย้งท่ามกลางคริสตจักรของพระเจ้า แต่เราพบว่าเมื่อเราพบมานาฯ มานาฯ เป็นคำตอบของความสับสน ความข้องใจ ความขัดแย้งทุกสิ่งในท่ามกลางพี่น้องคริสเตียนและคริสตจักรทั้งหลาย ถ้าเราพบมานาฯ พระคำพระเจ้าที่ขัดแย้งที่มีคำถามอยู่เป็นร้อยเป็นพันคำถาม เราก็ได้พบคำตอบแล้ว เอเมน
ผมเป็นคริสเตียน แล้วก็เป็นผู้นำ แล้วก็เป็นศิษยาภิบาล ตั้งแต่เป็นคริสเตียนจนถึงเป็นผู้นำเป็นผู้รับใช้ ก็รวม 18 ปี ตอนที่อยู่อเมริกานะครับ แล้วตอนนั้นก็ยังไม่ได้พบมานา ผมเข้าใจดีแล้วก็ประสบการณ์ของผมก็ไม่ต่างไปจากประสบการณ์ของพี่น้องที่เชื่อในพระเยซูทุกคน ก็คือเราสับสนในความเชื่อ เราไม่แน่ใจนะครับว่าหลักคำสอนไหนเป็นหลักคำสอนที่เราจะยึดเป็นความจริงเพื่อดำเนินชีวิตของเรา เพียงแต่ว่าเราเดินไปในแต่ละวัน ยุ่งอยู่กับการทำงานการทำมาหากินเลี้ยงชีพบ้าง แล้วก็ใช้เวลาบางส่วนเพื่อรับใช้ เพื่ออ่านพระคำพระเจ้า เพื่ออธิษฐาน เพราะฉะนั้นการค้นหาความจริงของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ยากมากเป็นเรื่องที่ยากมาก
แต่ตอนนี้เมื่อเราพบมานาฯ ทุกสิ่งมันง่ายไปหมด ทุกสิ่งถูกไขปริศนา ไขความข้องใจ ความเข้าใจก็เข้ามา สรรเสริญพระเยซูที่ตาเราสว่างแล้ว เอเมน
การดำเนินชีวิตที่ขอให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จ หรือขอให้เป็นตามใจของพระเจ้า เป็นสิ่งที่เราควรทำเป็นความคิดที่ฉลาดมากๆ
เมื่อเราเอาใจพระเจ้า พระเจ้าก็จะเอาใจเรา เมื่อเราเอาใจพระเจ้า เราก็ไม่ต้องเอาใจผู้อื่น ใช่ไหม
การเอาใจผู้อื่นทำให้ถูกใจทุกคนมันเป็นสิ่งที่ยากมาก ร้อยคนก็ร้อยหัวใจร้อยจิตใจ แต่พระเจ้ามีหัวใจเดียว เราเอาใจพระเจ้าคนเดียว พระเจ้าจะเปลี่ยนหัวใจทุกคนให้มาชอบมารักเรามาทำดีกับเรา เอเมน
และการที่เราจะเอาใจเราเองอยากทำตามใจเราอยากทำในสิ่งที่เราคิดเห็นว่าชอบ ปรากฏว่าใจเรามันเปลี่ยนง่าย เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ไม่ดี เดี๋ยวก็ชอบ เดี๋ยวก็ไม่ชอบ เดี๋ยวก็อยากได้อันนี้ เดี๋ยวก็อยากได้อันนั้น เดี๋ยวก็เลิกอยากได้ มันเปลี่ยนไปมา
แต่สำหรับพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยน เราเอาใจพระเจ้า พระเจ้ารู้ใจเราว่าเราควรจะใช้อะไรดี รับอะไรดี อะไรควรจะเข้ามาในชีวิตของเรา เราควรจะทำอะไรดี พระเจ้ารู้หมด เพราะฉะนั้น “การเอาใจพระเจ้า พระเจ้าก็จะจัดเตรียมสิ่งที่ดีทั้งหมดให้เรา เอเมน”
เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับมานาฯ ที่เราได้มีชีวิตที่เต็มล้นด้วยสันติสุข เต็มล้นด้วยพระวิญญาณทุกวัน เพียงแค่เราตื่นนอนรู้สึกเหนื่อยอ่อนแอ เราก็บอกว่า “พระเยซูขอบพระคุณพระองค์ในพระคริสต์มีแต่ความเข้มแข็ง มีแต่พลังที่มาจากพระเจ้า” เรายิ้มได้ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นนะครับ สุดท้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็นำสันติสุข นำพลังให้เราหายเหนื่อย เข้มแข็ง มีสันติสุขในพระองค์ เอเมน
เราขอบพระคุณพระเจ้าทั้งๆ ที่เราอาจจะยังไม่เห็นว่าสิ่งที่เข้ามาในแต่ละวันจะเป็นยังไงจะเป็นแบบไหนมาดีมาร้าย แต่เราขอบพระคุณพระองค์บอกว่า “ในพระคริสต์มีแต่สิ่งที่ดี ในพระคริสต์มีแต่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ในพระคริสต์อยู่ภายใต้การดูแลปกปักรักษาคุ้มครองของพระองค์” เราจะพบว่าสิ่งที่ยากมันก็ง่าย สิ่งที่ร้ายมันก็ดี สิ่งที่หนักก็กลายเป็นเบา เพราะว่าเราเดินในพระคริสต์